บทที่ ๕
“เคยเจอกันที่ไหนครับ ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณเหมือนกับ...”
‘เหมือนกับเจอกันในความฝัน’ หรือเพราะเขาเอาหน้าของจีรัชญ์ไปเป็นไอ้หาญกันนะถึงได้รู้สึกคุ้นกับคนๆ นี้อย่างประหลาด
น้ำเสียงกะตือรือร้นด้วยความอยากรู้ของณิชน่าเอ็นดูแต่จีรัชญ์ไม่ตอบ เขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะราบเรียบมานานแต่ช่วงนี้กลับหนักหน่วงขึ้น เขาทรมาน...ไม่อยากให้อะไรๆ มันซ้ำรอยเดิมเพราะรู้สึกว่าที่ผ่านมามันพอแล้ว พยายามหักห้ามใจแต่ท้ายสุดก็ละสายตาจากคนตรงหน้าไม่ได้สักที
ลมเย็นเอื่อยๆ พัดผ่านหน้าต่างหอบกลิ่นดอกพุดน้ำบุษย์ที่ปลูกอยู่หลายสิบต้นเข้ามาด้วย เหมือนจะเป็นการย้ำเตือนจากใครสักคนว่าเขาสองคนใกล้ชิดกันมากเกินความจำเป็นทำให้จีรัชญ์ปล่อยมือ และถอยกลับมายืนที่เดิม ส่วนณิชที่ราวกับตกอยู่ในภวังค์ก่อนหน้านี้แก้มขึ้นสีระเรื่อ ยอมรับว่าเขินจีรัชญ์ไม่น้อยเพราะอีกฝ่ายมีเสน่ห์น้อยเสียที่ไหน
ใบหน้าคมคายติดจะดุและยิ้มยากผิดกับดวงตาที่ดูน่าค้นหา คิ้วเข้มพาดเฉียงรับกับใบหน้า สันกรามที่เกลี้ยงเกลาไม่มีไรหนวดให้เห็น ริมฝีปากกระจับปากล่างหนากว่ากลีบปากบน ขนตายาวเป็นแพงอนโค้ง นัยน์ตา,นัยนาสีเข้มเข้ากับสีผิว ยอมรับจริงๆ ว่าเขาไม่เคยเห็นชายไทยคนใดหล่อเท่านี้มาก่อนเลย แม้แต่พระเอกละครช่องดังต่างๆ ก็ยังไม่เทียบเท่า
“คงเคยเดินผ่านกันแถวบริษัทของคุณน่ะ” จีรัชญ์ตอบปัดไปอื่นเสีย ทั้งที่ใจจริงเขาไม่ได้คิดตอบแบบนี้ด้วยซ้ำ
“อ่า แล้วที่บอกว่ารอมานานนี่คือ...คุณยังไม่หายโกรธที่ผมผิดนัดอีกเหรอ ผมขอโทษไปแล้วไง ผมคิดว่าเรา...”
“คุณทิ้งงานมานานแล้วผมว่าเรากลับลงไปดูช่างเขาทำงานดีกว่าไหม ผมกลัวว่างานจะไม่เสร็จตามที่หวังไว้คุณปราณันต์” จีรัชญ์ตัดบททำณิชเงียบทันควัน
ชื่อนี้ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินคนเรียกก็น่าจะตอนเรียนมหา’ ลัยที่อาจารย์มักใช้ชื่อจริงเรียกนักศึกษา เพราะตั้งแต่เรียนจบเขาก็ให้คนอื่นเรียกชื่อเขาว่าณิชทั้งหมด
ปราณันต์แปลว่า ลม เพราะแม่บอกว่าเวลาเขาร้องไห้จ้าจะมีลมเย็นๆ พัดผ่านมาเสมอ มันทำหน้าที่ปลอบประโลมจนเขาหยุดร้องไห้ได้แม่จึงตั้งชื่อนี้ให้ ลมที่มีความหมายในชื่อจริงและณิชที่แปลว่าบริสุทธิ์ในชื่อเล่น ลมที่บริสุทธิ์ หากแต่เขากลับรู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่ชื่อตัวเอง เหมือนเขาเคยชื่ออื่นมาก่อนแล้วแต่เพิ่งมาเปลี่ยน เคยถามแม่ครั้งหนึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่าแม่ตั้งชื่อนี้ให้ตั้งแต่เด็กแล้ว
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ค่อยจะอยากให้คนเรียกชื่อจริงเขานัก ชื่อที่เหมือนไม่ใช่ชื่อเขาชื่อนี้ แต่คนตรงหน้ากลับเรียกเสียเต็มยศ
“เรียกผมว่าณิชเฉยๆ ก็ได้ครับ ไม่ต้องเรียกชื่อจริงหรอก” ณิชบอกแค่นั้นก็เดินออกไปจากห้อง แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นขอบประตูเขาก็หันมาถามอีกครั้ง
“ถ้าผมอยากดูรูป ผมสามารถมาดูที่ห้องคุณได้ไหม”
“ได้สิ มันไม่ใช่ของผมตั้งแต่แรกคุณจะมาดูก็ได้ แค่อย่าทำมันเสียหายก็พอ”
ทุกคำพูดของจีรัชญ์ณิชตั้งใจฟังทุกคำ เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายแฝงความหมายบางอย่างไว้เสมอ ก่อนหน้านี้จีรัชญ์บอกว่าคุณอนันต์วาดให้ แต่ไฉนเลยถึงได้บอกว่ามันไม่ใช่ของเจ้าตัวมาตั้งแต่แรก ดูท่าเจ้าของวังปริพัตรจะมีความลับมากมายที่ชวนน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย
ณิชกลับลงมาข้างล่างอีกครั้งเห็นมิ้งกำลังจิ้มไส้กรอกทอดเข้าปากเคี้ยวหยับๆ พอถามก็ได้ความว่าป้าแจ่มเป็นคนทอดมาให้ เอามาแบ่งให้พวกทีมช่างที่มาทำงานด้วย เรียกได้ว่าแม่บ้านวังนี้เลี้ยงแขกได้ดีเกินหน้าที่จริงๆ
พอสายสักหน่อยจีรัชญ์ก็ออกไปทำงานอย่างที่เจ้าตัวบอก ฝากสุทินให้ดูแลงานให้ตนต่อแต่หากมีอะไรขาดตกบกพร่องก็ให้โทรแจ้งเขาได้ พอตกเที่ยงทีมช่างก็ขอตัวไปกินข้าวพวกเขาทั้งสามคนจึงโดนป้าแจ่มเรียกให้ไปนั่งรอที่โต๊ะรับประทานอาหารได้เลย เพราะอาหารมื้อเที่ยงจัดเตรียมไว้เสร็จแล้ว
“อันสีชมพูนี่คือน้ำพริกอะไรเหรอคะ” มิ้งจดๆ จ้องๆ อาหารในถ้วยที่กำลังส่งกลิ่นหอมมาให้ มันเป็นเนื้อสีชมพูดูสวยงามแปลกตา มีผักจำพวกตะไคร้ซอย หอมแดง และเนื้อปลาสับละเอียดง่ายต่อการรับประทาน เนื้อของแป้งแดงผสมไข่ด้วยพอเอาไปนึ่งเนื้อจึงผสานเป็นเนื้อเดียว มองเผินๆ ก็คล้ายไข่ตุ๋นอยู่ไม่น้อย แต่ที่ทำให้มิ้งเรียกมันว่าน้ำพริกก็คงเพราะพริกหั่นหยาบๆ ที่ใส่ลงไปในนั้นด้วย
“เขาเรียกแป้งแดงครับ อาหารของคนใต้ มีรสชาติออกเค็มนิดๆ เปรี้ยวหน่อยๆ คลุกข้าวสวยร้อนๆ ทานรับรองคุณมิ้งจะติดใจ” สุทินตอบพร้อมกับตักให้หญิงสาวสักปลายช้อน เพราะหากไม่ถูกปากจะได้ไม่ต้องทิ้งให้เสียดายของ
มิ้งคลุกแป้งแดงกับข้าวสวยตามคำบอกเล่าของคนที่คุ้นชินกับอาหารพวกนี้ เธอตักเข้าปากแล้วค่อยๆ เคี้ยวเพราะยังไม่ไว้ในใจหน้าตาของมันนัก แต่ปรากฏว่ารสชาติของมันกลับกลมกล่อมและดูดีกว่าหน้าตาของมันมาก อร่อยจนเธอต้องตักมาทานซ้ำอย่างไม่ต้องลังเล
ณิชส่ายหัวให้กับลูกน้องของตนเอง เรื่องกินยกให้เป็นที่หนึ่งเพราะมิ้งกินเก่งมาก อะไรๆ ก็ถูกปากไปเสียหมด ยิ่งมาอยู่ใต้เจออาหารใต้ของจริงเขาไปทำเอาสาวเจ้าออกปากว่าน้ำหนักขึ้นแน่ๆ ส่วนแม่ครัวคนทำอาหารอย่างป้าแจ่มก็ยืนยิ้มแก้มปริเพราะดีใจที่มีคนชอบอาหารที่เธอเป็นคนทำ คงเป็นกำลังใจให้คนทำอาหารได้ไม่น้อย
ได้เวลากลับมาทำงานอีกครั้ง พี่โอ๋โทรมาหามิ้งเพื่อจะคุยงานกับเขาเรื่องลูกค้าคนอื่น แอบโดนบ่นมาว่าให้รีบซื้อมือถือเครื่องใหม่ได้แล้วเพราะจะได้ติดต่อกันสะดวกๆ ณิชจึงบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะเข้าเมืองกับคุณจีรัชญ์ เนื่องจากยังไม่ชำนาญทางเท่าไหร่นักคงต้องอาศัยให้เจ้าถิ่นพาไปก่อน อีกทั้งต้องไปดูกระเบื้องลายใหม่ด้วย
การทำงานวันแรกเป็นไปด้วยดี อาจจะเริ่มงานช้าไปสักหน่อยเพราะรูปวาดเจ้าปัญหา แต่เมื่อหมดเรื่องนั้นแล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นตามมา ทีมช่างยังคงทำงานได้ตามที่เขาวางแผนได้อย่างดี ส่วนสุทินก็เข้ามาดูอยู่เรื่อยๆ ตามหน้าที่ที่ได้รับจากเจ้าของวัง
ทีมช่างกลับไปเมื่อเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ประจวบกับจีรัชญ์กลับมาพอดี เขาบอกว่าข้างนอกฝนตกมาบ้างแล้ว หากช่างกลับก็ขอให้ขับรถอย่างระมัดระวังเพราะถนนลื่น
“ผมไปก่อนนะครับคุณจีรัชญ์ คุณณิช” ช่างจรูญกล่าวลาจากนั้นก็ขับรถนำลูกน้องออกจากวังไป ประตูรั้วบานใหญ่ขอองวังปริพัตรค่อยๆ ปิดตามหลัง สื่อให้รู้ว่าหลังจากเวลานี้จะไม่มีการเปิดรับเชิญใครเข้ามาภายในรั้ววังอีก
“คุณจีรัชญ์ครับ พรุ่งนี้...”
“เดี๋ยว” จีรัชญ์ยกนิ้วชี้ขึ้นห้ามก่อนจะรับสายที่โทรเข้ามา “ครับแข”
ณิชที่โดนแทรกถึงกับอึ้งไป แน่ล่ะว่าเขาหรือจะมีความสำคัญเท่าคนรัก ฝ่ายนั้นจะเลือกคุณแขไขก็ไม่แปลก ณิชปล่อยให้ชายหนุ่มคุยโทรศัพท์ไปส่วนตนเดินเข้าข้างใน ฝนตั้งเค้ามาเป็นลางว่าคืนนี้ท่าจะตกหนัก ส่วนเรื่องการรายงานความคืบหน้าการทำงานวันแรกเขาปล่อยให้สุทินรับหน้าจีรัชญ์แทน
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบเห็นมิ้งไหมครับ” เขาถามหญิงสาวที่เป็นหนึ่งในแม่บ้าน เธอบอกว่ามิ้งไปหาป้าแจ่มในครัว ณิชไม่รอช้าจึงตามไปด้วย
เรือนครัวจะอยู่ไปทางหลังตึกใหญ่ แยกออกไปมีทางเดินที่มีหลังคาพอกันแดดกันฝนเป็นทางเชื่อม ณิชเห็นมิ้งกำลังวุ่นวายอยู่ใกล้ๆ ป้าแจ่มคิดว่าคงไปขอให้แม่บ้านใหญ่ทำอะไรให้ตนทานอีกแน่ๆ
“อ้าว! พี่ณิชมาพอดี นี่ๆ ป้าแจ่มจะสอนหนูทำแป้งแดงล่ะ ไม่ยากเลยนะหนูจะลองทำดูเผื่อกลับไปจะได้เอาไปทำให้ป๊ากับหม่าม้ากินด้วย” มิ้งพูดพร้อมยิ้มกว้าง ชี้ให้ดูว่าในถ้วยที่เตรียมไว้มีวัตถุดิบพร้อมสรรพรอให้เธอได้ปรุงอาหารแล้ว
“ไปกวนป้าแจ่มทำไม ในยูทูปมีสอนเยอะแยะ สูตรก็หาเอาในกูเกิ้ลก็ได้”
“ไม่ได้หรอกค่ะคุณณิช มาถึงถิ่นทั้งทีเรียนเอาจากของจริงดีกว่าไปฟังคนอื่นเขาทำกันนะคะ ไม่กวนป้าหรอกป้าชอบ” ป้าแจ่มแย้งทันควัน
กลายเป็นว่าเย็นวันนั้นณิชก็ขลุกตัวอยู่ในครัวเป็นลูกมือช่วยป้าแจ่มทำมื้อเย็น ลืมเรื่องที่จะคุยกับจีรัชญ์เสียสนิท ไม่สนด้วยว่าเจ้าของวังเขาจะตามหาตัวหรือไม่เพราะเริ่มสนุกกับการทำแกงปักษ์ใต้แล้ว
มื้อเย็นวันนี้ป้าแจ่มบอกว่าเอาเป็นเมนูง่ายๆ เช่น แกงเลียง เพราะเห็นตำลึงแทงยอดอ่อนน่าทานจึงให้คนสวนไปช่วยเก็บมา ข้างๆ กันมีต้นชะอมจึงเอามาทำไข่เจียวชะอมทานคู่กับน้ำพริก และมีสะตอติดตู้เย็นอยู่หน่อยจึงทำผัดกะปิสะตอกุ้ง เรียกได้ว่ามื้อนี้เป็นอีกมื้อใหญ่ที่ป้าแจ่มกะขุนให้ณิชกับมิ้งอ้วนกลับกรุงเทพฯ กันเลย
“หวี แกช่วยไปดูให้หน่อยว่าคุณตรีจะให้ตั้งโต๊ะหรือยัง” ป้าแจ่มหันไปสั่งแม่บ้านอีกคนที่ยืนว่างงานอยู่ หญิงสาวอายุราวๆ สัก 30 กว่ารีบวิ่งไปทางตึกใหญ่ทันที
“ปกติคุณจีรัชญ์เขาให้ตั้งโต๊ะกี่โมงเหรอครับ” ณิชอดถามไม่ได้ เพราะครั้งก่อนที่ทานมื้อเย็นด้วยกันฝ่ายนั้นพร้อมเสร็จที่โต๊ะอาหารก่อนที่เขากับมิ้งจะโผล่ไปเสียอีก
“ราวๆ หกโมงครึ่งค่ะ คุณตรีเธอไม่อยากให้ค่ำมากเพราะเกรงว่าอาหารจะไม่ย่อย”
“แล้วเขาดุไหมครับ ปกติเป็นคนดุไหม” ได้ทีก็สืบเรื่องอีกฝ่ายสักหน่อย รู้เขารู้เราพอทำงานด้วยกันจะได้ง่ายขึ้น
“สำหรับป้าคิดว่าไม่เท่าไหร่นะคะ แต่คุณเขาเงียบๆ ขรึมๆ อีกทั้งหน้าตาที่ถอดแบบบรรพบุรุษมาเป๊ะๆ เลยทำให้ดูดุ”
“บรรพบุรุษ? เจ้าของวังปริพัตรเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่เดิมเจ้าของวังปริพัตรเป็นของคนอื่น แต่ปู่ของคุณตรีท่านซื้อไว้เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กัน แต่บรรพบุรุษที่ป้าว่าคือท่านหาญน่ะค่ะ ป้าเคยเห็นรูปถ่ายของท่านอยู่ครั้งหนึ่งใบหน้าคมคายคล้ายคุณตรีราวกับแกะ”
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงใหญ่ที่มาหลังจากฟ้าแลบทำณิชสะด้งโหยง พอๆ กับที่เขาตัวชาวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ามือเย็นเฉียบ ทำไมเขารู้สึกเหมือนตัวเองรู้ความจริงที่น่ากลัวแบบไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ก็ไม่รู้ ใช่ว่าในประเทศไทยจะมีคนชื่อหาญได้คนเดียวเสียเมื่อไหร่ แต่เขาคิดว่าคนชื่อหาญที่หน้าคล้ายไอ้หาญในฝันคงมีไม่มากแน่ หนึ่งในนั้นคือบรรพบุรุษของจีรัชญ์งั้นเหรอ เขาจำได้ลางๆ ว่าเคยเผลอเรียกจีรัชญ์ว่าไอ้หาญด้วย
คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรอกมั้งที่คนในความฝันจะชื่อซ้ำกับคนในชีวิตจริง เป็นไปไม่ได้ที่บรรพบุรุษของจีรัชญ์จะมาเข้าฝันเขา ทั้งที่เขากับครอบครัวนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันสักนิด มันคงเป็นเรื่องขนลุกไม่น้อยหากเขาฝันถึงท่านหาญ หรือว่าฝ่ายนั้นจะมาบอกว่าให้มาทำงานให้ลูกหลานตนเองดีๆ ไม่งั้นจะมาจัดการเขาทีหลัง
ลมกระโชกแรงพัดเอาเศษใบไม้พัดปลิวไปทั่ว ลมแรงมาพร้อมกับเม็ดฝนที่สาดเข้ามาเกือบถึงประตูโรงครัว ป้าแจ่มหยุดเล่าเรื่องแล้วหันไปเร่งแม่บ้านคนอื่นๆ ให้รีบเร่งมือ เพราะหวีกลับมาบอกว่าเจ้าของวังสั่งให้ตั้งโต๊ะได้แล้ว
ณิชช่วยยกสำรับอาหารเดินตามหวีไปทางตึกใหญ่ ส่วนมิ้งก็หอบแป้งแดงฝีมือตนเองตามมาติดๆ เมื่อเข้ามาในตึกก็ตรงไปยังห้องรับประทานอาหาร จีรัชญ์ยังไม่ลงมาจากห้องทำงานทำให้ยังพอมีเวลาจัดโต๊ะ ณิชวิ่งกลับไปช่วยป้าแจ่มที่โรงครัวอีกครั้ง แต่หญิงวัยกลางคนบอกว่าไม่มีอะไรแล้วให้ไปเตรียมตัวทานมื้อเย็นได้เลย
“ถ้าหนูขึ้นไปอาบน้ำก่อนจะทันไหมพี่ณิช เหนียวตัวจะแย่ นี่มีกลิ่นชะอมติดผมหนูด้วยเนี่ย” มิ้งกระซิบถาม เขาก้มดูนาฬิกาข้อมือเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือเลยพยักหน้าให้ไปได้ สงสารที่คนสวยๆ อย่างมิ้งต้องมีกลิ่นชะอมติด เดี๋ยวจะเสียความมั่นใจเสียเปล่าๆ แต่ก็ไม่ลืมกำชับว่าให้รีบลงมาให้ทันด้วย อย่าให้เจ้าของบ้านเขาต้องรอ
มิ้งลงมาข้างล่างอีกครั้งอย่างฉิวเฉียดเพราะจีรัชญ์เดินตามหลังหญิงสาวมาติดๆ เธออาบน้ำสระผมด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ผมยังคงเปียกหมาดๆ แต่หากจะให้เป่าแห้งก็เกรงว่าจะไม่ทันการณ์จึงลงมาในแบบนั้น และเมื่อจีรัชญ์นั่งลงตรงหัวโต๊ะมื้อเย็นก็เกิดขึ้น
มิ้งยังคงรักษาความสดใสบนโต๊ะอาหารได้เสมอ เธอพูดเก่งจนเรียกได้ว่าพูดจ้อจนลิงหลับ ทำให้บรรยากาศอึมครึมและเงียบเหงาของวังปริพัตรดูสดใสขึ้นมาบ้าง ณิชยังคงทานอาหารตบปากรับมุกของมิ้งบ้าง ส่วนเจ้าของวังนั้นทานต่อไปเงียบๆ แต่ไม่ได้เอ่ยขัดหรือห้ามปรามการพูดคุยนี้แต่อย่างใด
“คุณสุทินไม่น่ากลับไปก่อนเลย ที่จริงน่าจะอยู่ชิมแป้งแดงฝีมือหนูก่อน” หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จและขึ้นมานอนเล่นที่ห้องของณิชต่อ หญิงสาวก็เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกเสียดาย
ตอนนี้ข้างนอกฝนตกหนัก เธอไม่อยากอยู่ที่ห้องคนเดียวเลยหอบแลปท็อปคู่ใจมาทำงานที่ห้องณิชเสียเลย ส่วนชายหนุ่มรุ่นพี่ก็นั่งทำงานตนเองไปที่โต๊ะทำงาน ปล่อยให้รุ่นน้องยึดครองเตียงของตนไป
“พอคุณจีรัชญ์ชมเข้าหน่อยก็อยากอวดใหญ่เลยนะ”
“หูย! พูดถึงที่คุณตรีชมหนูยังดีใจไม่หายเลย ไม่คิดเลยว่าคุณเขาจะใจดีขนาดนี้ เห็นหน้านิ่งๆ ขรึมๆ คิดว่าดุเหมือนยักษ์ที่ไหนได้ใจดีมาก เออ...พี่ณิชว่าคุณตรีอายุเท่าไหร่ ท่าทางเขาดูเป็นผู้ใหญ่สุขุมมากเลยนะ”
“ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่เกิน 50”
“โห่! อันนั้นหนูก็รู้เถอะ! เอ้อ! แล้วนี่เรื่องไอ้หาญกับคุณปราณไปถึงไหนแล้ว พี่ยังฝันอยู่รึเปล่า” มิ้งถามเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ ช่วงนี้ยุ่งๆ เธอเลยไม่ได้เข้าไปดูหน้านิยายของตนเองว่าคนอ่านจะมาทวงถามหรือไม่ ตอนนี้เธอชะลอการลงนิยายไปเกือบๆ อาทิตย์แล้วเพราะติดงานที่วังปริพัตรนี่แหละ
“ก็ฝันเหมือนเดิมอย่างที่ผ่านมา ไม่มีอะไรคืบหน้าหรอก” ณิชตอบอย่างไม่ใส่ใจราวกับชินไปเสียแล้ว แค่นอนหลับตาพอเข้าสู่ห้วงนิทราเขาก็ไปโลดแล่นอยู่ในชีวิตของคุณปราณกับไอ้หาญ โดยที่ตัวเขาไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลกใบนั้นเพราะอย่างไรเสียมันก็แค่ความฝันที่เขาอาจเพ้อไปเองก็ได้
“พี่ณิช พี่จะลองไปทำบุญดูไหม หนูว่าพี่ฝันอะไรแบบนี้มานานเกินไปแล้วนะ” ถึงแม้เธอจะยืมความฝันของณิชมาเป็นเค้าโครงนิยายของเธอ แต่ใช่ว่าเธอจะไม่เป็นห่วงรุ่นพี่คนนี้
“พี่คิดดูนะ คนเราจะฝันเรื่องราวเดิมๆ ซ้ำเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ได้ยังไง หรือเขาจะมาเตือนอะไรพี่รึเปล่า หนูว่าเราไปทำบุญให้เขากันดีไหม”
“แกดูละครมากไปแล้วมิ้ง มันไม่มีอะไรน่ากลัวแบบนั้นหรอก” ณิชพูดพลางยิ้มขำ
“โถ่...กันไว้ดีกว่าแก้นะพี่ หากเกิดเรื่องร้ายแรงเขาหวังเอาชีวิตพี่ขึ้นมาจะทำไง”
ปัง!
สิ้นเสียงมิ้งบานหน้าต่างไม้ก็กระแทกปิดเสียงดังพร้อมกับแรงลมที่พัดแรงอยู่ด้านนอก คนทั้งคู่สะดุ้งโหยงก่อนจะเป็นณิชที่ตั้งสติได้ก่อน เขาลุกไปเปิดหน้าต่างพร้อมสับตะขอไว้ และปิดหน้าต่างที่เป็นมุ้งลวดอีกชั้น ปิดล็อกไว้อย่างดีกันหน้าต่างเปิดในคืนนี้ ไม่งั้นเขาคงโดนยุงหาม
“หัวใจแทบวาย ได้จังหวะอย่างกับหนังผี” มิ้งลูบอกตนเองแล้วบ่นออกมาเบาๆ ณิชส่ายหน้าขำกับความช่างจินตนาการของรุ่นน้องก่อนจะหันไปทำงานต่อ
โดยคนทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของบ้านมาได้ยินสิ่งที่คนทั้งสองพูดกันหมดแล้ว ใจจริงจีรัชญ์จะมาบอกณิชเรื่องนัดหมายว่าจะเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อได้ยินมิ้งถามณิชเรื่องความฝันเขาจึงหยุดฟัง
เห็นทีครั้งนี้เขาคงเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่างมันถูกกำหนดเขาจะฝืนชะตาไม่ได้เลยสินะ ไม่ว่าจะฝืนยังไงท้ายที่สุดเขาก็ต้องติดอยู่ในวังวนนี้อยู่ดี
‘ปล่อยให้มันเป็นไปเถิด เอ็งเลี่ยงไม่ได้หรอก’
แววเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านพาถ้อยคำลอยมาจากที่ไกลๆ จีรัชญ์ถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินกลับไปที่ห้องตนเอง พร้อมดวงตาที่แดงก่ำอย่างคนกำลังอดกลั้น
::::::::::::
วันรุ่งขึ้นณิชตื่นตั้งแต่เช้า เขามีนัดกับจีรัชญ์แต่ยังไม่รู้เวลานัดหมายที่แน่นอน ณิชจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวไว้ก่อน หากจีรัชญ์บอกว่าสะดวกไปตอนไหนจะได้ไปกันเลย ฝนที่ตกหนักเมื่อคืนหยุดไปตอนประมาณตีสอง บนยอดหญ้ามีน้ำค้างเกาะจากหยาดน้ำฝนเมื่อคืน อากาศตอนเช้าของที่นี่บริสุทธิ์อย่างที่หาจากในเมืองไม่ได้ ณิชสูดอากาศเข้าเต็มปอดยืนบิดขี้เกียจตรงหน้ามุขของตัวคฤหาสน์ วันนี้ได้โอกาสเข้าเมืองทั้งทีคงต้องซื้อพวกรองเท้ากีฬามาใส่วิ่งออกกำลังสักหน่อย ไหนๆ อากาศดีแบบนี้ก็สร้างสุขภาพที่ดีเลยก็แล้วกัน