-13-
ข่าวอาจารย์แพทย์หนุ่มโดนทำร้ายในโรงพยาบาลเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในเช้าวันนี้ ถึงแม้ว่าจะพยายามปิดข่าวแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าพระพายจะเดินผ่านแผนกไหนก็มักจะได้ยินคนจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องนี้และเดาสาเหตุกันไปต่างๆนาๆ
"พาย!" เสียงตะโกนเรียกให้เจ้าของชื่อชะงักเท้า ก่อนจะหันกลับมามองยังต้นเสียง ร่างสูงของเรสสิเดนท์หนุ่มต่างแผนกวิ่งกระหืดกระหอบตรงเข้ามาหาเขาที่หยุดรออยู่
"มีอะไรรึเปล่า ทำไมต้องรีบขนาดนั้น?" พระพายเอียงคอถามอย่างสงสัย
"เราเพิ่งรู้เรื่องเมื่อกี๊นี้เอง พายเป็นอะไรไหม มันทำร้ายรึเปล่า แล้วคนร้ายเป็นใคร ต้องการอะไร?" เขาถามอย่างร้อนรน พลางจับเพื่อนตัวเล็กหันไปมาเพื่อดูว่าบาดเจ็บตรงไหน เมื่อครู่ที่รู้เรื่องก็ตกใจและเป็นห่วงมากก่อนจะรีบออกมาหาเพื่อนที่แผนก แต่กลับเจอระหว่างทางเสียก่อน
"ใจเย็นๆ เราไม่เป็นอะไร อาจารย์หมอมาช่วยไว้ก่อน ส่วนคนร้ายเราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใครเหมือนกัน"
"แล้ว ... อาจารย์ของพายเป็นยังไงบ้างล่ะ" คุณหมอกุมารฯถามอ้อมแอ้ม จะว่าเป็นห่วงอาการของอาจารย์หมอคนนั้นไหมก็ใช่ แต่ก็รู้สึกไม่ดีเล็กน้อยที่อาจารย์อาจจะได้ใจของพระพายไปจากเหตุการณ์ครั้งนี้
"โชคดีที่มีดอันเล็ก เข้าไม่ลึกมาก" บอสพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ พระพายยิ้มบาง ก่อนบอกเพื่อนของตนว่าต้องรีบไปก่อน อีกฝ่ายจึงไม่คิดจะรั้งไว้
ขายาวก้าวฉับๆตรงไปยังห้องพักฟื้นของอาจารย์หมอ หลังจากกลับไปคอนโดในเวลาออกเวรช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา เขาเองก็แทบไม่ได้พักผ่อน เรื่องที่ฝ่ายนั้นขอคบทำเอาเขาคิดหนักจนหลับตาไม่ลง อาจารย์กับศิษย์จะมีความสัมพันธ์แบบนั้นได้อย่างไร หากใครๆรู้เข้าอาจารย์หมอเองที่จะเป็นฝ่ายดูไม่ดีในสายตาคนอื่น แต่ก็อดจะยอมรับไม่ได้ว่าประโยคขอคบนั้นทำเอาหัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปและรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่หัวใจของตนและอีกฝ่ายตรงกัน ...
ตาคู่สวยแอบมองคนเจ็บผ่านช่องสี่เหลี่ยมที่ประตูไม้บานใหญ่ของห้องพักฟื้น เมื่อเห็นว่าคนในห้องกำลังนอนหลับใหลจึงเปิดประตูเข้าไปเงียบๆ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องก็ถึงกับต้องห่อไหล่เพราะข้างในอุณหภูมิเย็นเฉียบ แต่คนเจ็บกับนอนห่มผ้าแค่ช่วงเอวหนาเท่านั้น
"เป็นหมีขั้วโลกหรือไง" คุณหมอหน้าหวานบ่นอุบ พลางหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศเพิ่มระดับอุณหภูมิให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก่อนจะดึงผ้าห่มหนาให้ขึ้นมาอยู่ในระดับอกของอาจารย์หมอ
พระพายนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ตาคู่สวยมองคนนอนหลับอย่างพินิจ ตั้งแต่ได้รู้จักกันมาก็ไม่เคยได้เห็นอีกฝ่ายในขณะหลับแบบนี้ คนที่ใครๆต่างก็พูดกันว่าใจร้ายและแสนเย็นชาราวกับคนไม่มีหัวใจ แต่ในตอนหลับใหลกลับเป็นผู้ชายธรรมดาๆที่ไร้พิษสงใดๆ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเมื่อใช้สายตามองอาจารย์ของตนได้สักพัก จนอีกฝ่ายขยับตัวและนิ่วหน้าด้วยความเจ็บที่แผลเล็กน้อย
"ขยับเบาๆสิครับ" เขาพูดเมื่อเห็นภูตะวันปรือตาขึ้นมา พลางช่วยจัดท่าทางให้อีกฝ่ายนอนได้สบายมากยิ่งขึ้น
"... เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้พักผ่อนเลยใช่ไหม?" เห็นลูกศิษย์มีสีหน้าอิดโรยก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เข้าใจดีว่าการเป็นหมอย่อมมีเวลาพักน้อยกว่าคนอื่นเพราะเขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว แต่ก็อยากให้ลูกศิษย์ของตนใช้เวลาที่พอมีพักผ่อนเสียบ้าง ไม่ใช่ว่าเอาเวลาที่ควรจะพักมาหาเขาแบบนี้
"สักพักแล้วครับ อาจารย์เจ็บแผลรึเปล่าฮะ?" พระพายไม่ตอบประโยคหลังและเลี่ยงมาเป็นถามกลับแทน เพราะคิดว่าอีกฝ่ายก็คงจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"ไม่เป็นไรมากแล้ว คุณไปพักผ่อนเถอะ" อาจารย์หมอพูดเสียงเหนื่อย มองนาฬิกาเห็นว่ากว่าจะได้เวลาทำงานก็อีกตั้งชั่วโมงกว่า จึงอยากให้ลูกศิษย์ได้ใช้เวลาที่มีอยู่นี้พักผ่อน
"ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ อาจารย์ต่างหากที่ควรจะพักผ่อน พูดมากระวังแผลจะอักเสบ"
"เด็กดื้อเอ๊ย!" ภูตะวันบ่นอย่างไม่จริงจังนัก เอื้อมมือไปขยี้ผมอีกฝ่ายที่กำลังหัวเราะเบาๆอยู่จนยุ่งเหยิง
"ซัน! เป็นยังไงบ้าง!?" ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาอย่างแรงพร้อมด้วยเสียงตกใจของอาสะใภ้ภูตะวัน เขาเหลือบตาขึ้นบนเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่ายว่าอาของเขาทั้งสองคนรู้เรื่องได้อย่างไรในเมื่อไม่ให้ใครบอก
"อารู้กันได้ยังไงครับเนี่ย"
"คิดว่าอาไม่มีหูไม่มีตาหรือไง" ประสิทธิ์พูดตำหนิอีกฝ่ายที่คิดจะปกปิดเรื่องใหญ่โตแบบนี้กับคนเป็นอาอย่างเขา ถ้าหมอท่านหนึ่งที่สนิทกันไม่โทรไปบอก พวกเขาก็คงจะรู้เรื่องทีหลังคนอื่น
"ก็ผมไม่อยากให้อาเป็นห่วงไงครับ แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากด้วย" นายแพทย์หนุ่มตอบสีหน้าเหนื่อย เพราะรู้สึกเจ็บแผลขึ้นมาเสียดื้อๆ อาจจะเพราะพูดมากเหมือนที่ลูกศิษย์พูดจริงๆ พระพายที่คิดว่าตอนนี้ตัวเองคงเป็นคนนอกอยากจะให้ครอบครัวได้พูดคุยกัน ทว่ากลับหาโอกาสพูดแทรกไม่ได้เสียที
"แล้วคิดว่าถ้าอารู้ทีหลังจะห่วงเราน้อยกว่านี้หรือไงตาซัน" ณิชชาอรเอ่ยตำหนิหลานชายที่ชอบทำให้เขาเป็นห่วงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ด้วยอีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาประคบประหงมมากจึงมักจะไม่ค่อยบอกอะไรให้พวกเขารู้
"ขอโทษครับ" ภูตะวันรู้สึกผิดที่ทำให้คนในครอบครัวที่เหลือทั้งสองคนเป็นห่วงมากขนาดนี้ จึงยอมประนมมือไหว้และขอโทษอาทั้งสอง ณิชชาอรถอนหายใจจับมือหลานชายไว้เป็นการรับคำขอโทษ ทอดมองคนเจ็บด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
"เอาล่ะๆไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว แล้วตำรวจว่ายังไงบ้าง?" ประสิทธิ์ถามความคืบหน้าของคดีความ ภูตะวันที่ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้เป็นฝ่ายคุยกับตำรวจจึงมองลูกศิษย์ที่ยืนอยู่อีกฝั่งแทน คนแก่กว่าทั้งสองจึงได้มองตาม
"ตายจริง! มัวแต่ตกใจไม่ทันได้สังเกตว่าคุณหมออยู่ด้วย เสียมารยาทจริงๆ ขอโทษด้วยนะคะ" ณิชชาอรบอกอย่างรู้สึกผิด พระพายเองที่เด็กกว่าก็ไม่คิดถือโทษโกรธอะไร กลับเข้าใจเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองตามนิสัยนอบน้อมที่ถูกพร่ำสอนมาจากมารดาและยาย
"ไม่เป็นไรเลยครับ" คุณหมอหน้าหวานระบายยิ้ม ก่อนจะเล่าถึงเรื่องที่คุยกับตำรวจเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา
"เท่าที่ผมเช็คมันไม่ได้อะไรไปครับ ตำรวจเขาสันนิษฐานว่ามันน่าจะมาหาอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ทรัพย์สินมีค่า"
"ส่วนกล้องวงจรปิดเช็คแล้วว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา มีการปรับปรุงระบบจึงทำให้กล้องใช้งานไม่ได้จนถึงแปดโมงเช้าของวันนี้ครับ"
"แสดงว่าต้องเป็นคนที่รู้ว่าเมื่อคืนกล้องจะใช้งานไม่ได้ คุณมีอะไรเอกสารหรือว่าอะไรที่สำคัญรึเปล่าพาย?" ภูตะวันถามอย่างสงสัย ตามที่ได้ฟังอีกฝ่ายเล่ามาก็น่าจะจับใจความได้ไม่ยากว่าคนร้ายคงจะเป็นคนในที่รู้การเคลื่อนไหวของโรงพยาบาล
"...เวชระเบียน" พระพายใช้เวลาเพียงครู่สั้นๆในการคิด ก่อนจะเหลือบตามองภูตะวันอย่างตกตะลึงเมื่อคิดว่าสิ่งที่มันต้องการอาจจะเป็นเวชระเบียนผู้ป่วยที่เขามีอยู่จริงๆ
"อาจจะเป็นหมอโจอย่างนั้นเหรอ?" ประสิทธิ์ถามเพื่อความแน่ใจว่าความคิดของตนตรงกับที่หลานชายคิดหรือไม่ ทว่าพระพายกลับขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าทำไมประธานของโรงพยาบาลถึงคิดว่าเป็นหมอโจ แต่ก็ยังเก็บความสงสัยนั้นต่อไป
"... ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ" ภูตะวันตอบหน้าเครียด จากที่ลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าไปในห้องเก็บเวชระเบียน และฝ่ายนั้นก็อาจจะรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเขาถึงได้แอบเข้าไปในห้องทำงานของพวกเรสสิเดนท์ในแผนก แต่บังเอิญพระพายเข้าไปเห็นพอดี สิ่งที่คาดเดาไว้ก็ไม่น่าจะผิดเพี้ยน
"แล้วเราจะทำยังไงกันต่อ?" ณิชชาอรเครียดไม่แพ้กัน ถ้าหากเป็นไปตามที่สามีและหลานชายของเธอคิด เท่ากับว่าฝ่ายนั้นถือไพ่เหนือกว่าพวกเขาอยู่มาก
"เราก็ต้องสู้ไปตามหลักฐานที่มี แต่ก็ต้องคำนึงถึงความรอบคอบและปลอดภัยให้มาก"
"อาให้นักโปรแกรมของโรงพยาบาลหาข้อมูลให้แล้วนะ สักสองสามวันคงจะได้" ประสิทธิ์พูดก่อนจะถอนหายใจ เครียดและกังวล
ไม่น้อยที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธกันในโรงพยาบาล ซึ่งอาจจะทำให้องค์กรขาดความน่าเชื่อถือได้
"จะทำอะไรก็ระวังด้วยนะซัน แล้วก็พักผ่อนเยอะๆ ระหว่างแผลยังไม่หายก็ไม่ต้องเข้าผ่าตัดล่ะรู้ไหม?" ณิชชาอรกำชับหลานชายอีกครั้ง ถึงแม้ว่าภูตะวันจะมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่มาก แต่สำหรับเธอเขาดื้อเงียบอยู่เสมอตั้งแต่เล็กจนโต คนเจ็บจึงทำได้แต่ยิ้มน้อยๆแทนคำตอบ
"ต้องขอโทษคุณหมอด้วยนะคะที่เกิดเรื่องไม่ดีในโรงพยาบาล ตาซันหายดีเมื่อไหร่หวังว่าคงจะได้ทานข้าวร่วมกัน ดิฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย" ณิชชาอรพูดทิ้งท้ายกับคุณหมอหน้าหวานที่ได้แต่เหล่มองอาจารย์ของตนเป็นเชิงขอคำตอบ ซึ่งภูตะวันก็ทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อย พระพายจึงระบายยิ้มและตอบรับผู้ใหญ่กลับไป
"อาของคุณรู้เรื่องครอบครัวผมแล้วเหรอครับ?" ถามในสิ่งที่สงสัยทันทีเมื่อทั้งสองคนออกจากห้องไป
"อืม แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าเรื่องจะแพร่งพรายออกไป มีแค่พวกเราเท่านั้นที่รู้และอาผมจะช่วยเราได้มาก"
"ครับ" พระพายพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เขาอยู่กับอาจารย์หมอได้สักพักจึงขอตัวออกไปทำหน้าที่ของตนอย่างเช่นทุกวัน โดยที่ไม่
ได้พูดอะไรกันถึงเรื่องเมื่อคืนอีก หมอซันเองก็ไม่อยากที่จะเซ้าซี้ถามด้วยไม่ใช่นิสัยของตนเป็นทุนเดิม จึงปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาและเป็นเรื่องของลูกศิษย์ที่จะตัดสินใจเอง
แพรดาวและอนุวัฒน์ประจำอยู่ที่วอร์ดผู้ป่วยในอย่างทุกวัน ระหว่างที่กำลังดูชาร์จผู้ป่วย พยาบาลสาวก็จับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทั้งสองเองก็ตกใจแต่เมื่อรู้ว่าเพื่อนและอาจารย์หมอปลอดภัยจึงคลายกังวลลงไปบ้าง แต่แพรดาวก็ยังข้องใจและอยากจะรู้รายละเอียดให้มากกว่านี้ตามนิสัยของผู้หญิง จนเมื่อพระพายเดินเข้ามา
"สวัสดีครับ" พระพายทักทายพยาบาลสาวที่อายุมากกว่าอย่างที่ทำทุกวัน จนเหล่านางพยาบาลและผู้ช่วยต่างพากันชื่นชมในความมีเป็นเด็กมีสัมมาคารวะของคุณหมอพระพาย
"เป็นไงมั่งพาย ทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นได้?" แพรดาวเอ่ยถามทันที เช่นเดียวกันกับอนุวัฒน์ที่ก็ยืนรอฟังคำบอกเล่าของเพื่อนอย่างตั้งใจ
"ไม่เป็นไง มาขโมยของนี่แหละ แต่ไม่ได้อะไรไป" เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจมากนัก ด้วยเป็นคนโกหกไม่เก่งจึงต้องเลี่ยงการสบตาด้วยการอ่านชาร์จผู้ป่วยที่ได้จากรุ่นพี่พยาบาลแทน
"แล้วอาจารย์หมอเป็นไงบ้าง?"
"ไม่เป็นไรแล้ว ราวน์เสร็จก็ไปเยี่ยมสิ" พระพายระบายยิ้มก่อนจะเดินนำเข้าห้องผู้ป่วยรวมที่ยังมีนักศึกษาแพทย์และอาจารย์หมอกลุ่มอื่นอยู่ในนั้นด้วย แต่แยกกันทำงานคนละอย่าง
"... แต่แปลกนะ อาจารย์อยู่ที่นั่นตอนนั้นได้ยังไง มันควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของเขามากกว่า" อนุวัฒน์ตั้งข้อสงสัยของเขาเองเฉยๆ
"นั่นสิ เมื่อวานเย็นเราก็เห็นอาจารย์กลับไปแล้วหรือว่าอาจารย์มาหาพาย" แพรดาวพูดเสริมขึ้นมาบ้าง ทำให้พระพายชะงักเท้า เงยหน้าขึ้นมาจากชาร์จที่ถืออยู่หันกลับมาหาเพื่อนสองคนที่เดินตามหลัง
"... โรงพยาบาลเขานี่ จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ก็แค่บังเอิญ คิดอะไรกันมากมาย" พระพายตอบแกมหัวเราะ เดินหนีเพื่อนทั้งสองคนเพื่อทำการตรวจอาการของผู้ป่วยตามปกติ แพรดาวและอนุวัฒน์จึงทิ้งความสงสัยไว้ต่อไปและตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองแทน
Rrrrrr Rrrrr!!
สมาร์ทโฟนเครื่องบางที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงผู้ป่วยแผดเสียงดัง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองว่าใครที่โทรเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์จากแพทย์รุ่นใหญ่แผนกอายุรกรรม จึงรับสายทันที
"ครับ"
(ขอโทษที่รบกวนนะหมอซัน ผมรู้ว่าคุณอยู่ในช่วงพักฟื้น แต่มีเคสที่ค่อนข้างยากและต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลายสาขา) ปลายสายบอกเสียงเครียด
"ถ้างั้นเจอกันที่ห้องทำงานผมนะครับ" เขาตอบรับปลายสายไปในทันทีโดยไม่ลังเล ยังไงชีวิตของผู้ป่วยก็สำคัญ ก่อนจะกดเรียกพยาบาลให้ต่อสายถึงพยาบาลประจำแผนกของตนให้เรียกทีมแพทย์ในแผนกไปรวมกันที่ห้องทำงานของเขาเอง
ตึกๆๆๆๆ เสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งกรูกันมาที่ห้องทำงานของอาจารย์แพทย์ภูตะวันด้วยความรีบร้อนและสงสัย เรสสิเดนท์ปีหนึ่งทำความเคารพรุ่นพี่ต่างแผนกที่ไม่ค่อยเห็นหน้ากันนักที่ก็ถูกเรียกตัวเข้ามาด้วย
"ต้องมีเรื่องด่วนแน่ๆ" แพรดาวยืนหอบหายใจก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะยาวสำหรับนั่งประชุมในห้องทำงานใหญ่ของเจ้าของห้อง
"ก็ดูสิมากันหลายสาขาขนาดนี้ เรื่องใหญ่ชัวร์" อนุวัฒน์เอนตัวกระซิบกับเพื่อนเสียงเบา พระพายได้แต่มองบรรยากาศภายในห้องเงียบๆ หัวใจเขาเต้นระรัวเพราะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรถึงต้องเรียกมาด่วนและพร้อมหน้ากันขนาดนี้
ระหว่างนั้นประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ร่างของอาจารย์แพทย์ยังหนุ่มก็เดินเข้ามาหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักเนื่องจากแผลยังสดใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นอาจารย์หมอก็พยายามปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ไม่อยากให้ใครหลายๆคนต้องเป็นห่วง โดยเฉพาะศิษย์หน้าหวานที่กำลังมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจนัก
"อาจารย์ยังไม่หายดี ออกมาก่อนทำไมครับ?" พระพายคิ้วขมวด พลางลุกขึ้นไปช่วยพยุงอีกฝ่ายให้นั่งลงเก้าอี้ตัวที่ยังว่าง
"ผมไม่เป็นไรแล้ว" ถึงแม้จะตอบไปแบบนั้น แต่มือข้างซ้ายก็ยังคงจับไว้บริเวณที่เป็นแผลเบาๆ เพราะไม่อยากให้สะเทือนมาก พระพายได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินกลับมานั่งที่ของตัวเองเพื่อรอฟังการประชุม
"ต้องขอโทษหมอซันด้วยจริงๆที่รบกวน" นายแพทย์รุ่นใหญ่แผนกอายุรกรรมบอกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตึงเครียด โดยปกติการรักษาก็ต้องร่วมมือกับแพทย์สาขาอื่นบ้างในบางเคสอยู่แล้ว ทว่าหากเกิดในขณะที่ภูตะวันศัลยแพทย์ที่เก่งและฝีมือดีในแผนกหัวใจและหลอดเลือดไม่บาดเจ็บอยู่เขาก็คงจะไม่เกรงใจอีกฝ่ายมากขนาดนี้
"ขอโทษทำไมครับ การช่วยชีวิตผู้ป่วยก็เป็นหน้าที่หมออย่างเราที่ต้องร่วมมือกันอยู่แล้ว" ภูตะวันคลี่ยิ้มเล็กน้อยเพื่อให้แพทย์ต่างแผนกสบายใจ ก่อนจะบอกให้เริ่มการประชุมได้เลย
"ผู้ป่วยรายนี้เป็นโรคซับซ้อนขั้นวิกฤติ เขามาด้วยความดันตกและช็อคหมดสติไป รวมถึงมีท้องอืดใหญ่ เท่าที่ทางเราตรวจดูคือมีการสูญเสียเลือดทางช่องท้อง" แพทย์อายุรกรรมบอกรายละเอียดให้กับแผนกของภูตะวันได้ฟัง
"สิ่งที่เรานึกถึงมากที่สุดในผู้ป่วยอายุมากและเป็นโรคเส้นเลือดตีบ จึงวินิจฉัยว่าหลอดเลือดแดงโป่งพองแตก จึงได้ให้น้ำเกลือและยาเพิ่มความดันไป ก่อนจะส่งไปเอ็กซเรย์ที่แผนกรังสี"
"ขอดูผลเอ็กซเรย์ครับ" ภูตะวันพูด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากชาร์จคนไข้ในแฟ้มไปที่จอโปรเทคเตอร์
"ผลตรวจพบว่ามีเส้นเลือดแดงโป่งพองในช่องท้องประมาณ 8 เซนติเมตร" รังสีแพทย์ (แพทย์ที่ใช้รังสีในการรักษา รวมถึงการตรวจและแปรผลด้วยรังสี เครื่อง CT Scan อัลตราซาวน์) บอกหลังจากที่เปิดผลเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ให้แพทย์ภายในห้องได้ดู
"เส้นเลือดแดงในช่องท้องของคนปกติทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1.8-2.2 เซนติเมตร ถือว่าผู้ป่วยรายนี้ค่อนข้างผิดปกติ ขอขยายใหญ่กว่านี้อีกนิดครับ" ภูตะวันบอกทีมรังสีแพทย์ ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย มองผลเอ็กซเรย์บนจออย่างตั้งใจ โดยมีสายตาของลูกศิษย์หน้าหวานลอบสังเกตอยู่เป็นระยะ
"เส้นเลือดมีรอยแตกต่ำกว่าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไต ทำให้เลือดไหลออกไปอยู่ในช่องท้อง ต้องรีบผ่าตัดด่วนครับ ไม่อย่างนั้นเขาจะเสียชีวิต" อาจารย์หมอคนเก่งวินิจฉัยทันทีเมื่อได้ดูผลเอ็กซเรย์ แพทย์สามสาขาในห้องต่างมีความเครียดไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
"คุณบาดเจ็บอยู่ ใครจะเป็นศัลยแพทย์ผ่าตัด?" แพทย์อายุรกรรมพูดเสียงเครียด ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจศัลยแพทย์คนอื่น ทว่าภูตะวันเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านนี้ที่เก่งและดีที่สุด ที่ใครๆต่างก็นับถือและเคสนี้ค่อนข้างยาก การจะให้ศัลยแพทย์ที่ยังไม่เจนจัดมากนักก็ตัดสินใจลำบาก
"... ผมจะผ่าตัดเอง"
"อาจารย์ครับ!!" พระพายพูดเสียงดัง จนคนที่อยู่ในห้องต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว ภูตะวันไม่ได้หันไปมองหน้าลูกศิษย์แต่อย่างใด เพราะถ้าหากเขาหันไป ก็คงจะได้เห็นสีหน้าและสายตาของอีกฝ่ายที่อาจทำให้เขาใจอ่อนไม่ผ่าตัดเคสนี้
"ขอโทษครับ" หมอพายกล่าวอย่างรู้สึกผิดและก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษ เขาไม่ได้อยากจะขัดขวางการรักษา เพียงแต่ห่วงใยอีกฝ่ายเท่านั้น หากเข้าผ่าตัดต้องยืนตลอดการผ่าตัด อีกทั้งยังต้องขยับเคลื่อนไหวร่างกาย อาจทำให้แผลอักเสบและติดเชื้อได้ เขามีเจตนาเพียงเท่านี้ ทว่าอีกคนกลับทำเป็นไม่รับรู้
"ผู้ป่วยรายนี้เป็นโรคหัวใจร่วมด้วยเคยทำการบายพาสเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำให้การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจไม่ดีนัก รวมถึงปอดก็ทำงานได้ไม่ดีเนื่องจากการสูบบุหรี่" ภูตะวันคิดหนักกว่าเดิม เมื่อเป็นโรคที่ซับซ้อน ถึงแม้จะผ่าตัดก็ยังมีความเสี่ยงอยู่สูงกว่าปกติ แต่ถึงอย่างไรการผ่าตัดก็คือทางออกที่ดีที่สุด
"มีอัตราการเสี่ยงของการเสียชีวิตมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ทางเดียวคือต้องผ่าตัดฉุกเฉิน และต้องทำภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 นาที หากเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆไม่ทันจะเกิดปัญหาตามมา"
"ถ้างั้นก็ตามนี้ ผมจะส่งผู้ป่วยเข้าผ่าตัดอีกหนึ่งชั่วโมง" แพทย์อายุกรรมมองภูตะวัน แพทย์รุ่นใหม่ฝีมือดีอย่างเชื่อมั่นและฝากความหวังไว้กับเขา ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน
"อึก!!" อาจารย์หมอหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยความรีบร้อนไปหน่อย จึงทำให้เจ็บแผลจนต้องทรุดนั่งลงที่เก้าอี้อีกครั้ง ท่ามกลางสายตาของเหล่าแพทย์ที่เหลือ
"อาจารย์!! ไหวไหมคะ?" แพรดาวและอนุวัฒน์เป็นฝ่ายที่วิ่งเข้าไปดูอาการของอาจารย์ตนเอง ซึ่งพระพายได้แต่หักห้ามใจตัวเองไม่ให้เข้าไปหาอีกฝ่ายถึงแม้ในใจจะเป็นห่วงแค่ไหนก็ตาม หากจะโกหกว่าไม่เป็นไรก็ควรที่จะแสดงว่าไม่รู้สึกเจ็บอะไรให้แนบเนียนกว่านี้เสียหน่อย
"พวกคุณไปเตรียมตัวเข้าผ่าตัดกันเถอะ" เขาบอกลูกศิษย์ด้วยเสียงเนือย มือยังกุมแผลเอาไว้หวังบรรเทาความเจ็บปวด แพรดาวและอนุวัฒน์จึงพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ
"ตามไปนะ" แพรดาวบอกกับพระพาย เพราะคิดว่าเพื่อนคงอยากจะคุยกับอาจารย์ที่คุ้นเคยกันมากกว่าตน พระพายจึงพยักหน้าตอบกลับไป ก่อนจะเหลือบตามองคนเจ็บที่ก็นั่งมองเขาอยู่เช่นกัน
"จะโกหกกันก็ทำให้เนียนๆสิครับ" พูดตัดพ้อจนอาจารย์หมออย่างภูตะวันรู้สึกผิดขึ้นมา พระพายไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร ก้าวเท้าจะเดินออกจากห้องด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
"พาย!" ภูตะวันเรียกลูกศิษย์เอาไว้ พร้อมกับลุกขึ้นพุ่งไปรั้งเอวอีกฝ่ายเอาไว้ทำให้ตัวของทั้งคู่ชนกันเจ้าเต็มแรง
"โอ๊ย!!" ภูตะวันร้องเสียงดัง สีหน้าเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่มือข้างที่ว่างก็ยังไม่ปล่อยออกจากเอวของลูกศิษย์ที่ตอนนี้พิงเขาไว้ทั้งตัว ตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องของอีกคน
"เจ็บมากไหมครับ!?" เขาพยายามดันตัวเองออกจากร่างสูงใหญ่ของอีกคนเพื่อจะดูว่าแผลอักเสบหรือไม่ แต่ก็ถูกมือหนารั้งเอวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
"ไม่มีอะไรเจ็บเท่าคุณเมินผมหรอก" เขาพูดเสียงนุ่ม คลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์มีสีหน้าเปลี่ยนไป จากตกใจเมื่อครู่ก็กลายเป็นบึ้งตึงแทน
".........." พระพายไม่พูดอะไร ได้แต่มองจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีกับประโยคเมื่อครู่ ภูตะวันจึงกระชับมือที่โอบเอวอีกฝ่ายให้ชิดเข้ามาและมองตาคู่สวยที่จ้องมองเขาอย่างไม่พอใจเพื่อจะบอกให้รู้ความรู้สึกของเขาบ้าง
"ผมขอโทษ ผมไม่อยากให้คุณไม่สบายใจว่าผมเจ็บแค่ไหน คุณจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงและกังวลเรื่องผม"
"... ถ้าอย่างนั้นก็ควรพักครับ ผมจะได้ไม่เป็นห่วง"
"ผมต้องเข้าผ่าตัด ความหวังของคนไข้และญาติของเขาฝากไว้กับผม" คนตัวเล็กกว่าถอนหายใจ ก่อนจะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของอีกคน
"ผมเข้าใจนะครับว่าชีวิตคนไข้ฝากกับหมอ แต่ถ้าหากหมอไม่ดูแลตัวเอง คนไข้จะเชื่อใจหมอได้ยังไงล่ะครับ?"
"ผมทำได้ แผลแค่นี้เจ็บนิดหน่อยไม่ถึงตายหรอก คุณงอนแบบนี้เหมือนเราเป็นแฟนกันเลยรู้ไหม? หึหึ" อาจารย์หมอหัวเราะในลำคอ ยิ่งรู้จักยิ่งรู้สึกว่าพระพายจะน่ารักขึ้นทุกวัน ซึ่งคนถูกแซวถึงกับเบะปากอย่างหมั่นไส้
"ผมไม่ได้งอน แค่เป็นห่วงต่างหาก" หมอพายตอบอ้อมแอ้ม ก่อนจะถูกคนตัวสูงรั้งเข้าไปกอดเบาๆและเขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะขัดขืน ด้วยกลัวว่าจะกระทบกับแผลของอีกฝ่าย
"...ขอบคุณ" ภูตะวันระบายยิ้ม นานแค่ไหนที่หัวใจไม่ได้เต้นรัวแรงแบบนี้ นานแค่ไหนที่ไม่ได้รู้สึกอยากจะรักใครสักคน จนคนตัวเล็กนี่เดินเข้ามา เมื่อถึงวันที่พระพายพร้อมจะคบกับเขา เขาก็ไม่คิดที่จะปิดบังหรือแคร์สายตาใครต่อใคร ในเมื่อเขาก็เป็นผู้ชายธรรมดาที่รักคนหนึ่งที่บังเอิญเป็นผู้ชายเหมือนกันเท่านั้นเอง ...
พระพายยกมือขึ้นกอดตอบอีกฝ่ายเบาๆ หากแต่สีหน้ามีแต่ความกลัวและกังวลอยู่เต็มหัวใจ ด้วยหน้าที่การงานที่ต่างกันและความรักในแบบผู้ชายกับผู้ชาย ทำให้เขากลัวและกังวลไปต่างๆนาๆ อยากจะรักเหมือนที่ใจบอกก็กลัว อยากจะหยุดเอาไว้ก็ทำไม่ได้ ต้องทำยังไงถึงจะก้าวผ่านความกลัวนี้ไปได้เสียที ...
***************
Talk : ผ่าตัดเอาไว้ตอนหน้าเนาะ ตอนนี้รู้สึกจะยาวเกินไป เรื่องดำเนินช้ามาก แต่รอให้หมอซันหายก่อนเถอะ หึหึ บู๊กระหน่ำแน่ (ใช่เหรอ?) พบกันตอนหน้าเร็วๆนี้ค่ะ