บทที่ ๑๔
ทวนอัศวาราตรีกาล
มาตะจูบซับรสหวานจากปากพจน์ ช้อนชิวหาแลกรสร้อนดูดดื่ม พจน์มัวแต่หลงคนึงถึงเสียงในหัวจึ่งพลาดพลั้งเสียทีคนตัวหนาที่เบียดชิดผิวกายผ่าวแนบกระหนาบ
“ประพฤติของน้องท่านทำใจมาตะสุขล้นเกินจะกล่าว” ถอนจูบกระซิบข้างกกหู “รสสวาทของเราสองหอมหวานดั่งคำข้า ฤา ไม่”
“หวาน หวานมาก แต่....นายขยับตัวออกจากท่อนขาเราก่อน”
พจน์เห็นกิริยาอาการของมาตะแล้วให้หวั่นเกรงกาลภายหน้า อีกทั้งท่าทีประหนึ่งกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์นั้นทำให้ความคิดของพจน์ต้องหยุดคำนึงถึงที่มาของเสียงปริศนา
“เนื้อกายน้องท่านดูเต่งตึง แน่นกระชับผิดถนัดตา” ลูบไล้สัมผัสกล้ามแขนนูนของคนใต้ร่างอย่างพินิจ พจน์เองก็รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทุกสัดส่วนขยายตัวเช่นเดียวกัน “เย้ายวนกวนใจข้าให้สั่นวะวาบเกินทนไหว”
“แต่นายเพิ่งจะ...เอ่อ...”
“น้องท่านอย่าด่วนตัดหนทางสู่สวรรค์ของข้าเลย” ว่าพลางแทรกเข่าเข้าหว่างขาขาวของพจน์ ปรากฏเป็นท่าอันตรายต่อหัวใจตนอย่างยิ่ง
“หากข้ามิได้ร่วมหลอมกายเป็นหนึ่งกับเจ้าแล้ว ราตรีนี้มาตะคงสิ้นชื่อเป็นแน่แท้ อย่าได้ปฏิเสธป้องปัดเลยเถิดหนา”
จับแยกขาพจน์ให้กว้าง หัวใจเต้นระรัวเมามัวต่อน้ำคำของมาตะ หักใจยอมตามเพราะร่างกายตนตอบสนองต่อการแตะสัมผัสจนเร่าร้อนขึ้นอีกครั้ง จึ่งพยักหน้ารับคำร้องขอ
“เช่นนั้นโปรดวานมือน้องท่านช่วยปลดภาระอาภรณ์ของข้าด้วยเถิด มาตะอยากจะตักตวงเนื้อนวลของน้องท่านให้สมกับดวงใจปรารถนา” ว่าแล้วก็จรดปลายจมูกโด่งเคล้าคลอเคลียลาดไหล่แลลำคอ พจน์พยายามขยับมือช่วยดึงผ้านุ่งหุ่มแต่สั่นสะท้านเกินกว่าจะมั่นคงได้
“มาตะ เรา...อื้อ...”
“พึงกระทำตามแต่ใจน้องท่านโปรดประสงค์ จักเปลื้องปลงแต่โดยช้า ฤา ฉีกกระชากขวากวิถีอาภรณ์เสียสิ้น มาตะจักมิดิ้นรนถอยหนี ฤา อาลัยในภูษาราคาสูงแม้แต่นิด เพียงภัทรพจน์เจ้ารื้อรั้งปราการอันเป็นอุปสรรคหนทางให้ผิวกายเนื้อเราแนบชิดกันได้นั้นจะเป็นคุณอย่างสูง”
“เราไม่ไหวแล้ว” พจน์ครวญเมื่อมาตะดูดขบหน้าอกตนจนสั่นวะวาบหวาม
“ปรารถนาสิ่งใด น้องท่านช่วยบอกให้มาตะทราบด้วยเถิด” คิ้วเข้มขมวดแน่นจนขีดขาวกลางหน้าผากเป็นเส้นตรงดุจดาบคู่กาย
เสียงรัวเคาะประตูดังสนั่นหวั่นไหว
“
มาตะ มาตะ” น้ำเสียงสั่นระรัวร้องเรียกขาน
“หากเจ้ากระทำการกิจอันใดอยู่ ณ บัดนี้จงละเสียโดยพลัน เร่งหุนหันพันกายให้จงดี แล้วออกมาเดี๋ยวนี้เถิด มีเหตุอันมิควรเกิดขึ้นแล้ว”
“เวฬุ” มาตะจำเสียงสหายสนิทได้ ปรับสีหน้าเป็นเครียดขมึงทันควัน รีบลุกจากกายพจน์ พร้อมประคองรั้งคนคู่เคียงให้นั่งในท่าสงบ จัดแต่งอาภรณ์อันยับย่นให้คืนดังเก่า
“จักมีเหตุอันไม่พึงประสงค์เกิดแก่เพื่อนเราเป็นแน่ หากนิ่งเฉยแลมัวเมาอยู่ในอารมณ์รักคงถูกตราหน้า ว่าทอดทิ้งสหายในยามอันตราย น้องท่านอย่าได้โกรธขึ้งมาตะเลยหนา จงประทับนั่งคอยแต่ในที่นี้ อีกสักครู่มาตะจักมามอบกายแก่น้องท่านเป็นแน่แท้”
คว้าดาบทองกระชับมั่น หุนหันเปิดประตูสู่ภายนอก พจน์ให้รู้สึกพิศวง เสียงเวฬุสำแดงว่ามีเรื่องร้อนเกิดขึ้นอยู่ภายนอก บัดนี้จิตใจตนกลับเป็นปกติแล้วเมื่อไร้การสัมผัสเล้าโลมของมาตะ หากจะนั่งรอคอยอยู่ในนี้ก็รังแต่จะสร้างอาวุธทรมานใจตัว เป็นตายร้ายดีอย่างไรคงต้องรู้ให้ได้ว่ามีเหตุใดเกิดขึ้น ตริตรองแล้วจึงลุกพรวดเปิดประตูเรือนพักออก
ลานดินกว้างอุดมด้วยแคร่ไม้ไผ่บรรจุนักร่ำสุราจำนวนมากบัดนี้กลายเป็นแคร่ไม้ร้างไร้ผู้คน คอเหล้าจำนวนหนึ่งย้ายกายไปกระจุกรวมตัวกันอยู่ ณ มุมด้านหนึ่งใกล้กับโต๊ะเตรียมสุราอาหารของนางแดงเจ้าของโรงเหล้า ที่บัดนี้กุมหน้าอกด้วยอาการปริวิตก สีหน้าหวาดผวา แสดงเหตุให้แจ้งว่า เรื่องเดือดร้อนกำลังจักเกิดเป็นหายนะสู่ร้านตนเป็นแน่แท้ เพราะท่ามกลางลานโล่งนั้น มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนนับสิบคน นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง สวมเกราะทองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ลวดลายนูนตราสิงห์ แสดงชัดว่าเป็นทหารหลวง พร้อมอาวุธทวน โล่แลดาบครบมือ
มาตะยืนองอาจอยู่ใกล้ เวฬุ และโกสินทร์ในฝั่งตรงงข้าม เจ้าเวฬุต้องคอยประคองกอดโกสินทร์ซึ่งมีท่าทีเมามาย สีหน้าแดงก่ำรวมกับดวงตาหรี่จะหลับมิหลับแหล่นั้น แสดงเหตุว่าโกสินทร์คงยกไหเหล้าดื่มไปมากพอควรระหว่างที่พจน์กับมาตะอยู่ในห้อง
“ประพฤติการณ์ดั่งสุนัขลอบกินอาจมขมต่ำนี้ หากจะแทนสิ่งที่มึงกระทำคงมิต่างกันกระนั้น” บุรุษชุดเกราะทองร่างล่ำสันสูงใหญ่เช่นเดียวกับมาตะ ก้าวเท้าออกมาจากกลุ่ม เกราะศีรษะบดบังส่วนสำคัญของหน้าเหลือเพียงปากและนัยน์ตาทั้งสองอันแข็งกร้าวเท่านั้นที่สังเกตเห็น
พจน์เห็นไหล่กว้างของมาตะขยับสั่นไหว มือข้างถือดาบทองกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
“อันวิสัยสุนัขมีเจ้าของเลี้ยงก็ย่อมจักได้กินของคาวหวานแต่อย่างดีเสมอนายตน แลเจ้าของก็เฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูประดุจดั่งเพื่อนกายสหายรัก มิพักให้อดอยากยากแค้นอับจน จึ่งสบายแลสุขล้นยิ่งกว่าสุนัขจรจัดอันหามีนายไม่”
เจ้าคนเกราะทองนัยน์ตาคมขีดขอบตาเข้มยังคงกล่าว พลางตวัดทวนคู่กายสลับไปมาระหว่างมือทั้งสอง อารมณ์ดีราวกับกำลังเล่านิทานให้คนในที่นั้นฟัง
“ก็แหละสุนัขอันนับเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ดั้งเดิม นิสัยประจำเผ่าพงศ์มิเว้นจักแสวงหาของต่ำตมเป็นของกินกระนั้น แม้นมีอาหารอย่างดีวางอยู่ตรงหน้าก็มิพักจักมองของต่ำกว่าเสมอยาดี ถึงนายเฝ้าห้ามปราม ฤา ล่ามตรวนไว้มิให้กระทำการต่ำ ด้วยวิสัยเดรัจฉานจักแว้งกัดขู่เอาเมื่อไม่สมประสงค์มิรู้จักคุณผู้เลี้ยงดูฉะนี้ ควรหรือที่ความผิดนั้นจะตกอยู่ที่นายว่าเฝ้าถนอมดูไม่ดี เจ้าว่าเช่นนั้น ฤา ไม่ นางแดง”
หญิงร่างใหญ่เจ้าของโรงเหล้าแต่เดิมก็ให้อกสั่นขวัญหายอยู่แล้ว เมื่อเห็นคำถามดุจอาวุธทวนชี้ปลายแหลมมายังอกตนดังนั้นก็ร่ำไห่พลางตอบว่า
“เป็นเช่นนั้นเจ้าข้า นายกอง”
ทาสบ่าวทาสีต่างช่วยพยุงนายตนที่ทรุดกายลงให้นั่งยังที่เหมาะควร พลางโหมโบกพัดแลนำยาหอมอย่างดีมารักษานายตัวมิให้สิ้นลมไปเสียก่อน
“ดั่งนั้นควรหรือที่นายมันจะปล่อยไว้แลเลี้ยงดูต่อไป เมื่อสิ้นความไว้ใจต่อกันและกันแล้ว” เสียงประกาศกร้าวดังก้องทั่วบริเวณ ชาวบ้านร้านตลาดบริเวณใกล้เคียงต่างรีบเก็บของขายริมทางเดินเมื่อเห็นว่าจักเกิดเรื่องเป็นแม่นมั่น
ไม่มีผู้ใดในที่นั้นตอบคำถาม ความเงียบปกคลุมในอากาศอยู่ชั่วครู่
“ควรหรือที่มึงมาลอบกระทำหยามเกียรติน้องสาวกูลับหลังเยี่ยงนี้ ไอ้มาตะ”
คำตวาดดังกึกก้องสะท้อนอารมณ์โกรธของผู้พูด มาตะยังคงยืนนิ่งไม่โต้ตอบแต่อย่างใด
“หะแรกที่กูได้ยินความ มิอาจปักใจเชื่อ เหตุเพราะมึงมิเคยกระทำการอันขายหน้าแต่อย่างใดให้เสื่อมเสียมาถึงน้องสาวกูมาก่อน แลมึงกับกูต่างเป็นทหารใต้เบื้องพระบรมโพธิสมภารขององค์พระเจ้าอยู่หัว ล้วนถือเกียรติศักดิ์แลน้ำพระพิพัฒสัตยา จักกระทำมิให้เสื่อมพระยศมาถึงพระองค์ได้กระนั้น กูจึ่งมิระแวดระวังตะขิดตะขวงใจอันใดให้หนักอก” เจ้านายกองชุดเกราะทองเดินกลับไปมาพลางระงับอารมณ์ของตัว
“แลราตรีนี้กูได้ยินความข้างว่ามึงนัดแนะนัดพาสตรีไร้ศักดิ์มากกกอดอยู่ในโรงเหล้าร้านตลาด กระทำประหนึ่งสุนัขอดอยากของต่ำดั่งนี้ อดที่กูจักมาดูให้เห็นกับตามิได้ว่า ไอ้ยอดนักดาบแห่งกรุงนพรัตนบุรีนี้ มีประพฤติเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน สุขสำราญแต่ของต่ำตม ตามสันดานอันไม่สมราคากับอาวุธพระราชทานคู่กายแม้แต่น้อย” ว่าเสร็จก็ชี้ปลายทวนมายังมาตะห่างเพียงคืบก็จักถึงอกล่ำเปลือยเปล่า
เวฬุตวัดดาบเงินของตนให้อาวุธทวนหันเหห่างอันตรายจากเพื่อนตัว พลางว่า
“ระวังคำของพี่ท่านด้วย นายกองกฤษณะ สหายข้ามิได้กระทำต่ำศักดิ์อันใดให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทแม้เพียงนิด อันคำกล่าวเกินเลยดั่งนี้จะมิเป็นคุณแก่ตัวพี่ท่านแลสหายข้า หากมีผู้นำความกราบบังคมทูล”
“ฮ่าๆ” บุรุษนามว่า กฤษณะ หัวเราะดังก้องสร้างอกหวั่นขวัญแขวนแก่คนในที่นั้นยิ่งเป็นทวีคูณ
“วิสัยช่างฟ้อง ช่างทูลเกล้า ดั่งสตรีนางในยามถูกเพื่อนอิจฉาริษยานั้นมิเคยมีในทหารผู้สังกัดกองทหารเกราะทอง หากเป็นเหล่ากองอื่นนั้นข้ามิอาจล่วงรู้ได้ ว่าจักมีนิสัยเยี่ยงพระสนมนางห้าม ฤา ฉันใดนั้น ข้ามิอาจรู้ ก็แหละในที่นี้มีแต่ทหารเกราะทอง แลทหารมหาดเล็กสังกัดกองทหารดาบทองดั่งนี้ แล้วเจ้าว่าฝ่ายใดจักนำคำข้าไปกราบบังคมทูลกระนั้นรึ”
“ไอ้คนนิสัยพาล” โกสินทร์ตวาดลั่นพร้อมชี้นิ้วใส่หน้านายกองกฤษณะ บัดนี้เริ่มมีสติทรงกายได้มั่นคงดังเดิมเหมือนสร่างเมาในทันทีเมื่อได้ยินคำดูถูกดูแคลน
แววตาดุจสิงห์ถูกหวดหลังตวัดมองโกสินทร์ราวกับเหยื่อในอุ้งเท้า กระชับอาวุธทวนในกำมือแน่น
“หากกูมีนิสัยพาลดั่งมึงว่า แล้วเพื่อนตายสหายของมึงนั้น มีนิสัยอย่างใดเล่า โปรดแถลงให้กูนี้หายขัดข้องหน่อยเถิด” กฤษณะสวนกลับดังก้อง
มิทันที่นายกองทหารเกราะทองจักกล่าวจบ โกสินทร์ก็ชักดาบเงินของตนออกจากฝักพร้อมพุ่งเข้าหากฤษณะทันที นายกองเกราะทองอยู่ในท่าพร้อมอยู่แล้วจึ่งยกทวนสกัดรับคมดาบได้โดยพลัน ชั้นเชิงคมทวนแลคมดาบเป็นอาวุธต่างชนิด แต่ทักษะการปะทะต่ออาวุธล้วนมีส่วนได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน ทวนมีอาวุธคมอยู่ปลาย แต่มีด้ามยาวเหมาะแก่การจู่โจมในระยะไกล เมื่อเห็นว่าโกสินทร์ถลันเข้ามาในระยะปลายทวนดั่งนั้น กฤษณะจึ่งแทงทวนหมายเอาเลือดผสมสุราออกสักหน่อยนึงให้เป็นแผลฝากไว้ แต่อาวุธดาบแม้สั้นยาวต่างกับทวนแต่เหมาะมือสำหรับป้องกันกายในระยะประชิด เมื่อปลายทวนหมายแผลเบื้องไหล่ซ้ายของตน โกสินทร์อันมีสติมิครบถ้วนเท่าใดก็สามารถปัดป้องปลายคมกริบจากการฉกเนื้อตนได้โดยง่าย
มาตะเห็นเพื่อนตัวถลันเข้าสู้ดังนั้นมิอาจปล่อยให้เข้าสู่กรงเล็บของพญาสิงห์ได้จึ่งตวัดดาบทองคู่กายเข้าโรมรันอีกด้านหนึ่ง ทหารเกราะทองผู้ติดตามเห็นนายตนโดนรุมดังนั้นจึ่งซัดอาวุธหมายช่วย แต่ทักษะดาบของมาตะลื่อชื่อสมคำเล่าลือ แม้นอาวุธปะทะต่างกันแต่ผู้ชำนาญในศิลปศาสตร์สรรพอาวุธเท่านั้นเป็นผู้เหนือกว่า มาตะจัดการทหารเกราะทองล้มลงโดยง่าย ฝากแผลตามช่องว่างระหว่างเกราะเอาไว้ให้เจ็บแสบเจ็บปวดตามแต่ผู้ใดหมายใจคิดฝากแผลให้ตนไม่ออมมือ
เวฬุแม้ร่างกายอวบอ้วนแต่ทักษะต่อสู้มีชั้นเชิง ร่างกายมิได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ชักดาบเงินคู่กายเข้าช่วยเพื่อนตน ฝากรอยไว้กับทหารเกราะทองก็มากล้น
อาการตะลุมบอนผสมเสียงดาบปะทะทวนดังก้อง นักสุราต่างหน้าซีดอกสั่นหวั่นจิต เช่นเดียวกับนางแดงซึ่งบัดนี้เป็นลมล้มลงนอนพังพาบไปเรียบร้อยแล้ว แคร่ไม้ล้มคว่ำ ไหสุราแตกกระจาย น้ำเหล้าเจิ่งนองพื้น ผู้คนวิ่งหนีสับสนอลม่าน เสียงหวีดร้องดังผสานคมดาบอาวุธ
กฤษณะละจากโกสินทร์แล้วตวัดปลายทวนเข้าหามาตะ ซึ่งเอนหลังหลบได้โดยง่าย
“ราตรีนี้ถ้าหากปลายทวนของกูมิได้ลิ้มรสเลือดในกายมึงแล้วไซร้ ก็อย่านับกูเป็นนายกองทหารเกราะทองอีกเลย”
เวฬุกับโกสินทร์รับมือชุลมุนกับทหารเกราะทองทั้งสิบคนอยู่ข้างเคียง
“พี่ท่านโปรดระงับสติ แลพินิจให้จงดีเถิด” มาตะยกดาบยันปลายทวนด้วยกำลังกล้าแข็ง “ความวุ่นวายที่ท่านก่อนี้จะเป็นภัยต่อเราทั้งสองโดยแท้ จงครองสติสั่งหยุดทหารโดยพลัน แลข้าจักอธิบายให้ท่านคลายความสงสัย”
“จักมีอันใดให้สาธยายอีก กูล้วนเห็นด้วยตาโดยสิ้นแล้ว”
“หาเป็นเช่นนั้น ความอันใดที่ท่านรู้แลทราบดีแล้วนั้นล้วนผิดพลาด” มาตะเอ่ยตอบพลางปัดป้องทวนจากกายตัวแต่มิได้หมายให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสคมดาบ
“ในฐานะที่เราต่างเคารพกันและกันเมื่อครั้งรับราชการนั้น ข้าได้พี่ท่านสั่งสอนอบรมแลเข้าสังกัดเกราะทองเมื่อแรกต้น เข้านอกออกในเรือนพี่ท่านตามเวรฝึกซ้อม กฤษณาผู้น้องสาวเอ็นดูข้าประหนึ่งเพื่อนวัยเดียวกัน ข้านี้ก็เอ็นดูนางเสมือนน้องสาวดุจกันมิคิดต่างจากนี้ หามีสิ่งใดเกินเลยไปกว่าสนทนาตามประสาคนรู้จักมักคุ้น จวบกระทั่งบัดนี้ก็หาแตะต้องฝากเป็นราคีแก่น้องสาวพี่ท่านไม่”
“มึงจะกล่าวว่าน้องกูนึกคิดไปแต่ผู้เดียว แลมีจิตพิศวาสแต่มึงโดยที่มึงมิมีใจตอบกลับเลยกระนั้นรึ” แรงทวนซัดกลับรุนแรงกว่าเดิม ดวงตาภายใต้เกราะทองสวมป้องกันหน้ามีแต่แววเกลียดชัง
“ข้านี้มิได้มีใจด้วยน้องท่าน ขอตอบโดยสัตย์จริง”
คำตอบของมาตะเป็นเสมือนฟืนไม้เติมเชื้อไฟแค้นในอกของกฤษณะให้ลุกโชนกว่าเดิม
“มึงนี้ดำรงอยู่เป็นชายได้อย่างไร ว่ากล่าวคำร้ายแก่สตรีมีศักดิ์ให้เสื่อมเกียรติดั่งนี้ จงนำผ้าถุงมานุ่งห่มเสียเถิด”
“มนุษย์นี้เกิดมาจักรักใคร่ผูกใจกันได้ย่อมมีดวงจิตเสมอแลตรงกันมิใช่ ฤา ก็แหละข้าและน้องสาวพี่ท่านมิได้มีน้ำใจเสมอแลตรงกันดั่งนี้แล้ว แลข้าบอกความตามสัตย์จริง ดั่งนั้นพี่ท่านจะกล่าวหาว่าข้านี้ให้ร้ายสตรีได้อย่างไร”
กฤษณะเต้นวนรอบตัวมาตะ ตวัดแทงหมายที่สำคัญใดก็พลาดเพราะแรงปัดป้องจากดาบทองทุกทีไป ยิ่งโหมกำลังแค้นให้ลุกโชนยิ่งกว่าเก่า ความเจ็บในหัวอกนี้อยากให้คนคู่ประอาวุธได้รับคืนไปบ้าง
“คนทั้งพระนครต่างรู้แจ้งเห็นจริงว่า มึงแลน้องสาวกูต่างไปมาหาสู่เป็นนิตย์ สมัครรักใคร่กันโดยถ้วนทั่วแล้ว แลมึงมากลับคำฉะนี้ หวังให้น้องสาวกูได้ยินแล้วอกแตกตายอย่างนั้นหรือ”
“หามิได้ มาตะนี้กระทำการใดก็จักว่าไปตามนั้น มิได้บิดผันแปรเปลี่ยน การจักว่าไปมาหาสู่นั้นมิได้ก่อน เพียงแค่พบหน้า ฤา สนทนาต่อกันนั้นยังนับครั้งได้ภายในมือข้างเดียว ดั่งนี้ จักหาว่าไปมาหาสู่เป็นนิตย์นั้นมิได้”
“มึงคงอยากสิ้นชีวาวายโดยมิได้นอนอยู่บนตักของคู่รักเป็นแน่ จึ่งเอ่ยคำตายออกมาดั่งนี้ เช่นนั้นกูจักนำร่างมึงไปขอโทษน้องกูแทนคำมึงก็แล้วกัน”
กฤษณะหมุนทวนเป็นวงกลมรวดเร็ว มาตะก้าวถอยมาตั้งรับ กระบวนท่าของนายกองเกราะทองเป็นทักษะชนิดพิเศษประจำอาวุธ เสร็จแล้วจึ่งวาดใส่คู่ต่อสู้รวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายมึนงงจับจ้องกับวงล้อม
เสียงวัตถุพุ่งแหวกอากาศมารวดเร็วเหมือนหวดแส้ดังกระทบ อาวุธทวนสีเงินสว่างเจิดจ้าตั้งแต่ปลายแหลมคมจรดสุดท้ามถือ อันประกอบด้วยสีเงินยวงกระทบแสงเดือนส่องประกายขาวสว่าง ประดับพู่ห้อยสีขาว สกัดกั้นกระแทกใส่ทวนของกฤษณะจนอาวุธคู่กายของนายกองมีชื่อกระเด็นหลุดมือสุดต้านทานในพละกำลัง
แววตาเหี้ยมตระหนกในอาการพลัดหลุดของอาวุธประจำกายร่วงหล่น วิถีทวนเงินหมุนย้อนกลับคืนยังผู้ซึ่งขว้างมาขัดขวาง มาตะเหลียวหลังกลับมอง กฤษณะยืนตื่นตะลึงจับจ้องผ่านไปยังบุคคลผู้ส่งทวนเทวามาสกัดตน เงาร่างนั้นรับทวนกลับสู่มือขวาก้าวออกมาจากเงามืดของเรือนพักสู่แสงสว่างของโคม
ณ วินาทีแสงเดือนต้องใบหน้า นายกองหนุ่มภายใต้ชุดเกราะทองก็มิอาจถอนสายตาจากคนผู้นั้น ด้วยไม่เคยแลเห็นบุรุษใดงดงามเท่านี้มาก่อนในชีวิต
50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป