บทที่ 7
“ก้อน!”
กวีได้ยินเสียงบ.ก.ประจำตัวดังขึ้นทีที่เขาก้าวขาลงจากรถแท็กซี่ เธอกระวีกระวาดเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมปิดประตูรถให้อย่างใจดี
“ขอบคุณครับพี่เจน แต่ไม่เห็นต้องออกมารับเลย ผมเข้าไปเองก็ได้ครับ”
“ก็เห็นไม่ได้มานานกลัวจะหลง ตอนนี้แผนกพี่ย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นสามแล้วด้วย เดี๋ยวเด็กอ้วนบางคนจะไปยืนป้ำๆ เป๋อๆ ที่ชั้นเก่าน่ะสิ” เธออธิบาย ก่อนจะจับข้อศอกกวีเบาๆ เพื่อพาชายหนุ่มเดินเข้าตึกสำนักงานไปด้วยกัน “เข้าข้างในเถอะ ร้อนจะตายอยู่แล้ว”
“ครับ” กวีเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย เพราะไม่ถูกโรคกับอากาศร้อนๆ ยามเที่ยงเหมือนกัน
“ความจริงพี่ร้อนใจกลัวเรามาไม่ทัน ก็เลยลงมารอ โทรไปก็ไม่รับ รู้ไหมว่าเขาให้เลื่อนมาประชุมตอนบ่ายโมงแล้ว”
“จริงหรือพี่ ไหนว่าประชุมบ่ายโมงครึ่งไงครับ ดีนะที่ออกมาก่อน”
“เห็นพี่แววเลขาฯ ของคุณพศินบอกว่า วันนี้บอสจะพานักเขียนที่มาประชุมไปเลี้ยงมื้อเย็น เขาก็เลยอยากให้การประชุมเริ่มเร็ว จะได้จบเร็วๆ”
“เลี้ยงข้าวหรือครับ...ไม่ไปได้ไหมพี่เจน” กวีถาม แม้ความจริงจะอยากไปกินของอร่อยกับคนอื่นๆ ก็ตาม
“ได้ไงล่ะ คนอื่นเขาไปกันหมด”
“ผมยังปั่นต้นฉบับไม่ถึงไหนเลย จะถึงเดดไลน์อีกแล้วนะ”
“ไปแค่เดี๋ยวเดียว พอกินข้าวเสร็จพี่จะเรียกรถให้ ไม่ต้องไปต่อกับคนอื่นๆ เหมือนทุกทีก็ได้”
“แต่...”
“ไปเถอะ คราวนี้บอสเราเลี้ยงเชียวนะ แถมพี่ได้ยินมาว่าร้านที่เลือกยังมีเมนูเป็ดย่างน้ำแดงอร่อยสุดๆ วันก่อนบ่นอยากกินไม่ใช่หรือไง”
“เป็ดย่างน้ำแดงหรือครับ!”
แค่ได้ยินชื่อเมนูอาหารที่อยากกิน ดวงตากลมโตก็เปล่งประกายระยิบระยับจนเจนรู้ว่าตัวเองไม่ต้องลงแรงหว่านล้อมอีก เพราะเจ้าก้อนถูกซื้อด้วยเป็ดย่างน้ำแดงเรียบร้อยแล้ว
“อื้ม”
“งั้นผมไปก็ได้ครับ ไว้ค่อยกลับไปปั่นนิยายทีหลังก็ยังไม่สาย”
ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง แถมถ้าท้องกลมๆ ถูกบรรจุด้วยของอร่อย กองทัพของกวีก็ยิ่งแข็งแกร่ง! ...นักเขียนหนุ่มคิด
“มันต้องแบบนี้สิ ค่อยสมเป็นไอ้ก้อนของเจ๊หน่อย” เจนยิ้มร้าย ก่อนจะพาเขาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องประชุม
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุดเย็นเฉียบ กวีพบคุณพศิน นายใหญ่ของเว็บไซด์นั่งอยู่หัวโต๊ะ ที่นั่งลดหลั่นลงมาทางด้านขวาเป็นของนักเขียนอีกสองท่านในสำนักพิมพ์ และพนักงานที่กวีไม่รู้จักอีกสามคน ส่วนด้านซ้ายที่ว่างเอาไว้ คาดว่าน่าจะเป็นตำแหน่งของกวี หรือไม่ก็พี่เจน
สายตาทุกคู่มองมาที่กวีเป็นตาเดียว ชวนให้นักเขียนหนุ่มรู้สึกเกร็งๆ จนรอยยิ้มที่ส่งไปจืดเจื่อน
“ขอโทษที่ช้าครับ พอดีผมไม่ทราบว่าเลื่อนเวลาประชุมแล้ว” กวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งทื่ออย่างคนประหม่า การไม่ได้ออกมาเจอผู้คนบ่อยๆ ทำให้เขาทำตัวไม่ค่อยถูกจริงๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมผิดเองที่เปลี่ยนเวลากะทันหัน วีมานั่งก่อนสิครับ เรายังไม่ทันได้เริ่มประชุมกันเลยครับ”
เป็นพศินที่เอ่ยขึ้นอย่างใจดี เขาผายมือไปตรงที่นั่งว่างด้านซ้าย น้ำเสียงและแววตาที่มองมาทำให้กวีหายใจหายคอโล่งขึ้นเล็กน้อย
ปรกติกวีไม่ค่อยได้เข้ามาที่สำนักงานของทางเว็บไซด์บ่อยนัก เพราะเขาส่งงานทางอีเมล์ มีแค่ตอนเช็นสัญญาหรือไม่ก็เวลามีงานเลี้ยงสิ้นปีเท่านั้นที่เจนจะดึงกวีออกจากถ้ำได้ เขาจึงไม่ค่อยสนิทกับใครนอกจากบ.ก.เจน
ทว่าพศิน บอสใหญ่ที่เจนมักบ่นว่าเขี้ยวลากดินบ้างล่ะ ดุจนลูกน้องไม่กล้าสบตาบ้างล่ะ กลับต้อนรับวีอย่างดี ซ้ำยังใจดีกับเขามากๆ อีกด้วย นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่กวีสบายใจที่ได้ร่วมงานกับทางเว็บไซด์
ครั้นนั่งประจำที่และหยิบสมุดดินสอออกมาเตรียมจดเรียบร้อยแล้ว พศินจึงเริ่มการประชุม
“ในเมื่อมากันครบแล้ว ผมขอเริ่มการประชุมเลยนะครับ”
หัวข้อในการประชุมวันนี้ เป็นเรื่องที่ทางเว็บไซด์จะเปิดตัวสำนักพิมพ์เป็นของตัวเอง และนักเขียนที่มา เป็นนักเขียนที่ได้รับเลือกแล้วว่าจะได้ตีพิมพ์หนังสือเพื่อเปิดตัวเป็นครั้งแรก โดยในส่วนของสัญญาต่างๆ กวีอ่านและทำความเข้าใจตั้งแต่ที่เจนนำตัวอย่างสัญญาไปให้ดูแล้ว วันนี้เขาจึงมาเซ็นยอมรับ
ส่วนอีกเรื่องที่ต้องเรียกให้มาพร้อมกัน เป็นเรื่องงานเปิดตัวสำนักพิมพ์ โดยทางเว็บไซด์จะจัดงานเปิดตัวพร้อมกับแจกลายเซ็นนักเขียนเจ้าของหนังสือ พวกเขาจึงอยากตกลงทำความเข้าใจ และบอกขอบเขตงานที่นักเขียนต้องทำ
“นอกจากงานเปิดตัว เราจะมีการพูดคุยกันบนเวทีเล็กน้อยด้วยครับ” พศินว่า “ส่วนหัวข้อก็เกี่ยวกับนิยายของแต่ละท่าน ส่วนคำถามเดี๋ยวเราจะมีให้อ่านก่อน หลังจากนั้นค่อยแยกไปที่บูธแจกลายเซ็นให้กับนักอ่านตามเวลา”
“ตารางกิจกรรมอยู่ใต้เอกสารสัญญานะคะ แพรวสอดไว้ให้แล้ว” เลขาฯ ของพศินบอก “นักเขียนท่านไหนไม่ว่าง บอกแพรวได้นะคะ เราจะได้คุยกันว่าจะจัดสรรเวลาใหม่ยังไงดี”
กวีหยิบตารางกิจกรรมขึ้นดูผ่านๆ ในนั้นบอกว่าเขาจะเป็นสุดท้ายของการแจกลายเซ็น ส่วนงานบนเวทีมีตั้งแต่ช่วงสายๆ นั่นแปลว่ากวีต้องอยู่ที่งานตลอดทั้งวันทีเดียว
“วีมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
พศินเอ่ยถาม เพราะสังเกตเห็นนักเขียนในสังกัดตีหน้ายุ่งเล็กน้อย แม้สีหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้
“ไม่ครับ ไม่มีปัญหาอะไร” กวีรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
เขาจะมีปัญหาอะไรได้ นอกจากขี้เกียจออกจากบ้านนานๆ เท่านั้นเอง แต่กวีรู้ว่านี่เป็นงานสำคัญ ดังนั้นจะงอแงหรือบอกปัดกับบ.ก.เจนเหมือนทุกทีไม่ได้
“ถ้าไม่สะดวกเวลาไหนก็บอกได้นะครับ” พศินว่า ก่อนจะหันไปหานักเขียนอีกสองคน “ทั้งสองท่านด้วยนะครับ”
“พี่ไม่มีปัญหาค่ะคุณพศิน”
“พี่ด้วยค่ะ” นักเขียนสาวสองคนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
จากนั้นก็มีการพูดคุยและตกลงกันเรื่องสัญญาอีกนิดหน่อย ก่อนจะเลิกการประชุมแต่เพียงเท่านี้
กวีเก็บสมุดจดงานกับสัญญาใส่กระเป๋า ในขณะที่คนอื่นๆ ทยอยกันออกจากห้องเพื่อเดินทางไปยังร้านที่คุณพศินจองเอาไว้
“กวี” เสียงของคนที่นั่งหัวโต๊ะเมื่อครู่เอ่ยเรียกเขาขณะเดินเข้ามาหา
“ครับ?”
ครั้นกวีเงยหน้ามอง อีกฝ่ายก็เผยยิ้มบาง แล้วว่า
“กวีมารถอะไรครับ เอารถส่วนตัวมาหรือเปล่า”
“ผมมาแท็กซี่ครับ” นักเขียนหนุ่มตอบซื่อๆ
“งั้นเดี๋ยวนั่งรถผมไปที่ร้านด้วยกันไหมครับ จะได้ไม่ต้องลำบากออกไปหารถ”
ความจริงกวีก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ เพราะเขาใช้แอปฯ เรียกรถเอาได้ แค่ต้องคอยสักหน่อยเท่านั้น แต่ในเมื่อมีรถที่ไปโดยไม่ต้องรอ แถมไม่เสียเงินอีกต่างหาก มีหรือคนรักสบายจะอยากปฏิเสธ
“ถ้าไม่รบกวนคุณพศินมากไป...”
“ไม่รบกวนครับ” พศินยืนยันพร้อมกับส่งยิ้มใจดีให้
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะครับ” กวีว่า แต่บังเอิญนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ จึงหันกลับมาหาบ.ก.ประจำตัวที่ยืนรอเงียบๆ อยู่ด้านหลัง “แล้วพี่เจนล่ะ”
“เอ่อ...พี่” เจนอึกอัก
เธอรู้สึกแปลกๆ มาตั้งแต่ตอนที่ประชุมเมื่อครู่...ไม่สิ ต้องบอกว่ารู้สึกแปลกมาพักใหญ่ๆ แล้วกับพฤติกรรมของเจ้านายผู้เงียบขรึมจริงจังกับทุกคน แต่ดันเลือกให้ความเอ็นดูเจ้าก้อนมากกว่านักเขียนคนอื่นๆ
จะบอกว่าเพราะกวีเด็กกว่าใครก็ไม่น่าใช่...มันดูเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่เจนยังไม่กล้าฟันธง ทั้งยังไม่กล้าเข้าไปขวางจนอาจกลายเป็นคนขัดแข้งขัดขาโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายแม้จะห่วงน้องชายคนสนิทเพียงใด เธอก็เลือกถอยมาดูเชิงก่อน
“เราไปกับคุณพศินเถอะ พี่มีอะไรต้องเคลียร์ก่อนนิดหน่อย ว่าจะตามไปที่หลัง” พอพูดจบ เจนเห็นมุมปากของพศินกระตุกยิ้มแวบเดียว ก่อนจะเรียบเฉยเหมือนเก่า
นั่นไง! แบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ
ต่อให้ไม่ใช่คนตาดี แต่มองอย่างไรก็ต้องเห็นเช่นที่เจนเห็น...ยกเว้นคนตาใสที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรตรงหน้าเธอนี่คนหนึ่ง
“ถึงเวลาเลิกงานแล้วนะครับ ไปกินด้วยกันก่อนค่อยกลับมาทำงานสิ ไหนเมื่อกี้บอกผมว่าร้านอร่อยไง” กวีท้วง เนื่องจากรู้ว่ามื้อนี้คงไม่ค่อยสนุกแน่ๆ ถ้าไม่มีเจนไปเป็นเพื่อนด้วย เพราะกวีไม่สนิทกับคนอื่นๆ เท่าไร
“คือพี่...”
“ไปด้วยกันนี่แหละเจน งานน่ะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทำก็ได้ ถึงเวลาเลิกงานแล้วนี่...ใช่ไหม”
“ไปพร้อมกันนะครับ ถึงพี่เจนจะทำล่วงเวลาทุกวัน แต่วันนี้โอกาสพิเศษ ไว้ค่อยกลับมาทำก็ได้ คุณพศินก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วย ใช่ไหมครับ” หลังจากอ้อนบ.ก.เสร็จ คนไม่รู้เหนือรู้ใต้ก็หันไปถามความเห็นคนที่ยืนหน้านิ่งที่ด้านหลัง
“ไม่ว่าครับ” พศินตอบยิ้มๆ ก่อนจะพูดกับเจน “ไปเถอะ ผมไม่ว่าอะไรหรอก”
“...ค่ะ คุณพศิน” หญิงสาวรับคำเจื่อน เพราะเห็นว่ารอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก บัดนี้กลายเป็นยิ้มเย็นๆ ชวนให้ขนหัวลุกเสียแล้ว
เจนไม่ผิดนะคะคุณพศิน อย่ามองเจนแบบนั้น ต้องโทษไอ้ก้อนสิ!
หญิงสาวผู้โชคร้ายคร่ำครวญในใจ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายและนักเขียนในสังกัดออกไปยังรถคันหรูด้วยจิตใจห่อเหี่ยว
เมื่อมาเจอสภาพการจราจรแสนติดขัดในกรุงเทพ บวกกับเพลงคลาสสิคและแอร์เย็นๆ ในรถของพศิน คนที่อดนอนมาค่อนคืนก็เผลอหลับไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เจนนั่งตัวเกร็งอยู่เบาะเพียงลำพัง
จากการสังเกตดีๆ อีกครั้ง เจนคิดว่าเจ้านายของเธอต้องชอบกวีอย่างแน่นอน เพราะดูชายหนุ่มจะสนใจนักเขียนในความดูแลของเธอมากเกินกว่าปรกติ ซ้ำเจนยังเห็นว่าพศินลอบมองหน้ากวีตอนหลับอ้าปากคอพับด้วยสายตาเอ็นดูอยู่หลายครั้ง
ออร่าแปลกๆ นี้คงไม่ผิดจากที่เธอคิด แต่มันก็ชวนให้รู้สึกผิดคาดที่คนสุดเฮี้ยบจะหันมาชอบเด็กเฉื่อยๆ ยิ้มตาลอยไปวันๆ อย่างเจ้าก้อนได้ ก็ดูอย่างไรบุคลิกทั้งสองก็ไม่เข้ากันเลยสักนิด ถึงเธอจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าพศินเป็นเกย์ แต่พอมองไปที่เจ้าก้อนของเธอ เจนก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้อยู่ดี ไหนขาเมาท์เล่าว่าแฟนคนก่อนของคุณพศินหล่อวัวตายควายล้ม ทำไมเวลานี้ถึงเปลี่ยนรสนิยมเสียได้
ฝ่ารถติดมาสักพัก พวกเขาทั้งสามคนก็ถึงร้านที่หมายภัตตาคารอาหารจีนชื่อดัง ที่ซึ่งกวีตื่นมาเห็นแล้วเผลอทำตาโตเท่าไข่ห่านจนคนรอบข้างแอบยิ้มขำ
“ทำตาโตเชียวนะ” เจนกระซิบขณะพนักงานพาไปที่ห้องซึ่งถูกจองเอาไว้
“ผมไม่คิดว่าจะเป็นที่นี่” กวีตอบ
“กวีเคยมาหรือครับ”
“ไม่เคยครับ แต่ผมเคยอ่านรีวิวน่ะ เห็นเขาบอกอาหารจีนที่นี่อร่อยมากๆ ขอบคุณนะครับที่พามา”
“เห็นกวีชอบผมก็ดีใจ” พศินยิ้มกว้างอีกครั้ง ก่อนจะผ่ายมือให้นักเขียนดังเข้าไปก่อน “เชิญครับ ถ้าชอบอะไรก็สั่งได้เลยนะ ผมเลี้ยงเต็มที่ ถือเป็นค่าตอบแทนที่วันเปิดตัวกวีต้องมางานตั้งแต่เช้า”
“อ๋อ งี้นี่เอง แต่ผมกินเยอะซะด้วย คุณพศินอาจกระเป๋าแห้งได้เลยนะครับวันนี้” กวีหยอกอีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี กำแพงที่ตั้งไว้บางๆ เวลาออกมาเจอคนไม่สนิทหายไปราวกับไม่เคยมี
“ไม่เป็นไรครับ ผมจ่ายไหว” หนุ่มสายเปย์ตัวจริงเอ่ยยิ้มๆ อย่างมีนัยยะ แต่คนเห็นแก่กินกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งยังเอ่ยชมเสียงสดใสเสียจนบ.ก.ประจำตัวลอบเบ้ปากหมั่นไส้
“คุณพศินใจดีจัง”
ไอ้เด็กเห็นแก่กิน!
เจนมองแล้วส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหันไปเห็นชายหนุ่มสุดหล่อคนหนึ่งยืนมองกวีและเจ้านายของเธอจากประตูห้องส่วนตัวซึ่งอยู่ข้างๆ พอเขาหันมาสบตากับเธอเข้า ก็ยิ้มละลายโลกให้ก่อนเดินหลบฉากเข้าไปในห้องนั้น
“โอ้ย...คนอะไรหล่อเป็นบ้า” เจนเผลอหลุดปากออกมาเบาๆ ทว่าดันมีคนหูดีได้ยินเข้า
“มีอะไรครับพี่เจน” กวีละสายตาจากพศินเพื่อหันมาถาม
“เจอคนหน้าตาดียิ้มให้เฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก เข้าไปข้างในเถอะ”
“ครับๆ” เมื่อรับคำแล้วทั้งหมดก็พากันทยอยเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวเพื่อสมทบกับนักเขียนและบ.ก.ประจำตัวคนอื่นๆ
กวีคิดว่าตัวเองอาจจะเดินกลับออกไปไม่ไหวเสียแล้ว เพราะหลังอิ่มจากอาหารจีนระดับภัตตาคารที่คุณพศินพามาเลี้ยงรับรอง ชายหนุ่มก็อึดอัดจนคล้ายกับท้องจะระเบิด โชคดีที่วันนี้กวีสวมเสื้อฮู้ดตัวใหญ่โคร่ง ไม่เช่นนั้นพุงกลมๆ ที่เพิ่มขึ้นสองเท่าต้องดันเสื้อเด่น จนเห็นได้ชัดอย่างแน่นอน
“เป็นไง อิ่มไหมล่ะ” เจนกระซิบถามหลังจากเจ้านายผู้ที่ครอบครองบทสนทนาของกวีเกือบตลอดมื้ออาหารออกไปเข้าห้องน้ำ
“ผมไม่รู้จะเดินไปขึ้นรถไหวไหมเลยพี่เจน ท้องจะแตกอยู่แล้ว” กวีกระซิบด้วยความสัตย์จริง
“สมน้ำหน้า อยากตะกละดีนัก ใครใช้ให้กินเข้าไปขนาดนั้นล่ะ”
“ก็เป็ดย่างมันอร่อยนี่ ไหนจะ ปลาเก๋าราดเต้าเจี้ยวก็ดี หมูเส้นผัดเสฉวนกับซี่โครงหมูเต้าซี่ก็เด็ด ยิ่งซุปเยื่อไผ่จักรพรรดินะ คล่องคอมากๆ ไม่ได้หากินง่ายๆ นะพี่” เจ้าตัวร่ายชื่อเมนูสุดประทับตาออกมาด้วยตาเป็นประกาย ดูท่าหากยังไหว กวีต้องยังกินเข้าไปอีกแน่ๆ
“เดี๋ยวก็อ้วนตายหรอก ยิ่งนั่งแช่หน้าคอมทั้งวัน ไม่ชอบออกกำลังกายอยู่ด้วย กินเยอะๆ แบบนี้ พี่ว่าคราวหน้าไปฟิตเนสบ้างเถอะนะ”
“ไม่เอาล่ะครับ” พอได้ยินคำต้องห้ามอย่างฟิตเนส นักเขียนที่อยู่ในโอวาทของเจนเสมอก็ถึงกับส่ายหน้าหวือเป็นครั้งแรก
“พี่ไปเป็นเพื่อนก็ได้ ไม่ก็จ้างเทรนเนอร์มาที่คอนโด”
“ไม่เอานะพี่เจนคนดี” กวีหันมาเกาะแขน
“ทำไมล่ะ เพื่อสุขภาพของตัวเองนะก้อน”
“โธ่...ก็มันเหนื่อยนี่ครับ ร้อนด้วย เหงื่อออกเยอะ ผมไม่ชอบออกแรงนี่นา” คนถูกดุทำปากมุบมิบพร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “เอาไว้จะกินผักเยอะๆ แทนก็ได้ครับ แต่พูดถึงผัก ผัดสารพัดผักเมื่อกี้ก็อร่อยสุดๆ เลย ผมอยากได้สูตรไปทำกินกับข้าวต้มกุ๊ยที่ห้องจัง”
สลดไม่เท่าไหร่ คนเห็นแก่กินก็กลับไปพูดเรื่องอาหารอีกครั้ง เจนถอนหายใจอย่างหนักอกเพราะจนด้วยคำพูด หลังจากนั้นพศินก็กลับเข้ามาพอดี เป็นอันว่าเรื่องลดน้ำหนักดูแลสุขภาพก็ต้องถูกปัดตกไป
“คุณพศินคิดเงินเลยก็ได้นะคะ พวกพี่ๆ อิ่มกันแล้วค่ะ” นักเขียนอาวุธโสที่สุดในทีมเอ่ยขึ้น
“ได้ครับ”
ผู้บริหารหนุ่มกดปุ่มเรียกพนักงานมาเช็คบิล พอเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็กล่าวคำลาพอเป็นพิธีและแยกย้ายกันกลับ เหลือแค่กวีที่ยืนรอเจนไปล้างมือในห้องน้ำ
“กวีจะกลับเลยหรือเปล่าครับ” พศินถาม
“ครับ เดี๋ยวพี่เจนออกมาแล้วผมก็คงกลับเลย”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งที่คอนโด”
“ไม่เป็นไรครับคุณพศิน ผมนั่งรถกลับเองได้”
“แต่คอนโดคุณก็ไม่ไกลจากที่บริษัทเท่าไหร่ ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ”
กวีปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินคำว่าไม่ไกลเท่าไหร่ แม้ด้วยระยะทางอาจจะไม่ไกลมาก แต่ถ้าให้ดูจากการจราจรแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องเดือดร้อนเพราะตัวเองขนาดนั้น
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับจากที่นี่ผมนั่งรถไปเองสะดวกกว่า อีกอย่างเห็นเมื่อกี้พี่เจนบอกว่า เดี๋ยวต้องย้อนกลับออฟฟิศพร้อมคุณพศิน เพราะต้องจัดการต้นฉบับของพรุ่งนี้ให้เสร็จด้วยใช่ไหมครับ แบบนั้นยิ่งต้องเทียวไปเทียวมาเสียเวลาแน่ๆ ถ้าขับไปส่งผมอีก”
“แต่ผม...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค อยู่ดีๆ ก็มีเสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งเอ่ยทักกวีจากทางด้านหลัง
“อ้าว! วี”
กวีหันกลับไปมองตามเสียง แล้วดวงตาคู่ใสก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเปล่งเสียงแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า
“พี่ลม! มาทำอะไรที่นี่ครับ”
“พี่มาทานข้าวกับที่บ้านครับ”
“ถึงว่า วันนี้แต่งตัวหล่อเชียวครับ” กวีใช้ดวงตากลมโตกวาดมองวายุตั้งแต่หัวจรดเท้า ภาพลักษณ์แปลกตาของพี่รถกับข้าวทำเอานักเขียนหนุ่มอดประหลาดใจไม่ได้
“ขอบคุณครับ” คนถูกชมยิ้มรับ ก่อนถามกลับ “แล้ววีล่ะครับ มาทำอะไรที่นี่”
“มาทานข้าวกับเพื่อนร่วมงานครับ” พอนึกขึ้นได้ กวีจึงหันมาแนะนำ “พี่ลมครับ นี่คุณพศิน เจ้านายของผมเอง ส่วนคุณพศินครับ นี่พี่ลม เป็นเพื่อนสนิทของผม”
คำว่าเพื่อนสนิททำเอาเจ้าของตำแหน่งยิ้มรับหน้าบานจนกวีเผลอยิ้มตามไปด้วย ผิดกับใครอีกคน ผู้มีฐานะอยู่ในตำแหน่งเจ้านายที่เวลานี้หน้าบึ้งตึงลงอย่างที่กวีไม่เคยเห็นมาก่อน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณลม” พศินกล่าวทักทายเรียบๆ ผิดกับวายุที่เอ่ยประโยคชวนให้สงสัย
“ไม่ได้พบกันนาน ศินคงจำผมไม่ได้ ผมลมไงครับ เพื่อนสนิทปั้น”
“อ๋อ” พศินส่งเสียงออกมาแค่นั้น ก่อนเงียบและไม่เอ่ยคำใดออกมาอีกเลย
ถึงกวีจะไม่ค่อยได้อยู่กับสังคมคนหมู่มาก แต่เขาก็รู้ว่าบรรยากาศที่สองหนุ่มปล่อยออกมาในตอนนี้ ไม่ใช่บรรยากาศที่ดีอย่างแน่นอน มันคล้ายมีเรื่องอะไรสักอย่าง แต่กวีไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร ซ้ำยังไม่อยากรู้อีกด้วย เพราะมองจากหน้าคุณพศินแล้ว ดูท่าคงไม่ใช่เรื่องดี
ยืนเงียบในบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนสักพัก อยู่ๆ วายุก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
“ว่าแต่...วีกำลังจะกลับแล้วหรือเปล่าครับ”
“ครับพี่ลม”
“กลับยังไง เอารถมาหรือเปล่า”
“ไม่ครับ กลับรถแท็กซี่”
“งั้นกลับกับพี่ไหม พอดีพี่มีอะไรจะให้วีช่วยหน่อยน่ะ กำลังอยากหาเวลาไปเจออยู่พอดีเลย” พี่รถกับข้าวของกวีเอ่ยอย่างสนิทสนม
“ได้สิครับ พี่ลมจะให้วีช่วยอะไร บอกมาได้เลยนะ”
“ขอบคุณนะครับ” วายุยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่เข้าไปบอกพี่ชายก่อน”
“ครับ” กวีพยักหน้ารับ พอดีกับที่บ.ก.เจนออกมาจากห้องน้ำ เขาจึงเอ่ยลาหญิงสาว “พี่เจน เดี๋ยวผมกลับกับพี่ที่รู้จักนะครับ”
“พี่ที่ไหน”
“ก็ที่เคยคุยกับพี่เจนวันก่อนไง”
“หา?” หญิงสาวทำหน้างง แต่ยังไม่ทันอธิบาย วายุก็ออกมาจากห้องรับรองที่อยู่ข้างๆ เสียก่อน
“ไปกันครับวี”
“นี่ไงครับ พี่คนนี้” กวียิ้ม พลางชี้มือไปที่หน้าพ่อหนุ่มสุดหล่อซึ่งเจนได้พบตอนมาถึง ทว่าเจนกลับนึกไม่ออกว่าเคยคุยกับคนหน้าตาดีเช่นนี้ตอนไหน และนักเขียนในความดูแลของเธอก็ลืมบอกว่าเป็นการคุยโทรศัพท์กันตอนที่กวีเป็นลม
“กวีจะกลับกับเขาใช่ไหมครับ” พศินที่เงียบมาตลอดถามขึ้นอีกครั้ง ซ้ำยังถามด้วยเสียงราบเรียบและเย็นชามากๆ ด้วย
“ครับ จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณพศินไง” กวีเอ่ยทางแก้ปัญหาที่คุยก่อนหน้าให้อีกฝ่ายฟัง “ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับคุณพศิน ผมจะรีบปั่นต้นฉบับให้ตรงเวลา แล้ววันงานก็จะไปเช้าๆ ด้วยครับ”
กวีไม่มีอะไรจะตอบแทนกับผู้ชายที่พาเขามาทานอาหารอร่อยๆ ได้ นอกจากคำสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานให้กับทางเว็บไซด์ ซึ่งคำพูดซื่อๆ กับรอยยิ้มน่ารักๆ นั้นก็ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของเจ้าของเว็บไซด์คลายลงไปกว่าครึ่ง
“ขอบคุณครับ”
“แล้วเจอกันวันงานครับ” กวีโบกมือ “ไปก่อนนะพี่เจน”
“ถึงห้องแล้วโทรหาพี่ด้วยนะ” เธอสั่ง
“ครับ”
ล่ำลากันเรียบร้อยกวีก็เดินตามหลังวายุไปที่ลานจอดรถ ในตอนแรกพวกเขายังไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เพราะกวีรู้สึกว่าวายุคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ซ้ำเขายังแน่นท้องจนแทบเดินไม่ไหว ใจจึงโฟกัสแต่เรื่องของตัวเอง
กระทั่งคนเดินนำพามาหยุดที่รถหรูแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ ตามท้องถนนคันหนึ่ง ดวงตากลมๆ ก็พลันเบิกกว้างขึ้นอีกเท่าตัว
“เป็นอะไรครับวี” คนถาม ถามขึ้นเพราะสังเกตเห็นกวีนิ่งไป
“นี่รถพี่หรือครับ”
“ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า”
“โห...รถสวยมากเลยครับ เป็นพนักงานส่งเงินเดือนเท่าไหร่กันครับ ผมอยากทำงานบ้าง”
“หืม? พนักงานส่งหรือ” คิ้วเข้มๆ ของวายุขมวดมุ่น กวีเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองพูดจาเหยียดหยามอาชีพคนส่งของจึงรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้ดูถูกอาชีพหรือหาว่าพี่ไม่มีเงินนะ แค่สงสัยเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีจริงๆ ครับ”
วายุมองปฏิกิริยาร้อนรนของคนตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาบางๆ
“พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยครับ ไม่ได้นึกว่าวีคิดอะไรแบบนั้นด้วย”
“อ้าว...แต่ผมเห็นพี่ขมวดคิ้ว” คนตัวเล็กกว่าบอกอ้อมแอ้ม
“พี่แค่กำลังคิดว่า วีจะพอมีเวลาวันละสองสามชั่วโมงไหมน่ะครับ”
“หื้ม? พี่ลมพูดเหมือนจะชวนผมไปขายตรงเลยครับ”
“ฮ่าๆ ๆ พี่ล้อเล่นน่ะ ขึ้นรถก่อนนะ เดี๋ยวพี่เอาอะไรให้ดู” ว่าแล้วเจ้าของรถก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น ก่อนเปิดประตูข้างคนขับให้
กวีสอดตัวเข้าไปนั่ง เมื่อวายุบริการให้จนถึงขั้นปิดประตูเรียบร้อย กวีก็รีบคาดเข็มขัดเรียบร้อยรอระหว่างที่อีกฝ่ายเดินกลับมานั่งตำแหน่งคนขับ
“เมื่อกี้พี่ลมว่าจะเอาอะไรให้ดู...อะไรหรือครับ”
“รอเดี๋ยวนะ” เจ้าของรถหันกลับไปที่เบาะหลัง ก่อนหยิบถุงกระดาษถุงหนึ่งขึ้นมา จากนั้นจึงส่งให้คนข้างๆ พร้อมกับสั่ง “เปิดดูสิครับ”
“...ครับ” กวีรับคำง่ายๆ แล้วจึงเปิดดูของปริศนา ในถุงกระดาษสีน้ำตาล เป็นของที่กวีคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่ได้เห็นมันมาสักระยะแล้ว “นี่มัน...หนังสือที่ผมเขียนนี่”
“ใช่ครับ พี่เพิ่งไปหาซื้อมาวันนี้เอง เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีเรื่องแรกที่วีเขียนใช่ไหม”
“ครับ” กวีพยักหน้ารับเร็วๆ “แล้วพี่ลมรู้ได้ยังไง”
“พี่ไปหาข้อมูลมานิดหน่อย เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แถมมีเล่มเดียว ก็เลยหาซื้อมาอ่าน”
กวีมองหน้าคนพูด ก่อนจะมองสภาพหนังสือที่ดูคล้ายผ่านการใช้งานมาบ้างแล้ว เห็นดังนั้นนักเขียนหนุ่มก็ทำตาโต
“นี่อย่าบอกนะครับ ว่าพี่ลมอ่านไปบ้างแล้ว”
“อืม พี่อ่านจบรวดเดียวตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ” วายุยิ้ม ก่อนจะเล่าต่อ “สนุกมากจนพี่วางไม่ลงเลยล่ะ กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าแหนะ นี่พี่กดสั่งอีกเรื่องไปแล้ว เพราะสองสามวันนี้คงไม่มีเวลาไปร้านหนังสือเอง”
“...พี่ลม”
นักเขียนหนุ่มวางหนังสือไว้บนตัก ก่อนจะยกสองมือปิดหน้า ปิดบังรอยยิ้มที่กว้างเกินพอดีของตัวเอง หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจสุดๆ
“วี! เป็นอะไรครับ”
ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง กวีจึงเลื่อนมือลง แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งที่ตาเป็นประกาย
“ผมเขินน่ะ หัวใจเต้นตึกตักๆ เหมือนถูกสารภาพรักเลยครับ”
“ห๊ะ!? สารภาพรักเนี่ยนะ”
“อื้ม” กวีพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงอธิบาย “ก็แบบ...พี่บอกว่าชอบหนังสือผมใช่ไหม แล้วผมเป็นคนเขียนไง ก็เลยรู้สึกดีใจมากๆ น่ะครับ”
“อ๋อ...” กวีเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจคล้ายโล่งอก จากนั้นจึงว่า “เรานี่ก็ช่างเปรียบนะ พี่ตกใจหมดเลย”
“ฮ่าๆ แต่ดีใจจริงๆ นะครับ ปรกติไม่ค่อยมีใครมาพูดต่อหน้าจริงๆ จังๆ แบบนี้หรอก แถมเป็นคนรู้จักด้วย”
ตามปรกติกวีไม่ค่อยออกไปเจอใคร เขาจึงได้อ่านคอมเมนต์และบทวิจารณ์ต่างๆ ผ่านตัวหนังสือ ทั้งที่ตอนอ่านก็หัวใจพองฟูมากแล้ว แต่พอถูกบอกว่าชอบงานที่เขาเขียนต่อหน้า มันยิ่งหัวใจพองฟูมากขึ้นไปอีก รู้สึกเหมือนมีแรงกลับไปเขียนได้อีกสิบตอนรวดทีเดียว
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” วายุพยักหน้าเหมือนเข้าใจ “แต่นิยายสนุกจริงๆ นะครับ ไม่ได้อวยกันเองนะ”
“ขอบคุณครับ” กวียิ้มรับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ว่าแต่พี่ลมจะให้ผมช่วยอะไรหรือครับ เมื่อกี้เหมือนพี่ยังไม่ได้บอก”
“อ๋อ...เอ่อ”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
ดวงตาคมเหลือบมองใบหน้ากวี ก่อนพี่รถกับข้าวของเขาจะเกาแก้มเบาๆ แล้วว่า
“พี่อยากให้วีช่วยเซ็นหนังสือให้หน่อยน่ะครับ”
“โอ้ย~ พี่ลม...” กวีรู้สึกว่าแก้มสองข้างของตัวเองร้อนผ่าวไปหมด เขาทั้งเขินและประหม่าสุดๆ ไปเลย
“ไม่ได้หรือครับ”
“ดะ...ได้ครับๆ ผมจะเซ็นให้อย่างดี พี่จะเอาปากกาสีอะไร บอกได้เลยนะครับ” ในกระเป๋าดินสอของเขามีปากกาหลายสีเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ขอแค่นักอ่านที่น่ารักบอกมาเท่านั้น
“ฮ่าๆ ๆ สีอะไรก็ได้ครับ วีเลือกเลย แต่ความจริงเอาไว้เล่มต่อๆ ไปค่อยคิดก็ได้นะ พี่จะเอามาให้เซ็นไม่ซ้ำสีเลยดีไหมครับ”
“ดีครับ ดีมากๆ ผมจะเซ็นให้ไม่ซ้ำสีสักเล่มเลยครับ” กวีเอ่ยคำสัญญา ก่อนจะรื้อกระเป๋าเพื่อหยิบปากกาสีม่วงออกมาเซ็นให้ด้วยความตั้งใจ ราวกับกำลังจะไปสอบเข้ามหาลัยฯ ก็ไม่ปาน
ความรู้สึกตอนที่เซ็นให้นักอ่านเป็นแบบนี้นี่เอง วายุเพิ่งทำให้กวีเข้าใจว่ามันรู้สึกดีขนาดไหน ความกังวลที่มีเกี่ยวกับงานแจกลายเซ็นซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง เปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นและกระตือรือร้น
แม้ไม่ได้พูดออกไป แต่นักเขียนหนุ่มอดรู้สึกขอบคุณคนข้างๆ ไม่ได้ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่กลับไปตามหาหนังสือมาอ่าน ซ้ำยังตามมาเอ่ยชมให้เขาดีใจ
พี่รถกับข้าวเนี่ย...ใจดีที่สุดเลยน้า~
-----------------------------------------------------------------
กับข้าวมาแล้วค่ะ กับข้าววว
ตอนนี้เว้นห่างไปหน่อย ตอนต่อไปจะมาเร็วๆ
พี่รถกับข้าวทำคะแนนใหญ่แล้ว แถมมาถูกทางด้วย
คุณบอสขาสู้ไม่สู้ 55555
ยังยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ดราม่าเจ็บปวดหัวใจจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องกลัวนะ
ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ เจอกันตอนหน้าค่าา
ละอองฝน.