- จีบที่ 9 -
[อ๋อง]ผมนั่งหันซ้ายหันขวาแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาเพื่อนสนิทที่ก่อนหน้านี้หน้าตื่นรับโทรศัพท์แล้วหันมาบอกผมอย่างรีบร้อนว่า
‘เดี๋ยวกูมา’เดี๋ยวของไอ้เปียวกินเวลาไปเกือบชั่วโมงแล้วตอนนี้ พอโทรหามันก็ดันไม่รับโทรศัพท์ สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเดินกะเผลกๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นร่างสูงใหญ่คุ้นตาของใครบางคนเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้พอดี ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกรอกตาไปมาเมื่อใครคนนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“รอพี่นานมั้ย”
“ใครรอมึง”
ผมขมวดคิ้วทันที
“เมื่อกี้เราพูดว่ายังไงนะ”
ผมชะงักไปทันทีที่ฝ่ายนั้นกอดอกมองสำรวจผมตั้งแต่หัวศีรษะจรดปลายเท้า นั่นทำให้ผมเม้มปากแน่นเพราะจำได้ดีว่าพี่มันไม่ชอบให้ผมเรียกแทนตัวเองว่ามึงกู
“มาทำไม”
ผมเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อเจอสายตากดดันจากอีกฝ่าย ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าพี่มันกำลังรอให้ผมเปลี่ยนสรรพนามแทนตัว
“น้องเปียวโทรไปบอกพี่ว่าเรารถล้ม”
ผมสบถในลำคอทันทีนึกโทษเพื่อนสนิทที่ปากมากไปบอกคนตรงหน้า
“...”
“เปียวมีธุระต้องรีบไปทำ เลยโทรให้พี่มาดูเรา”
“ดูทำไมวะ...”
ผมเงียบปากทันทีหลังจากลงหางเสียงที่ไม่รื่นหูนัก
“ผมก็มีตา จมูก ปากเหมือนคนอื่น ไม่ใช่ตัวประหลาดให้พี่...”
ไอ้พี่ดลหลุดยิ้มน้อยๆ
“เรียกพี่ให้ชิน”
ผมเบะปากทันที
“เราไม่ใช่ตัวประหลาดหรอก ถึงแม้สภาพตอนนี้จะดูไม่ต่างจากที่ว่าก็ตาม”
ผมเม้มปากแน่นทำท่าฮึดฮัดเพราะสภาพตัวเองซึ่งถูกใส่พันผ้ายืดบริเวณข้อเท้าด้านซ้าย ส่วนหัวเข่าซึ่งเป็นแผลฉกรรจ์หมอทำความสะอาดและเย็บแผลให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต่างจากข้อศอกด้านขวาที่เจ็บทุกครั้งที่ขยับเคลื่อนไหวจนต้องใส่เฝือกอ่อนประคองไม่ให้บาดเจ็บกว่าเดิม แน่นอนว่าสภาพผมตอนนี้คงดูไม่จืดเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นฝ่ายนั้นคงไม่มองสำรวจผมอย่างนี้หรอก
“กลับเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ผมกลับเองได้”
“พี่ไม่อยากดูถูกเรานะ แต่สภาพเราตอนนี้ พี่ไม่คิดว่าเราจะกลับเองได้”
ผมสบถในลำคอทันที
“อ๋อ ส่วนรถมอ’ไซค์เราที่จอดอยู่โรงพัก พี่ให้คนลากไปซ่อมที่อู่แล้ว”
ผมหันขวับมามองหน้าอีกฝ่ายทันที เพราะก่อนหน้าที่ผมจะถ่อมาโรงพยาบาลนั้น ผมกับคู่กรณีที่ขับรถตัดหน้าจนทำให้เสียหลักหักหลบแล้วพลิกคว่ำลงข้างทางนั้นไปเจรจาความกับที่โรงพัก ดีว่าคู่กรณียอมรับผิดและขอรับผิดชอบค่าเสียหาย จบการเจรจาคู่กรณีก็มาส่งที่โรงพยาบาลก่อนจะขอกลับไปก่อนเพราะมีธุระต่อ ส่วนมอ’ไซค์ผมได้รับความเสียหายก็ถูกจอดทิ้งอยู่ที่โรงพักนั่นแหละ
“ยุ่งอะไรด้วยวะ”
ผมทำหน้ายุ่งยากใจเพราะดูเหมือนว่าไอ้พี่ดลมันจะจัดการเรื่องต่างๆ ให้ผมจนเสร็จสรรพ แม่งโคตรน่ารำคาญ
“นี่กุญแจรถ”
ร่างสูงชูกุญแจมอ’ไซค์ขึ้นมาตรงหน้าผม ผมทำหน้าตื่นก่อนจะรีบคว้ากุญแจคืนแต่อีกฝ่ายโยกหลบอย่างรวดเร็ว
“พี่คงต้องยึดเอาไว้ก่อน”
“อะไรวะ”
ผมทำหน้าไม่พอใจ
“จนกว่าแผลเราจะหาย”
พี่ดลกอดอกมองหน้าผมนิ่ง
“พี่ไม่อนุญาตให้เราขับรถ”
“แล้วพี่เสือกอะไรด้วยวะ”
“ความจริงพี่ไม่อยากให้เรากลับไปขับมอ’ไซค์ด้วยซ้ำ”
“มากเกินแล้วนะเว้ย”
“เลือกเอา ว่าช่วงนี้จะหยุดขับรถหรืออยากให้เรื่องนี้ถึงหูแม่เรา”
ผมกำหมัดแน่นถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ทำไมพี่ถึงชอบยุ่งเรื่องของผมนักวะ”
“น้าดุจฝากฝังเรากับพี่ไว้ แล้วพี่ก็รับปากแม่เราแล้วว่าจะดูแลเราให้ดี”
“เหอะ”
ผมแค่นยิ้ม
“แม่จะห่วงผมทำไม”
“...”
“ห่วงผมหรือผลักภาระให้คนอื่นกันแน่”
“อ๋อง”
พี่ดลขยับมาใกล้หมายจะแตะหัวไหล่แต่ผมขยับถอยหลัง อารามรีบร้อนถอยหลังมันถึงสะเทือนแผลจนเผลอนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บ
“เป็นยังไงบ้าง”
สุดท้ายพี่มันก็ขยับมาประคองผมเอาไว้อยู่ดี ผมยืนอึ้งก่อนจะขยับตัวหนี
“อย่าขยับ ไม่เจ็บแผลรึไง”
“อย่ามายุ่ง”
พี่ดลถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กลับเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“...”
“พี่เคยบอกเราแล้วไง ว่าถ้าไม่ไหวให้ขอความช่วยเหลือ”
“...”
“พี่กับแม่พี่ยินดีช่วยเหลือเราเสมอ”
“หุบปาก”
ผมเม้มปากแน่นก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“น้าดุจเองก็ห่วงเรามากนะอ๋อง พี่ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้แม่เราต้องไปไกล แต่เขาห่วงเราเสมอ และจำเอาไว้นะ ว่าเราไม่ใช่ภาระของพี่”
พี่ดลพูดไปก็ดุนแผ่นหลังผมให้ออกเดินอย่างช้าๆ แม้ว่าผมจะขัดขืนแต่สุดท้ายเพราะทนเจ็บข้อเท้าไม่ไหวผมจึงหยุดยื้อยุดกับพี่มันแล้วจำใจเดินตามแรงจูงของอีกฝ่าย สุดท้ายผมเข้ามานั่งอยู่ในห้องโดยสารภายในรถของพี่มัน พี่ดลหันมามองผมก่อนจะเอื้อมมือมาดึงที่คาดเข็มขัดหมายจะเสียบเข้าล็อกให้ แต่ผมยื้อเอาไว้แล้วคว้ามาเสียบเข้าล็อกเอง
“ทำเองได้”
พี่ดลส่ายหัวก่อนจะผละถอยหลังไปสตาร์ทรถแล้วหันไปสนใจถนนเบื้องหน้า
“หิวมั้ย”
ผมไม่ตอบทำทีเป็นสนใจบรรยากาศภายนอกตัวรถ
“ห้องพี่ไม่มีอะไรติดเลย แวะซื้ออะไรเข้าไปกินสักหน่อยเถอะ เราจะได้กินข้าวและกินยา”
ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายเขม็ง
“เกี่ยวอะไรกับห้องพี่”
ผมพอจะรู้ว่าพี่มันอาศัยอยู่คอนโดหรูติดบีทีเอสแถวๆ หอผมนั่นแหละ
“คืนนี้เราต้องนอนห้องพี่”
“เรื่องอะไรวะ”
ผมร้องโวยวาย
“เราเป็นแบบนี้ คืนนี้อยู่คนเดียวไม่ได้หรอก”
“ผมอยู่ได้ อีกอย่างไอ้เปียวก็อยู่ข้างๆ ห้องผม”
“น้องเปียวโทรบอกพี่ว่าคืนนี้ไม่ได้กลับมานอนหอ ฉะนั้นคืนนี้เราต้องไปนอนกับพี่ก่อน”
“ไม่มีทาง”
พี่ดลไม่พูดอะไรนอกจากหันกลับไปสนใจถนนเบื้องหน้า การที่อีกฝ่ายเงียบเหมือนตัดบทไปทำให้ผมนึกโมโหไม่น้อย ยิ่งตอนที่ฝ่ายนั้นจอดแวะข้างทางที่เป็นบริเวณตลาดแล้วบอกให้ผมรออยู่บนรถก่อนจะผละออกไป
“รอให้โง่น่ะสิ”
ผมตาขวางพูดเสียงลอดไรฟัน จังหวะที่ฝ่ายนั้นหันหลังนั่นแหละผมจึงมาดหมายว่าจะหนีลงจากรถให้ได้ แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอาซะเลย
“แม่งเอ้ย”
ผมสบถเสียงดังลั่นเพราะรถมันโดนล็อกจากข้างนอกแน่นอนว่าคนล๊อกเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของรถยุโรปคันนี้ ผมทนนั่งฮึดฮัดอยู่พักนึงก่อนที่เจ้าของรถจะเดินถือของกินพะรุงพะรังเต็มมือเข้ามา พี่ดลเลิกคิ้วมองผมเป็นเชิงถามเมื่อเห็นผมทำตาเขียวใส่ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะพูดเสียงเรียบขึ้นว่า
“โทษทีลืมบอกว่าพี่ล๊อกรถเอาไว้”
สีหน้าของคนขอโทษคือขยับรอยยิ้มตรงมุมปากแบบนี้เหรอวะ
“ผมโคตรเกลียดพี่เลย”
“เอาน่า ถือว่าไปเปลี่ยนบรรยากาศนอนห้องพี่สักคืนแล้วกัน”
ฝ่ายนั้นพูดด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนขยับเข้าเกียร์รถแล้วหันไปสนใจถนนเบื้องหน้าทันที แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากนั่งกำหมัดสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อกดกลั้นอารมณ์ที่อยากตะบันหน้าใครสักคนเพื่อระบายอารมณ์ขัดข้องในใจของตัวเองตอนนี้
ผมว่าไอ้พี่ดลเป็นคนที่มีความอดทนสูงมากเพราะตลอดการเดินทางในห้องโดยสารที่ไร้บทสนทนาจนกระทั่งมาถึงคอนโดของพี่มัน ผมยังนิ่งเงียบถึงแม้จะอารยะขัดขืนด้วยการไม่ยอมออกจากรถ พี่มันก็นั่งติดเครื่องยนต์อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเป็นผมเองที่หมดความอดทน
“นึกว่าวันนี้จะได้นอนในรถซะอีก”
ฝ่ายนั้นพูดขึ้นตอนที่ผมขยับตัวออกจากรถ แต่เพราะไม่ระวังถึงได้รู้สึกเจ็บแผลไม่น้อย
“ระวังหน่อย เดี๋ยวแผลก็อักเสบหรอก”
พี่ดลดับเครื่องยนต์ก่อนจะเดินมาเปิดประตูรถให้ผมแล้วยื่นมือมาช่วยประคองให้ผมลุกขึ้น แต่ผมยังดื้อแพ่งเบี่ยงตัวจากการเกาะกุม
“อย่าดื้อ”
พี่ดลพูดเสียงเรียบ ผมนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บเหมือนพี่มันจะรู้ถึงได้แตะบ่าแล้วค่อยดุนหลังให้ออกเดิน
“พักรบกันสักวันเถอะ”
ฝ่ายนั้นพูดยิ้มๆ
“หายเจ็บแล้วค่อยมาทะเลาะกับพี่ต่อก็ได้ แต่วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว ขึ้นไปกินข้าวอาบน้ำพักผ่อนเถอะ”
ผมหลับตานิ่ง
ไม่อยากได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนั้น
ไม่อยากได้ยินเพราะมันทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอ
ผมเหลือบตามองคนข้างๆ ที่ถือของกินสารพัดและถุงยาเดินเคียงข้างผมมาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมจะถือว่าเพราะพิษไข้และอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่นี่ ถึงทำให้ผมอ่อนไหวเดินขึ้นคอนโดของพี่มัน
“คืนเดียวเท่านั้น”
ผมพึมพำบอกตัวเองอย่างหนักแน่น
“ค้างอีกหลายคืนพี่ก็ไม่ว่าหรอก”
ฝ่ายนั้นก็ช่างหูดีเหลือเกิน
“ไม่มีทาง”
พี่ดลโคลงศีรษะแล้วยิ้มบางๆ มองผมคล้ายจะกวน
“ตามใจเราเถอะ”
“เหอะ”
- J E E B -
[เปียว]“ทำไมเหมือนขโมยชุดพ่อมาใส่วะ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะที่สำรวจร่างกายตัวเองในกระจกหลังจากอาบน้ำ ผมอยู่ในสภาพเสื้อยืดตัวโคร่งขณะที่ว่าความกว้างของคอเสื้อทำให้ไหล่ตกไปไกล ยังดีว่าท่อนล่างที่เป็นกางกางบอลนั่นเป็นยางยืดแต่ความยาวของขากางเกงก็ยาวเลยเข่าทั้งๆ ที่หากเจ้าของที่แท้จริงใส่คงเป็นแค่กางเกงขาสั้นธรรมดา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าขนาดตัวของผมกับไอ้พี่เซียนเจ้าของชุดนอนบนตัวผมต่างกันลิบลับ
ผมใช้เวลาสำรวจร่างกายตัวเองสักพักก่อนจะออกมาจากห้องน้ำ คอนโดของพี่เซียนมีห้องน้ำสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ในห้องนอนพี่มัน ส่วนอีกห้องอยู่ด้านนอกใกล้ๆ เคาน์เตอร์โซนครัว ก่อนหน้านี้เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่ผมต้องสะดุ้งโหยงตอนที่เปิดประตูออกมาเห็นเจ้าของห้องในสภาพเปลือยท่อนบนมีผ้าเช็ดตัวพาดบ่าอยู่ ขณะที่ท่อนล่างเป็นกางเกงวอร์มสีดำสนิท คาดว่าก่อนหน้าอีกฝ่ายน่าจะซิทอัพหรือออกกำลังกายมาอย่างแน่นอนสังเกตจากเม็ดเหงื่อที่เกาะพราวบริเวณแผงคอเลื่อยมาจนถึงแผ่นอก
จังหวะที่สายตาเผลอกวาดไปทั่วร่างกายส่วนบนนั่นผมรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที เจ้าของห้องหรี่ตามองแล้วขยับเข้ามาใกล้เล่นเอาผมทำหน้าตื่น
“เป็นอะไร”
“เอ่อ”
ผมทำหน้ายุ่งๆ รู้สึกว่ามือไม้เกะกะไปหมดตอนที่กล้ามเนื้อหกลูกเน้นๆ ตรงหน้าท้องมาหยุดอยู่เบื้องหน้าในระยะเผาขน
ลายกล้ามเนื้อแม่งโคตรสวย
ผมเม้มปากแน่นแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นทันที
“ทำไมพี่ยังไม่อาบน้ำอีกอ่ะ”
ตั้งครึ่งชั่วโมงตอนที่ผมและพี่มันแยกย้ายกันไปอาบน้ำ
ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ที่เด็กวิศวะฯ ภาคยานยนต์อวยตัวเองจนผมเผลอใจสั่น
“ห้องน้ำในห้องกูเสีย”
“หือ?”
ก่อนหน้านี้น้องซอเข้าไปอาบน้ำยังไม่เห็นพูดอะไรเลย
“อาบเสร็จแล้วก็ไปนอนได้แล้ว กูเปิดแอร์ในห้องไว้แล้ว จะนอนมุมไหนก็เรื่องของมึง หมอนอีกใบอยู่ในชั้นเก็บของบนสุด ส่วนผ้าห่มมึงห่มกับกูก็ได้ กูขี้ร้อนปกติไม่ติดผ้าห่มหรอก”
“ผมนอนที่โซฟาห้องนั่งเล่นก็ได้พี่”
ผมพูดรัวๆ เพราะประโยคก่อนหน้านี้ของพี่เซียนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่มันคงให้ผมนอนห้องพี่มัน แน่นอนว่าผมไม่มีทางนอนเตียงเดียวกับพี่เซียนแน่ๆ
ไม่มีทาง
ยิ่งรู้สึกว่าตอนนี้ผมมีปฏิกิริยาแปลกๆ เวลาอยู่ใกล้พี่เซียน ไม่มีทางที่ผมจะหาภาระให้หัวใจต้องทำงานหนักมากไปกว่านี้หรอก
“ทำไม”
ฝ่ายนั้นกอดอกถาม
“ก็..” ผมเกาหัวแกรกๆ “ผมไม่ชินเวลานอนกับคนอื่น”
“แล้ว”
“อีกอย่างผมนอนดิ้น กลัวจะรบกวนพี่”
พี่เซียนพยักหน้ารับ
“แล้วแต่มึงแล้วกัน”
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ตอนที่พี่มันผละออกไปแล้วหยุดก่อนจะหันมาทางผมทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“วันนี้มึงได้ใส่พระมามั้ย”
“หา”
พี่เซียนลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิด
“ไอ้เดี่ยวมันเคยนอนที่โซฟา มันบอกว่าตอนกลางคืนเหมือนมีคนมาเขย่าโซฟาทั้งคืนเลย อีกอย่างมันเห็นผู้หญิงมานอนกับมันด้วย”
ฉิบหาย
ผมทำตาโตอ้าปากเคืองก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“พะ พี่พูดเล่นใช่มั้ย”
พี่เซียนกดยิ้มมุมปากทันที
“อืม”
ค่อยยังชั่ว
“จริงๆ มันเห็นผู้หญิงมากกว่าหนึ่ง”
ไอ้สัด
ผีสาวแอนด์เดอะแก๊งเหรอวะ มาคนเดียวก็ผวาจะแย่แล้วเสือกมีน้ำใจชักชวนเพื่อนมาอีกรึไง
“มึงคงไม่กลัวเนอะ”
ฝ่ายนั้นถามเสียงเหมือนห่วงใยแต่เปล่าเลยแววตาคู่นั้นมีประกายล้อเลียน
“มะ ไม่กลัว”
ผมพูดเสียงสั่นก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องอย่างหวาดระแวง
“ดี”
พี่เซียนมองเลยไหล่ผมไปแล้วโคลงศีรษะกดยิ้มมุมปากนั่นทำให้ผมนึกผวาแล้วกลั้นใจหันหลังกลับไปมองโซฟาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง
ผมผุดลุกผุดนั่งอยู่นานทั้งๆ ที่ปรับโซฟาเบดเป็นที่นอนพร้อมกับถือวิสาสะไปขนหมอนกับผ้าห่มในห้องนอนพี่มันออกมาแล้ว ผ่านไปเกือบครั่งชั่วโมงผมเงี่ยหูฟังเสียงน้ำไหลด้วยใจไม่เป็นสุขเท่าไหร่ ก่อนนี้พยายามข่มตาให้หลับแต่จนแล้วจนรอดเรื่องที่ไอ้พี่เซียนเล่าให้ฟังเมื่อกี้ยังสลัดให้ออกจากหัวไม่ได้เลย
ผมยอมรับว่ากลัวสิ่งลี้ลับ ตอนที่มาอยู่หอคนเดียวยังแอบกังวลไม่น้อยดีว่าไอ้อ๋องมันมาอยู่ห้องข้างๆ และตั้งแต่อยู่หอมาผมยังไม่เคยเจอเหตุการณ์ประหลาดอะไร มันเลยทำให้ผมลืมเลือนเรื่องนี้ไปจนกระทั่งถูกไอ้พี่เซียนแกล้งเล่าเรื่องผีให้ฟังเมื่อกี้นี้แหละ
แม่ง
ยอมรับแบบแมนๆ เลยว่าผมโคตรระแวงทุกครั้งที่เอนตัวลงนอน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องที่พี่มันเล่าเป็นเรื่องจริงหรือกะจะแกล้งผมกันแน่ แต่คนตาขาวแบบผมแอบเชื่อไปไม่น้อยแล้ว
“ยังไม่นอนอีกเหรอ”
พี่เซียนที่เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถามขึ้น
“ก็กำลังจะนอน”
“นอนไม่หลับ?”
“...”
“หรือกลัวผี”
ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วถาม
“พี่แม่งถามจะย้ำทำไมวะ”
“ก็มึงบอกไม่กลัว”
“เออไม่กลัว”
ผมเม้มปากแน่น
“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์”
“เดี๋ยวพี่”
ผมผุดลุกขึ้น
“ผมเปิดไฟนอนได้ป่ะ”
พี่เซียนกอดอกมองผมนิ่ง
“เพื่อ?”
“ก็ผมไม่ชินอ่ะ”
“กลัวก็บอกว่ากลัว”
ผมเม้มปากแน่นสุดท้ายแล้วอดพยักหน้าขึ้นลงไปมาไม่ได้
“กลัวกูกับกลัวผี มึงกลัวอะไรมากกว่ากัน”
“ใครกลัวพี่”
“ทำไม”
พี่เซียนขยับเข้ามาใกล้
“อะ อะไร”
“ทำไมถึงไม่กล้านอนกับกู”
ผมหน้าแดงวาบทันที
“นอนบนเตียงเดียวกันกับพี่ พูดให้ครบด้วย นอนกับพี่อะไรเล่า”
พี่เซียนยักไหล่
“ก็นอนเหมือนกัน”
“ไม่เหมือน”
ผมเอ่ยท้วงจนฝ่ายนั้นทำตาวาวระยับ
“แล้วมันต่างกันยังไง”
ผมยืนอึ้ง
“ต่างยังไง ไหนอธิบายมาสิ”
“ทำไมผมเหมือนถูกพี่ไล่ต้อนแบบนี้วะ”
ผมขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ
“สรุปไม่ยอมตอบ”
“...”
“ถ้าไม่ตอบงั้นกูไปนอนก่อนนะ ง่วงจนตาจะปิดแล้ว”
พี่เซียนบุ้ยปากที่ห้องตัวเอง ผมมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนลับตาก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินหงอยๆ ไปข่มตานอนที่โซฟา แต่จนแล้วจนรอดก็นอนไม่หลับอยู่ดี ผ่านไปพักใหญ่ๆ ผมรู้สึกว่าถึงฝีเท้าของใครสักคนก้าวหนักๆ มาใกล้จะถึงตัว ผมหรี่ตามองอย่างใจสั่นก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นพี่เซียนหอบหมอนกับผ้าห่มมาปูนอนกับพื้นติดกับโซฟาเบดที่ผมนอนอยู่
“พี่ทำอะไร”
“มึงกลัวผีไม่ใช่เหรอ”
ผมยิ้มแหย
“มึงกลัวนอนเตียงเดียวกับกูด้วย”
ผมส่ายหน้าหวือ
“ไม่ใช่สักหน่อย”
พี่เซียนยักไหล่ก่อนจะทรุดตัวนอนบนผ้าห่มที่ปูกับพื้น ฝ่ายนั้นนอนหลับตานิ่งเหมือนตัดบทสนทนาแต่นั่นทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก เพราะผมรู้ดีว่าพี่มันทำแบบนี้ทำไม
ไอ้เซียนมานอนเป็นเพื่อนผม
“ถ้ามึงจะนอนแล้วลุกไปปิดไฟด้วย แสงมันแยงตากู”
ฝ่ายนั้นพูดทั้งที่ตาปิดสนิท ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วมาทรุดตัวนอน ในอกเกิดความรู้สึกประหลาดที่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร
“ผมไม่ได้กลัวที่จะนอนเตียงเดียวกับพี่”
“...”
“แต่ผมกลัวใจตัวเอง”
“ทำไม”
เสียงทุ้มดังขึ้นในความเงียบ
“ไม่รู้เหมือนกัน”
ผมส่ายหัวไปมาตอนที่ซุกใบหน้าไปกับผ้าห่ม
“งั้นตอบคำถามกูหน่อย”
“...”
“มึงไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกู เพราะมึงกลัวหัวใจทำงานหนักหรือเพราะมึงกลัวหวั่นไหวกับกูกันแน่”
ผมทำอะไรไม่ถูกตอนที่พี่มันเอื้อมมือมาคว้าข้อมือข้างหนึ่งแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดไปที่ข้อมือคลำหาชีพจร
“หัวใจมึงเต้นแรง”
“พี่รู้ได้ไง”
“แม่กูเป็นพยาบาลเก่า”
ผมนอนนิ่งปล่อยให้พี่มันจับชีพจรอยู่อย่างนั้น
“เขาเคยสอนกูจับชีพจรง่ายๆ แต่จริงๆ กูไม่อยากใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางจับชีพจรเลย”
พี่มันพูดแล้วขยับเปลี่ยนเป็นเอานิ้วนางแตะที่ข้อมือผม
“กูกำลังใช้นิ้วนางจับชีพจรมึง”
ผมส่ายหัวเพราะนั่นเป็นวิธีการที่ผิดอย่างแน่นอน
“รู้มั้ยเพราะอะไร”
“...”
“เพราะเส้นเลือดดำที่นิ้วนางโดยเฉพาะข้างซ้ายมันเชื่อมต่อโดยตรงเข้าหัวใจ”
ผมกลั้นยิ้มทันที
“งั้นพี่คงได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง”
การใช้นิ้วนางจับชีพจรคนอื่นอาจเป็นไปได้ว่าคนที่จับชีพอาจได้ยินเสียงหัวใจตัวเองและมันคงทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้เพราะนั่นคือวิธีที่ผิด
“จับนิ้วนางกูสิ”
“...”
“มึงได้ยินเสียงหัวใจกูมั้ยล่ะ”
ไม่ได้ยิน...แต่หัวใจผมเต้นแรงมากๆ
ตึก
ตึก
ตึก
เพราะผมกำลังจับนิ้วนางข้างซ้ายของพี่มัน
“คำตอบล่ะ”
“อะไร”
“ข้อแรกมึงกลัวหัวใจตัวเองทำงานหนัก ข้อสองมึงกลัวหวั่นไหวกับกู”
“ผมตอบข้อสาม”
ผมพูดเสียงแผ่ว
“ข้อสามคืออะไร”
“พี่ไม่ได้ยินเหรอ”
“จะได้ยินยังไงในเมื่อมึงไม่ได้พูด”
“ก็ผมตอบในใจ”
พี่เซียนหลุดเสียงหัวเราะในลำคอ ผมเลยแกล้งสะบัดมือจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแต่พี่มันคว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วเริ่มจับชีพจรที่ข้อมือผมอีกครั้ง
“ขอฟังคำตอบมึงก่อน”
พี่เซียนพูดขึ้น
“ผมตอบแล้วจริงๆ นะพี่”
“อื้ม”
“...”
“กูว่ากูได้ยินแล้ว”
ผมหลุดยิ้มน้อยๆ ในความมืดนั่นผมไม่รู้หรอกว่าพี่มันมีสีหน้ายังไงตอนที่ได้ยินคำตอบของผม เหอะ พี่เซียนไม่มีทางรู้คำตอบที่แท้จริงของผมหรอก
คำตอบของคนอ่อนไหว
คำตอบข้อที่สามคือ ‘ถูกทุกข้อ’- J E E B -
ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน มานอนจับชีพจรกันอยู่ได้ ก๊ากกก
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยเด้อ