“อุ้ย” นั่นไงเสื้อกู น้ำเหนียวสีแดงกระจุยมาอยู่บนเสื้อสีดำของผม ผืนผ้าเป็นด่างแต้มด้วยสีแดง นี่เดี๋ยวได้เดินพกเอากลิ่นมะเขือเทศไปด้วยแน่
“ต้องเช็ดให้มันหน่อยดิ” ต้องรับกระดาษจากแมค ไม่สิต้องใช้คำว่ากระชากจะถูกกว่า
“กูทำเองก็ได้”
“นั่งไป” ต้องสอดมือข้างนึงเข้าไปใต้เสื้อแล้วดันวงแดงนั้นขึ้นมาค่อยลูบวนจนจางลง
“ไอ้ต้องป่านนี้ยังไม่รู้อีกเหรอมาเก้าชอบไรโง่จริง” นั่นสองคนนี้เอาอีกแล้วเจกับต้องนี่จะไม่ตีกันได้มั้ย
“พออออออ พี่เค้าว่าแล้ว” ผมรีบห้ามก่อนมันจะลุกมาตีกัน
ในกลุ่มไม่ใครพูดขึ้นอีกเสียงเพลงคริสมาสที่เล่นวนชักชวนให้รำคาญเสียแล้ว
“เบื่อเพลงแล้ว” นั่นไงแมคทนไม่ได้จนได้
“ดูหนังกันๆ” ซันชวนมันบอกว่าอาทิตย์นี้มีหนังเข้าเรื่องอะไรสักอย่างที่ผมไม่สามารถฟังสรุปได้เป็นหนังรักที่เกี่ยวกับทหารหนุ่มผู้พัดพรากและหญิงสาวที่เป็นพยาบาลซึ่งบังเอิญมาเจอเข้าเธอต้องเลือกระหว่างจะฆ่าเขาที่เป็นศัตรู หรือว่าจะปล่อยไปหนังรักดาษๆที่นิยมทำช่วงหนึ่ง
“เดี๋ยวอารมณ์ไหนมาดูหนังรักกันเนี่ยนี่กลุ่มชายล้วนนะเว้ย”
“น่าๆ นางเอกนมตูมมากเลยนะ” นั่นไงกูว่าแล้ว
“มันมีรูปหลุดมาว่าเห็นฉาก18+เยอะด้วยนะ” นั่นเดาก็ถูกอีกแล้วก็คงไม่ต้องบอกด้วยว่าใครพูด
จังหวะเดียวกับที่พนักงานกำลังชำเลืองมา คิดว่าคงรู้สึกรำคาญพวกเราก็แน่เล่นเด็กเปรต 5 คนกับต้นคริสมาสที่ทำจากซอสมะเขือเทศตกแต่งด้วยพริกน้ำปลา
ที่นั่งในโรงหนังวันนี้มันไม่ได้แน่น ผู้นำเข้าหนังเรื่องนี้เสียใจแน่ รอบฉายมันพอดีทำให้เราไม่ต้องรอ ระหว่างที่ซื้อตั๋วไอ้เจมันหายหัวไปไหนไม่รู้ อีกทีก็เห็นมันกลับมาพร้อมกับถังป๊อปคอร์นใหญ่ในมือสองถัง
นี่มันยังจะกินอีกเหรอ
เสียงประกาศเรียกเข้าโรงหนัง ผมไม่เคยมาดูกับพวกมันส่วนมากจะเลือกเรื่องที่อยากดูแล้วก็ดูคนเดียวเลยเสียมากกว่า คนไม่มีเพื่อนก็อย่างนี้ละ
ซันเดินนำเข้าไปคนแรก เดี๋ยวผมคงนั่งปิดท้ายคู่กัยไอ้เจแหง
“นี่ขอเราเข้าก่อน” เจเอาตัวเองไปต่อจากซันแล้วก็ตามด้วยแมค ถ้าลงอีกหรอบนี้ผมคงต้องนั่งติดกับต้องละสิ อดคิดไม่ได้แฮะลึกๆผมก็ใจละอย่างน้อยในที่มืดๆก็ได้นั่งอยู่ติดกับต้อง หวังว่ามันจะไม่หงุดหงิดใส่อีกนะ
มันยักไหล่เดินนำเข้าไปเหมือนไม่สนใจอะไรผู้คนในโรงหนังบางตาแสงไฟเริ่มมืด เสียงเพลงเริ่มขึ้นม่านเลื่อนออกเสียงดังแกรกไปด้านข้าง สุดท้ายต้องก็เอาหูฟังออกเส้นสีขาวที่เชื่อมผมเข้าเอาไว้กับมันถส่งคืนกลับมาให้เอาเหอะยังไงตัวก็ติดกันมานานแล้ว
ครึ่งชั่วโมงแรกของหนังมันพอจะดึงความสนใจผมไปได้ ภาพสะท้อนบนพื้นจอสีขาวฉายเป็นโทนอุ่นผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากับหน้าหนาวปีนี้เท่าไรเสียงดนตรีบรรเลงเนิบนาบ มันชวนให้เคลิ้มฝัน นางเอกสวยอย่างที่พวกมันว่าสรีระที่ได้มาแต่กำเนิดดูจะยิ่งใหญ่เกินตัว พระเอกเล่นเป็นทหารผ่านศึกนอนแซ่วอย่างเดียว ไม่มีทีท่าว่าจะได้เห็นเค้าลุกไปไหน
แมคดูจะให้ความสนใจมากออกนอกหน้า แน่นอนว่ามันชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ติสตัวพ่ออย่างมัน ถ้ามันบอกว่าดูไม่รู้เรื่อง ที่เหลือก็คงไม่สามารถให้คำอธิบายได้สมเหตุผลไปกว่ามันอีกแล้ว ไกลออกไปอีกที่นั่งซันกับเจยังหัวเราะคิกคักคงเป็นเพราะรูปร่างนางเอกหรืออาจจะเป็นคนอื่นในโรง เหล่าชายหญิงที่มากันเป็นคู่นั่งสวีทหัวติดกันไม่รู้ว่าท่อนล่างจะยุกยิกอะไรรึเปล่า ไอ้สองตัวนั่นคงคอยจับผิดอยู่แน่
ต้องมันเอนตัวยาวๆพิงเบาะ ไม่พูดอะไร ผมไม่กล้าหันไปมองมันตรงๆ สักเดี๋ยวมันเริ่มเอนตัวลง ไหลมาทางผมเรื่อยๆ
“หนาว” ในโรงหนังเราไม่ควรคุยกัน ผมจึงถอดเสื้อนอกออกเอามาคลุมตัวไว้ครึ่งหนึ่งส่งผ่านไปที่ต้อง มันมุดแขนสองข้างเข้าใต้เสื้อแจคเก็ตไออุ่นจากตัวมันลอยขึ้นมากลิ่นตัวอ่อนที่จำได้ดี มันซบหัวลงแล้วก็หลับไป
ผมได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าขยับตัว ขืนทำอะไรลงไปเดี๋ยวมันจะพลิกตัวแล้วหนีออกจากท่านี้ แค่นี้มันก็รู้สึกดีมากแล้ว มือต้องวางอยู่บนพนักวางมือครึ่งนึง เป็นที่มือของผมกับมันอยู่ใกล้กัน ถ้าขยับนิ้วเข้าไปใกล้มันจะเป็นไรมั้ยนะมันไม่รู้สึกตัวหรอก แค่นิดหน่อยเอง ถ้ามันตื่นก็แค่บอกว่าไม่ตั้งใจคงไม่แปลกหรอกก็ในโรงหนังที่แคบแบบนี้
รุ้สึกว่านิ้วก้อยผมจะเกร็งจนเป็นตระคริวเหงื่อชื้น หนังจะฉายไปถึงไหนก็ช่างมันเหอะ สมาธิจดจ่ออยู่กับปลายนิ้วขอแค่ขยับอีกนิดเดียวใกล้เข้าไปอีกหน่อย
เสียงหัวเราะคิกคักจากไหนกัน หนังรักอารมณ์หดหู่แบบส่งเข้าประกวดนี่มันหัวเราะระรื่นได้แบบนี้เลยเหรอ
ผมเงยหน้าขึ้นไปดูตอนนี้กลายเป็นว่าผมกับต้องกลายเป็นเป้าสายตาเหมือนตัวตลกโบโซ่กลางวงล้อมของผู้ชม ต้องมันหลับมุดอยู่ใต้เสื้อหนาว ไฟในโรงเปิดสว่างหนังน่าจะจบไปได้สักพักแล้ว คนในโรงว่างเปล่าเหลือแต่พวกเราเผลอหลับไปได้งั้นเหรอเนี่ย
“ไรว้าไม่ไหวเลยเก้า แกดูหนังไม่เป็นเหรอไง” แมคยืนพิงพนักเก้าอี้แถวหน้า
“นั่นดินางเอกออกจะดีเนอะเจ” เจพยักหน้ารับคำซัน
“นี่จบนานแล้วเหรอ”
“ไม่นานแต่ก็ยืนคุยกันสักแป๊บละ”
“อ้าวพวกมึงทำไรกัน” ต้องงัวเงีย
“ดูมึงหลับไงละไอ้ควาย ไอ้ไร้อารมณ์ มิน่าแข็งเป็นท่อนไม้” แปลกเวลาแมคว่าไอ้ต้องดูจะไม่ค่อยโกรธแฮะ
“ไปๆออกๆ” แน่นอนว่าอันนี้ไม่ต้องเถียง ใครจะอยากอยู่ต่อในโรงหนังมืดๆคนเดียวละ
“นี่หนังสามขั่วโมงเลยเหรอ” ผมเหลือบดูเวลาจากมือถือ
“นานชิบใครมันจะอยากดูวะเนี่ย” ซันถาม
“ไอ้เชี่ยเจไงเสือกอยากดูหนังรัก”
“กูจะรู้มั้ยเล่าว่ามันเป็นงี้”
“ต้องฟังอีกมั้ย” มันส่ายหัว เป็นว่าหมดช่วงเวลาเดินตัวติดกันละ
ชั้นล่างจากโรงหนังมีชั้นวางขายพวกของประดับบ้าน ทุกอย่างเป็นสีทองดูจีนๆ มันตลกที่ถึงแม้สีจะเข้ากับคริสมาสแต่มันไม่ได้บรรยากาศเอาซะเลย ของพรรค์นี้ใครจะซื้อไปฝากกันราคาน่าจะแพงอยู่
“นี่เจมึงเดินห่างๆเลยมึงยิ่งซนๆอยู่” แมคลากคอมันออกมา
แป๊กๆตึงๆ
เฮ้ยคงไม่ใช่มันทำตกแตกนะ
“มึง ข้างล่างมีดนตรีสดวะ”
“ไปฟังกันมะ”
“กูยังไงก็ได้” สงสัยจริงว่าซันนี่นอกจากนมผู้หญิงแล้วมันสนใจอะไรอีกบ้าง
“วงไรวะ” แมคถาม
“มองไม่เห็นว่ะ” เจพยายามมองออกจากกระจกกั้นพวกเราอยู่ที่ชั้น4 ข้างนอกมืดแล้วก็หน้าหนาวละนี่เนอะ อากาศคงเย็น คนเริ่มมาหนาตาแล้ว ไอ้ต้องที่มาในชุดสุดประหยัดมันต้องบ่นแน่ เจไขมันมันหนาคงไม่เป็นไร
“งั้นลงไปดูกัน” เจออกวิ่งรำไปก่อน
“ใครช้าเลี้ยงเหล้านะเว้ย” ตามไปด้วยแมคแล้วก็ซันที่เหมือนจะรู้หน้าที่ มันพูดจบก็ออกตัวสตาร์ทไปเงียบๆ
“เก้า คือว่า... กูอยากจะสารภาพ” ใจผมเต้นแรง ต้องจับไหล่ผมดันออกไปไกลสุด แล้วพูดว่า
“กุไม่อยากเสียตังค์” นั่นไงมันผลักผมถอยไปเบาๆ แล้ววิ่งไปตามพวกนั้น บันไดเลื่อนอยู่ข้างหน้า นี่เด็กม.ปลายทำบ้าอะไรเนี่ย
“เดี๋ยวเดะ เฮ้ยโกง” ผมรีบซอยเท้าตามไปอย่างเร็ว พวกมันไม่มีการหันมารอ หรือมองดู แต่อะไรสักอย่างทำให้ผมมั่นใจว่าพวกมันกำลังหัวเราะ พวกเรากำลังมีความสุขลมพัดหวีดเข้ามากระทบหู แอร์ในห้างน่าจะเย็นพอกับอากาศข้างนอก เสียงเพลงคริสมาสดังก้องวนอยู่ในห้าง อา... ช่างน่ารำคาญต้องฟังรอบที่เท่าไรแล้วเนี่ย
หน้าห้างมีเวลาใหญ่กั้นขอบด้วยรั้วดำเรียงรายยาวไปจนสุดเขตห้างจริงๆแล้วห้างนี้ไม่ได้ใหญ่เทียบกับในเมืองแต่ก็ถือว่าทันสมัยสุดของฝั่งนี้แล้วโต๊ะเหล็กคลุมด้วยผ้าใบสีขาวสลับเหลืองเก้าอี้สีเหลืองแป๊ดโต๊ะละสี่ตัวนักร้องกำลังเซ็ทเครื่องข้างล่างเวทีคนเต็มไปหมดหวังว่าจะมีที่ว่าง
ผมไม่เห็นป้ายหน้าเวทีแต่น่าจะเป็นนักร้องดัง ไม่งั้นคงไม่รีบมาหาที่นั่งกันแบบนี้
“นี่เจเฮ้ย” มันเดินดุ่มเข้าไปหาพนักงานนุ่งสั้นคนนึง พูดคุยกันสองคำแล้วมันแบมือแล้วชูขึ้นเป็นเชิงบอกจำนวนคนที่มา ห้าคน
พนักงานสาวเชียร์เบียร์กำลังมองหาโต๊ะ
“ซันมึงช่วยหาดิ”
“สัสคนยังกะหนอน” แมคสบถ
“เอาน่าๆต้องอะ อยากเข้าไปป่าว” ผมหันไปถามมันจะรู้จักวงนี้มั้ยวะ
“ยังไงก้ได้กูไม่มีตังค์” ผมรู้สึกคอตก นี่กูชอบมันตรงนี้รึเปล่าวะเนี่ย
“ได้ที่ละ” เจเดินกลับออกมา
“เนี่ยขอบรั้วตรงนี้เลยเห็นเวทีชัดดีมีขอบบันไดเป็นที่นั่งด้วย”
“อ้าวแล้วที่เข้าไปเมื่อกี้ละ”
“การ์ดไม่ให้ บอกอายุไม่ถึง”
“ให้ก็แปลกละฟาย” แมคดูจะไม่แปลกใจ
“มึงลองคุยยัง”
“ลองแล้วซันกูบอกว่าหมอยขึ้นถือว่าโตแล้วเข้าได้” ผมฟังละอยากเอามือกุมหน้าผาก
“สัสพูดงี้ได้ไงกูยังไม่มีกูยังใสๆเนียนๆ” เปลี่ยนเป็นตีนกุมขมับได้มั้ย
“เอามาดูดิ”
“พอสัสอุบาทว์” เออต้องงี้สิป๋า
“งั้นพวกมึงจองที่เอามานี่คนละสองร้อย”
“กูไม่มี” ต้องยืนพูดหน้าตายราวกับถามว่ามันสูงเท่าไรตอบฉะฉานทันควันและ... ไม่อาย
“เออถือว่ากูทำบุญ” เจวิ่งหลังไวๆหายเข้าไปในห้างเหลือพวกผมเอาไว้
นักร้องขึ้นแล้วเสียงกรี๊ดลั่นจนหนวกหูไม่รู้ว่าจะได้ยินเค้าร้องเพลงมั้ย
เพลงแรกเป็นเพลงช้าๆเหมือนจะกำลังอุ่นเครื่องหายไปนานไอ้เจก็ยังไม่มาผมชักเป็นห่วง
“ห่วงมันเหรอ” ต้องสะกิดถาม
“เปล่า” ขืนตอบว่าห่วงยิ่งไปกันใหญ่
เพลงค่อยๆเปลี่ยนทำนองเป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ หยอดด้วยมุกเสี่ยวๆของนักร้อง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมถึงไม่เคยขำกับอะไรแบบนี้เลยสักที จริงๆนะละครตลกยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“มาๆ” เจแจกกระติกน้ำให้คนละอันทั้งหมดสีเดียวกัน มันคงคิดว่าไม่อยากมาเสียเวลาให้พวกผมทะเลาะกันเพื่อเลือกละมั้ง ไอน้ำเกาะรอบกระติกจนเป็นหยด เสียงกรอกแกรกจากน้ำแข็งในแก้วพลาสติคสีดำขนาดใหญ่ ผมดูดเข้าไปเต็มอึกถึงกับสำลัก
“ไฮเนเก้น” แมคหันมาส่งตาหวานเชื่อมใต้แว่นให้เจก่อนจะยื่นมือเข้าไปตีมือกันดูน่าจะเข้าขาได้ดีนะคู่นี้
“ฮื้อเด็ด” อันนี้ไม่คิดว่าจะได้ยินจากซัน
“เก้าเร็วๆๆๆๆ” ผมรีบดูดอักๆตามพวกมันต้องยืนอยู่ข้างๆเงียบๆแต่ดื่มยังกับน้ำหวานไอ้พวกนี้ก็น่ากลัว
หมดไปครึ่งแก้วเจรีบเปิดกระเป๋าเทเติมอีกคนละกระป๋อง ที่หายไปนานนี่คือมัวไปเตรียมขอวพวกนี้สินะ แก้วนึงได้สองกระป๋อง มันซื้อมาสามดูแล้วคนละสองร้อยนี่น่าจะไม่พอนะทำไมมันใจดีจังพักนี้สรุปว่าถ้าเรากินหมดก็จะคนละสามกระป่องถ้วน
ไม่รู้ว่าเสียงเพลงข้างนอกดังขึ้นหูพวกเราอื้อหรือเมา เด็กเปรตห้าคนที่เกาะริมรั้วเริ่มลุกขึ้นเต้นกระโดดไปมาตะโกนคุยกันเสียงดังใบหน้าเปื้อนยิ้ม ใช่แล้ว มันเป็นคริสมาสที่สนุกที่สุดในชีวิตเลย
“ขอบใจพวกมึงนะ” เจ พูด
“เออขอบใจมึงสำหรับเบียร์” สัส ต้องรีบเอามือเข้าไปปิดปากแมคเวลาเมานี่มันเริ่มไม่เหมือนเดิม ปากมันจะเริ่มพล่ามอะไรหมาๆ
“เออขอบใจมึงว่ะเจ ว่าแต่ทำไมมึงต้องมาขอบคุณพวกกูด้วยววะ” ซันหันไปตะโกนข้ามหัว
เวลานี้เจหันมามองหน้าพวกเราตรงๆเป็นครั้งแรกก่อนจะกระชากเสื้อทุกคนเข้ามาหายกเว้นต้องคงเพราะความสูงของมัน เราเข้าใกล้จนหัวติดกัน เส้นผมต่อเส้นผมกดทับกันจนรู้สึกร้อนเหงื่อ ต้องก้มหัวตามลงมา
“ขอบใจที่เป็นเพื่อนกู” เจตะโกนเรียบๆเพราะเสียงตะโกนผมจึงจับน้ำเสียงไม่ได้
ทีแรกผมว่าจะพูดออกไปว่าเหมือนกันแต่คิดอีกทีอย่าดีกว่าให้วันนี้เป็นวันของมัน
มันยิ้มกว้างให้ส่วนแมคก็ทำหน้าเหมือนดูละครน้ำเน่าก่อนจะหัวเราะแล้วเอามือตบหัวเจ ไอ้ต้องยกแก้วขึ้นชนส่วนผมเหรอ... ผมได้แต่บีบไหล่มันเบาๆ มันจับมือผมแล้วบีบกลับทุกอย่างช่างดูเป็นธรรมชาติมันคือความจริงในชีวิตวัยรุ่นช่วงหนึ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกและครั้งเดียว เราไม่สามารถหวนคริสมาสของชั้นม.5 กลับมาได้อีก และผมโชคดีที่เลือกว่าจะออกมากับพวกมันไม่งั้นเวลานี้ผมคงนั่งมองจอทีวีอยู่บ้านนั่งเหงาเงียบอยู่คนเดียว
“เพลงสุดท้ายแล้วครับมีใครกำลังพยายามอะไรอยู่มั้ย อย่าฝืนมากนักนะ” นักร้องตะโกนสุดเสียง ทะลุออกไมค์วิ่งผ่านกระฆหลกพวกเราไป
ผมว่าผมเดาชื่อเพลงได้ถูกนะ
**อย่าไปอยู่ใกล้เธอเตือนหัวใจตัวเอง
อย่ามัวฝันถึงเธอ แล้วฉันจะทำได้มั้ย
อย่าคอยส่งยิ้มให้เธอเธอคงไม่สนใจฉันสักนิดเลย**
เมื่อถึงท่อนนี้เจจับมือผมชูขึ้นสุดแขน แมคกับซันก็ทำแบบเดียวกัน ต้องที่อยู่สูงกว่าต้องหดแขนลงนิดหน่อย
**แล้วฉันจะฝืน ฝืนหัวใจตัวเองได้ไหม
แล้วฉันจะฝืนความรู้สึกของฉันได้ยังไง
ไม่อาจจะฝืนความรักที่มันเอ่อล้น**
ผมแอบหันไปมองต้อง มันกำลังส่งยิ้มมาทางผม เจเลื่อนมือลงมาขยี้หัว นักร้องกำลังทิ้งเสียงยาว ลมเย็นพัดวูบเข้าปะทะหน้า พวกเรากำลังมีความสุขผมหวังว่ามันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ว่าปีหน้าหรือปีไหนๆ แบบนี้ห้าคนตลอด ไปเราแหกปากตะโกนแข่งกันเสียง ผมน่าจะหลงที่สุด
“ไปแล้วมึงเดี๋ยวกูต้องไปต่อ”
“เฮ้ยไรวะเจจะรีบไปไหน”
“เออน่าพวกมึงกลับบ้านไปดึกแล้ว” พูดจบเจวิ่งสาวเท้าไปทางถนนจับแท๊กซี่คันแรกปล่อยพวกเรายืนงงอย่างนั้น
แต่เอาเถอะคอนเสิร์ตเลิกแล้วมันก็ถึงเวลา
ซันเป็นคนต่อไปที่หารถกลับบ้านตามมาด้วยแมคถึงแม้ว่าบ้านเราจะใกล้กัน แต่แมคยืนกรานว่าจะไปคนเดียว แล้วให้ต้องนั่งไปคันเดียวกับผม
บ้านผมไม่ไกลจากห้างนั่งไปครู่เดียวมันเหมือนเวลาเปิดเทอม เปลี่ยนไปแค่เสื้อผ้าที่ใส่และสภาพอิดโรยแถมเมาหน่อยๆ
“เก้ากูนอนบ้านมึงนะ”
“อือเอาดิ” อะไรวะไอ้ต้องนี่จะนอนบ้านผมเหร ออะไรของมันใจผมเต้นโครมคราม ไม่ๆๆๆมันไม่ใช่คนอย่างเจ มันไม่เมาแล้วขี้เอาแน่ๆ ไม่ๆๆๆอย่าคิดลึกไม่ๆๆๆๆๆ ไม่ได้กันๆ
พ่อแม่น่าจะหลับหมดแล้วสำหรับผู้ใหญ่ เทศกาลไม่ได้มีความหมายอะไรเท่าไร มันก็คงเป็นแค่วันนึงที่ผ่านไป ของขวัญที่เคยได้ในวัยเด็กกล่องมันเล็กลงทุกปี ทว่ามูลค่ามากขึ้น ก่อนจะหายวับไป
เข้ามาถึงห้องนอนผมรีบผลักตัวเองเข้าห้องน้ำรู้สึกตัวเหม็นเหงื่อยังกับลูกเสือที่เพิ่งกลับจากเข้าค่ายนี่ไม่ได้เป็นอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ อ้ออีกอย่างนี่มันหน้าหนาวนะ
ผมปล่อยไอ้ต้องไว้ในห้อง หลังจากผมแต่งตัวออกมาแล้วก็รีบโยนผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนให้มันทันที ถ้าเป็นไอ้เจมันน่าจะหน้าด้านแก้ผ้าตามเข้ามาแล้ว ส่วนผมเองก็คงไม่อายที่จะโทงเทงออกมาใส่ข้างนอกเหมือนกัน
ไอ้ต้องเวลานี้มันยืนงงอยู่ในห้อง จะว่าไปรู้สึกว่ามันจะไม่เคยมาด้วยสินะ
“ต้อง” มันดูเมาและเหนื่อยเมื่อมันหันกลับมามันทำหน้าแปลกๆแล้วชี้ไปที่กล่องบนโต๊ะ
“อ้อเจมันเอามาให้น่ะ” แย่ละ มันก็รู้สิว่าเจมา
“เปิดดูรึยัง”
ผมส่ายหัว
“เอ้า” เออว่าไปเพิ่งสังเกตมันเอากระเป๋าใบเล็กมาด้วยเทียบกับตัวมันแล้วขนาดมันต่างกันมากผมเลยไม่ทันได้เห็น
สองมือยาวๆของมันล้วงเอาวัตถุที่อยู่ในนั้นขึ้นมาแล้วยื่นให้วัตถุเรียบแบนสีขาวมันยัดใส่มือผมเสร็จแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
“อะไรของมึง” ผมพูดไล่หลัง แอลกอฮอล์นี่ดูจะทำให้คนเรากล้าขึ้นอีกหน่อย
“ของขวัญ” มันตะโกนกลับมา
ผมวางลงบนโต๊ะข้างกล่องสีเหลืองอยากรู้ว่าคืออะไรแต่ขอเปิดของเจก่อนแล้วกัน มันใส่มาแบบนี้ยิ่งทำให้อยากรู้
ข้างในนั้นเป็นซีดีสีเหลือง ปกเขียนว่าอัลบัมสำหรับคนอกหักหือ มันอกหักกับใครมาละเนี่ย เห็นมันดี๊ด๊ากับคนในโทรศัพท์จะตายด้านหลังปกเป็นรายชื่อเพลงทุกเพลงความหมายสื่อถึงคนที่กลายเป็นเพื่อน มันตั้งใจจะสื่ออะไรกันนะ
ส่วนของต้องเป็นผ้าสีขาวทำไมมันดูเหมือนไม่ใหม่เลยวะ ผมลองคลี่ออกมาดูเอะนี่มันเสื้อยืดสีขาวที่ต้องมันใส่มาโรงเรียนในหน้าหนาวนี่ ซักยังอะ นี่มันงกขนาดเอาเสื้อใช้แล้วมาให้เลยเหรอ
“เก้าจะนอนยัง”
“อะอือ” ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ยผมรีบพับมันกลับไปที่เดิมหรือว่าจะเข้าใจผิดมันหมายว่าจะทวงของขวัญรึเปล่านี่อาจจะเป็นเสื้อที่จะใส่กลับก็ได้
“อือนอนเถอะ”
ผมให้มันอนบนโซฟาที่ติดอยู่กับเตียงมีพนักพิงโซฟาสูงทำจากหนัง กั้นระหว่างเราสองคนไว้ เสียงลมหายใจต้องดังเสียดทะลุเสียงพัดลม
“เอ่อ กูไม่ได้เตรียมของขวัยมาให้โทษทีวะ”
เสียงหนังยวบมันกำลังขยับตัว
“งั้นลุกสิ”
ผมทำตามว่าง่ายลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
“แลกกัน” อะไรนะ
“มันเอื้อมมือมากระชากเสื้อยืดใส่นอนผมออก
“เอ้ย หนาว อะไรวะ”
“ก็กูให้เสื้อมึงละไง”
“โห เสื้อนอนกูยังแพงกว่าเสื้อยืดมึงเลย”
“อือ” เอาเหอะในใจผมกลับรู้สึกตรงข้าม ดีใจที่ได้เสื้อใส่ประจำของมันมา
มันล้มตัวลงนอนพลิกมาทางด้านผมพาดมืออ้อมโซฟามา
นิ้วมือขาวเรียวยาวมือที่ผมเห็นมาตลอดสองปีมือที่ปรารถนาจะจับสักครั้งแบบตั้งใจ ในโรงหนังคงพยายามมากไปสุดท้ายก็หลับไปก่อน
เสียงพัดลมเงียบลง อากาศเย็นที่คล้ายจะกลายเป็นแค่คำบอกเล่าเพราะผมไม่รู้สึกอีก ผมขยับนิ้วเข้าไปใกล้ใกล้ขึ้น
ปลายนิ้วนางแตะเข้ากับปลายนิ้วของมัน
เสียงหัวใจเต้นโครมคราม ปลายนิ้วเย็นเยียบ
ทันใดอีกฝ่ายก็เกี่ยวนิ้วกระหวัดเข้าหามันล็อคแน่น ทว่านุ่มนวล ต้องเวลานี้ดูอ่อนโยน ไม่มีคำพูดใดอีกปล่อยให้ห้วงเวลานี้เดินต่อไป เดินอย่างช้าๆ ติกต๊อก เพราะเวลามันไม่เคยหยุ ดผมไม่สามารถห้ามไม่ให้มีวันพรุ่งนี้ได้ แต่ตรงหน้านี้คือของจริงนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของปีนี้ของขวัญคริสมาสล้ำค่า
แสงจันทร์ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาให้อากาศหนาวและแสงนวลอ่อนนี้เป้นพยานภาพตรงหน้านี้เกิดขึ้นจริง
“เมอรี่คริสมาสต้อง”
“เมอรี่คริสมาสเก้า”
...