ตอนที่ 27 : คนนี้ของเหมียว [End]“เหมียว นั่งดีๆ เดี๋ยวตกเก้าอี้”
“เหมียว?” นุ่นชะงักการตักข้าวเข้าปาก มองใบหน้าของพฤกษ์ก่อนหันไปมองกวีด้วยสายตาเป็นคำถาม
“คนไม่มีแฟนก็เป็นแบบนี้ล่ะน้า” นทเห็นรุ่นน้องทำหน้างงเลยรีบเฉลยให้ตามที่ตัวเองเข้าใจ “คู่นี้เขาก็แค่หาคำน่ารักๆ มาเรียกกันไหม อย่างคู่อื่นก็ตัวเล็ก ที่รัก อ้วน อะไรแบบนั้น”
“อ๋อ” นุ่นพยักหน้าเข้าใจ “แต่เฮียช่วยบอกดีๆ โดยไม่กระแหนะกระแหนกันก่อนไม่เป็นใช่ไหม ได้ที่กัดน้องใหญ่”
“ฮ่าๆ มันอดไม่ได้เว้ย เอ็งต้องเข้าใจ”
“ว่าแต่ทำไมต้องเหมียวละพี่พฤกษ์”
“ไปอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาอีก” เตชิตที่นั่งฟังอยู่ส่ายหัว
“หรือพี่เตไม่สงสัย”
“จะเหลือเหรอ”
“ฮ่าๆ” นุ่นหัวเราะเต็มเสียง มันก็พอกันนั่นแหละว้า
“น่ารักดี” พฤกษ์ตอบยิ้มๆ ไม่ยอมขยายความ
“กวีขี้อ้อนล่ะสิพี่พฤกษ์ ชักอยากเห็นว่าอยู่กันสองคนจะอ้อนขนาดไหน”
โป๊ก!! “โอ๊ย”
“เรื่องของเขาไหม เมื่อกี้ใครบอกนุ่น เสือกอย่างสุภาพอย่าเสือกลามปามสิพี่เต”
“เอ็งสุภาพมากสิ หัวพี่หัวเชื้อเขกลงมาได้ ใครพี่ใครน้องวะ” เตชิตบ่นอุบเมื่อถูกรุ่นน้องเขกหัว เมื่อมีการทำร้ายร่างกายสงครามการเอาคืนระหว่างพี่น้องจึงเกิดขึ้น
กวีลอบสบตากับพฤกษ์ แอบยิ้มขำ ก็ชื่อนี้พฤกษ์เป็นคนตั้งให้เขา ชื่อเชยๆ ที่เขาย่นจมูกเมื่อได้ยิน แต่ตอนนี้กวีกลับชอบมันมาก และพฤกษ์เองก็เรียกจนติดปากไปแล้ว ความลับระหว่างพวกเขาสองคน
✪✥✤✣✦✧✣✤✥✪
“ฝนหลงฤดูหรือไงเนี่ยเปียกหมด” นุ่นบ่นเป็นหมีกินผึ้งเมื่อเดินเข้ามาในบริษัท กวีมองสายฝนที่ตกอยู่ภายนอก นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา เรื่องราวของเขาเริ่มจากวันที่ฝนโปรยปรายแบบนี้
“พี่นุ่น” กวีเรียกรุ่นพี่ที่กำลังซับน้ำจากเสื้อผ้าเสียงดัง
“อะไร พี่ตกใจหมด”
“ผมโดดงานนะ”
“อ้าว ไหนว่าวันนี้ไม่มีเรียน แล้วนี่ก็ใกล้จะเลิกงานแล้วไม่รอก่อนเหรอ”
“ไม่มีเรียนแต่มีธุระ ไม่สำคัญต่ออะไรเลยนอกจากต่อใจอย่างเดียว”
“แหมใช้คำซะ แล้วใครจะกล้าไม่ให้ไปล่ะยะ จะไปก็ไป”
“ผมจะบอกพี่พฤกษ์ว่าต้องไปทำธุระเรื่องเรียนนะ ฝากพี่นุ่นบอกให้ตรงกันด้วยเผื่อพี่พฤกษ์ถาม”
“ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีใช่ไหม ไม่ใช่พี่ร่วมมือแล้วโดนพี่พฤกษ์ถอนหงอกทีหลังนะ” นุ่นหรี่ตามองน้องเล็กด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจ
“ไม่ถอนหรอกน่าผมรับประกัน”
“ก็ได้ งั้นก็รีบไปเดี๋ยวพี่พฤกษ์กลับมาก่อน เมื่อกี้พี่เตโทรมาเห็นบอกว่าออกมากันแล้ว”
“จริงเหรอ งั้นผมไปก่อนนะพี่นุ่น”
“อืม”
กวีรีบออกจากบริษัท เขาส่งข้อความหาพฤกษ์ทันทีที่ขึ้นรถแท็กซี่ ขอให้ไม่เอะใจด้วยเถอะ
“ผมออกไปพบอาจารย์ที่มหาลัยนะครับโดนเรียก เดี๋ยวไปหาที่บ้าน พี่พฤกษ์รีบกลับนะ ผมไปแป๊บเดียว”
✪✥✤✣✦✧✣✤✥✪
ฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่ก่อนเลิกงาน พฤกษ์จอดรถริมรั้วบ้าน หยิบร่มจากเบาะหลังมองออกไปนอกหน้าต่าง กวีจะกลับได้ไหม พฤกษ์หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาแต่ไม่มีคนรับสาย เขาจึงเปิดประตูลงจากรถ คงต้องรอจนกว่าจะโทรมาเผื่ออยากให้ไปรับ
ชายหนุ่มเปิดประตูรั้วเหล็กแบบโปร่งความสูงระดับเอวเข้าไป หยิบกุญแจบ้านเตรียมไขประตู
“เมี้ยว” เสียงร้องเบาๆ เรียกสายตาของพฤกษ์ให้มองหา เจ้าแมวสีส้มนั่งอยู่ใต้พุ่มไม้ แต่คราวนี้นอกจากมันจะไม่หนาวสั่นแล้ว ข้างหน้ามันยังมีกระดาษขนาดเอสี่ที่เคลือบพลาสติกอย่างดีวางอยู่
พฤกษ์กลั้นยิ้ม เขาทำหน้าเฉยเดินเข้าไปหา ก้มหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน
“ผมน่ารักนะ รับเลี้ยงผมไว้สักตัวได้ไหม” พฤกษ์อ่านเสียงดังออกมา
“เมี้ยว” เหมียวส้มลุกขึ้นยืน มันเอาหน้าแนบกับขาของเขา ถูไถหัวเล็กๆ ไปมา
พฤกษ์ก้มลงอุ้มเหมียวส้มขึ้นด้วยมือข้างเดียว เขาเปิดประตูบ้านเข้าไปด้านใน ไม่อยากให้เหมียวส้มเปียกฝนไปมากกว่านี้
เหมียวส้มสะบัดตัวเพื่อเอาน้ำฝนที่เกาะอยู่ออก มันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาออดอ้อนเหมือนวันแรกที่พบ
“หลงมาจากไหน หิวหรือยัง ลืมไปแกพูดไม่ได้นี่ งั้นกินก่อนดีไหมฉันมีอาหารแมวอยู่ แมวเก่าจอมดื้อหนีออกจากบ้านไปแล้ว”
“เมี้ยว” เสียงของเหมียวส้มเปลี่ยนไป ดูเหมือนกำลังขัดใจตัวเองที่ไม่สามารถต่อล้อต่อเถียงกับเขาได้
“หึๆ เอาเถอะฝนกำลังตกพักอยู่ที่นี่สักคืนก็แล้วกัน”
“เมี้ยว” เหมียวส้มเปลี่ยนมาทำเสียงออดอ้อนเหมือนเก่า เข้ามาพันแข้งพันขาเขาจนต้องหยุดเดิน
“พรุ่งนี้ค่อยพาไปส่งกทม.”
“แง้วว” เหมียวส้มหยุดการอ้อนทันที มันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาคาดโทษ พฤกษ์ชักชอบเวลาที่อีกฝ่ายตอบโต้ไม่ได้ มันน่ารักน่าแกล้งดี
“สงสัยจะเป็นแมวเกเรซะมากกว่ามั้ง” พฤกษ์กอดอก ขมวดคิ้วก้มลงไปมอง ทำหน้าไม่แน่ใจว่าจะเลี้ยงดีไหม
“อยากอยู่ด้วยก็ต้องทำตัวให้น่ารัก ไหนน่ารักหรือเปล่าเรา” ชายหนุ่มช้อนตัวเหมียวส้มขึ้นมาวางบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ เขาดึงเก้าอี้ออกนั่ง เหมียวส้มรีบขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ มันเอียงคอน้อยๆ มองเขา พฤกษ์ยื่นมือไปลูบขนสีส้มแซมขาว มันม้วนหัวเข้าซุก พยายามจะแนบหน้ากับฝ่ามือของเขา
“อยากมาอยู่ด้วยกันจริงหรือเปล่า”
“เมี้ยว” เหมียวส้มผงกหัว มันตอบเป็นคำพูดไม่ได้จึงได้แต่แต่ส่งสายตารักใคร่มาหา พฤกษ์ลูบมือบนหัวเล็กๆ ฝนข้างนอกยังตก ท้องฟ้าครึ้ม บรรยากาศสงบเงียบแบบที่เขาชอบ
“เหมียว”
“เมี้ยว”
“เชื่อแล้วว่าเหมียวตัวนี้น่ารักแต่ขอเจออีกเหมียวได้ไหม” พฤกษ์รู้แล้วว่าในความรู้สึกสงบมีความเหงาลึกๆ ซ่อนอยู่ เมื่อครู่เขากลับนึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเด็กแก่แดดและคำพูดเจื้อยแจ้วที่ไม่มีสาระ เขาคิดถึงคนที่อยู่ข้างกัน
“เมี้ยว” เหมียวส้มหยัดตัวขึ้นยืน มันเอียงคอมองเขาน้อยๆ ก่อนกระโดดลงจากโต๊ะ เหมียวส้มหายขึ้นบันไดไปครู่ใหญ่ก่อนกลับลงมา
“พี่พฤกษ์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงห่วงใยนำมาก่อนตัว กวีใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวยาวของเขา ด้านล่างเป็นกางเกงบ๊อกเซอร์ที่มองเห็นเฉพาะเวลาอีกฝ่ายขยับตัว
“เปล่า”
“แปลว่าไม่สนุกใช่ไหมครับ ว้า ผมอุตส่าห์คิดมา เห็นฝนตกเลยนึกถึงวันนั้น กะจะรำลึกความหลังกับพี่พฤกษ์สักหน่อย” กวีดึงเก้าอี้ข้างพฤกษ์ลงนั่ง
“พี่ก็คิดถึง”
“แล้วทำไม?”
“แต่คิดถึงเสียงแจ้วๆ ของเรามากกว่า”
จากสีหน้าสงสัย กวีค่อยๆยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ หัวใจพองโต ความคิดทีเคยเชื่อว่าพฤกษ์ชอบเขาเพราะชอบแมวหายไปทันที วันนี้เขาได้พิสูจน์แล้วว่าพฤกษ์ชอบในแบบที่เขาเป็นจริงๆ
“พี่พฤกษ์~”
“ไม่ต้องทำเสียงอ้อน โดดงานมาใช่ไหม”
“งะ” กวีทำหน้าเซ็ง วางคางลงบนหนังสือของพฤกษ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ “ผมออกมาก่อนแป๊บเดียวเอง”
“หึๆ พฤกษ์อดยื่นมือไปดึงจมูกรั้นๆ นั้นไม่ได้
“เหมียว”
“ครับ”
“ทำไมถึงมาเป็นเหมียว” แปลกที่พฤกษ์ไม่เคยถามกวีเรื่องนี้ และกวีเองก็ไม่เคยบอกเล่าความคิดให้เขาฟัง
“อืม” กวีเอียงหน้าแนบหนังสือ นัยน์ตาครุ่นคิด ตอนที่เขาตัดสินใจเรียกว่าไม่ได้คิดอะไรน่าจะถูกต้องกว่า
“ผมรู้สึกสิ้นหวังมั้งครับ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้พี่พฤกษ์หันมามอง” พฤกษ์ยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ตกลงปรกหน้าผากของกวีออกให้อย่างอ่อนโยน
“ตอนนั้นพี่พฤกษ์กับคุณฤดีมาศเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ผมกลัว”
“พี่กับฤดีมาศเป็นเพื่อนกัน”
“ถ้าไม่หันมารักผมก่อนก็ไม่แน่หรอกใช่ไหมครับ”
“หึๆ” พฤกษ์ไม่ปฏิเสธ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าไม่มีเหมียวส้มมาเป็นตัวกั้นความสัมพันธ์ ระหว่างเขากับฤดีมาศจะเป็นอย่างไร
“ตอนนั้นเราตั้งใจแกล้งฤดีหรือเปล่า” พฤกษ์ถามเมื่อนึกขึ้นได้ กวีเม้มปาก ได้แต่คิดว่าไม่น่าหาเรื่องเข้าตัว
“ก็...” คนพูดพยายามลากเสียงยาว ระหว่างที่สมองกำลังหาคำแก้ตัว
“เอาความจริง”
“ก็ใช่ครับ ก็ผมหวงพี่พฤกษ์นี่” กวีพูดเสียงขึ้นจมูก พฤกษ์มองใบหน้าของเด็กหนุ่ม ถึงยังไงกวีก็ยังเป็นเด็ก แม้เจ้าตัวจะพยายามโตให้ทันเขาแค่ไหนก็ตาม กวีพยายามจนสุดกำลังเพียงเพื่อให้เขาพอใจ ความรู้สึกสงสาร รักและขอบคุณท่วมท้น
“ขอบคุณ”
“อะไรครับ” กวีเลิกคิ้วไม่เข้าใจว่าเขาขอบคุณเรื่องอะไร
“ที่รักพี่มากขนาดนี้”
“พี่พฤกษ์อึดอัดไหม”
“เคยอึดอัด” พฤกษ์ตอบตามตรง “เมื่อไม่ได้รักมันทำให้อึดอัด แต่พอรักแล้วมันทำให้อบอุ่น”
“พี่พฤกษ์” กวีอยากร้องไห้ ดวงตาของเขาแดงเรื่อ กวีลุกขึ้นมานั่งลงบนตักของพฤกษ์โอบมือไปรอบเอว ก่อนทิ้งร่างลงในอ้อมแขนของอีกฝ่ายราวกับคนหมดแรง
“ผมเหนื่อยจัง”
“เป็นอะไร” พฤกษ์มีสีหน้าตกใจ
“เหมือนคนวิ่งถึงเส้นชัยมั้งครับ ในที่สุดผมก็ได้หยุดวิ่งเสียที”
“โธ่เหมียว” พฤกษ์ผละตัวออกเพื่อมองใบหน้าของกวีให้ชัด เขาใช้มือทั้งสองข้างประคองแก้มของหนุ่มน้อย ก่อนประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา
“ไม่ต้องวิ่งแล้วต่อไปเราจะเดินไปด้วยกัน ถ้าเหมียวเดินตามพี่ไม่ทัน บอกพี่พี่จะหยุดรอ”
“ครับ ตกลงครับ” กวีน้ำตาไหล หัวใจของเขาเต็มตื้นไปด้วยความสุข
“หรือถ้าเหมียวจะเดินนำก็ได้นะ แต่รอพี่ด้วย พี่แก่แล้ว”
“ฮ่าๆ พี่พฤกษ์” กวีหัวเราะทั้งน้ำตา ในวันที่สายฝนโปรยปรายและความมืดครึ้มปกคลุมภายนอก โลกของกวีกลับสว่างไสว ความสุขอบอวลอยู่ในอากาศ และความรักอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจของเขา
“ตกลงพี่พฤกษ์รับเลี้ยงผมใช่ไหมครับ” กวีทำเสียงอ้อน
“ไม่รับ”
“พี่พฤกษ์อ่า” เล่นตัวอะไรอีกเนี่ย จากซึ้งอยู่ดีๆ หมดกัน
“หึๆ ที่ไม่รับเพราะยังไม่ได้ไปขอ พี่ต้องไปถามก่อนว่าขอแบ่งแมวจากบ้านคุณกานต์มาเลี้ยงสักตัวได้ไหม ทางนี้อยู่คนเดียวเหงา อยากได้แมวมาอยู่ด้วยกัน”
“โธ่เรื่องแค่นี้เอง” เขาก็นึกว่าเรื่องอะไร “ไม่ต้องขอหรอกครับวันนี้ผมขอแทนให้แล้ว พ่อบอกถ้าพี่พฤกษ์ยอมรับเลี้ยง โทรไปบอกกริ๊งเดียวเดี๋ยวพ่อให้พี่วีเอาเสื้อผ้ามาส่งให้”
“ฮ่าๆ”
“พ่อฝากบอกพี่พฤกษ์ว่า..ขออย่างเดียวรับเลี้ยงแล้วห้ามเอาไปคืน”
“หึๆ”
ตกลงรับไหมครับ รับเลี้ยงผมเถอะนะ นะครับ” กวีเอาคางเกยกับอกของพฤกษ์ เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาอ้อนเต็มกำลัง
“เหมียว”
“ครับ”
“ทำงานบ้านเป็นไหม”
“ไม่เป็น” กวีส่ายหน้ากับอกของพฤกษ์
“ทำอาหารเป็นไหม”
“ได้นิ้ดเดียว”
“ต้มมาม่า ไข่เจียวล่ะสิ”
“เบื่อคนรู้ทัน”
“แล้วทำอะไรได้บ้าง”
“เป็นแฟนพี่พฤกษ์ได้”
“หึๆ”
“เล่นเหมียวซ่อนแอบก็เก่งนะ”
“ฮ่าๆ” พฤกษ์หัวเราะงอหายเมื่อได้ยินเสียงทะเล้นนั้น
“ตกลงไหมครับ” กวีปัดหน้าไปมากับอกแกร่ง แอบแตะริมฝีปากลงบนหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่าย
“อืม..” พฤกษ์แกล้งทำหน้าคิด เหมือนเขาเองก็ยังไม่มั่นใจ
“พี่พฤกษ์~”
“เดี๋ยวสิพี่คิดอยู่”
“ผมทำอะไรได้อีกตั้งเยอะนะ ผมทำให้พี่พฤกษ์ยิ้มได้ ผมเล่นตลกพอได้ ผม..” เพราะกลัวพฤกษ์ไม่รับเลี้ยง กวีจึงร่ายความสามารถพิเศษออกมา จนพฤกษ์ต้องใช้ริมฝีปากปิดเสียงเจื้อยแจ้วนั้นให้เงียบลง
“พอแล้ว เราไม่ต้องทำอะไร แค่เป็นเหมียวของพี่ก็พอ”
“พี่พฤกษ์~ ผมรักพี่พฤกษ์ที่สุดเลย” กวีจูบไปทั่วใบหน้าของพฤกษ์ก่อนถอนริมฝีปากออก ยกมือขึ้นกอดรอบคออีกฝ่าย “ตกลงรับเลี้ยงผมใช่ไหมครับ”
“อืม”
“เสร็จผมล่ะ”
“เดี๋ยว ฮ่าๆ” เห็นท่าทางเหมือนกำชัยชนะของเด็กแก่แดดแล้วพฤกษ์ได้แต่หัวเราะขำ ชีวิตของเขาต่อไปนี้คงไม่ขาดสีสันอีกแล้ว
“นี่ใครครับ”
“หือ?” พฤกษ์เลิกคิ้วเมื่อกวีชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“นี่ใคร”
“เหมียว”
“ถูกต้องครับ”
“แล้วนี่ใคร” คราวนี้กวีชี้มาที่เขา
“เล่นอะไรของเรา”
“ตอบผมมาก่อน”
“อืม..” พฤกษ์กำลังคิดว่าเจ้าตัวอยากได้คำตอบแบบไหนกันแน่
“แฟนเรา” เขาเลือกคำตอบที่คิดว่ากวีอยากให้
“ก็ใช่ครับ คนนี้น่ะ..” กวีทาบมือลงบนหัวใจของเขาก่อนเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง “ของเหมียว”
“ฮ่าๆ” พฤกษ์ดึงกวีเอามากอดแนบอก ลูบหัวเล็กๆ ที่ซุกซบอยู่ รอยยิ้มของเขากระจายทั่วใบหน้า พฤกษ์พบว่าแม้จะมีเสียงของกวีเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ มันก็ยังเป็นวันที่เงียบสงบและผ่อนคลายสำหรับเขาไม่ต่างไปจากเดิม มีเพียงความสุขเท่านั้นที่เพิ่มมากขึ้น
“เหมียว”
“ครับ”
“ไม่ให้กลับไปแล้วนะ”
“โทรหาพี่วีเลย”
“ฮ่าๆ”
กวีอมยิ้มซุกหน้ากับอกของพฤกษ์ ในที่สุดพฤกษ์ก็หนีเขาไม่สำเร็จตกหลุมรักเขาจนได้ ก็บอกแล้วไง ว่า..
คนนี้น่ะของเหมียว ✪✣✤✥✦✧
END ✣✤✥✦✧✪
เอารูปปกคนนี้ของเหมียวกับของแถมมาอวดค่า
ใครสนใจเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจของสนพ.รักคุณ ตามลิ้งก์นี้ได้เลยค่ะ >>
สำนักพิมพ์รักคุณ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องนะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกยอดอ่านหวังที่ทำให้คนเขียนมีกำลังใจ หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้คนอ่านยิ้มได้และมีความสุขนะคะ ขอบคุณค่ะ
สถานีต่อไป
Beside ใกล้.ชิด.รัก /
ทฤษฎีร้อยเล่มเกวียนและฝากเรื่องใหม่ที่ยังไม่ได้ลงด้วยนะคะ ไม่เกินวันที่ 7 นี้จะเริ่มอัพค่ะ
Ma man and his boy บ้านนี้ต้องมีพี่เลี้ยง Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin