Interval 2: The Underworld (end) จิวซือรู้สึกราวกับว่าโลกหยุดหมุน ทุกอย่างรอบตัวพลันชะงักลง หรืออาจเป็นเพราะหัวใจของเขาหยุดเต้นไปเสียเองก็ได้ เงยหน้ามองอี้เทียนที่ไม่ทราบว่าหันมามองเขาตั้งแต่เมื่อไร ดวงตาสองสีปราศจากแววล้อเล่น ที่จริงเขาสงสัยมาตลอดว่าอี้เทียนพาเขามาที่ยมโลกทำไม แต่ไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าจะได้ยินคำถามนี้
“อยู่กับข้า”
จิวซือสูดลมหายใจเข้าลึก สมองของเขาว่างเปล่า ความนึกคิดแทบถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดไปจนหมด มือของอี้เทียนที่ยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเขาสั่นจนอยากยื่นมือไปกุมทับ แล้วบีบแน่นๆ แต่...ทำไม่ได้
จิวซือหลับตาลง ผ่านมานานมากแล้ว หากรวมด่านคุณธรรมก็นับว่าผ่านมาหลายชาติหลายภพ จะบอกเขาไม่เปลี่ยนไปเลยคงเป็นไปไม่ได้ กระนั้นก็ไม่อาจสลัดความคิดที่มีต่ออี้เทียน ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย เขาเหมือนจะจมลง ทรวงอกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก
โซ่ตรวนที่ตงหวางพูดถึงคงเป็นสิ่งนี้กระมัง
“ข้าไม่มีวันตาย ไม่ต้องกลัวข้าตายจากเจ้าไปอีก”
ตึก!
เหมือนถูกทุบลงกลางใจ หนักหน่วงจนหน้าอกสะท้อนแรง สมองอื้ออึง เสมือนว่าความรู้สึกที่ผนึกไว้จะทะลักทลายออกมาหากเขาเผลอแม้เพียงเสี้ยววินาที บาดแผลที่ปิดไว้ถูกอีกฝ่ายเปิดเปลือย กระทั่งโลหิตสีแดงสดไหลซึม แม้ทราบว่าเป็นวิธีรักษา ก็ไม่อาจหลอกตัวเองว่าไม่เจ็บปวด จิวซือกำหมัดแน่น กระพริบตาถี่ๆ ไล่ความอุ่นร้อนในดวงตา สูดลมหายใจเข้าลึก
ใช่แล้ว เทพยามาเป็นอมตะ หมื่นปีที่ครองยมโลก เขาไม่มีวันตาย เพราะเขาคือยมโลก ยมโลกก็คือเขา
ตรงข้ามเวลานี้เขาคือจิวซือไม่ใช่ซื่อเสวี่ยน และซื่อเสวี่ยนไม่ใช่เขา
ดวงตาที่ปิดลงเมื่อครู่พลันลืมขึ้น ม่านหมอกที่ปกคลุมจางออกกลายเป็นความสุกสว่าง
“ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้”
คำตอบของจิวซือทำให้มือของอี้เทียนชะงักค้าง บรรยากาศกดดัน หนาวเย็นแผ่จากร่างสูงใหญ่ ดวงตาสองสีหรี่ลงเคลือบด้วยไอมืด บดบังความรู้สึกของเจ้าตัว ทว่าเสียงลมหวีดหวิวเจือโศกเศร้าและไม่ยินยอมพัดมาจากทั่วทุกสารทิศกลับสะท้อนอารมณ์รุนแรงของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี
จิวซือยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ปราศจากการดัดแปลง ปราศจากการปกปิด อาจเพราะบาดแผลที่ใหญ่ที่สุดของเขาได้ปรากฏเบื้องหน้าอีกฝ่ายไปแล้วก็ได้ เขากล่าวว่า “ข้ายังเหลือด่านคุณธรรมอีกสองด่าน”
เสียงลมหวีดหวิวค่อยๆ เบาบางลง ดวงตาสองคู่สบกันอยู่อย่างนั้นนานนับนาที ก่อนที่อี้เทียนจะพยักหน้าลง
ไม่มีคำถาม
ไม่มีคำอธิบาย
มีเพียงความเงียบและเสียงลมพัด
ความรู้สึกบางอย่างไม่ได้พูดออกไป เก็บกดลึกมาเนิ่นนาน เมื่อถึงเวลา กลับไม่สามารถพูดออกไปได้ ไม่กระจ่างใจด้วยซ้ำว่ายังเป็นสิ่งที่เรียกว่าความรักสึกซึ้งได้อยู่หรือไม่ ด้วยมีบางสิ่งแทรกซึมอยู่ ทั้งความโกรธ ความเศร้า ความอาลัย ความรู้สึกผิด หรือแม้แต่ความต้องการจะหลุดพ้น
ดังนั้น จึงไม่มีคำถาม และไม่มีคำอธิบาย
คงเหวินมองแผ่นหลังเหยียดตรงในชุดสีขาวล้วนของผู้เป็นนายเคลื่อนออกห่างจากสายตาไปเรื่อยๆ ด้วยความสับสน จนบัดนี้ยังไม่เข้าใจความคิดและการกระทำของเจ้าวัง พลอยทำให้รู้สึกว่าตำแหน่งคนสนิทของเขาสั่นคลอน สามวันก่อนเจ้าวังเรียกหาตราผ่านทางไปยมโลก ไม่แปลกที่วังตะวันออกจะมีของสิ่งนี้ ด้วยมีสัมพันธ์ที่ดีกับเทพยามาองค์ก่อน แต่ที่ผิดคาดก็คืออดีตเจ้าวัง หรือพระบิดาของตงหวางทรงนำตราผ่านทางไปด้วย อดีตเจ้าวังชอบท่องเที่ยว ไม่ว่าภพมาร หรือแดนลึกลับที่ใดก็จะทรงดั้นด้นพาพระชายาไปด้วยให้ได้ และไม่มีผู้ใดทราบว่าเวลานี้ทรงประทับอยู่ที่ไหน
วิธีไปยมโลกโดยไม่ใช้ตราผ่านทางก็มีอยู่ แต่เป็นเรื่องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อย เพราะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากหยานหวางที่ดูแลเขตทะเลตะวันออก ขณะที่คิดว่าเจ้าวังจะให้เขาไปพบหยานหวางหรือไม่ ก็เห็นทรงสะบัดชายเสื้อ เดินกลับหอตำราไป และเริ่มจัดการงานสำคัญในส่วนที่เขาตัดสินใจไม่ได้ กลับมาเป็นตงหวาน ผู้ปกครองวังตะวันออกคนเดิม รวดเร็วอย่างที่คงเหวินตามไม่ทัน
หลงคิดว่าจะทรงไม่ใส่ใจเรื่องของเซียนน้อยแล้ว กลับกลายเป็นว่าท่านเจ้าวังเรียกเขามาสั่งการให้ดูแลวังตะวันออกแทนอีกหลายวัน ขณะที่เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น พระวรกายสูงใหญ่ก็จากไปไกลแล้ว
หอคุณธรรม เป็นหอทรงหกเหลี่ยมสีทองสูง 11 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงกว่าหอทั่วไป ดังนั้นความสูงโดยรวมของหอคุณธรรมจึงเทียบได้กับหอสูง 20 ชั้น อยู่ในเขตแดนชั้นนอกจากภพสวรรค์เยื้องมาทางตะวันออก ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแม่น้ำสีเขียวอมฟ้าซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไม่มีต้นสาย ราวกับว่าถือกำเนิดมาพร้อมหอคุณธรรมแห่งนี้ น้ำเป็นสื่อวิญญาณ ดังนั้นสิ่งวิเศษอย่างหอคุณธรรมถึงถูกหล่อเลี้ยงด้วยน้ำ
หอสูงแห่งนี้เป็นสิ่งวิเศษที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในภพสวรรค์เพื่อร้อยปีก่อน เดิมทีมีผู้คนมากมายพยายามเป็นเจ้าของมัน แต่ไม่เคยมีผู้ใดทำสำเร็จ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหอคุณธรรม แต่ถูกสวรรค์ใช้เป็นสถานที่ทำงาน เพื่อคัดเลือกเทพหน้าใหม่แทน เจ้าหน้าที่ที่ทำงานที่หอคุณธรรมเรียกว่าผู้คุมกฎ สังกัดกองบริหาร ขึ้นตรงกับจอมเทพ มีหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อยของด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ พวกเขาล้วนเป็นเทพชั้นกลาง แต่อาศัยว่ามีจอมเทพเป็นเจ้านายโดยตรง ดังนั้นจึงมีฐานะสูงกว่าเทพในระดับเดียวกันอยู่เล็กน้อย
เปียวขุย เป็นหนึ่งในผู้คุมกฎ เขาเป็นชายรูปร่างสันทัด ผิวกายสีทองแดง ใบหน้ารูปเหลี่ยม หน้าผากกว้าง ริมฝีปากหน้า ใบหน้าของดูคล้ายชายชาตินักรบมากกว่าเทพที่มักมีผิวกายขาวละเอียด และใบหน้าสวยงามปานรูปสลัก รูปลักษณ์ภายนอกสามารถบ่งบอกถึงสายเลือดและชาติกำเนิดได้ดีในระดับหนึ่ง ยิ่งรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบเท่าไรยิ่งมีโอกาสเป็นเทพชั้นสูงหรือมีพลังเทพบริสุทธิ์มากเท่านั้น ดังนั้นเทพที่ถือกำเนิดจากครรภ์ของเทพ หรือสิ่งวิเศษบนสวรรค์ มักมีรูปร่างหน้าตาสวยงามโดดเด่น ตรงข้ามผู้ที่ได้บรรลุเป็นเทพจากวิธีอื่นๆ เช่น การเลื่อนขั้นจากเซียน มักมีรูปลักษณ์เป็นรองอยู่บ้าง
เปียวขุยก็เป็นหนึ่งในกรณีหลัง เขาเข้าสู่วิถีเซียนและต้องเผชิญกับด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติถึงสามครั้งกว่าจะได้เลื่อนเป็นเทพ เดิมทีคิดว่าจะสอบตก ตัดใจยอมรับว่าจะต้องเป็นเซียนไปตลอด เคราะห์ดีที่ได้พบกับพระแม่ ช่วยให้ผ่านบททดสอบมาได้ พระแม่เป็นผู้มีพระคุณของเขา ดังนั้นเมื่อได้รับการไหว้วานให้ช่วยงานหนึ่ง เขาย่อมยินดีปฏิบัติตาม
แค่ส่งดวงจิตของเซียนน้อยตนหนึ่งไปด่านคุณธรรมที่ยากกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเอง เขาไม่เคยสงสัยเจตนาของพระแม่ ไม่เคยตั้งคำถามว่าเพราะอะไร กระทั่งตงหวางแห่งวังตะวันออก มาเยือนหอคุณธรรม
เพราะตงหวางบอกว่ามารอเซียนนามว่าจิวซือ ซึ่งเป็นเซียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา เปียวขุยจึงกลายเป็นผู้ที่คอยต้อนรับตงหวางไปโดยปริยาย เห็นว่าตงหวางอยากได้เซียนผู้นี้ไปทำงานที่วังตะวันออก ก็มีตัวอย่างคล้ายๆ อย่างนี้อยู่หรอก การที่เทพชั้นสูงมาจองตัวเซียนที่กำลังจะสำเร็จเป็นเทพ โดยเฉพาะในทัพสวรรค์ที่มีสิทธิ์เลือกเป็นอันดับแรกๆ แต่ก็ไม่เคยมีเทพชั้นสูงผู้ใด หรือเจ้าของวังไหน มารอรับเซียนเล็กๆ ถึงหอคุณธรรมด้วยตนเอง
ห้องที่ใช้รับรองอาคันตุกะผู้มีเกียรติอยู่ในชั้น 5 เนื่องจากหน้าต่างเป็นบานสูงแทบจรดพื้น จึงสามารถมองเห็นภายนอกได้ชัดเจน อวิ๋นหนานนั่งตัวตรง ทอดสายตามองสะพานไม้ข้ามแม่น้ำที่อยู่ห่างไปไม่ไกล หากมาจากยมโลก ย่อมต้องขึ้นสะพานด้านนี้
เสี้ยวพลังส่วนหนึ่งของเขาอยู่ในร่างของจิวซือ ดังนั้นจึงเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมาที่นี่ ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองออกจะกระทำเกินเลยไป เพียงเพราะเซียนตนหนึ่ง ถึงขั้นสละเวลาตามติด เดิมทีคิดว่าพักผ่อนในโลกมนุษย์ไม่กี่วันพร้อมทั้งได้ดูพฤติกรรมและช่วยชี้แนะเด็กคนนั้นไปด้วยก็ไม่เลว ไม่นึกว่าจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้
ครั้งแรกที่พบริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัว เขามอบพรให้อีกฝ่าย 3 ชาติ
ครั้งที่สองในภพมนุษย์ เขาไปปฏิบัติภารกิจ บังเอิญได้เป็นเจ้านายของเซียนน้อยตนนั้น เขาจึงให้ความสนใจอยู่บ้าง สุดท้ายเซียนตนนั้นใช้ร่างกำบังหมายช่วยชีวิตเขา
ครั้งที่สาม เป็นเขาพาเด็กคนนั้นกลับมาวังตะวันออก เพื่อตอบแทบน้ำใจที่คิดช่วยชีวิตเขา พบว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง และหัวไว จึงคิดจะชุบเลี้ยงให้เป็นผู้ช่วยอีกคน
ครั้งที่สี่ เขาตามฝ่ายนั้นไปโลกมนุษย์ ได้เห็นตัวตนที่เขาไม่เคยเห็น แข็งแกร่ง สวยงาม ยิ่งทำให้เขาปักใจอยากได้มาไว้ที่วังตะวันออกมากขึ้น กระทั่งร่างมนุษย์ของเด็กคนนั้นเกิดอาการที่พวกครึ่งสัตว์เรียกว่า ‘ฮีท’ กลิ่นหอมของบัวสวรรค์ผสมกับกลิ่นอายพลังเทพของเขา อบอวลอยู่ในอากาศแทบทำลายสติสัมปชัญญะของเขาไปสิ้น หลังจากนั้นมีหลายครั้งที่เขารู้สึกคล้ายบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น แต่ยังไม่ทันได้กระจ่างชัด เจ้าตัวก็จากเขาไปเสียก่อน
อวิ๋นหนานกางมือออกช้าๆ ปรากฏขนนกสีดำเส้นหนึ่งกลางฝ่ามือข้างนั้น
อยู่ยมโลกได้สามวัน จิวซือก็ให้อี้เทียนพาเขากลับมาที่หอคุณธรรม เพื่อเข้ารับบททดสอบชาติที่ 10 เมื่อข้ามสะพานมาถึงหอสูง กลับได้พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบ บุรุษในชุดสีขาวสูงศักดิ์ มีใบหน้างดงามปานรูปสลัก นัยน์ตาสีทองสว่างเจิดจ้าท่ามกลางแสงอาทิตย์
“ท่านเจ้าวัง”
จิวซือค้อมศีรษะทำความเคารพ อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นตงหวางที่นี่ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดที่หอคุณธรรม แต่เขายอมรับว่าดีใจที่ได้เห็นอีกฝ่าย
อวิ๋นหนานพยักหน้ารับ ท่าทีไม่เหินห่างหรือสนิทสนม ดวงตาสีทองสบประสานกับดวงตาสองสีของอี้เทียน กล่าวทักทายตามมารยามว่า “เทพยามา”
“ตงหวาง” อี้เทียนทักตอบ เขารู้สึกคล้ายกับว่าเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว การปรากฏตัวของตงหวางไม่ได้อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของเขา ความรู้สึกไม่สบายใจสายหนึ่งแล่นเข้ามาในใจ แม้แต่ความรู้สึกเช่นนี้ก็ราวกับว่าเกิดขึ้นกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่านเจ้าวังมาธุระที่นี่หรือครับ”
อวิ๋นหนานยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขามองจิวซืออย่างมีความหมาย ก่อนที่ฝ่ามือจะกางออกเผยให้เห็นเส้นขนสีดำมันวาวเส้นหนึ่ง ดวงตาของเขาไม่ละไปจากใบหน้าอ่อนวัย ยามกล่าวว่า
“แอสเชอร์ สเวน เหลือไว้แค่ขนเส้นเดียว” น้ำเสียงนิ่งเรียบแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันบางเบา เมื่อเห็นจิวซือยังมองมาอย่างไม่เข้าใจ จึงถามซ้ำ
“ลืมแล้ว?”
ม่านตาสีดำของจิวซือขยายกว้าง ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อแอสเชอร์ สเวนอีก ยิ่งไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากเทพอวิ๋นหนาน ทว่ายามที่มือของตงหวางเรืองแสงสีทองบางเบา เปลี่ยนให้ขนสีดำกลายเป็นอีกาดำตัวหนึ่ง จิวซือสัมผัสได้ถึงพลังคุ้นเคย พลังที่ดีแลนถ่ายทอดให้เขานับครั้งไม่ถ้วน
“ท่าน...ดีแลน?”
กาดำตัวเล็กเท่าฝ่ามือขยับปีกบินไปเกาะไหล่จิวซือ แล้วถูหัวเล็กๆ ของมันกับสันกรามเขาอย่างออดอ้อน ก่อนจะนิ่งไปเมื่อร่างของอวิ๋นหนานกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าสู่ร่างของมัน ดวงตาสีดำราวลูกปัดเปลี่ยนเป็นสีทองสว่าง ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย
อี้เทียนเห็นดังนั้น ก็วางร่างเรียบลื่นของเสี่ยวเฮยบนไหล่อีกข้างของจิวซือ งูน้อยส่งเสียงฟ่อๆ อย่างพอใจ ขดหาตำแหน่งสบาย อี้เทียนมองกาดำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าสู่ร่างของเสี่ยวเฮย
เปียวขุยทำหน้าไม่ถูก เขามองจิวซือสลับกับอีกาและงูที่อยู่บนไหล่ทั้งสองข้าง จะถือว่าเทพทั้งสองเป็นเทพอารักษ์ได้หรือไม่ หากเป็นเทพอารักษ์ เขาย่อมอนุโลมให้ติดตามเซียนน้อยไปได้เป็นกรณีพิเศษ แต่หากไม่ใช่ จะถือเป็นการลำเอียงอย่างโจ่งแจ้งเกินไป เทพชั้นสูงสององค์แทรกแซงด่านทดสอบคุณธรรม ผู้ที่จะขัดขวางได้มีแต่จอมเทพเท่านั้น ตัวเขาเป็นเพียงผู้คุมกฎ ก่อนหน้านี้ยังเคยใช้เส้นสายภายในเปลี่ยนแปลงบททดสอบของเซียนผู้นี้ไปหลายต่อหลายชาติ ย่อมไม่กล้ารายงานเบื้องต้น เปียวขุยเหงื่อซึมทั่วทั้งร่าง ขยับตัวไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อเห็นสายตากดดันสองคู่ จึงได้แต่กัดฟันยอมรับ แม้แต่น้ำเสียงที่กล่าวกับจิวซือยังอ่อนลงสองส่วน
“สหายเซียน เชิญ”
#วิถีเซียน3p
[/color]
…………………..
Next Station: Apocalypse