ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย
ตาคมทอดมองชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีเข้มเข้ารูปสวมรองเท้าบูทสีน้ำตาลเข้มยาวถึงหัวเข่าที่กำลังจับเชือกบังเหียนจูงม้าเดินไปรอบ ๆ สนามทรายล้อมรั้วไม้สีขาว บนหลังของเจ้าม้ารุ่นขนสีน้ำตาลแดงคือหญิงสาวในชุดลักษณะเดียวกัน ผมยาวถูกเกล้าเก็บสวมทับด้วยหมวกสีดำกันการกระแทก ภาพของสองคนที่เดินคุยกันไปพลางส่งยิ้มให้กันพลางนั้นช่างเหมือนฉากในละครที่สาว ๆ หลายคนฝันถึงไม่มีผิด
“ผมคุ้นหน้าเธอจัง” ธันวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้ดันกรอบแว่น
“นั่นน่ะคุณหนูส้มจี๊ดแห่งฟาร์มศุภโชคไง” ร.ต.อ.เก่งกาจกล่าวขณะโบกมือให้เพื่อนรักที่อยู่อีกฟากของสนาม
“อืม...” อาจารย์หนุ่มนิ่งคิด “จำได้แล้ว ครั้งก่อนผมเจอเธอที่งานประจำปี” และเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาต้องกลับมาที่ปากช่องอยู่หลายหน แม้คันธชาติจะยังไม่ยอมระบุสถานะที่แน่ชัดก็ตามแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งเหมือนก่อน ธันวาเผลอวางหน้าขรึมเมื่อคำพูดในวันวานหวนกลับมาให้นึกถึงอีกครั้ง...
“ผมคงรับผิดชอบอะไรไม่ได้หรอก นอกจากเอาใจช่วยให้คุณหลุดออกจากความรู้สึกนั้นได้โดยเร็ว”เขาพยายามจะพาตัวเองหลุดออกจากความรู้สึกดังกล่าวแล้วไม่ใช่ไม่พยายาม แต่ก็ไม่อาจฝืนหัวใจได้ และในที่สุดความพยายามนั้นก็ถูกใช้เพื่อทำให้เจ้าของถ้อยคำเชือดเฉือนยอมรับความรู้สึกของตนเองแทนที่จะเดินหนีหรือสร้างกำแพงกั้นระหว่างกัน ฝีเท้าม้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ธันวาต้องหยุดความคิดแล้วหันไปมองยังต้นเสียง เห็นหญิงสาวกำลังลงจากม้าโดยมีลูกชายเจ้าของฟาร์มคอยประคอง เมื่อเท้าแตะพื้นจึงเดินไปลูบที่คอเจ้าตัวโตที่ยอมให้เธอขี่โดยไม่มีพยศ
“ขอบใจนะเจ้าน้ำตาล เอาไว้พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะจ๊ะ”
“ว...ว่าไงนะ” คันธชาติเอ่ยขึ้นขณะส่งสายบังเหียนให้เจ้าของร่างกายกำยำที่ก้าวเข้ามาอย่างรู้งาน
“ส้มจี๊ดบอกเจ้าน้ำตาลว่าพรุ่งนี้เจอกันค่ะ ส้มจี๊ดจะมาให้พี่บุ้งสอนขี่ม้าอีก”
ชายหนุ่มเผลอมุ่นคิ้ว “ให้ม้าพักบ้างเถอะ ตัวเราก็ไม่ใช่เบา ๆ นะ”
“พี่บุ้งใจร้าย ว่าส้มจี๊ดอ้วนเหรอคะ” สาวสวยทำหน้างอ “ก็ลุงทินกฤตบอกนี่นาว่าส้มจี๊ดมาเรียนรู้เรื่องม้าที่นี่ได้ทุกวัน”
“ตามใจ ถ้าอย่างนั้นฝึกทำความสะอาดคอกม้ากับอาบน้ำม้าก็แล้วกัน จะได้เข้าใจลึกซึ้ง” ว่าแล้วก็หันไปบอกหัวหน้าคนงาน “พรุ่งนี้ฝากพี่ก้อนดูแลคุณหนูส้มจี๊ดด้วยนะ”
ชายหนุ่มเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่เนื้อตัวคล้ามแดดพยักหน้ารับคำสั่งจากนั้นจึงจูงม้าไปอีกทาง
“แต่ลุงทินกฤตให้พี่บุ้งเป็นคนสอนส้มจี๊ดขี่ม้านะคะ”
“ถ้าคิดจะเลี้ยงม้าก็ต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่สายพันธุ์ของมัน อาหารการกินรวมถึงการจัดการภายในคอกด้วย”
“แต่ว่า...” เมื่อจนใจจะหาเหตุผลมาโต้แย้งหญิงสาวจึงได้แต่มองตาปริบ ๆ กล่าวแบบไม่เต็มเสียง “ส้มจี๊ดอยากให้พี่บุ้งสอนขี่ม้านี่นา”
ลูกชายเจ้าของฟาร์มถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อที่เป็นตัวการเชิญทายาทไร่ข้าง ๆ มาทำให้วันแสนสงบสุขของเขาต้องวุ่นวาย “พี่ก้อนก็สอนได้ พี่เองก็เรียนกับพี่ก้อนมาเหมือนกัน อีกอย่าง...พรุ่งนี้พี่ไม่ว่าง วันนี้ก็ไม่ว่างไปส่งด้วย”
“อ้าว แล้วส้มจี๊ดจะกลับยังไงล่ะคะ”
คันธชาติไม่ได้ตอบคำถาม แต่หันไปหาเพื่อนรักที่กำลังเกาะรั้วยืนฟัง “ฝากด้วยนะไอ้กาจ”
นายตำรวจหนุ่มอ้าปากหวอยกมือชี้เข้าหาตัวเองเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ผิด ในขณะที่คนพูดเดินอาด ๆ ไปปลดสายบังเหียนที่ผูกอยู่ข้างรั้วก่อนจะดึงตัวขึ้นนั่งบนหลังของเจ้าม้าหนุ่มโดยไม่ได้สนใจดวงตาอีกคู่ที่ยังคงมองตามไม่ห่าง
สองตาของธันวาจับจ้องที่ร่างผอมบนหลังม้า ท่าทางของเขาสง่างามพอ ๆ กับเจ้าวอร์มบลัดเพศผู้ขนดำขลับที่กำลังพาเจ้านายของมันวิ่งเหยาะ ๆ ออกไปจากสนามฝึก ไม่นานทั้งคนทั้งม้าก็ลับตาไป
“เอาแต่ใจตัวเองเป็นบ้าเลย” ประโยคที่เก่งกาจและคุณหนูส้มจี๊ดต่างก็พูดขึ้นพร้อมกันทำเอาหนุ่มกรุงเทพฯ ถึงกับอมยิ้ม
“เดี๋ยวส้มจี๊ดโทรให้คนรถมารับก็ได้ค่ะพี่กาจ” เธอกล่าวก่อนลอบสำรวจคนแปลกหน้า
“อย่าลำบากเลย เดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้”
“แต่ว่าพี่กาจมีเพื่อนมาด้วย...” หญิงสาวท่าทางลังเล “ส้มจี๊ดเกรงใจค่ะ”
“ไม่เป็นไร พี่มากันคนละคัน ลืมแนะนำเลย นี่...ดร.ธันวา”
“สวัสดีค่ะดร.ธันวา” หญิงสาวยกมือไหว้
“เรียกธันก็ได้ครับ” เจ้าของชื่อกล่าวอย่างเป็นกันเอง
“ค่ะพี่ธัน พี่ธันเป็นเพื่อนพี่กาจกับพี่บุ้งเหรอคะ”
ธันวาหันไปสบตานายตำรวจเจ้าของกล้ามเป็นมัดที่ยืนอยู่ข้างกัน นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วยังทำผิวปากไม่รู้ไม่ชี้เสียอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นในที่สุดคนถูกถามก็จำต้องตอบรับแบบไม่เต็มเสียงนัก “ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” คุณหนูส้มจี๊ดยิ้มหวาน ยืนบิดไปมาพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับปลายผมเปียอย่างขวยเขิน
“บ้านอยู่ไหนเหรอคะ ส้มจี๊ดไม่เคยเห็นเลย”
“ผมมาจากกรุงเทพฯ น่ะครับ”
“ถึงว่า ผิวพรรณไม่เหมือนคนบ้านเราเลย ตัวก็ซู้งสูง ล้อหล่อ แล้ว...พี่ธันมีฟะ...”
“พี่ว่าเรารีบไปกันเถอะ ป่านนี้คุณอาศุภโชครอแย่แล้ว” เก่งกาจแทรกขึ้น
“แต่ส้มจี๊ดยังคุยกับพี่ธันไม่จบเลยนะคะ” คนพูดทำหน้ามุ่ยอยู่ไม่นานก็หันไปส่งยิ้มให้หนุ่มเมืองกรุงอีกครั้ง กระทั่งเจ้าหน้าคมคายคำรามฮือในลำคอแล้วกล่าวด้วยเสียงเข้ม
“รีบไปเถอะ”
“ก็ได้ค่ะ แต่ส้มจี๊ดขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างไม้ล้างมือก่อนนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ปีนรั้วออกมาก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในอาคารชั้นเดียวซึ่งเป็นโรงเก็บอุปกรณ์ขี่ม้า
“ผมว่าคุณเองก็ควรรีบไปนะครับด็อก ไม่รู้ป่านนี้ไอ้แสบมันไปถึงไหนแล้ว”
เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาจึงเดินมุ่งไปยังแลนด์โรเวอร์ที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ช่อดอกสีขาวลักษณะคล้ายปากแตรกำลังบานสะพรั่งชูช่อเป็นกระจุกแขนง กลิ่นหอมเย็นให้นึกถึงค่ำคืนอันแสนหวานที่ผ่านมาได้เพียงไม่นาน แต่ถึงเวลาจะล่วงเลยจากร้อยวันเป็นพันปีเขาก็ยังเชื่อว่าจะจดจำทุกถ้อยคำและทุกรสสัมผัสได้ไม่ลืมเลือน คิดมาถึงตรงนี้จู่ ๆ หัวใจก็เต้นรัว รีบติดเครื่องรถขับออกไปพร้อมกับมองหาใครบางคน เมื่อขับขึ้นเนินมาได้หน่อยก็เห็นคันธชาติกำลังควบม้ามุ่งหน้าไปยังท้ายฟาร์มซึ่งใกล้กับแนวป่าทึบ ชายหนุ่มจึงขับรถไปตามทางดินที่ทอดลงตัดผ่านแปลงปลูกหญ้าเนเปียร์บนพื้นที่กว่าสามสิบไร่ ผ่านแปลงปลูกทานตะวันกระทั่งสุดทางจึงตัดสินใจจอดรถเมื่อเห็นนายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานกำลังผูกเชือกบังเหียนกับรั้วกั้นบอกอาณาเขต
“ตามมาทำไม” คันธชาติเอ่ยขณะยกมือขึ้นตบเบา ๆ ที่คอเจ้าม้าหนุ่มขนสีดำ
“ตามมาดูคนใจร้าย อุตส่าห์มาตั้งไกลไม่ยอมทักทายกันสักคำ” เมื่อจบประโยคธันวาก็มาหยุดยืนที่ด้านหลังพอดี
“สวัสดี” ลูกชายเจ้าของฟาร์มหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ “พอใจหรือยัง”
“ไปอารมณ์เสียมาจากไหน หืม? หรือว่ามีใครทำอะไรให้ไม่พอใจ บอกผมซิ”
คันธชาติถอนใจเฮือกเมื่อถูกอ่านจนทะลุปรุโปร่ง กระนั้นก็ยังยอมให้อีกฝ่ายสวมกอดโดยไม่คิดขัดขืน นั่นเพราะคำถามเมื่อครู่ได้ดึงเอาบางเรื่องออกมาให้ต้องครุ่นคิด ดวงตาแข็งกร้าวมองผ่านแนวรั้วไปยังทุ่งหญ้ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นครึ้ม ได้ยินลิงค่างกู่ร้องประสานเสียงกับหรีดหริ่งเรไรดังระงม
“คิดอะไรอยู่” หนุ่มกรุงเทพฯ กระซิบถามพร้อมกับใช้ปลายจมูกเขี่ยที่ข้างหูเบา ๆ จนคนในอ้อมแขนต้องเอี้ยวหนี “คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า”
“ทำไมถึงมากับไอ้กาจได้” คนอายุน้อยกว่าเปลี่ยนเรื่อง
“ผู้กองชวนผมมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของกิ่งดาว เห็นว่าคุณไม่ได้ไปกรุงเทพฯ นานแล้วก็เลยมาหา”
“ไม่ถามผมหน่อยเหรอว่าอยากเจอหรือเปล่า”
ธันวาตอบกลับเสียงห้วนไม่ชวนฟังนั้นโดยการคลายวงแขนถอยออกมาพอให้มีระยะห่าง ฝืนยิ้มแล้วกล่าวเพียงสั้น ๆ “นั่นสินะ”
ท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกทำเอาคนถามใจหายไม่น้อย รู้ว่าตัวเองผิดเต็มประตูแต่ก็ยังทำรักษาท่าทีหันไปลูบคอม้าวอร์มบลัดตัวโปรด “แค่นี้ก็ต้องงอนด้วยเนอะเขม่าเนอะ เราอุตส่าห์คิดถึง”
เจ้าม้าหนุ่มทำราวกับเข้าในใจสิ่งที่เจ้านายของมันพูด มันผงกหัวถี่ ๆ ก่อนจะก้มลงเล็มหญ้า
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ” ธันวาอยากให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าใกล้รอฟังคำตอบจากคนที่ยืนหันหลังให้ “ว่าไงครับ”
“ไม่ตั้งใจฟังเอง ช่วยไม่ได้”
“บุ้ง...” คนพูดมุ่นคิ้วด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะจับอีกฝ่ายให้หันกลับมา จากนั้นจึงลดมือลงแล้วประคองเอวสอบนิด ๆ ยกตัวอีกฝ่ายขึ้นนั่งบนรั้วคอนกรีต “พูดให้ผมฟังอีกครั้งได้หรือเปล่า”
คันธชาติเบนหน้าหนีสายตาวิงวอนกับเสียงกระซิบอ้อน พองลมในกระพุ้งแก้มทำไม่ใส่ใจแล้วเปลี่ยนเป็นผิวปากสบายอารมณ์
“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร” ธันวาคลายมือออกเตรียมจะทำเดินหนีแต่แขนขาวกลับยกขึ้นคล้องคอตรึงไว้จนเขาไม่อาจไปไหนได้
“จะไปไหน”
“กลับกรุงเทพฯ”
“ไม่ให้ไป” คนอายุน้อยกว่าบอกจากนั้นจึงค่อย ๆ โน้มร่างสูงเข้ามาหาแล้วกระซิบที่ข้างหู “คิดถึง”
ลมหายใจอุ่นที่รดลงบนใบหูพาให้มือใหญ่เผลอยึดสะโพกอีกฝ่ายแน่น ธันวาคลี่ยิ้มอย่างพอใจในขณะที่คนพูดขยับออกห่างเพื่อสบตากัน แค่คำสั้น ๆ แต่กลับทำให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวราวกับต้นไม้ขาดน้ำมากว่าสองสัปดาห์ของอาจารย์หนุ่มชุ่มชื่นขึ้นอีกครั้ง
“ได้ยินชัดหรือยัง” เห็นรอยยิ้มระบายทั่วหน้าจึงกล่าวต่อ “ขี้งอนนะเราน่ะ” คันธชาติหัวเราะ ไม่ทันได้สนใจดวงตาที่กำลังมองมา รู้ตัวอีกอีกริมฝีปากนุ่มก็ประกบลงบนกลีบปากของตัวเองเสียแล้ว...
สายลมพายอดหญ้าไหวลู่เป็นระลอกคลื่นเขียวขจี ผีเสื้อตัวน้อยขยับปีกขณะดูดชิมเกสรดอกทานตะวัน ส่วนม้าวอร์มบลัดที่นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานตั้งชื่อว่า “เจ้าเขม่า” ก็ยืนเล็มหญ้าอยู่ใต้ร่มไม้ ขนหางสีดำสนิทกวัดแกว่งไล่แมลงที่บินวนเป็นระยะ มันผงกหัวขึ้นมองไปรอบ ๆ พร้อมกับขยับใบหูแล้วก้มลงกินหญ้าต่ออย่างสบายอารมณ์ ทั่วบริเวณเงียบสงบ ที่ไม่สงบเห็นทีจะเป็นหัวใจของสองคนในแลนด์โรเวอร์สีขาวที่ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม จู่ ๆ เจ้าเขม่าก็ผงกหัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับฝูงนกนับร้อยที่แตกฮือบินสะเปะสะปะอยู่เหนือยอดไม้ใหญ่ ลิงค่างร้องอื้ออึงจนเกือบจะกลบเสียงหนึ่งที่ดังแว่วมาจากป่าลึก
“คุณได้ยินไหม”
เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นข้างหูกับสัมผัสอุ่นชื้นตรงซอกคอเรียกความคิดของชายหนุ่มที่กำลังจ้องเขม็งไปยังชายป่ากลับคืนมา คันธชาติกดตามองริมฝีปากหยักที่เลื่อนลงดูดดึงจุดที่ทำให้สติแทบเตลิดอยู่ในขณะนี้
“เสียงปืนน่ะ” คนอายุน้อยกว่าตอบด้วยสุ้มเสียงไม่ต่างกัน
คำตอบนั้นทำเอาชะงักจนธันวาต้องเงยหน้าขึ้นสบตาในขณะที่คันธชาติขยับนั่งพิงกับประตูด้านหลังที่นั่งคนขับ มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของอีกฝ่าย มือขาวประคองสองแก้มสากแล้วพูดต่อ “ไม่มีอะไรหรอก”
“สัญญากับผมนะว่าจะไม่มาที่นี่คนเดียว”
ลูกชายเจ้าของฟาร์มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่กลับมอบจุมพิตแสนหวานให้แทน มือนุ่มลูบไล้ผ่านลำคอไปยังแผ่นหลังเปลือยเปล่าแล้วหยุดคลึงเคล้นบนรอยนูนที่ธันวาเคยบอกว่าเกิดจากความซุกซนในวัยเยาว์ของตนเองแต่ก็ยังไม่มีโอกาสถามว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ริมฝีปากบางเผยอออกเมื่อฟันขาวแกล้งงับเบา ๆ พลันปลายลิ้นสากก็ถูกส่งเข้ามากวาดชิมความหวานในโพรงปาก ความแน่นขึงใต้เนื้อผ้าที่บดเบียดอยู่บนหน้าขาทำให้คันธชาติต้องเลื่อนมือข้างหนึ่งลงต่ำกระทั่งถึงขอบกางเกง สอดปลายนิ้วคลายกระดุมหวังจะปลดปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ แต่ธันวากลับถอนริมฝีปากออกพร้อมกับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“บุ้ง อย่าเพิ่ง รับปากผมก่อน”
คนอายุน้อยกว่าคลี่ยิ้มก่อนจะค่อย ๆ ใช้มือดันแผงอกแกร่งให้ห่างตัว สอดซองอะลูมิเนียมเคลือบพลาสติกทึบแสงเข้าในกระเป๋ากางเกงของคนพูด จากนั้นจึงคว้าเสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่ขึ้นมาสวมเพื่ออำพรางร่องรอยแห่งความคิดถึงที่ธันวามอบให้ “กลับกันเถอะ”
“บุ้ง” ธันวาถอนใจเบา ๆ มองคนที่กำลังเปิดประตูลงจากรถ คว้าเสื้อมาสวมแล้วจึงตามลงไป
“รับปากผมก่อน”
คันธชาติรั้งเชือกบังเหียนที่ผูกกับกิ่งไม้ปากก็ตอบรับแบบไม่เต็มเสียง พูดจบจึงดึงตัวขึ้นนั่งบนหลังม้าแล้วควบเจ้าเขม่ามุ่งหน้ากลับทางเดิม
แลนด์โรเวอร์สีขาวเคลื่อนตามชายหนุ่มและม้ารูปร่างสง่างามของเขาผ่านแปลงปลูกทานตะวันและพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ในฟาร์มชื่อดังของอำเภอปากช่องจนกระทั่งถึงคอกม้า ธันวาเปิดประตูลงจากรถมองคันธชาติที่กำลังถอดอานและปลดสายบังเหียนส่งให้คนงาน จากนั้นจึงพาเจ้าม้าหนุ่มเข้าไปยังพื้นที่สำหรับอาบน้ำม้า เจ้าเขม่าเองก็เหมือนรู้หน้าที่ มันเดินตรงเข้าไปซองซึ่งโครงไม้ใหญ่กว่าตัวของมันเล็กน้อยโดยไม่ต้องให้ยื้อยุด ซ้ำยังยืนนิ่งให้เจ้านายดึงเชือกมาผูกเชือกกับบังเหียน
“เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็ได้นะครับ” ตาคมละจากภาพตรงหน้าหันมองเจ้าของเสียง เขาคือชายหนุ่มผิวคล้ามแดดที่เจอเมื่อครู่นั่นเอง
“เขาคงรักมากเลยสินะครับถึงประคบประหงมขนาดนี้” ธันวาเอ่ยขึ้น
“เจ้าเขม่าเป็นม้าตัวโปรดของนายน้อยครับ แต่เรื่องประคบประหงมนายน้อยทำแบบนี้กับม้าทุกตัว ถ้ามีเวลาก็จะมาช่วยอาบน้ำ ช่วยทำความสะอาดคอกม้า” ก้อนกล่าวพลางมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชื่นชม “ตอนที่เจ้าปุยเมฆตกลูกนายน้อยก็คอยอยู่ใกล้ ๆ มันไม่ห่าง ทั้งที่มันเคยพยศจนทำให้นายน้อยต้องแขนเดาะแท้ ๆ” พูดจบก็เดินตรงไปช่วยรั้งสายยางมาให้ผู้เป็นนาย
คันธชาติปลดกระดุมแขนเสื้อถลกขึ้นก่อนจะถอดรอเท้าบูทแล้วดึงชายกางเกงขึ้นจนถึงหัวเข่า จากนั้นก็หันไปรับสายยางมาฉีดเพื่อล้างตัวให้เจ้าวอร์มบลัดสีดำสนิทที่ยืนกวัดแกว่งหางสบายอารมณ์
“อาบน้ำกันนะเจ้าเขม่า คืนนี้แกจะได้หลับสบาย” ชายหนุ่มว่าก่อนจะหันไปบอกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล “พี่ก้อนมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมเอาเจ้าเขม่าเข้าคอกเอง”
“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมหญ้ากับอาหารให้ม้าก่อนนะครับนายน้อย” พูดจบเข้าก็เดินหายเข้าไปในโรงเลี้ยงม้า
ธันวาสาวเท้าเข้าไปหยุดใกล้ ๆ มองคนที่กำลังผิวปากพร้อมทั้งใช้แปรงถูไปมาบนลำตัวม้าที่เพิ่งเทน้ำยาทำความสะอาดสำหรับม้าลงไป
“คุณอยากอาบด้วยกันเหรอ”
คันธชาติมองคนที่กำลังยืนส่ายหัวดิกพลางยิ้มน้อย ๆ ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของอีกฝ่ายทำให้อดแกล้งไม่ได้ ดังนั้นนายน้อยเจ้าแผนการจึงแกล้งขยับเข้าไปใกล้ปากใหญ่ที่กำลังเคี้ยวหยับ ๆ ของเจ้าม้า เงี่ยหูฟังมันหายใจฟืด ๆ อยู่ชั่วครู่ก็เงยหน้าขึ้นพูด “อะไรนะ อ๋อ...แกก็อยากมีเพื่อนอาบด้วยเหรอเจ้าเขม่า”
“บุ้ง...ไม่เอานะ”
“ว่าไงนะ อ๋อ...รอไม่ไหวแล้ว ได้ ๆ” ว่าแล้วก็หันปลายสายยางฉีดน้ำใส่คนที่พยายามปัดป้อง
“บุ้ง! ไม่เอาน่า” คนอายุมากกว่าร้องห้ามแต่ก็ไร้ผลเพราะตอนนี้เขาเปียกพอ ๆ กับเจ้าม้าเสียแล้ว
“มานี่เร็ว” คันธชาติว่าก่อนจะรั้งแขนธันวามายืนใกล้ ๆ แล้วดึงมือของเขาขึ้นแตะที่ลำตัวของเจ้าเขม่า แต่อีกฝ่ายกลับชักมือกลับ
“ไม่เอา”
“กลัวเหรอ” ลูกชายเจ้าของฟาร์มหัวเราะ “เขม่ามันใจดี” พูดจบก็จับมือใหญ่แตะที่คอของม้าตัวโปรด
ธันวามองมือขาวที่วางทับบนมือของตนเองก่อนจะลากไปบนลำตัวของม้าวอร์มบลัดลักษณะดีพร้อม ๆ กัน “มันชอบเหรอ”
“อือ มันชอบให้ทำแบบนี้”
เมื่อเริ่มคุ้นเคยแล้ว ธันวาจึงอาสาช่วยอาบน้ำเจ้าเขม่า ชายหนุ่มเดินไปอีกทางก่อนจะมองข้ามหลังของเจ้าม้าตัวโตไปยังดวงหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เพราะความชอบแกล้งแบบเด็ก ๆ ของอีกฝ่าย จึงทำให้ตอนนี้ทั้งเขาและคันธชาติอยู่ในสภาพที่เปียกม่อล่อกไม่ต่างกัน
“มองอะไร”
“ได้แกล้งผมแล้วอารมณ์ดีขึ้นหรือยัง”
คันธชาติไม่ตอบ ก้มลงใช้แปรงปัดดินออกจากกีบม้า กระทั่งทุกอย่างเรียบร้อยจึงปล่อยเจ้าเขม่ายืนผึ่งลมให้ตัวแห้งสักพักก็จูงมันกลับเข้าคอก จัดการสวมหน้ากากกันแมลงให้ก่อนจะแวะทักทายม้าทุกตัวในโรงเลี้ยงแล้วเดินออกมานั่งพักที่ใต้ร่มไม้ใหญ่
“คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” ธันวาเอ่ยขึ้นเมื่อนั่งลงข้างกัน
“เปล่านี่” คนอายุน้อยกว่าบอกพลางเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดไม้ใหญ่เห็นดอกไม้สีขาวรูปร่างคล้ายแตรซึ่งเกาะกลุ่มกันเป็นช่อแกว่งไกวส่งกลิ่นหอมฟุ้งยามสายลมพัดผ่าน
ธันวามองมือขาวที่กำลังหยิบดอกหนึ่งซึ่งเพิ่งตก ลงบนหน้าขาขึ้นมาหมุนก้านดอกยาวช้า ๆ พร้อมกับจ้องมองอย่างพิจารณา เมื่อจนใจกับคำตอบที่ได้และหมดปัญญาที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมพูดจึงเปลี่ยนเรื่อง “Millingtonia hortensis Linn.f. ดอกไม้ที่คุณชอบ”
“ทำไมรู้” คันธชาติหันมาถามด้วยความแปลกใจแต่แล้วคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ต้องนั่งนิ่งไปชั่วขณะ
“เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณไง”
“ต้องเขินไหม”
“แล้วแต่” ธันวาตอบพร้อมกับยกมือขึ้นเกาต้นคอในขณะที่คันธชาติเองก็ยิ้มน้อย ๆ ก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกปีบในมือ และเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านมาอีกครั้ง ช่อดอกที่ห้อยย้อยลงจากกิ่งใหญ่คล้ายโคมไฟระย้าก็ไหวลู่ไปตามแรงลม ปลิวหลุดออกจากขั้วร่วงกระจายบนยอดหญ้าราวกับเม็ดฝน
สองคนนั่งทอดตามองพระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ฝากริ้วสีส้มไว้ตรงปลายฟ้าขณะค่อย ๆ เคลื่อนต่ำลง ฝูงนกนับร้อยกำลังบินมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน จุดหมายปลายทางของพวกมันอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ได้ อาจเป็นยอดไม้ที่ยืนต้นอยู่ทั่วไปภายในฟาร์มหรือในป่าลึกห่างไกลจากการรบกวนของมนุษย์ บรรยากาศในวันนี้ไม่ต่างจากวันที่ใครคนหนึ่งได้สารภาพความในใจออกไป จะต่างกันก็ตรงที่วันนี้กำแพงที่ใครอีกคนสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบตัวเองให้ปลอดภัยจากความรู้สึกสูญเสียนั้นได้ถูกพังทลายลงไปจนหมดสิ้น
“งานในฟาร์มยุ่งเหรอ คุณถึงไม่ไปกรุงเทพฯ เลย” ธันวาเอ่ยขึ้น
“อือ พ่อเอากล้วยน้ำว้าพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาทดลองปลูกน่ะ เป็นผลงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ทุกคนก็เลยวุ่น ๆ เรื่องการเตรียมพื้นที่ลงหน่อกล้วยจำนวนมาก อีกอย่างฟาร์มของเราก็เพิ่งเปิดให้คนที่สนใจได้เข้ามาศึกษาวิธีการทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ พักนี้งานในไร่ก็เลยยุ่ง ๆ หน่อย ของที่ต้องไปส่งตามร้านก็ต้องเปลี่ยนเป็นให้คนงานเข้าไปส่งแทน แล้วทางโน้นล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“มีแต่คนบ่นคิดถึงคุณ ทั้งพี่แก้วกับเด็ก ๆ ทั้งอารตี พี่พุดดิ้งแล้วก็พวกสาว ๆ ที่โรงละคร”
“พอทุกอย่างลงตัว ผมก็คงได้กลับไปส่งของเหมือนเดิมแล้ว ถ้าพ่อไม่หาอะไรยาก ๆ มาให้ทำอีกน่ะนะ” คันธชาติบ่นเสียงเนือย มองหน้าคนถามที่ตอนนี้เจือด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นคุณไม่ต้องไปกรุงเทพฯ ก็ได้ ผมจะมาหาคุณบ่อย ๆ ไม่ถามด้วยว่าอยากเจอหรือเปล่า” ธันวาชิงดักคอเอาไว้ก่อน “เพราะเห็นหน้าคุณแล้วผมหายคิดถึง คุณก็คงหายเหนื่อยเวลาเจอหน้าผมเหมือนกัน”
คันธชาติทำจมูกย่น คราวนี้คงได้เขินจริง ๆ แล้ว...
(มีต่อค่ะ)