[ACT 13]
"กลับมาแล้วเหรอครับ"
ราเมศยิ้มให้กับร่างบอบบางที่เดินมารับเขาทั้งชุดกันเปื้อน ร่างสูงสง่าถอดรองเท้าแล้วเดินไปหอมแก้มเด็กหนุ่มฟอดใหญ่ แล้วตามมาอีกหลายฟอด เดี๋ยวนี้เขาชักติดใจผิวแก้มเนียนใสแดงระเรื่อและเสียงประท้วงเบา ๆ ดังจากลูกแมวน้อยของเขา
"บ้าจัง... พี่นี่"
ชายหนุ่มยิ้มแป้น อดไม่ได้ที่จะดึงร่างเล็กมาหอมอีกหลายฟอด ในใจก็นึกขำตัวเองอยู่ไม่น้อย จะมีสักกี่คนที่ถูกด่าว่าบ้าแล้วกลับมีความสุขชื่นมื่นได้ขนาดนี้
เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ไม่ว่าปรานต์จะทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมดในสายตาของเขา อีกใจก็หวาดหวั่นอยู่ลึก ๆ ว่าวันหนึ่งที่ไม่มีเด็กคนนี้อยู่เคียงข้างเขาแล้วจะเป็นอย่างไร
เขาเพิ่งเข้าใจว่า การใช้ชีวิตกับคนคนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ --- น่ากลัวแค่ไหน
"พี่ราม ข้าวเช้าพร้อมแล้วครับ ว่าแต่พี่หายไปไหนมา ผมตื่นมาไม่เจอ"
"ไปทำธุระให้กรนิดหน่อยน่ะ"
ร่างสูงยิ้มบาง ก่อนที่สายตาคมจะไปสะดุดเข้ากับเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินเข้ามาในห้องรับแขก
"อรุณสวัสดิ์ เทพ เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม?"
"อรุณสวัสดิ์ครับ เมื่อคืนหลับฝันดีทั้งคืน ตื่นมาไม่เมาค้าง สบายใจดีครับ"
"แล้วกลับมาเองยังไงล่ะ? กรไม่ได้มาส่งนี่"
"แท็กซี่มาสิครับ ดึกดื่นขนาดนั้นจะหารถเมล์ที่ไหน"
"อ้าว เทพ เมื่อคืนพี่กรไม่ได้มาส่งหรอกเหรอ"
ปรานต์อุทานด้วยความแปลกใจ ลึก ๆ ก็เคืองอยู่เหมือนกันที่อีกฝ่ายปล่อยให้น้องชายของเขากลับบ้านมาตามลำพังทั้ง ๆ ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาส่งถึงบ้าน
"วันหลังก็โทรมาเรียกให้ไปรับสิ เทพ โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รู้ไหมว่ามันอันตราย"
รชตกลอกตาไปมา "รู้แล้วล่ะน่า..." เขาหันหลังเดินหนีเข้าห้องอาหารแล้วนั่งประจำที่ "ผมหิวแล้ว รีบ ๆ มากันซะทีสิครับ"
"เด็กคนนี้นี่... ไม่ไหวเลย"
ราเมศอมยิ้มกับท่าทีห่วงน้องชายของอีกฝ่าย ดูเอาสิ ขี้บ่นอย่างกับเป็นคุณแม่ก็ไม่ปาน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็เด็กไม่ต่างกันแท้ ๆ คิดพลางปรายตามองคนที่นั่งอยู่อีกห้องหนึ่ง
รายนั้นก็พอกัน ท่าทางจะดีใจที่พี่ชายเป็นห่วงไม่น้อยเลย นั่งก้มหน้าซ่อนอาการเขินอยู่นั่นล่ะ พี่น้องคู่นี้นี่พอกันเลยจริง ๆ มือใหญ่ตบศีรษะมนเบา ๆ แล้วโอบบ่าบางเดินเข้าห้องอาหารไปด้วยกัน
*****
เด็กชายตัวน้อยนั่งยอง ๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในรั้วคฤหาสน์หลังโต เขากำลังจ้องมองตั๊กแตนสีเขียวใบหญ้าด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะอุทานดังเมื่อสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยนั้นกระโดดหนีเข้าพุ่มไม้ไป
"อ๊ะ!!"
"คิก..."
เสียงหัวเราะเบาๆที่ดังจากด้านหลังทำให้เจ้าของร่างน้อยหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ เบื้องหน้าปรากฏร่างของเด็กชายอีกคนหนึ่งที่ดูจะโตกว่ากันไม่เท่าไหร่ เมื่อเด็กน้อยนึกขึ้นได้ว่าถูกหัวเราะ จึงทำหน้าบึ้งขึ้นมาในทันที ปากเล็กสีแดงยู่จนจมูกเล็ก ๆ พลอยย่นไปด้วย
"นายเป็นใครน่ะ? เข้ามาในบ้านของเราได้ยังไง?"
"คุณพ่อคุณแม่ของนายรับเรามาเลี้ยง เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง"
"รับมาเลี้ยงหมายความว่ายังไง?"
หนูน้อยเพิ่งอายุเพียงไม่กี่ขวบ จึงยังไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดีนัก
"แล้วพ่อแม่ของนายไปอยู่ที่ไหน?"
เด็กชายที่มาใหม่ทำหน้าเศร้าลงไปถนัดตา ก่อนที่เสียงใสจะเอ่ยคำพูดที่บาดหัวใจของเจ้าตัวเป็นอย่างมาก
"ตายแล้ว..."
เขาทรุดกายลงนั่งลงไปกับพื้นหญ้า พยายามสะกัดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกินเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่อบอุ่นในสมัยที่เขายังมีครอบครัวสมบูรณ์
เด็กชายตัวน้อยนิ่งไปเมื่อเห็นผู้โตกว่าร้องไห้ออกมาอย่างเงียบ ๆ ในใจอดแปลกใจไม่ได้ เวลาที่เขาร้องไห้จะมีเพียงสามเวลาเท่านั้น คือเวลาโกรธ เวลาไม่ได้ดั่งใจ และเวลาที่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน แต่เขาจะปล่อยโฮเสียงดังชนิดที่ไม่ว่าใครทำอะไรอยู่ก็ต้องหันมาสนใจและปลอบโยนในทันที เขาจึงไม่เคยรู้ว่าคนเราสามารถปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
ขาเล็กค่อยๆเขยิบเข้าใกล้คนที่นั่งก้มหน้าอยู่ไม่ห่างอย่างช้า ๆ พร้อมกับยื่นมือไปสะกิดบ่าที่สั่นระริกตรงหน้าเบา ๆ
"... นี่ เป็นอะไรไปเหรอ?"
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ เด็กชายก็ทำหน้ามุ่ยแล้วหันหน้าหนีอย่างไม่พอใจ เขากำลังจะลุกไปที่อื่นอยู่แล้ว แต่ไม่รู้อะไรทำให้เขาเปลี่ยนใจ
"เดี๋ยวมานะ"
เจ้าตัวน้อยวิ่งไปจากที่นั่น ทิ้งให้อีกร่างที่ทุกข์ระทมนั่งกลั้นน้ำตาอยู่เพียงลำพัง แต่เพียงไม่นาน เสียงฝีเท้าสั้น ๆ ถี่ ๆ ก็ดังใกล้เข้ามาจนทำให้เด็กชายต้องเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ
"นี่ ให้นะ"
สิ่งที่อยู่ในมือป้อม ๆ ของเด็กชายตัวน้อยคือดอกเดซี่สีขาวหนึ่งดอก ใบหน้ากลมแดงระเรื่อด้วยไอแดดและความเหนื่อยจากการวิ่งข้ามสวนไปเด็ดเอาดอกไม้ดอกสวยมาให้
"... เราไม่รู้ว่านายเป็นอะไร แต่ว่าอย่าร้องไห้เลยนะ ถ้านายเหงา เราจะเป็นเพื่อนให้นายเอง"
ดวงตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยแววไร้เดียงสา คำพูดเหล่านั้นล้วนมาจากใจ ทำให้เด็กชายอีกคนรู้สึกดีขึ้นแล้วรับดอกไม้ดอกนั้นมาถือเอาไว้
"ขอบใจนะ"
เด็กทั้งสองยิ้มให้กัน
"เราชื่อเทพนะ นายชื่ออะไร?"
"ฉันชื่อ..........."
*****
"ปรานต์........"
เสียงที่ดังลอดประตูห้องนอนออกมาส่งผลให้เจ้าของร่างเล็กที่นอนขดอยู่บนโซฟาตัวใหญ่รู้สึกตัวตื่นขึ้น รชตขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิดที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมากลางดึกเช่นนี้ เด็กหนุ่มปรายสายตามองไปทางประตูห้องนอนที่ปิดอยู่ แต่กลับมีเสียงดังลอดออกมาเป็นระยะ
ดวงตาสีน้ำตาลสวยทอดมองนาฬิกาสไตล์โมเดิร์นเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนัง ถึงได้รู้ว่านี่เพิ่งห้าทุ่มครึ่งเท่านั้น เขาเพิ่งได้หลับไปไม่ถึงชั่วโมง หลังจากซัดอาหารเย็นฝีมือพี่ชายตามด้วยแขวะกันเล็กน้อยพอเป็นพิธี อาจเป็นเพราะคืนก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ได้นอนเลยล่ะมั้ง
ไม่รู้ป่านนี้หมอนั่นเป็นยังไงบ้าง แต่ยังไงราเมศก็คงไปช่วยประกันตัวออกมาอยู่แล้วล่ะนะ จะว่าไปแล้ว ไม่รู้รามทนคบตาแก่นั่นไปได้ยังไง หื่นซะขนาดนั้น แถมดูวิปริตอีกต่างหาก ดีนะเขาไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นมีหวังเสียครั้งแรกให้กับตาโรคจิตคนนั้นแหง ๆ
รชตเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อรินน้ำเปล่าดื่มแก้คอแห้ง เขายืนพิงเคาน์เตอร์ครัวพร้อมยกแก้วน้ำขึ้นจิบ น้ำแร่ที่ไหลผ่านลำคอแห้งผากทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก
เขาฝันถึงสมัยที่เป็นเด็กอีกแล้ว ตั้งแต่ปรานต์ออกจากบ้านไป เขาก็ยิ่งฝันถึงเรื่องนี้บ่อยมากขึ้น ช่วงเวลาหลังจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากจริง ๆ การได้มีพี่ชายที่น่ารักมาอยู่ด้วยกัน เขาซึ่งเป็นลูกคนเดียวที่เหงามาตลอดเพราะครอบครัวไม่มีเวลาให้จึงติดพี่ชายยิ่งกว่าใคร
--- แต่ปรานต์กลับทิ้งเขาไป
ที่จริงเขาก็รู้ว่าบิดาของเขาไม่ใช่คนดีอะไร ในตอนเด็กอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่พอโตขึ้นมาก็พอจะรู้ว่ากิจการที่บ้านคืออะไร และทำไมเขาถึงอยากได้อะไรก็ไม่เคยมีใครขัด และรีบนำมาให้ถึงที่ทุกครั้ง
จนกระทั่งวันที่เขาอายุครบสิบขวบ เมื่อทุกคนส่งเขาเข้านอนแล้ว เขาตื่นขึ้นกลางดึกไม่พบปรานต์จึงเดินตามหา ถึงได้พบกับความจริงที่ว่าผู้เป็นพ่อแท้ ๆ ของเขารับปรานต์มาเลี้ยงเพื่อการใด
ถ้าหากปรานต์เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขาล่ะก็ ต่อให้เป็นพ่อแท้ ๆ เขาก็ยอมต่อกรด้วย
แต่ปรานต์ไม่เคยปริปากพูดถึงเรื่องนี้กับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยมีเรื่องอะไรปิดบังปรานต์เลยแท้ ๆ นี่ปรานต์จะเห็นว่าเขาเด็กกว่า ประสบการณ์ก็ไม่มีจึงช่วยอะไรไม่ได้
เขาไม่ยอมยกโทษให้หรอก ไม่มีวัน ---
รชตทิ้งแก้วน้ำไว้ในอ่างล้างจานพร้อมกับเดินกลับไปที่โซฟา แต่ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน เขากลับได้ยินเสียงที่ดังลอดออกมา --- ชัดเต็มสองรูหู
"อะ อ๊า... พี่ราม...!"
ใบหน้าเนียนแดงวาบในพริบตา นี่เขาอยู่ในบ้านด้วยนะ ทำอะไรกันอยู่ในห้องเนี่ย ประเจิดประเจ้อจริง เด็กหนุ่มยืนตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก เขาหลับตาลงแล้วนั่งลงบนโซฟาเพื่อทำใจให้เฉยเข้าไว้ แต่หัวใจกลับเต้นรัวเป็นตีกลองเมื่อได้ยินเสียงครางหวานดังลอดออกมาอย่างต่อเนื่อง
--- นี่ตาแก่นั่นก็ลามกไม่แพ้กันสินะ มิน่าถึงได้ซี้กันกับภากรได้!
เขาต้องไปต่อว่าหน่อยละ แบบนี้พี่ชายของเขามีหวังช้ำหมด นี่หนีพ่อมาเจอคนที่หื่นยิ่งกว่าพ่อรึเปล่าเนี่ย?!
ขาเรียวก้าวเข้าใกล้ห้องนอนอย่างช้า ๆ แล้วจึงเห็นว่าประตูห้องนอนนั้นปิดไว้ไม่สนิท มิน่าล่ะเขาถึงได้ยินเสียงชัดแจ๋วขนาดนี้ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตแอบมองลอดประตูเข้าไป แล้วปากที่ปกติเจื้อยแจ้วเสมอก็ถึงกับปิดสนิทกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า
"อ๊ะ... พี่ราม ตะ ตรงนั้น... อ๊า....!"
“ชอบใช่ไหม ตรงนี้ไงครับ จุดที่น้องปรานต์รู้สึกดี”
“พี่ราม... พี่ราม...... อื้ออ”
“ดีไหม หืม? ตอบพี่สิครับคนดี”
“อะ อ๊า.... ดี... ดีครับ...”
มือเล็กปัดป่ายไปทั่วแผ่นหลังกว้างเมื่อเรือนกายบอบบางถูกโอบกอดเอาไว้ด้วยร่างกายอันเต็มไปด้วยลอนกล้ามอันงามสง่า ริมฝีปากคู่สวยพยายามปิดกลั้นเสียงร้องน่าอายไม่ให้เล็ดรอดออกไป แต่กลับถูกประกบปิดแล้วรุกไล่ด้วยปลายลิ้นจนสติที่พยายามรั้งเอาไว้กระเจิดกระเจิงไกล
"ฮึก... อื้มมม..."
ราเมศเล็มริมฝีปากแดงช้ำพร้อมบีบเคล้นเรือนกายที่เบ่งบานอยู่ในฝ่ามือหนาอุ่นร้อน ปรานต์ทอดกายแหงนหน้าให้ร่างสูงลิ้มรสเรือนคอขาวเนียนได้อย่างย่ามใจ
ดวงตาคู่สวยปรือปรอยมองร่างสูงใหญ่ที่เคลื่อนกายเข้าใกล้พร้อมยกเรียวขาบางขึ้นสูงแล้วรั้งให้อ้าออกกว้าง ผิวแก้มที่แดงจัดไปด้วยแรงอารมณ์กระตุ้นให้ชายหนุ่มรู้สึกอยากกลืนกินร่างบอบบางตรงหน้าอย่างรุนแรงให้มากกว่านี้ อยากฝากฝังร่องรอยไว้บนเรือนร่างอันงดงามนี้ทุกสัดส่วน ให้ทุกคนได้รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
--- แต่เขาก็ทำไม่ลง แค่เพียงถูกมองด้วยดวงตาชื้นน้ำที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกคู่นั้น เขาก็รู้ว่าต้องทะนุถนอมเจ้าของดวงตาคู่นี้เอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะ ณ วันนี้เขารู้แล้วว่าคนตรงหน้าของเขานี้สำคัญมากเพียงใด
ปลายลิ้นไล้เลียยอดอกสีชมพูเบา ๆ รับรู้ได้ถึงอาการบิดเร่าของร่างข้างใต้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรุกเร้าหนักหน่วงมากขึ้นจนเด็กหนุ่มถึงจิกกำผ้าปูที่นอนด้วยความเสียวกระสันต์
"พี่ราม..."
เจ้าของนามเงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มเมื่อเห็นดวงตาคู่งามปรอยมองมาอย่างออดอ้อน
"... ครับ?"
แม้ว่าใบหน้างามจะแดงอยู่แล้ว แต่ทุกครั้งที่ถูกขานรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเช่นนี้ ปรานต์รู้สึกได้ว่าหน้าร้อนซู่ยิ่งกว่าเดิม
"... อย่าเอาแต่แกล้งผมสิครับ"
"หืม... แล้วน้องปรานต์อยากให้ทำยังไงล่ะครับ?"
เด็กหนุ่มขบเม้มเรียวปากที่แดงเจ่อด้วยอาการน่ารักจนราเมศอดใจไม่ไหว ต้องเลื่อนกายขึ้นแนบจูบอีกนับครั้งไม่ถ้วน
"อื้มมม อะ... อ๊ะ!"
ปรานต์สะท้านกายวาบเมื่อถูกมือใหญ่ร้อนจัดขยับรูดส่วนอ่อนไหวเป็นจังหวะรัวเร็ว เด็กหนุ่มหายใจขัดด้วยความอายเมื่อรู้ว่าตอนนี้ตนเองเปิดกว้างแค่ไหน เรียวขาทั้งสองข้างถูกแยกออกแล้วดันขึ้นสูงพาดกับบ่าหนา ในขณะที่ราเมศเองก็จ้องมองเรือนกายงดงามตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง ช่องทางสีชมพูกระตุกน้อย ๆ อย่างเชิญชวนให้ฝังกายเข้าไป
ชายหนุ่มเผยอริมฝีปากหอบหายใจหนักขณะที่ร่างบางเองก็รู้สึกตื่นเต้นกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของอีกฝ่ายจนเผลอแลบปลายลิ้นเลียเรียวปากอย่างปรารถนาไม่ต่างกัน
เด็กหนุ่มปิดตาลงเมื่อรับรู้ถึงส่วนที่ร้อนที่สุดที่แนบชิดกับช่องทางด้านหลัง ก่อนจะอ้าปากเปล่งเสียงร้องเมื่อร่างสูงค่อย ๆ กดความใหญ่โตเข้ามาในเรือนกาย
"อะ... อ๊า...!"
ความบีบรัดและอุ่นร้อนที่ไม่เคยเปลี่ยนทำให้ราเมศอดไม่ได้ที่จะสอดแทรกกายเข้าไปทีเดียวจนสุด เรียกอาการผวาเฮือกจากร่างด้านใต้ด้วยความเจ็บระคนกระสันต์เสียว ชายหนุ่มเลื่อนใบหน้าลงคลอเคลียกับจมูกโด่งรั้น พร้อมจูบซับน้ำตาที่คลอนัยน์ตาคู่งามอย่างอ่อนโยน
"เจ็บรึเปล่า..? ขอโทษนะ"
"อื้อ ไม่เป็นไรครับ"
เพราะเป็นราเมศ ต่อให้ต้องเจ็บปวดมากมายอีกสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่นึกเสียใจ
ถ้าเพื่อผู้ชายคนนี้แล้ว ต่อให้เขาต้องเสียสละสิ่งสำคัญที่สุดในหัวใจไป --- เขาก็ไม่ลังเล
"รัก..."
คำพูดสั้น ๆ ที่สื่อได้ลึกซึ้งถึงความรู้สึกในหัวใจ ราเมศแนบหน้าผากกับหน้าผากมนชื้นเหงื่อแล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักคู่นั้น
ปรานต์ไม่เคยเชื่อในพระเจ้า เพราะเขาต้องสูญเสียพ่อแม่ที่แท้จริงไปตั้งแต่ยังเล็ก ต้องระเห็จไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ขาดการดูแล ได้อาหารตกถึงท้องเพียงวันละมื้อสองมื้อ และเมื่อมีคนรับไปเลี้ยง เขาก็ยังต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากด้วยตัวเองเนื่องจากครอบครัวเพียงแค่ต้องการเขาไปเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์
เด็กที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมอย่างเขา จึงไม่เคยมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจ ทั้ง ๆ ที่ผู้เป็นมารดาแท้ ๆ เคยพร่ำสอนให้ประสานมือแล้วอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่ในวันนี้ ณ เวลานี้ --- ที่เขาอยู่ในอ้อมกอดของคนที่รักเขา --- ราเมศที่เขารัก
หัวใจของเขารู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่ได้พาให้เขามาพบกับผู้ชายคนนี้ และหากโชคชะตานี้พระเจ้าเป็นผู้ลิขิตล่ะก็ เขาก็พร้อมจะเชื่อในพระเจ้าที่ไม่ทอดทิ้งเขาอีกครั้ง
"ผมก็รักพี่..."
ราเมศจูบใบหน้าหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหน้าผาก แก้มเนียนใสที่แดงปลั่ง จมูกโด่งรั้นที่เขารัก และริมฝีปากคู่สวยที่หวานล้ำที่สุดในโลก ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงรักอย่างอ่อนโยนทว่าร้อนแรงเสียจนปรานต์ต้องจิกกำผ้าปูที่นอนไว้แทนหลักยึด
"อะ... ฮึก อ๊ะ อ๊า!!"
"อา.... อึก....... ปรานต์.... อา…!"
เสียงครางต่ำทำให้เด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตูห้องหน้าร้อนวาบเสียจนต้องเลื่อนมือขึ้นจับผิวแก้มของตนเอง เขาเม้มริมฝีปากเมื่อรับรู้ได้ถึงตัวตนของเขาที่อยู่ใต้ร่มผ้า
เด็กหนุ่มระบายลมหายใจเบา ๆ พร้อมกับหันหลังกลับไปที่โซฟา แล้วก็ต้องสะดุ้งจนแล้วร้องออกมาลั่นเมื่อพบกับเงาร่างสูงที่ยืนซ้อนหลังอยู่แนบชิดไม่รู้นานแค่ไหน
มือใหญ่ตะปบเรียวปากสวยเอาไว้ได้ทันก่อนที่ร่างเล็กจะกรีดร้องออกมา ดีนะที่บนเตียงร้อนแรงเสียจนไม่สนใจใคร ภากรยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับอุ้มร่างที่เบาหวิวนั้นขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปที่โซฟา
"หัดถ้ำมองด้วยเหรอเรา?"
"บ้า... พี่นั่นแหละมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วเข้ามาได้ยังไง?"
รชตทั้งอายทั้งตกใจ คนบ้าอะไรจู่ ๆ มายืนซะชิดแบบนั้นตั้งนานไม่เรียก ท่าทางจะเพี้ยน
"คีย์การ์ดสิเจ้าหนู คิดว่าฉันกับรามรู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว"
"อ้อ ลืมไป พวกพี่มันคู่หูคู่หื่นนี่นะ"
"หึหึ ปากดีเชียวนะ" เขาไล้ปลายนิ้วไปตามผิวแก้มที่แดงระเรื่อ "ว่าแต่... เป็นยังไงบ้าง?"
"อะไร? อ๊ะ!! " รชตสะดุ้งเมื่อมือใหญ่จับหมับเข้าที่เป้ากางเกง "ทำบ้าอะไร?!"
"ชู่ว์ เบา ๆ สิน้อง อยากให้สองคนนั้นรู้เหรอว่านายแอบดูพวกเขาเมคเลิฟกันน่ะ?"
"ไม่ได้แอบดู!"
"จริงเหรอ? แล้วที่เป็นอยู่ตรงนี้นี่เพราะอะไรกันน้า?"
ภากรยิ้มกริ่มเมื่อเอวบางเผลอหยัดเข้าหาสัมผัสที่ช่ำชองโดยไม่รู้ตัว
"อะ... อ๊ะ..... ปล่อยนะ....."
"ให้พี่ช่วยดีกว่าน่า"
เอ่ยพลางเลื่อนมือเข้าไปใต้เสื้อเนื้อบาง ขณะมืออีกข้างไล้เข้าไปจับสัมผัสผิวกายร้อนผ่าวโดยตรง ส่วนอ่อนไหวที่สั่นระริกอยู่ในมือของเขาทำให้ภากรรู้สึกเป็นผู้ชนะอย่างบอกไม่ถูก
"นี่ไง... แข็งซะขนาดนี้ ยังจะบอกว่าไม่ได้แอบดูอีกเหรอ?"
"บ้า... ที่สุด...."
เสียงก่นด่าที่ไม่รู้ว่าด่าใครระหว่างภากรหรือตัวเขาเองที่ไร้เรี่ยวแรงราวกับถูกดูดพลังไปหมด ยิ่งมือร้อนขยับรูดเร็วแค่ไหน เขาก็เหมือนกับสติหลุดลอยเสียจนนึกอะไรไม่ออก นอกจากปล่อยให้อีกฝ่ายลวนลามได้ตามใจชอบ
"ฮึก... อะ... อ๊ะ!!"
เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อปลายลิ้นแตะสัมผัสเข้ากับยอดอกสีสวยพร้อมกับดูดดึงอย่างแรง มือหนาฟอนเฟ้นทั่วเรือนร่างเพรียวอย่างหมั่นเขี้ยว ผิวแก้มก้นถูกขยำเสียจนรชตเชื่อว่าต้องเป็นรอยช้ำในวันพรุ่งนี้เป็นแน่ แต่เขาก็ไม่มีแรงจะต่อภากรเนื่องจากส่วนที่ไวสัมผัสถูกรุกเร้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าร่างเล็กก็กระตุกแล้วปลดปล่อยออกมาเต็มฝ่ามือใหญ่
"อะ... ฮ้า......"
"ออกมาเยอะเลยนี่เรา ไม่ค่อยได้ช่วยตัวเองใช่ไหม?"
รชตหน้าแดงวาบพร้อมกับรีบสวนกลับไป "ถามบ้าอะไรของพี่"
"อ้าว ก็อายุสิบสี่แล้วไม่ใช่เหรอ ปกติเขาก็ทำกันทุกวันแหละ นี่อย่าบอกนะว่ายังเวอร์จิ้นอยู่ กับผู้หญิงก็ยังไม่เคย?"
"คะ ใครว่าไม่เคยกันล่ะ"
"งั้นเหรอ"
ภากรหัวเราะในลำคอ เด็กเอ๊ยเด็ก คิดจะหลอกผู้ใหญ่น่ะยังเร็วไปสิบปี
"ถ้าอย่างนั้น... เรามาทำแบบในห้องนั้นกัน คงไม่เป็นไรใช่ไหม?"
"... เอ๊ะ?"
"ก็นายบอกเองว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก พี่ก็ไม่ต้องเกรงใจถูกไหม? หรือว่ากลัว?"
"ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย!"
ชายหนุ่มร่างสูงคลี่ยิ้มหวานตามแบบฉบับเพลย์บอยหน้าหวานที่สุดในกรุงเทพมหานคร แต่ในสายตาของรชต หมอนี่มันเฟคชัด ๆ แววตาปีศาจร้ายขนาดนี้ยังมาแอ๊บยิ้มหวานให้คนอื่นตายใจอีก
"งั้น... เรามาต่อจากเมื่อคืนกันเถอะ ดีไหม?"
TBC.