หนึ่งปีสำหรับการดูแลเปลวอรุณในขั้นสุดท้าย
อาจเป็นเพราะไม่ต้องรับเคมีบำบัดอีกแล้วทำให้ร่างกายของเปลวอรุณเริ่มกลับมากินอาหารได้เหมือนเดิมอีกครั้งโดยเริ่มจากอาหารอ่อนย่อยง่ายก่อนเนื้องจากที่ผ่านมาร่างกายปฏิเสธอาหารมาอย่างต่อเนื้อและเหมือนว่าผลของมันจะกลายเป็นระยะยามเมื่อกระเพาะของเปลวอรุณดูเหมือนจะคุ้นชินกับการย่อยอาหารในจำนวนที่น้อยทำให้เมื่อกินเข้าไปถ้าหากว่ามากเกินก็จะขย่อนขับส่วนเกินที่ร่างกายรับไม่ไหวออกมา ในตอนแรกทุกคนมีสีหน้าแตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่พอถามหมอแล้วก็พอเข้าใจอาหารในส่วนของเปลวอรุณจึงถูกจัดในอยู่ในปริมาณที่พอดีกับกระเพาะมากขึ้นแล้วเสริมเอาในระหว่างวันแทน
// กินได้มากขึ้นแล้วสินะครับ // เสียดีใจกับใบหน้าที่ก้มต่ำของราชันที่ปรากฏผ่านทางหน้าจอสีเหลี่ยมตรงเรียกรอยยิ้มของคนมองได้อย่างดี
“ก็ตามที่กินได้นั้นแหละ แล้วเราละเป็นยังไงบ้างอยู่ๆก็หายไปเลยนะ” เปลวอรุณเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
ตั้งแต่วันที่อัมรินทร์ไปรับเขากลับมาเขามีโอกาสได้เจอกับราชันอีกครั้งคือหนึ่งเดือนให้หลังที่เจ้าตัวมาหาเขาที่บ้านพร้อมกับธรรมภาสผู้ป็นตาของเขาและวาเลนติโน เพื่อที่ว่าจะได้เคลียร์ปัญหาที่มันค้างคาอยู่ในใจให้หมดไปพอเคลียร์เรื่องระหว่างเขากับผู้เป็นตาได้ก็ดูเหมือนความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปกว่าสามสิบห้าปีก็กลับมาผูกกันเอาไว้ได้ใหม่อีกครั้ง เย็นนั้นเป็นเย็นที่บ้านหลังใหญ่คลึกคลืนเป็นอย่างมากด้วยความที่ทุกคนในบ้านอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกรวมถึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีรูปคู่กับคุณตาและภาพถ่ายครอบครัวเป็นครั้งแรก
ความสุขในวันนั้นเขายังจำมันได้ดี
อีกครั้งคือ อีกสามเดือนให้หลังในวันที่ราชันกับวาเลนติโนมาหาเขาที่บ้านพร้อมข่าวการจากไปของธรรมภาส ตัวเขาที่กำลังป่วยหลังจึงทำได้เพียงขออโหสิกรรมกับเรื่องที่ผ่านมาผ่านทางรูปภาพดูต่างหน้าของผู้เป็นตาแม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นตาหลานความสัมพันธ์นี้ก็พลอยทำให้เขาเศร้าและทรุดลงได้เช่นกัน
ขนาดเขายังเป้นขนาดนี้ แล้วราชันละ ?
ราชันเกิดและโตมาโดยมีปู่กับพ่ออยู่ข้างๆ พอพ่อเสียราชันก็อยู่กับปู่มาตลอดแล้วเวลานี้ที่ต้องเสียปู่ไปอีกคนราชันจะทำยังไง
// มีหลายอย่างที่ผมต้องปรับตัว ช่วงนี้เลยยุ่งๆไม่ค่อยได้ติดต่อมาขอโทษนะครับ // ราชันก้มหน้าต่ำลงไปอีกเมื่อเผลอคิดว่าตนทำเรื่องที่ผิดต่อพี่ชาย
“ขอโทษทำไม พี่แค่เป็นห่วงเฉยๆแต่เห็นว่าราชสบายดีพี่ก็ดีใจ” พอได้ยินดังนั้นใบหน้าขาวที่โผล่พ้นเสื้อคอเต่าที่กรมเข้มก็ฉีกยิ้มกว้างดีใจเหมือนเด็กๆ
หลังจากจัดการงานศพของธรรมภาสรวมถึงการจักการทรัพย์สินภายในต่างๆและอยู่ทำบุญครบรอบร้อยวันเป็นที่เรียบร้อยราชันก็ย้ายมาอยู่ที่อิตาลี่วาเลยติโน ส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาตัวให้หายจากอาการที่เป็นอยู่
“แล้วเราจะกลับมาไทยอีกทีเมื่อไร” เขาเอ่ยถามขึ้น
// ไม่รู้เหมือนกันครับ // ราชันมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย // แต่ผมอยากไปหาพี่เปลว // ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการออกมา
คนฟังระบายยิ้ม “อยากมาก็มาสิ พี่รอเราอยู่ที่นี้เสมอนะ”
ราชันยิ้มกว้าง
พวกเขาสองคนคุยกันต่อีกเล็กน้อยก่อนจะเป็นราชันที่ตัดสายก่อนเมื่อเห็นว่านาฬิกาของประเทศไทยล้วงเข้ามาดึกมากแล้ว
“คุยกันเสร็จแล้วหรอ” อัมรินทร์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือขึ้นมาถามเปลวอรุณที่พับปิดโน๊ตบุ๊คตัวเองลง
“ครับ แล้วคุณอันจะนอนเมื่อไรหรอครับ” เปลวอรุณยิ้มรับก่อนจะเอียงคอถามเพราะเขาเห็นอัมรินทร์นั่งหน้าเครียดอยู่กับเอกสารตรงหน้ามาตั้งแต่เย็น
“เปลวนอนไปก่อนเลยก็ได้นะ ของฉันคงอีกนาน” อัมรินทร์ยิ้มแห้ง
เปลวอรุณพยักหน้ารับก่อนจะปิดไฟในส่วนของโซนนอนลงแล้วหลับไป
อัมรินทร์มองคนรักที่นอนห่มผ้าคลุมตัวเป็นดักแด้บนที่นอนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาสนใจเอกสารในมืออีกครั้งทั้งที่ใจจริงตัวเขาอยากจะไปนอนกอดเปลวอรุณอยู่ใจจะขาดแต่พอนึกถึงหน้าเลขาคนใหม่ที่ราชันพามามอบให้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
คุณจูนเป็นผู้หญิงที่เก่งเขายอมรับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า แต่การได้เธอมาเป็นเลขาส่วนตัวเข้าจริงๆแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นอกจากจะเป็นสาวมั่นที่เก่งในเรื่องานแล้วเธอยังทำตัวเหมือนเป็นพี่สาวของเขาที่จำตารางเวลาเวลาส่วนตัวของเขาได้อย่างดีเยี่ยมจนขนาดว่าพ่อของเขายังออกปากชม แต่อย่าได้ทำอะไรที่ทำให้คุณเธอไม่พอใจเขาเชียวละเธอจะหาวิธีเอาคืนที่แสบสันเชียว เหมือนอย่างเขาในตอนนี้ที่โดนเธอทำโทษด้วยการอ่านเอกสารของตลอดหนึ่งสัปดาห์ให้หมดภายในคืนนี้เพื่อไปอธิบายให้เธอฟังโทษฐานที่เขาเผลอลืมเซ็นเอกสารสำคัญฉบับหนึ่งที่เธอย้ำเขานักหนา ครั้นจะเลิกอ่านแล้วไปนอนกอดเปลวอรุณให้ชื่นใจแล้วแกล้งหลอกคุณจูนว่าป่วยก็ทำไม่ได้เพราะเขาเคยใช้มุกนี้แล้ว แล้วเจอเธอตลบหลังด้วยการมาเยี่ยมถึงบ้านพร้อมของเยี่ยมที่ทำเอาเขาโดนทั้งพ่อทั้งเมียบ่นจนหูชา
คิดมาถึงตรงนี้อัมรินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วก้มหน้าก้มตาทำความเข้าใจกับเอกสารในมือต่อไปอย่างจำนน...
ภายในปีนี้ลูกตาลได้เข้าศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัยในฐานะน้องใหม่ปีหนึ่งและสิ่งหนึ่งที่ทำให้อัมรินทร์ยิ้มแก้มปริไปได้อีกหลายวันเอาไปพูดต่อจนคุณจูนละอาเลยก็คือการที่เด็กหนุ่มคว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยมาครองได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆแต่นั้นก็ทำให้อัมรินทร์ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก นี้ยังไม่นับรวมถึงผลการเรียนในภาคการศึกษาแรกที่ลูกตาลทำเอาไว้ในระดับที่สูงเป็นที่น่าพอใจจนงานนี้อนิรุทธิ์เองถึงกับทาบทามตัวหลานชายคนเดียวมาเป็นรุ่นพี่แนะแนวให้กับเด็กในโรงเรียนตัวเองกันเลย
ครบหนึ่งปีสำหรับการเฝ้าระวัง
ความเสี่ยงที่อาจกลับมาเป็นอีกได้อยู่ในระดับที่ต่ำจนเป็นที่น่าพอใจอีกทั้งร่างกายของเปลวอรุณที่กลับมาเป็นปกติดีอีกครั้งแม้จะยังคงผอมกว่าแต่เดิมอยู่แต่ก็ถือว่าร่างกายของเปลวอรุณดีขึ้นจนสามารถเรียกได้ว่าหายเป็นปกติดีแล้ว เปลวอรุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้งแต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะไม่ใช่เรื่องปกติจนเจ้าตังถึงขึ้นแสดงอาการไม่พอใจเลยก็คือการที่อัมรินทร์สั่งห้ามไม่ให้เขากลับไปทำงาน
“แต่ผมหายดีแล้ว” เปลวอรุณขึ้นเสียงเล็กน้อยแสดงอาการไม่พอใจ
“ก็รู้ๆ แต่ฉันอยากให้เปลวอยู่บ้านมากกว่า” อัมรินทร์พยายามโน้มน้าวยกมือสองข้างขึ้นเหมือนยอมแพ้
“แต่ผมไม่ชอบ ผมอยากทำงาน” แต่เปลวอรุณก็คือเปลวอรุณที่ดื้อได้รั้นอย่างที่สุด
“แล้วเปลวจะกลับไปทำงานในฐานะอะไร ตอนนี้ตำแหน่เดิมของเปลวก็โดนคุณจูนยึดไปแล้ว” เขาอ้าง
เปลวอรุณทำหน้าขัดใจก่อนจะเดินกอดอกไปนั่งที่เตียง
“น่าๆเปลว” อัมรินทร์ตรงเข้ามาง้อ “คิดเสียว่าเปลวเออรี่ออกมาก่อนเวลาก็ได้ไง”
แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าทีควร..
“คุณอัน!” เปลวอรุณตวัดสายตามองคนรักอย่างเอาเรื่องก่อนจะหันหนีแล้วเดินขึ้นเตียงนอนหันหลังหนีแสดงถึงการตัดการสนทนานี้ลงด้วยความไม่พอ
อัมรินทร์ตบหน้าผากตัวเองฉากใหญ่
หลังจากนั้นอัมรินทร์ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการตามง้อเปลวอรุณให้หายโกรธ กว่าที่เขาจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างก็ใช้เวลาเกือบสามวันกว่าที่เปลวอรุณจะยอมรับและกลับมาคุยกับเขาเหมือนเดิม
ครึ่งปีให้หลัง
ความสัมพันธ์ของอนิรุทธิ์และลิดาดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่เพราะสถานที่ทำงานหลักของลิลดาคือที่ฝรั่งเศสทำให้เธอมักจะไปๆมาๆระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อมันคือความรักแล้วเรื่องระยะทางจริงไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไรในเมื่อสมัยนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถเชื้อมโลกที่ห่างไกลให้ใกล้กันมากขึ้น หากมีวันว่างที่ตรงกันบางทีอนิรุทธิ์ก็เป็นผ่ายบินไปหาลิลดาบ้างหรือบางครั้งก็เป็นลิลดาที่บินกลับมาหาแล้วก็พากันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จนในที่สุดอนิรุทธิ์ก็ตัดสินใจของลิลดาแต่งงานและพาเธอย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้
งานเลี้ยงเล็กๆที่มีเพียงแค่ญาติและเพื่อนสนิทถูกจัดขึ้นท่ามกลางความยินดีของทุกๆคน
“เห้ย ไอ้อัน” เสียงของอนิรุทธิ์ดังขึ้นแข่งกับเสียงเพลงคลาสสิคที่เปิดคลอมา อัมรินทร์เปรยตามองเจ้าบ่าวในชุดลำลองสำหรับงานเลี้ยงช่วงเย็นที่ถูกจัดขึ้นที่สวนหลังบ้านของพวกเขาที่เดินตรงเข้ามานั่งข้างๆ
“ไงมึง” ตอนนี้เป็นงานเลี้ยงสำหรับเพื่อนฝูงทำให้บรรยากาศภายในงานดูเฮฮาเหมือนเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์พบปะกันเสียมากกว่า ส่วนพ่อแม่ของเขาก็ขึ้นบ้านกันไปแล้ว เปลวอรุณเองก็ขึ้นไปพักตั้งแต่ช่วงหัวค่ำพร้อมกับลูกตาล
“มีความสุขละสิมึง” อัมรินทร์เอ่ยทักขึ้นเมื่อมองตามสายตาของลูกพี่ลูกน้องหนุ่มไปยังร่างเพรียวของเจ้าสาวที่ยืนเด่นอยู่กลางกลุ่มเพื่อนๆที่โบกไม่โบกมือมาทางพวกเขา
“แน่ละสิ กูกำลังจะมีครอบครัวนะเว้ยมันก็ต้องมีดีใจกันบ้าง” อนิรุทธิ์ว่าพลางกระดกขวดเอลกอฮอร์ขึ้นดื่ม
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโลคร้ายกันแน่ที่ฤกษ์เข้าหอของเขากับลิลดาคือตอนตีสองสองนาทีทำให้พวกเขาสามารถจัดงานเลี้ยงปาร์ตี้กันได้ก่อนที่จะเข้าหอ
“แล้วมึงละ ไม่คิดจะจัดงานแต่งบ้างหรอวะ” อนิรุทธิ์หันกลับมาถามอย่างสงสัย “มึงเองก็ขอเปลวเขาแต่งงานไปแล้วนิ” เขาถามพลางพยักพเยิดหน้าไปทางแหวนแต่งงานที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของอัมรินทร์
“ก็เปลวเขาบอกว่าไม่อยากจัดนิ” อัมรินทร์ยิ้ม “แต่ถึงมีมันก็คงถูกจัดไปแล้ว”
“ห๊ะ เมื่อไร” อนิรุทธิ์หันหน้ากลับมาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็วันที่คุณธรรมภาสคุณตาของเปลวมาที่บ้านเราไง” อัมรินทร์พูด
วันนั้นนอกจากที่เปลวอรุณจะได้เคลียร์ใจกับผู้เป็นตาแล้ว ตัวเขายังทำการสู่ขอเปลวอรุณจะธรรมภาสผู้ที่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เหลืออยู่ของเปลวอรุณไปด้วยวันนั้นพ่อกับแม่เขาเองก็อยู่ด้วย
สินสอดของมีค่าทางธรรมภาสไม่ได้เรียกร้องอะไรเลยส่วนของหมั่นก็มีแค่แหวนที่เขาเคยมอบให้เปลวอรุณไปก่อนหน้า แม้จะไม่มีงานเลี้ยงหรือการผูกข้อไม้ข้อมืออะไรแต่พวกเขาก็ได้คำอวยพรจากผู้หลักผู้ใหญ่และคนสนิทที่อยู่รอบๆ เปลวอรุณไม่อยากที่จะจัดงานตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องจัดของเพียงแค่ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมามีเปลวอรุณนอนอยู่ข้างๆแค่นี้เขาก็พอใจแล้วละ
“ขอให้มึงกับลิลมีความสุขมากๆนะ” เขาว่าพลางตบลงที่ไหล่พี่ชายเบาๆ
“มึงด้วย มีความสุขกับเปลวไปนานๆนะ” อนิรุทธิ์ยิ้มให้น้องชาย
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่พวกเขาสองพี่น้องก็ยังคงอยู่ข้างกันเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนอย่างในตอนนี้ที่พวกเขากำลังมีความสุขกับคำว่าครอบครัวที่กำลังเริ่มต้นขึ้น
หลังจากแต่งงานได้ครึ่งปีลิลดาก็ตั้งครรภ์ ความปรีติยินดีเกิดขึ้นในบ้านอีกครั้งทุกคนต่างพากันหาของขวัญต้อนรับหลานคนใหม่กันอย่างสนุกสนานและยิ่งเมื่อวันที่เด็กหญิงตัวน้องของบ้านออกมาลืมตาดูโลกก็ยิ่งสร้างความดีใจให้กับผู้เป็นปู่กับย่าเป็นอย่างมาก
“น่ารักน่าชังที่สุดเลยหลานย่า” นภายิ้มแก้มปริขณะอุ้มหลานสาวขึ้นมา ใบหน้าที่ถอดแบบลิลดาออกมาทั้งพิมพ์มองยังไงก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นลูกใคร
“แล้วนี้ลูกชื่ออะไรหรอครับ ตั้งเอาไว้แล้วหรือยัง” เปลวอรุณเองก็ดูตื่นเต้นอยู่ไม่ใช่น้อยขณะมองหน้าเด็กน้อย
“ตั้งแล้วค่ะ” ลิลดายิ้มอย่างภูมิใจ
“ชื่ออะไรหรอฮะ” ลูกตาลถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นขณะลองอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยโดยมีนภาคอยช่วยประคอง
“
ดาริน ดารินที่แปลวว่า ของขวัญ ” เธอกล่าวขณะเงยหน้ามองสามีของตัวเองด้วยรอยยิ้ม
ของขวัญของลิลดากับอนิรุทธิ์...
เด็กน้อยดารินกลายเป็นขวัญใจของบ้านที่ทุกๆคนต่างรักและเอ็นดูยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงด้วยแล้วทั้งสุริยะและนภต่างให้ความเอ็นดูหนักกว่าใครเนื้องจากทั้งบ้านมีแต่ผู้ชายมาตลอด การได้หลานสาวเป็นผู้หญิงจึงดูจะถูกใจคนแก่นักเชียวและอีกหนึ่งที่ดูจะทั้งรักทั้งหลงหนูดารินเลยก็เห็นจะเป็นหลานชายคนโตของบ้านอย่างลูกตาล
“ค่ะ ว่าไงคะ” เสียงเย้าแหย่ของลูกตาลคือเสียงที่มักจะได้ยินออกมาจากห้องเด็กอ่อนของดารินอยู่บ่อยครั้ง
“ถามไปหนูขวัญก็ไม่ตอบแกหรอกนะ” คนเป็นพ่อที่แทบจะไม่ค่อยได้อุ้มลูกสาวดังขึ้นห้วนๆเมื่อไม่ว่าจะเข้ามากี่ครั้งก็ต้องเจอหน้าพ่อหลานชายตลอดจนตอนนี้กลายเป็นว่าตอนนี้ดารินติดลูกตาลแจ
“ก็ถามไปเรื่อยๆเดี๋ยวหนูขวัญก็ตอบผมเองแหละ ใช่ไหมคะ” ลูกตาลทำหน้าหน่ายใส่ผู้เป็นลุงก่อนจะหันไปเล่นหูเล่นตาให้เด็กหญิงต่อ
“เฮ้อ แกก็ไปบอกพ่อกับแม่ให้รีบทำน้องให้แกสักทีสิวะไอ้ตาล”
เด็กหนุ่มทำปากยู่ ก่อนจะตั้งท่าอ้าปากเถียง
“แล้วมันทำกันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง” แต่ยังไม่ทันที่ลูกตาลจะอ้าปากเถียงอย่างที่ใจนึกเสียงของใครอีกคนที่เดินผ่านมาได้ยินก็สวนขึ้น
“พ่ออัน” เด็กหนุ่มร้องเรียกคนมาใหม่เหมือนหาพวก
“กลับมาแล้วหรอ” อนิรุทธิ์ทัก
“เออ กลับมาทันได้ยินมึงเกทัพลูกกูนี้ละ” อัมรินทร์ว่าพลางยกแขนขึ้นคล้องคอลูกชาย
“กูเปล่า กูแค่เสนอเฉยๆ อีกอย่างนะถ้ามึงมีลูกของขวัญของกูก็จะได้มีเพื่อนเล่นแถมลูกตาลก็จะได้มีน้องเพิ่มด้วย”
“หรอ ไม่ใช่ว่ามึงจะหาทางแยกลูกตาลออกเพราะตอนนี้หนูดาติดลูกกูมากกว่ามึงหรอวะ” อัมรินทร์ยิ้มเย้ย
อนิรุทธิ์กัดฟันแน่นไม่กล้าเอ่ยอะไรที่มันไม่ดีไม่งามออกไปต่อหน้าลูกสาวที่มองมาทางเขาตาแบ๊ว
“เออนั้นแหละ”
“หึ” อัมรินทร์ส่งเสียพอใจ
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่พยายามหรอกนะ” ก่อนจะตีหน้าหม่นเล็กน้อย
ตั้งแต่หลังพ้นหนึ่งปีที่เฝ้าระวังและรอจนแน่ใจว่าเปลวอรุณหายดีเป็นปกติแล้วพวกเขาก็พยายามกันมาตลอดแต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าความหวังของพวกเขาจะสำเร็จเลยสักนิดเดียวนี้ก็ผ่านมาปีกว่าๆแล้วด้วย
“เออน่า ไอ้อันเดี๋ยวมึงก็มีเองละ” พอเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปอนิรุทธิ์ก็รีบเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจก่อนจะพากันเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้อัมรินทร์ต้องคิดมาก
ความคิดที่ว่าเขากับเปลวอรุณจะไม่อาจมีลูกด้วยกันได้อีกมันก็ทำเอาใจของอัมรินทร์โหว่งๆอย่างบอกไม่ถูก แอบรู้สึกเสียใจอยู่หน่อยๆที่คิดว่ากระพวนข้อเท้าที่เขาอุตสาห์ออกแบบเองจะไร้เจ้าของมาสวมใส่อีก เขาเองก็รู้ดีว่าแม้จะไม่มีใครในบ้านเอ่นเร่งเร้าพวกเขาในเรื่องนี้เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของเปลวอรุณที่เพิ่งจะหายดีและเขาก็พยายามพูดปลอมใจเปลวอรุณอยู่เนื้องๆเพราะรู้ดีว่าคนรักของเขารู้สึกเช่นไรเวลาที่มองหน้าหลานสาว
แต่เหมือนว่าฟ้ายังคงเห็นใจพวกเขาอยู่บ้างหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเปลวอรุณก็เริ่มที่จะมีอาการที่ผิดแปลกไป เจ้าตัวเริ่มกินเยอะกว่าเดิมทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ต้องอาเจียนออกมา อาการเหนื่อยอ่อนกลับมาเล่นงานเปลวอรุณอีกครั้งจนน่าสงสาร และหนักข้อถึงขั้นที่ว่าอยู่ดีก็อาเจียนออกมาอย่างหนักจนต้องหามส่งโรงพยาบาล
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ คุณกำลังตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วค่ะ”
เสียงหวานของแพทย์หญิงที่รายงานการตรวจทำเอาคนที่กำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้งยิ้มแก้มปริถามซ้ำอยู่อย่างนั้นตั้งหลายรอบเพื่อย้ำความเป็นจริงว่าสิ่งที่เขาเฝ้ารอมานานคือเรื่องจริง
“ค่ะ ภรรยาของคุณตั้งครรภ์จริงๆค่ะ” เธอพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “แต่เพราะอาการแพ้ท้องที่รุนแรงกว่าปกติทำให้ร่างกายอ่อนเพียง่ายๆหมอแนะนำให้อยู่โรงพยาบาลดูอาการไปก่อนจะดีกว่านะคะ”
นาทีนั้นไม่ว่าหมอจะพูดว่าอะไรอัมรินทร์ก็รีบขานรับอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มของอัมรินทร์ยังค้างอยู่บนใบหน้า ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยมือข้างที่เจาะสายน้ำเกลือลูบหน้าท้องของตัวเองเบาๆ
“เปลว” อัมรินทร์เรียกอีกคนเสียงสั่นด้วยความดีใจ สองขายาวก้าวตรงไปฉวยคว้าเปลวอรุณเข้ามากอดแนบอก
“ขอบคุณเปลว ขอบคุณ” อัมรินทร์สูดหายใจกลั้นเสียงสะอื้น
“ขอบคุณครับคุณอัน” เปลวอรุณเองก็กอดอัมรินทร์เอาไว้แน่นไม่ต่างกัน
ชีวิตเล็กๆที่แสนมีค่ากลับมาหาพวกเขาอีกครั้งและครั้งนี้พวกเขาสัญญาว่าจะดูแลเอาไว้อย่างดีที่สุด
ข่าวดีที่เกิดขึ้นอีกครั้งในระยะเวลาไล่เลี่ยสร้างความดีใจให้กับทุกคนที่บ้านอีกครั้ง โดยเฉพาะกับราชันที่แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกแต่พอทันทีที่รู้ข่าวเจ้าตัวก็ของให้วาเลนติโนพากลับมาเยี่ยมทันที
“แล้วพี่เปลวเป็นยังไงบ้างครับ กินอะไรได้บ้าง” น้ำเสียงของราชันดูลนลานเหมือนจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อต้องมาเห็นพี่ชายที่ตนรักนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะอาการแพ้ท้องที่หนักเกินกว่าปกติที่ร่างกายจะทนรับได้
“ก็ได้หมดนั้นแหละ” อันที่จริงคือเป็นตัวของเปลวอรุณเองนั่นแหละที่อยากจะกินมันไปเสียทุกอย่างแต่บางอยากแค่ได้กลิ่นก็แทบอาเจียนออกมาให้ได้
“พี่เปลวต้องระวังนะครับ จะเดินจะเหินอะไรต้องดูดีๆนะครับ” เหมือนความผิดพลาดในครั้งก่อนจะยังฝั่งใจราชันอยู่เอามาก นอกจากจะกำชับเปลวอรุณอยู่หลายครั้งแล้วก็ยังไม่วายหันมาแว๊ดเสียงในอารมณ์กับอัมรินทร์ด้วย
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ราชันมาอยู่เฝ้าเปลวอรุณที่โรงพยาบาลคนที่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ากับอาการน้องติดพี่ของราชันดูเหมือนจะเป็นอัมรินทร์กับลูกตาลที่แทบจะถูกกันออกให้ห่างจะเตียงผู้ป่วยทุกครั้งเพราะพื้นที่ข้างเตียงนั้นถูกราชันยึดเอาไว้เพียงคนเดียว
“ทนๆเอาหน่อยละกันนะ” เสียงปลอบใจของวาเลนติโนดังขึ้นทุกครั้งที่สองพ่อลูกเริ่มตีหน้าหงิกก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าไปแล้วพาตัวราชันออกมาให้และดีที่ราชันยอมที่จะเชื่อฟังวาเลนติโนอยู่พอควรแม้จะมีงอแงอยู่บ้างก็ตาม
หลังจากราชันกับวาเลนติโนกลับอิตาลี่ไปอีกสองวันหลังจากนั้นเปลวอรุณก็ได้กลับบ้าน แต่เพราะผลจากการแพ้ท้องในทำให้ทุกคนแทบไม่บอมให้เปลวอรุณหยิบจัดอะไรเลยนอกจากการปลูกต้นไม้อย่างที่เจ้าตัวชอบแม้ช่วงหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลคนที่แพ้ท้องจริงๆดูเหมือนจะกลายเป็นอัมรินทร์เสียแทน