ตอนที่ 19 : พักยก
บอกตามตรงว่าแม้จะเป็นที่หนึ่งในโลกสมชื่อเอกภพ ไม่ขลาดกลัวหรือหวั่นเกรงต่อสถานการณ์ใดๆ แม้กระทั่งง้องอนคนรัก แต่ผมเองก็ชักจะหมดมุก
ผมไม่เคยต้องทำแบบนี้กับใครนี่นา อย่าว่าแต่นายชักสีหน้ารำคาญ ผมเองก็ลอบด่าตัวเองไปหลายรอบอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าไม่ทุ่มเทขนาดนี้ ไม่แสดงความจริงใจออกมาโดยไม่มีกั๊ก นายคงสัมผัสถึงตัวตนข้างในของผมไม่ได้สักที
แถมการกระทำทั้งหมดของผมก็ไม่สูญเปล่าซะทีเดียว ช่วงหลังมานี้เวลาผมพูดจ้อหรือเล่าเรื่องในคลับเขามักเผลอฟังและอมยิ้มตาม ยิ่งเวลาที่รู้ตัวแล้วทำหน้าเหมือนพลาดท่า ยิ่งน่ารักจนแทบยั้งใจไม่อยู่ทุกที
ทำเอาผมหลงหัวปักหัวปำยิ่งกว่าเดิม
ผมเคยบอกแล้วครั้งแล้วสินะว่าเป็นประเภทบูชารัก หรือตามคำของควีนอาจจะเป็นพวกคลั่งรักเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นถ้าตกลงปลงใจขึ้นมาก็ถอนตัวยาก แถมยังพยายามฉุดรั้งอีกฝ่ายให้ลงอยู่ในหลุมกับดักเดียวกันอีกต่างหาก
ยิ่งนายเหมือนมีเยื่อใยกับผมเลยยิ่งปล่อยไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
ความจริงผมก็แทบไร้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ มาต่อกรกับนายแล้ว ผมแค่แสดงความเป็นตัวเองให้เขาได้เห็น หยอกบ้างแหย่บ้าง ซึ่งก็เป็นนิสัยของผมเอง ถ้าเขาไม่ตั้งแง่จ้องจะจับผิดทุกอย่างคงราบรื่นกว่านี้
ส่วนควีน...เขาเลิกให้ใครตามผมแล้วอย่างที่สาบาน คนในคลับก็พยายามไม่เข้ามาถามเรื่องส่วนตัว จะมีเลียบๆ เคียงๆ บ้างก็จากตัวต้นเรื่องที่ยังห่วงว่าผมจะง้อนายไม่สำเร็จ และกลัวว่าผมจะตามนายไม่ได้นาน
อืม...ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะทำได้ถึงไหน แต่ที่แน่ๆ คือทุกวันนี้ผมมีความสุขดี แล้วเรื่องอะไรผมต้องทำให้ตัวเองทุกข์ด้วยล่ะ
ชีวิตของผมมีแค่การทำงานในคลับเท่านั้นที่ฉุดรั้งให้ตื่นตัวขึ้นมาบ้าง ฉะนั้นผมจึงมีเวลาให้นายอย่างเหลือเฟือ เวลาทั้งหมดนอกจากการเป็นอัศวิน ล้วนเป็นของเขา
เพราะผมไม่มีสิ่งสำคัญอย่างอื่นอีกแล้ว...
ข้าวกล่องมื้อเที่ยงวันนี้คือหมี่ผัดผักใส่กุ้ง ไม่ต้องกลัวหกเลอะเทอะระหว่างจัดส่งและไม่หนักท้องมาก เหมาะกับคนท้องอืดท้องเฟ้อ ที่เดาได้ไม่ใช่ว่าผมมีพลังจิตหรอก แต่นายเผลอกุมท้องตัวเอง ผมเลยเดาว่าสาเหตุน่าจะมาจากอาหารพวกเบอร์เกอร์
ยามและเลขาของบริษัทนายคุ้นหน้าผมดีชนิดที่เห็นหน้าก็เปิดทางให้ ส่วนข้ออ้างเรื่องเจ้าหนี้ผมอธิบายไปแล้วว่าเป็นแค่การล้อเล่น ผมกับนายเป็นเพื่อนสนิทกัน ส่วนที่เหลือพวกเขาจะคิดต่อยอดยังไงก็ตามสบาย
หลังนำอาหารไปส่งตามเวลาผมก็ปลีกตัวมาเดินเล่นอยู่แถวคฤหาสน์อัครมหาเลิศสกุล ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า ตราบใดที่ยังจัดการเรื่องคุณนิดไม่ได้ ผมก็ยังไม่วางใจหรอก ทุกวันนี้เวลารอนายเลิกงาน ผมจะคอยตามสืบตามเฝ้าครอบครัวนี้ตลอด
แน่นอนว่าสมรออกจากโรงพยาบาลแล้ว สาเหตุย่อมเป็นเรื่องเงิน แต่สมรไม่สนใจเรื่องปากท้องเท่าไหร่ นับจากวันนั้นมันกับคุณนิดก็ทะเลาะกันเพราะผิดแผน เครื่องอัดเสียงที่คิดว่าจะใช้เป็นไม้ตายกลับไม่ช่วยให้นายหันมาเหลือบแลสนใจ คุณนิดรึสู้อุตส่าห์เตรียมบทน่าสงสาร ลงทุนให้คุณแม่ของตัวเองร้องห่มร้องไห้ เตรียมบทบาทให้พ่อบ้านช่วยพูดถึงความรักของนายท่านคนเดิมว่าอยากมอบบ้านหลังนี้ให้นาย ด้วยตรรกะง่ายๆ ว่าถ้าเกิดนายยอมมาร่วมอาศัย คงสามารถสนิทสนมกลมเกลียวและแบ่งปันทรัพย์สมบัติให้บ้าง อย่างน้อยได้หุ้นบริษัทสักห้าเปอร์เซนต์ก็ยังดี
ไม่คิดเลยว่าถ้านายยอมมาจริงๆ...อาจจะเป็นฝ่ายเตะโด่งพวกเขายกตระกูลโดยไม่สะทกสะท้านสักนิด
อย่างไรก็ตาม นายคล้ายจะเบี้ยวเงิน เพราะผมเห็นคุณนิดอารมณ์เสียเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะโทรไปเท่าไหร่ปลายสายก็ไม่ยอมรับสักที จะไปเผชิญหน้าก็ยังไม่กล้าพอ เท่าที่สังเกต...ผมว่าคุณนิดค่อนข้างเกรงนาย
ส่วนสมร มันโกรธที่เห็นผมยังเดินลอยชายข้างๆ นายทั้งที่ทรยศหักหลังเขา เราสองคนเคยยืนจ้องตาผ่านลานจอดรถของบริษัทนายหลายครั้ง แต่มันสู้ผมไม่ได้แถมยังเป็นพื้นที่สาธารณะเกินกว่าจะชักปืน เลยได้แต่ยืนมองห่างๆ จนเห็นภาพบาดตายามนายนั่งในรถโดยมีผมอยู่ข้างๆ
จะว่าสงสารก็สงสาร แต่ผมไม่มีความเห็นใจกับศัตรูที่สร้างความร้าวฉานให้หรอก
อีกอย่าง สถานการณ์ตอนนี้มันสงบแปลกๆ คุณนิดเริ่มไปไม่ถูกเมื่อนายไม่คิดติดต่อกลับ ส่วนสมรก็เริ่มตัดใจ
แต่ดูเหมือนคุณหญิงของบ้านจะยังไม่ยอม
“ไหนล่ะเงินหนึ่งแสน นี่เรารอมาจะครบอาทิตย์อยู่แล้วนะ”
แม่ของคุณนิดเป็นหญิงไม่สาวอายุหกสิบต้นๆ เธอไม่ค่อยดูแลตัวเองปล่อยให้สภาพเสื่อมโทรมตามวัย อาจเพราะสิ้นหวังกับตระกูลที่ไม่มีทรัพย์สินในคลังแม้แต่แดงเดียว จึงมีสีหน้าที่หมองคล้ำเหมือนโดนราหูอมอยู่เสมอ
“ครั้งล่าสุดเขาบอกว่าจะตีเช็คให้อาทิตย์หน้า ผม...พยายามแล้ว แต่ถ้าตื๊อมากไปก็กลัวลดเหลือหมื่นเดียว”
“แกมันไม่ได้เรื่องจริงๆ!”
น่าเสียดายที่ราหูไม่ช่วยให้ใบหน้าหมองคล้ำของคุณหญิงลดความเกรี้ยวกราดลงเลย คุณนิดเม้มปาก แผ่รังสีโศกสลดออกมา จะว่าไปตลอดการสังเกตการณ์ ผมเห็นเขากล้าหือก็แค่กับสมรที่เถียงไม่ทันเพราะติดอ่าง แต่พอสมรเริ่มไม่ฟังเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ สรุปแล้ว คุณนิดไม่ได้เย่อหยิ่งหรือวางอำนาจบาตรใหญ่เท่านาย
“แม่อยากได้นักก็ไปคุยเองสิจะได้รู้ว่าเขารับมือยากขนาดไหน” คุณนิดพึมพำเสียงเบา แน่นอนว่าย่อมลอยเข้าหูคุณหญิงของบ้านอย่างจัง
“นี่แกเถียงฉันเหรอ!”
มองดูแม่ลูกทะเลาะกันแล้วไม่ยักจะสนุกเท่าไหร่ ผมฆ่าเวลาเบื่อๆ จนกระทั่งนายใกล้เลิกงานจึงถอดหูฟังที่มีสัญญาณเชื่อมกับเครื่องดักฟังที่แอบติดไว้ด้านในของหน้าต่างแต่ละบานอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะปีนลงจากต้นไม้พอดีกับพ่อบ้านแสนซื่อสัตย์เข้ามาช่วยห้ามทัพ
อันที่จริงผมก็สงสัยนะ ครอบครัวนี้ไม่มีอะไรเลย แล้วทำไมถึงยังรับใช้ดูแลอย่างดีอีก กับสมรยังพอเข้าใจได้เพราะไปไหนไม่รอดและคงไม่มีใครรับเข้าทำงาน แต่กับพ่อบ้านวัยห้าสิบปีผู้นี้ทำงานได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยก็ดูแลสวนและห้องรับแขกได้สะอาดสะอ้านสวยงาม
คงจะเป็นความซื่อสัตย์ล่ะมั้ง
ผมคิดในใจแม้ไม่ค่อยอยากเชื่อว่าในสภาพแวดล้อมอย่างนี้จะมีคนยินดีก้มหน้าก้มตาฟังคำสั่งโดยไม่ได้ค่าแรงอีกเหรอ แต่ในเมื่อคุณนิดโดนนายเล่นงานจนไปไม่เป็น ผมก็ไม่ใคร่สนใจนักเพราะขนาดเรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด
ผมปีนกำแพงออกจากคฤหาสน์ ก่อนจะเรียกแท็กซี่ไปรอนายที่ลานจอดรถ
เวลาห้าโมงตรง นายเดินเข้ามาใกล้และปลดล็อกประตู ผมยื่นมือหานาย ฉีกยิ้มกว้างแม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายพยายามฝืนมองข้างทางจนดูไม่เป็นธรรมชาติ
“ผมขับเอง”
นายส่งกุญแจให้ง่ายๆ ไม่รู้ว่ากลัวจะหลุดปากเถียงกับผมหรืออะไร แต่อย่างน้อยการเชิดหน้าเดินอ้อมไปที่นั่งข้างคนขับอย่างไม่ยี่หระก็ทำให้ผมอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขาโกรธผมน้อยลงแล้ว
“วันนี้ผมไปดูลาดเลาที่คฤหาสน์คุณนิดมาล่ะ”
นายตัวเกร็งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ก็ถูกเปิดบทสนทนาในเรื่องที่เขาไม่อยากจะฟัง แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องพูด
“คุณรับปากจะให้เงินคุณนิดหนึ่งแสนใช่มั้ย คุณนิดพยายามติดต่อคุณแต่ทำไม่ได้ วันนี้เลยทะเลาะกับคุณหญิงของบ้านยกใหญ่ ดูเหมือนพวกเขาตั้งใจจะนำไปหมุนในหนี้นอกระบบที่ชักมากขึ้นเรื่อยๆ จนคุมไม่อยู่ ตอนนี้ก็ขึ้นกับเวลาแล้วว่าจะโป๊ะแตกเมื่อไหร่”
ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเงินก้อนนั้นเป็นค่าเครื่องอัดเสียงที่ขโมยมาจากหมอบอีกต่อ นับว่ากล้าเรียกราคาจริงๆ ถ้านายให้ไม่กลายเป็นว่ายอมจ่ายค่าโง่หรอกเหรอ ผมไม่แปลกใจเลยที่เขายังประวิงเวลาแบบนี้
“คุณนิดจะรออาทิตย์หน้าเป็นอาทิตย์สุดท้าย ถ้าคุณยังไม่โอนเงินเขาคงมาหาที่บริษัทไม่ก็ที่คอนโดเพราะโดนกดดันมาอีกที ส่วนสมรไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ มันยังบาดเจ็บที่ขาเลยรักษาตัวอยู่ในคฤหาสน์ แต่ยังไงซะมันก็ไม่กล้าลงมือกับคุณอยู่แล้ว และกำลังจะตัดใจเพราะคุณเอาแต่ตัวติดกับผมด้วย”
นายขยับตัวหยุกหยิกเล็กน้อย กำหมัดแน่นเหมือนต่อสู้กับตัวเองไม่ให้เผลอแย้งออกมา เห็นแล้วผมก็อารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
“ผมไม่มีอะไรปิดบังคุณแล้วจริงๆ นะ...” ผมเอ่ยเสียงเบาอย่างวาดหวังว่าเขาจะใจอ่อน “และไม่คิดจะทำแล้วด้วย ผมเล่าให้คุณฟังทุกอย่างทั้งหมดเลย”
พูดจบก็แอบเหล่ดูปฏิกิริยา ปรากฏว่าเขาหันหน้าหนีมองข้างทางซะอย่างนั้น ผมถอนหายใจเฮือก พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ
ช่วยไม่ได้ นอกจากเขาจะไม่ขยำกระดาษของผมแล้วยังเก็บไว้กับตัว แถมเวลาทานข้าวด้วยกันยังนั่งรอให้ผมบริการทั้งที่ก่อนหน้านี้จงใจด้วยตัวเองทั้งหมด แล้วจะไม่ให้หวังได้ยังไงล่ะ
หรือว่าควรจะสร้างสถานการณ์...
ไม่ ไม่ ไม่ เลิกนิสัยเสียๆ ได้แล้วเอกภพ! ขืนนายมารู้ทีหลังได้โดนกระชากหัวหลุดจากคอแน่ๆ!
ค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติ...นายเองก็ชอบแบบนี้อยู่แล้วด้วย
“วันนี้ผมซื้อของติดตู้เย็น ว่าจะทำสเต็กอกไก่กับซัลซ่ามะม่วง รสชาติออกหวานๆ เปรี้ยวๆ ทานแล้วสดชื่นสบายท้อง คุณอยากลองชิมหน่อยมั้ย”
ผมพูดพลางเหลือบมองผลลัพธ์ แต่นายยังคงสนใจแต่กับข้างทางจนคิดเองเออเองตัดสินใจขับรถตรงเข้าคอนโดโดยไม่แวะ เขาไม่เปิดปากคัดค้านถือว่าประสบความสำเร็จไปอีกขั้น
ทันทีที่เข้าห้องนายก็เตรียมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เขาไม่ชอบใส่สูทเวลาอยู่บ้าน แต่ชอบสวมเสื้อคลุมเดินไปเดินมาเพื่อความคล่องตัว นับเป็นอาหารตาไม่เลว ส่วนผมเองก็ต้องทำอาหารที่กินได้จริงๆ โดยการสวมผ้ากันเปื้อนหันหน้าเข้าหาครัว หยิบวัตถุดิบจากในตู้เย็นออกมาจัดวาง นำอกไก่ย่างในกระทะโดยใช้น้ำมันแค่เคลือบบางๆ เป็นอย่างแรก แล้วค่อยทำซัลซ่ามะม่วงเป็นซอสราด
ผมเลือกทำเมนูนี้เพราะใช้เวลาไม่นาน และสังเกตว่านายไม่ค่อยทานผลไม้สักเท่าไหร่ อาจเพราะเขาไม่ใช่คนที่จะลงไปจับจ่ายซื้อของด้วยตัวเอง ถ้าไม่มีคนดูแลก็ปล่อยปละละเลย
“อาหารเสร็จแล้วครับ” ผมเรียกนายซึ่งนั่งทำงานตรงโซฟาระหว่างถือจานวางบนโต๊ะ เขาทำทีเป็นไม่สนใจ หลังพิมพ์ก๊อกแก๊กไปสักพักก็วางโน๊ตบุ๊คกับโซฟา แล้วเดินมานั่งรับประทานอาหารโดยไม่คิดรอผมสักนิด
“อร่อยมั้ยคุณ” ผมพยายามชวนคุย นายไม่ตอบเช่นเคย จับมีดและส้อมหั่นเนื้อไก่อย่างสง่างามไร้เสียงกระทบจาน มีมารยาทแต่เก็บเกลี้ยงไม่เว้นกระทั่งเศษมะม่วง เห็นเขาเจริญอาหารผมก็สุขใจ
นายน่ะถึงไม่พูด...แต่แสดงออกมาชัดจะตาย
ผมคิดว่าให้เขาทำบึ้งตึงแบบนี้ไปตลอดก็ไม่เลว ดีกว่าโดนไล่เป็นไหนๆ แถมนายไม่ได้ทำเหมือนผมเป็นไรฝุ่นแล้วด้วย
ดีแล้ว ดีแล้วผมมองนายที่ก้มหน้าก้มตาทานแล้วไล่สายตาไปยังไหปลาร้าที่ลอดจากสาบเสื้อคลุม หลายวันนี้พยายามหลายต่อหลายครั้งไม่ให้แตะตัวนายเพราะกลัวจะอดใจไม่อยู่ เขาน่ะยังเว้นนานๆ ได้เพราะอายุมากแล้ว เผลอๆ จะดีกับสุขภาพด้วยซ้ำ แต่ผมนี่สิ จากที่เคยทำทุกวันพอขาดหายไปก็เหมือนจะอึดอัดชอบกล
ผมเหลือบมองไวน์ที่เปิดวางบนโต๊ะแกล้มอาหาร แวบแรกคิดจะลองมอมนายดีมั้ย แต่นางฟ้าเอกในใจก็โผล่มาฆ่าซาตานทิ้ง แถมยังตวาดด่าว่าผมยังไม่เข็ดอีกรึไง
เฮ้อ...ต่อสู้กับจิตใจชั่วร้ายของตัวเองช่างเหนื่อยจริงๆผมลูบหน้าขับไล่ความฟุ้งซ่านแล้วเริ่มทานบ้าง ขณะคิดว่าจะชวนนายคุยเรื่องอะไรดีเสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายก็ดังแทรกซะก่อน
นายทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่ชอบใจ เขาไม่ชอบถูกขัดจังหวะระหว่างรับประทานอาหาร พอดูปลายสายที่โทรมาก็เลิกคิ้ว ก่อนจะวางทิ้งไว้เหมือนเดิมไม่คิดรับสาย
ผมล่ะคันปากยิกๆ อยากจะถามเหลือเกินว่าเป็นใคร แต่ไม่ทันได้พูดเสียงริงโทนที่เงียบไปครู่หนึ่งก็ร้องลั่นอีกครั้ง
นายขมวดคิ้ว รวบมีดและส้อมไว้บนจานที่เพิ่งทานได้แค่ครึ่งเดียว รับกระดาษทิชชูจากผมไปเช็ดปาก ก่อนจะกดรับโทรศัพท์ด้วยท่วงท่าเหนื่อยหน่ายรำคาญใจ
“ว่ามา”
จากนั้นปลายสายก็พูดยาวเหยียดจนเขาเป็นฝ่ายรับฟังท่าเดียวพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่นขึ้นเรื่อยๆ ผมลอบมองอย่างนึกฉงน สบเข้ากับสายตาของนายที่มองมาคล้ายขอความเห็น
หรือว่าจะเป็น...
“เปิดเสียงสิคุณ”
นายลังเล คล้ายต่อต้านไม่อยากทำตามคำของผม แต่สุดท้ายก็ยอมกดปุ่มเปิดเสียง
เป็นคุณนิดจริงๆ ซะด้วย!
(( ช่วยพวกเราด้วยเถอะนะพี่ แม่ของผมกำลังป่วยหนัก อย่างน้อยก็ช่วยมาดูอาการ ยังไงซะเราก็เป็นญาติกัน นะครับพี่... ))
ผมอึ้งกับการโกหกของคุณนิดจริงๆ รีบส่งสัญญาณมือบอกนายว่าแม่ของคุณนิดไม่ได้ป่วยเป็นอะไรทั้งนั้น โชคดีเป็นบ้าที่ยังตามสืบอยู่ แถมในครั้งนี้นายก็ยอมเชื่อคำของผมอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ
“นั่นไม่ใช่แม่ฉัน ทำไมฉันต้องไป”
เขาถึงกับแค่นหัวเราะดูแคลน
(( แต่...แต่ว่า... ))
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงล้มโครม ดังสนั่นจนผมกับนายได้ยินชัดเจน
“แม่!!!”
คุณนิดตะโกนลั่น พร้อมเสียงเอะอะโวยวายลอดผ่านโทรศัพท์ที่เหมือนถูกวางทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจ ผมกับนายพยายามเอียงหูฟังเพื่อจับผิด ได้ยินคร่าวๆ ว่าจู่ๆ แม่คุณนิดก็ตกบันไดลงมาหัวฟาดพื้น หมดสติทันที
...อะไรจะประจวบเหมาะขนาดนี้ผมสังเกตถึงความผิดปกติ นายเองก็ไม่ต่างกัน
คุณนิดตะโกนแทรกให้สมรรีบอุ้มพาไปโรงพยาบาลโดยไม่แม้แต่จะรั้งรอทั้งที่เมื่อกี้พยายามกล่อมนายตั้งมากมาย ทำให้อดเชื่อไม่ได้ว่าหรือจะเป็นความจริง...เพราะถ้าเตี๊ยมกันมา เขาควรจะรีบเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดเพื่อเรียกร้องความเห็นใจสิ แถมยังผิดจุดประสงค์ไปไกลโข จากตอนแรกพยายามให้นายไปหาที่คฤหาสน์ ตั้งใจเล่นลูกไม้ใช้สายสัมพันธ์เกลี้ยกล่อม กลายเป็นทิ้งนายไว้กลางทาง ส่วนเขาก็รีบวิ่งแห่ออกจากบ้านไปพร้อมสมร
เสียงโทรศัพท์ตัดไปหลังจากนั้นไม่นาน
ผมกับนายล้วนตกอยู่ในความเงียบ
“...”
“...”
“ผมคิดว่า...เมื่อกี้อาจจะเกิดขึ้นจริง”
“หึ กรรมตามสนองน่ะสิ” นายพึมพำก่อนจะชะงักกึก กัดปากอย่างแรงเมื่อเผลอโต้ตอบกับผมอีกครั้ง
“ไม่เอาน่าคุณ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเราสองคนแล้วนะ”
ผมพยายามหาทางประนีประนอม เพราะถ้าไม่พูดออกไปก่อนก็อย่าหวังว่านายจะเป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ ที่สำคัญ...ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว เรื่องทิฐิอะไรไม่เคยคิดจะแบกไว้บนบ่าให้หนักตัวสักนิด
“ถือว่าพักยกก็ได้ คุณยังไม่ยกโทษให้ผม แต่เราแค่พักยกกันเพื่อจัดการเรื่องของคุณนิดให้เสร็จ หลังจากนั้นคุณจะไม่คุยกับผมต่อ ยังโกรธยังแค้นยังไงก็ทำได้เหมือนเดิม”
ผมถือวิสาสะแตะเบาๆ ที่ปลายนิ้วของนายเพื่อแสดงความจำนน นายหลับตานิ่งไปครู่หนึ่งราวกำลังชั่งน้ำหนัก ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่ได้เป็นฝ่ายเสียหาย
“ก็ได้” นายคล้ายกับยกก้อนหินออกจากอก อย่างน้อยเขาก็สามารถด่าผมได้ตามใจปากสักที “พักยกชั่วคราวเท่านั้นนะ”
“ครับผม”
ผมยิ้มอย่างโล่งใจ ไม่ว่าคุณนิดจะจงใจหรือไม่ แต่เขาก็ทำให้เราแตกคอและหันหน้าเข้าหากันซะอย่างนั้น
“คุณจะไปมั้ย”
“ทำไมฉันต้องไป” พอได้พูดตามต้องการ นายก็เชิดหน้าอย่างมาดมั่นแฝงความเย่อหยิ่งจองหองไม่เห็นหัวใคร “จะเกิดอะไรก็ต้องเกิด ฉันไม่มีหน้าที่ต้องไปรับผิดชอบความเป็นความตายของใคร โดยเฉพาะกับคนที่ไม่หวังดี”
“แต่นั่นเป็นคุณแม่ของน้องชายคุณนะ อายุไม่ใช่น้อยๆ หกล้มแค่ครั้งเดียวก็สามารถถึงชีวิตได้เลย”
“มันไม่ใช่น้องชายของฉัน”
“แล้วทำไมคุณถึง...มือสั่นแบบนี้ล่ะ”
นายเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะเหลือบมองมือที่กำแน่นบนโต๊ะที่ผมกำลังแตะเบาๆ มือนั้นสั่นสะท้านน้อยๆ โดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันสังเกตเห็นซะด้วยซ้ำ
“คุณกำลังกลัวอะไร กำลังฝืนทนอยู่รึเปล่า เป็นเพราะนึกถึงเรื่องแม่ของคุณใช่มั้ย”
วูบหนึ่งคล้ายเกราะอันแข็งแกร่งของเขาสั่นไหว
“ตอนที่แม่ของคุณเสีย คุณไม่มีแม้แต่โอกาสจะ...”
“มากไปแล้วนะเอกภพ!” นายตวาดลั่น ผุดลุกขึ้นยืนพร้อมตบโต๊ะเสียงดัง “ฉันไม่ได้อนุญาตให้แกพูดจาอวดดีแบบนี้!”
“เจ้านาย...” ผมเอ่ยเสียงอ่อน ทั้งที่แววตาแข็งกร้าวจริงจัง “อย่าลืมสิว่าคุณไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจมาสั่งไม่ให้ผมทำอะไรทั้งนั้น คุณเองก็ไม่จำเป็นต้องตอบผมก็ได้ ผมแค่พยายามช่วยวิเคราะห์”
“ไม่จำเป็น!”
“ทำไมจะไม่ล่ะครับ” ผมยืนขึ้นบ้าง เผชิญหน้าเข้าหาเขาอย่างไม่กลัวเกรง “ผมรักคุณ แล้วมันผิดตรงไหนที่ผมอยากเข้าใจคุณมากขึ้น ผมอยู่ตรงนี้แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องปิดบัง ไม่จำเป็นต้องฝืนเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ความจริงแล้วคุณกำลังเป็น!”
นายต่อยหน้าผม มันเจ็บนิดหน่อย...แรงของเขาน่ะเทียบกับเก่งไม่ได้เลย อันที่จริงผมว่าเขาต่อยคนไม่เป็นด้วยซ้ำ ไม่งั้นปกติจะเอาแต่ตีผมเหรอ
แสดงว่าครั้งนี้เขาโกรธจัดมากจริงๆ เพราะผมกล้าขนาดล้วงลึกเอาความในใจเขาออกมาทั้งที่สถานะของพวกเราไม่อาจเรียกได้ว่ากำลังคบหากัน
แล้วผมเอาสิทธิ์อะไรไปทำแบบนั้น
ช่างหัวมันสิ!
“ปากคุณบอกว่าไม่ แต่การที่คุณยอมเปิดเสียงให้ผมฟังด้วย ก็เพราะคุณลังเลแต่แรกแล้ว และการที่คุณยอมพักยกคุยกับผม ก็เพราะอยากให้มีคนช่วยทักท้วงไม่ใช่รึไง ใจคุณอยากจะไป เพราะถึงจะรังเกียจทางนั้นมากแค่ไหนแต่คุณก็ไม่กล้าเดิมพันกับชีวิตของแม่คนหนึ่ง นาย...ตอนนั้นคุณไม่มีแม้แต่โอกาสจะบอกลาคุณแม่ของคุณ นั่นทำให้คุณเกลียดชังครอบครัวนี้เหลือเกิน คุณเกลียดที่ทุกคนบีบคั้นให้คุณต้องไปเรียนต่อ หลังกลับมาคุณถึงใช้ความสามารถทุกอย่างในการสร้างอำนาจเพื่อเหยียบย่ำพวกเขา เพื่อสร้างฐานของตัวเองให้สูงขึ้นจนไม่ว่าใครก็เอื้อมไม่ถึง”
ผมเว้นช่วงครู่หนึ่ง ถ้าไม่ติดว่ามีโต๊ะขวางกั้น นายอาจจะฆาตกรรมผมแล้วก็เป็นได้
“เรื่องของนิลกาฬก็เหมือนกัน คุณรักนิลกาฬเพราะสงสารที่เขามีปมเรื่องแม่ คุณจึงยินดีที่จะรับดูแลเขาจนกลายเป็นการกักขัง และถึงจะโดนหักหลังยังไง คุณก็ยังช่วยเหลือแม่ของนิลกาฬ เพราะคุณอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากไม่ใช่เหรอ”
“พอสักที!”
นายพยายามจะต่อยผมอีกครั้ง แต่คราวนี้โดนจับแน่น นายถลึงตามองผม แต่ในแววตานั้นมีความรวดร้าวแทงใจดำอย่างจัง
คิดว่าจะปิดบังผมที่จับจ้องเขาทุกอิริยาบทได้งั้นเหรอ
คนที่รู้จักเขาดีคนนี้
“อย่ามายุ่งกับฉัน ปล่อย!”
“คุณกลัวว่าถ้าแม่ของคุณนิดเป็นอะไรไปขึ้นมาจะกลายเป็นความผิดของคุณ ถึงจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับทางนั้นมากแค่ไหน แต่คุณก็ไม่อยากเป็นสาเหตุให้ใครก็ตามต้องสูญเสียในสิ่งที่คุณให้ความสำคัญแต่ไม่มีโอกาสได้บอกลา นาย...กับแค่การไปหาคนที่คุณเกลียดเพราะเป็นห่วง ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นฝ่ายแพ้ ไม่มีใครดูถูกคุณหรอก!”
นายมองด้วยสายตาอึ้งตะลึงราวถูกปอกเปลือกอย่างหมดจด ก่อนที่เขาเม้มปาก คล้ายอยากโต้เถียงแต่กลับหาคำแย้งไม่ได้
“ไม่เหนื่อยเหรอครับนาย...” ผมเอ่ยพลางเดินอ้อมโต๊ะเข้าไปใกล้ ลูบใบหน้าของเขาที่ก้มต่ำไม่ยอมตอบคำ “กดคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสูงส่งกว่า เหยียดคนอื่นเพื่อรักษาจุดยืนไม่ให้ใครกล้าหยาม คุณไม่เหนื่อยเหรอครับ...ถ้าจะปล่อยวางลงบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก”
ผมกอดเขาหลวมๆ
“ซื่อสัตย์กับตัวเองหน่อยเถอะ”
นายยังไม่พูดอะไร แต่ผมรู้ว่าเขาฟังทุกคำอย่างตั้งใจ
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ให้คุณไปคนเดียวหรอก จะไม่ให้ใครทำอะไรคุณได้ทั้งนั้น” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เพื่อไม่ให้เขาคิดว่าผมกำลังพยายามควบคุมหรือถือโอกาสวางตัวเหนือกว่า “ผมรักคุณนะ รักทั้งหมด...ที่เป็นคุณ”
เป็นครั้งแรกที่เขายินยอมฟังคำบอกรักผมโดยไม่คัดค้าน
และเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าเขายอมเชื่อคำนี้อย่างหมดใจโดยไม่มีอคติเจือปน
เกราะของนายถูกทำลายอย่างหมดจดโดยที่เขายินยอมให้ผมโอบกอดเพื่อซบหน้าลงกับบ่า วินาทีนั้นเหมือนกับพวกเราเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาสองคนที่รู้จักตัวตนของกันและกันเป็นอย่างดี
ไม่มีเจ้านายคนที่ปกป้องตัวเองด้วยการดูแคลนเหยียดหยามผู้อื่น
ไม่มีเอกภพคนที่ปล่อยวางและทำตัวเฉยชาตามกระแสโลก
ไม่จำเป็นต้องตอบรับ
ขอแค่อยู่ด้วยกันอย่างนี้...
ผมก็พอใจแล้ว
โชคดีที่อาการของแม่คุณนิดไม่หนักหนาสาหัสมาก นายจึงยอมเขียนเช็คหนึ่งแสนให้อย่างไม่ลังเลทั้งที่อิดออดมานาน เพราะรู้ดีว่าเงินก้อนนี้จะถูกนำไปใช้ในการรักษา ไม่ใช่เอาไปโปะหนี้ที่มาจากการโกงคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แถมยังข่มขู่เขาอีกต่างหาก
คุณนิดพึมพำขอบคุณ ไม่กล้าแม้แต่จะอธิบายถึงโทรศัพท์ก่อนหน้านั้นด้วยความละอาย นี่เป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกของสองพี่น้องหลังห่างเหินกันเป็นยี่สิบปี ส่วนสมรยืนมองอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางวิตกกังวลคล้ายสาวน้อยที่เพิ่งเจอไอดอลคนรักครั้งแรกอย่างคาดไม่ถึง และยิ่งเหงื่อแตกซิกเมื่อนายปรายตามอง แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่แค่กวาดตาผ่านๆ ก็ตาม
“พ่อบ้าน?”
“อ้อ คุณสมคิดน่ะเหรอครับ”
คุณนิดเจียมเนื้อเจียมตัวเหมือนข้าทาสในเรือนเบี้ยทันทีเมื่อเจอพี่ใหญ่ที่แผ่รัศมี ‘ข้ามาเพราะอยากมาเอง แต่ยังไงข้าก็เกลียดเอ็งทุกครั้งยามสบตา’ ในมือถือเช็คสั่นๆ เหมือนฝืนใจจะรับเมื่อต้องแลกกับสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเอาซะเลย
“เขาอยู่เฝ้าบ้านนะครับ ว่าแต่...” คุณนิดค่อนข้างประหลาดใจเมื่อนายรู้ว่ายังมีพ่อบ้านอีกคน
ผมอมยิ้ม เขาทำเป็นไม่สนใจแต่กลับจำรายละเอียดได้ทุกอย่าง
“อ้อ...” นายครางในลำคอ ก่อนจะหันหลังกลับ
“ดะ เดี๋ยวสิครับ!”
“พรุ่งนี้ฉันจะไปหาที่บ้าน”
“บ้าน?”
“เตรียมตัวให้ดี”
นายทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากห้องโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองสมรให้ผมหึงหวงซะด้วยซ้ำ ส่วนคุณนิดก็โดนประโยคอันน่าเหลือเชื่อจากปากนายโจมตีจนยืนค้างหน้าประตู ใครจะเชื่อว่าคนอย่างนราธิปที่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับครอบครัวตัวเองมานานจะยอมพูดออกมาง่ายๆ ว่า ‘บ้าน’
เหมือนปมในใจของนายถูกคลายออกอีกเปลาะหนึ่ง
ผมได้แต่ยกความดีความชอบให้ตัวเอง คนอย่างนายไม่ให้โอกาสใคร แม้กระทั่งตัวเอง บีบเค้นจนแทบจะยืนอยู่ในทางตันที่ไม่เหลือใครอยู่แล้ว ทั้งที่ความจริงเป็นคนอ่อนไหว อย่าว่าแต่เรื่องคุณนิดเลย เรื่องของผม...เขาเผลอไผลตั้งหลายครั้ง แต่ที่ไม่ยอมยกโทษให้สักที ก็เพราะทิฐิที่เขาไม่กล้ายอมรับว่า...เขาตกอยู่ในกับดักของผมตลอด
ผมน่ะตามง้อเขาได้เสมอ แต่กับเรื่องครอบครัวของเขานั้นรอไม่ได้
มันมีแต่ยืดเยื้อและคาราคาซัง เป็นผลเสียกับทั้งสองฝ่าย
ถ้าผมไม่ฝืนกระชากความจริงข้อนี้ออกมา นายก็จะเอาแต่ปกปิดแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกเจ็บ ทั้งที่ไม่ใช่เลย เขารู้สึกอยู่เสมอ แต่เก็บซ่อนไว้ใต้ฐานที่ยกสูงขึ้นเหนือคนอื่นเพื่อปกป้องตัวเองต่างหาก
นายคิดว่าการหันกลับไปสะสางปัญหาที่โยนทิ้งไปแล้วคือการเสียหน้า
แต่ความจริงแล้วคือการเผชิญหน้า
“คุณคิดเหมือนผมใช่มั้ยว่าตัวพ่อบ้านน่าจะมีปัญหา”
“ฉันถึงจะไปดูด้วยตาไงล่ะ” นายตอบอย่างขอไปทีเหมือนไม่ใส่ใจ
“ไม่ต้องห่วงนะ...” ผมโน้มศีรษะก้มกระซิบข้างหูเขาเบาๆ เผยยิ้มมุมปากที่แฝงความรักใคร่และเต็มไปด้วยความนัยแอบแฝง
“ผมจะไปกับคุณแม้ว่าจะเป็นในนรกก็ตาม”
จะไม่มีวันปล่อยเด็ดขาด
“แต่ฉันจะไม่ไปกับแกหรอกนะ” นายเอ่ยเสียงห้วน ดันอกผมแล้วเดินหนีอย่างรู้ทันว่าคู่สนทนากำลังคิดพิลึกชวนโมโห แต่วูบหนึ่งดวงตาคู่นั้นกลับประกายระยับชอบใจ
คนที่อยู่ตัวคนเดียวมาตลอดอย่างนาย ประโยคของผมเมื่อครู่คงแว่วแหวานยิ่งกว่าคำบอกรักซะอีก
อย่าว่าแต่นายทลายเกราะตัวเองที่ขีดกั้นระหว่างตัวเขาและครอบครัว อคติที่ใช้ผลักดันตัวผมให้ออกห่างก็คล้ายจะลดน้อยลงจนหน้าปลื้มใจ
คืนนั้นผมไปทำงานที่คลับ ส่วนนายก็พักผ่อนเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์วันพรุ่งนี้...
ได้เวลาเผด็จศึกเสียที
-------------
ใกล้จบแล้วค่ะ ใจหายสุดๆ เลย เราเป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง เวลาแต่งนิยายใกล้จบทีไรจะจิตตกทุกที QAQ
แต่ไหนๆ มาถึงตอนนี้แล้ว...ใคร #ทีมเอก ใคร #ทีมนาย ขอเสียงหน่อยยยยย
เพจนักเขียนที่อยู่ทีม...เอกนาย 555