WARNING
ตอนนี้ไม่ม่า แต่หน่วงใจเล็กน้อย ตอนที่ 36 ม่าแน่นอน ใครไม่ไหวให้รออ่านทีเดียวตอนอัปตอนที่ 37 แล้วนะคะ ตอนนั้นจะหมดม่าละ
Chapter 35: รักแรก
ความฟุ้งซ่านเรื่องพี่จิณห์วุ่นวายอยู่เต็มหัวผมตลอดอาทิตย์ ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย มันดูขัดแย้งไปหมด
ทั้งที่เขาไม่ชอบผม ผมเองก็ไม่ค่อยถูกชะตากับเขา แต่ผมดันไปมีความรู้สึกแปลกๆ ให้ มันโคตรจะไม่เมคเซ้นส์ และเพราะเหตุนี้ ผมก็เลยเกาะติดพี่อินทร์หนึบเพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ เขาก็ดูแปลกใจอยู่เหมือนกันนะที่จู่ๆ ผมก็ไปเกาะเขาแจ แต่ดูท่าเขาจะชอบเพราะไม่ได้ว่าอะไรสักคำ แล้วก็ดูมีความสุขมากขึ้นด้วย ก่อนที่จะดูประหลาดใจเมื่อจู่ๆ ผมก็ถามขึ้น...
“เรามีอะไรกันครั้งแรกเมื่อไรครับ”
พี่อินทร์ที่กำลังดื่มน้ำอยู่ตรงหน้าตู้เย็นถึงกับสำลักพรวด หันมองหน้าผมอย่างรวดเร็ว
“ทำไมจู่ๆ ถึงถามล่ะ”
“จิอยากรู้”
“อยากรู้... ไม่ใช่ว่าอยากทำกับพี่เหรอ”
ก็ถามด้วยสีหน้าและท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยทุกทีแหละ ซึ่งเขาก็ไม่เคยทำจริงๆ หรอก ได้แต่ทำเป็นถามผมแบบหมาหยอกไก่ไปอย่างนั้นแหละ เพราะจบท้ายจะเป็นการที่ผมมุ่ยหน้าใส่เขาทุกที แต่สำหรับวันนี้มันไม่ใช่ ผมพยักหน้าให้เป็นคำตอบ ทำเอาเขาต้องเบิกตาโตขึ้นมา
“พูดจริงดิ?”
สีหน้าของพี่อินทร์ดูตะลึงงันมากเลย แต่ที่ผมบอกไปเมื่อกี้เป็นเรื่องจริงนะ บางทีการที่ผมมีอะไรกันกับเขา มันอาจจะทำให้ผมหยุดคิดฟุ้งซ่านถึงพี่จิณห์ได้ ไม่อย่างนั้นผมก็อยากจะเจอเขา คิดถึงเขาอยู่นั่นแหละ
เรื่องบ้าๆ นี่ไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับคนที่ผมไม่รู้จักดีอย่างนั้น แล้วก็การมีอะไรกันกับพี่อินทร์ บางทีอาจจะทำให้ผมจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง
พี่อินทร์เดินมานั่งข้างๆ ผม สีหน้ายังคงอึ้งงันไม่หาย ขณะที่ผมถามเขาอีกครั้ง
“ตกลงแล้วเรามีอะไรกันครั้งแรกเมื่อไรเหรอครับ”
“พี่ก็จำไม่ได้ว่าเมื่อไรเหมือนกัน แต่จำได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น” เขาว่า สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าผม
“แล้ว...มันเกิดอะไรขึ้น”
ที่ถามไม่ใช่ว่าเพราะไม่รู้ว่าเรามีอะไรกันยังไง แต่อยากรู้รายละเอียดน่ะ พี่อินทร์เอื้อมมือมาจับมือผม ออกแรงบีบก่อนจะว่าออกมา
“พี่ชวนจิไปเที่ยวที่บ้านสวน จากนั้น...เราก็มีอะไรกัน”
“บ้านสวน?”
“อืม บ้านสวนของครอบครัวพี่ที่จันทบุรี”
ผมคุ้นกับบ้านสวนนะ ในหัวมีภาพรางๆ ผุดพรายขึ้นมาด้วย แต่จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นหรือบ้านนั้นเป็นของใคร แต่ตอนนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง ผมพูดในสิ่งที่คิดออกไปแล้ว
“พาจิไปที่บ้านสวนอีกครั้งได้ไหมครับ”
“ทำไมถึงอยากไปล่ะ”
“จิอยากจำพี่อินทร์ได้”
“...”
“อยากจำได้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน จิอยากจำได้ครับ”
พูดไปอย่างนี้ พี่อินทร์ก็คลี่ยิ้มออกมา เขาดึงผมเข้าไปกอดไว้
“พี่ก็อยากให้จิจำได้”
ผมรู้...
“แต่ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เริ่มต้นกันใหม่ก็ได้”
จบท้ายด้วยการที่เขาพูดอย่างนี้ทุกที ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ว่าเขาอยากให้ผมสบายใจ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมไม่สบายใจ ผมไม่อยากให้ความรู้สึกที่มีต่อคนอื่นมารบกวนจิตใจตัวเอง หรือแม้แต่กระทั่งรบกวนใจพี่อินทร์จนทำให้เขาต้องเสียใจ
ความรู้สึกที่มีต่อพี่จิณห์ ผมจะต้องกำจัดมันออกไปให้ได้
ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอาออกไปให้ได้...
หลังจากที่เราตกลงกันว่าจะไปเที่ยวบ้านสวนอีกครั้ง พี่อินทร์ก็เตรียมพร้อมทุกอย่างจนกระทั่งวันเดินทางมาถึง แน่นอนแหละว่าการไปบ้านสวนของเราในครั้งนี้มันคือการตกลงไปมีความสัมพันธ์ทางกายแบบลึกซึ้งเหมือนกับครั้งแรกที่เขาเคยพาผมไป ผมก็ไม่รู้หรอกว่าครั้งแรกระหว่างผมกับเขานั้นเกิดขึ้นได้ยังไง จนพี่อินทร์เล่าให้ฟังอย่างละเอียด ผมถึงได้รู้
“เป็นพี่เองแหละที่อยากมีอะไรกับจิก็เลยขอ จิก็ไม่เชิงว่ายอมหรอก ตอนนั้นจิมีอะไรบางอย่างคาใจอยู่เลยทำให้รักพี่เต็มร้อยไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจ สุดท้ายจิก็ยอม ความจริงแล้วเป็นฝ่ายรุกพี่เองด้วย พี่อาบน้ำอยู่ก็ไปหาถึงในห้องน้ำเลย ไม่คิดว่าจะเป็นคนใจร้อน”
เขาว่าขณะที่เราทั้งคู่นั่งเล่นกันอยู่ริมระเบียงในบ้านสวน ความจริงแล้วพวกเรามาถึงกันตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วล่ะ แต่ตอนนั้นพี่อินทร์พาผมไปเที่ยวเล่นกินผลไม้ไปทั่ว ตกเย็นถึงได้กลับมานั่งๆ นอนๆ ที่บ้านสวนซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงไทย ภาพเลือนรางในความทรงจำของผมฉายชัดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นบ้านหลังนี้ ทว่าก็ยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่ได้อยู่ดี
ผมฟังพี่อินทร์เล่าแล้วก็ยิ้มออกมาบางๆ อึ้งเหมือนกันที่ได้ยินอย่างนั้น นึกว่าเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสียอีก
“แล้วยังไงต่อเหรอครับ”
“พี่ก็ถามจินั่นแหละว่าจะทำจริงไหม ถามเหมือนกับที่ถามในตอนนี้ว่าจะทำจริงไหม”
“แล้วพี่อินทร์ได้ใส่ชุดนอนไม่ได้นอนให้จิฉีกทึ้งด้วยไหมครับ”
พี่อินทร์หัวเราะร่วนเลย “ใส่สิ”
“เห?”
“แต่จิไม่ได้ฉีกหรอกนะ ไล่ให้พี่ไปถอดออก จิบอกคลื่นไส้อะ”
ผมหัวเราะออกมาบ้าง แต่แล้วเขาก็ถามย้ำอีกครั้ง
“ตกลงจะทำจริงๆ ใช่ไหม”
ผมพยักหน้าให้ “จิอยากลอง”
ถึงผมจะไม่ได้รักเขาเหมือนคนรัก มีแต่ความรู้สึกแบบพี่น้อง ทว่ามันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถไปจากเขาได้
เหมือนกับ...ผมถูกล่ามโซ่ไว้กับที่ทั้งๆ ที่ข้างหน้ามีกำแพงกั้นระหว่างผมกับเขา ไม่ให้เราเข้าหากันได้ หลายครั้งที่ผมคิดว่าบางทีผมอาจจะรักเขามากกว่าพี่น้อง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ ทุกครั้งที่ความรู้สึกเหมือนจะเกินกว่าที่เป็นอยู่ อีกวันความรู้สึกนั้นก็จะหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกที ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมทรมานอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“แน่ใจนะ?”
เขาย้ำมาอีกครั้ง ผมก็หัวเราะเบาๆ
“แน่ใจสิครับ พี่อินทร์ไม่ต้องถามจิแล้ว เริ่มอายแล้วเนี่ย”
คนตรงหน้าผมหัวเราะตอบรับบ้าง เขาจูงผมเข้าไปในห้องนอน ก่อนพาเดินมานั่งที่เตียง มองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา
“จะเริ่มกันเลยไหม”
พอเขาถาม ผมก็พยักหน้า รู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าขึ้นมาทันที ความรู้สึกนี้ไม่ได้เหมือนกับตอนที่ผมรู้สึกกับพี่จิณห์ มันเป็นความเขินอาย แต่เป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกดีมากๆ
พี่อินทร์ประทับริมฝีปากลงมาบนหน้าผากผม ลากเรื่อยไปยังแก้มแล้วจรดที่ริมฝีปากเป็นที่สุดท้าย พอผละออกมาได้ เขาก็กระซิบ
“ไม่ต้องเกร็งนะ พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้จิเจ็บ”
ผมรู้ว่าเขาไม่ทำให้ผมเจ็บหรอก ผมเลยผ่อนคลายมากขึ้น ปล่อยให้เขาได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่ปกคลุมตัวผมอยู่ออก ไม่นานนัก ร่างกายของเราทั้งคู่ก็เปล่าเปลือย ถึงผมจะเคยเห็นเขาถอดเสื้อเดินในห้องหลายต่อหลายครั้ง แต่สำหรับในสถานการณ์อย่างนี้ มันทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
เขา...เซ็กซี่มาก
ยิ่งเขายิ้มแล้วขยับเข้ามาใกล้ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมก็เต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิม
“พี่รักจินะ”
จิก็รักพี่อินทร์...
ผมอยากพูดประโยคนี้บ้างเหมือนกัน แต่ความรู้สึกกลับไม่ได้รักเขาอย่างคนรักเลย จะให้พูดออกไปก็กลับว่าจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกเขาเพราะผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นกับเขาจริงๆ ผมจึงได้แต่พยักหน้า ก่อนค่อยๆ เอนตัวลงนอนเมื่อถูกพี่อินทร์ดันให้ทิ้งตัวนอนราบ
ร่างกายเปล่าเปลือยของเขาขึ้นมาแทรกกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของผม จูบประทับที่ริมฝีปาก กระหวัดเกี่ยวกับปลายลิ้นอยู่ภายใน ปล่อยให้ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไปตามแขนและขา สัมผัสหวามไหวทำให้ผมคล้อยตามไปชั่วขณะ การถูกเขาสัมผัสไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจเลยแม้แต่น้อย มันเป็นสิ่งที่...
...ที่ผมคุ้นเคย
ใช่ ความรู้สึกมันเป็นอย่างนั้น อบอุ่นและอ่อนโยน...สิ่งนี้คือสิ่งที่เป็นพี่อินทร์เสมอ
แต่แล้วผมก็ต้องชะงักเมื่อส่วนลึกสุดของร่างกายถูกรุกรานด้วยปลายนิ้ว ความเพลิดเพลินก่อนหน้าหดหายไปหมด ผมดันตัวเขาออกอย่างรวดเร็ว พี่อินทร์ก็ชะงักเช่นกัน ก่อนเขาจะมีสีหน้าไม่ดีสักเท่าไร
“ถ้าไม่ไหว อย่าฝืนนะจิ”
ผมลังเลไปเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าตัวเองไหวไหม เลยลองให้เขารุกล้ำอีกครั้ง แต่แล้วในหัวก็สับสนอลหม่าน ความรู้สึกดีๆ ที่มีกับเขาก่อนหน้ามลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
ผมไม่ไหว...
ไม่ไหวจริงๆ...
“จิไม่ไหวครับ”
ผมบอกไปตามตรง เท่านั้นพี่อินทร์ก็หยุดมือ
“พี่ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องไม่ไหว”
เขายิ้มบางๆ รอยยิ้มนั้นทำให้ผมรู้สึกผิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะขอโทษ
“จิขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้ว่าอะไรจิเลย ไม่ต้องคิดมาก”
เขาดึงผมไปกอดปลอบ พอผละออกไป เราทั้งสองก็ดันตัวขึ้นนั่ง มองหน้ากันด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน ความเงียบทำให้เราอึดอัดไปตามๆ กัน แต่พี่อินทร์ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นด้วยการชวนคุยขึ้นมา
“จิรู้ไหมว่าจิมีพี่เป็นคนแรก?”
ถึงจะไม่รู้แต่ผมก็เดาได้ เพราะตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยมีแฟนเลย เหตุผลก็คือ...
คือ...
...นึกไม่ออก
จำไม่ได้เลยว่าทำไมถึงไม่มีแฟน แต่รู้สึกเหมือนกับว่าผมมีอะไรค้างคาอยู่ในใจจนไม่สามารถคบหากับใครได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะพี่อินทร์ด้วย รู้สึกเหมือนจะเป็นเพราะพี่บุศย์ แต่...ผมกับพี่บุศย์เคยเป็นอะไรกันอย่างนั้นเหรอ
นึกไม่ออกเลย แต่ผมก็ไม่อยากจะนึกต่อสักเท่าไรเมื่อเห็นสายตาทะเล้นของพี่อินทร์ ทำให้ผมต้องถามบ้าง
“ทำเป็นดีใจที่จิเป็นคนแรก แล้วพี่อินทร์ล่ะ จิเป็นคนที่เท่าไรของพี่อินทร์”
ย้อนถามกลับไปก็เพราะอยากจะแกล้งให้เขาหน้าม้านนี่แหละ ทว่าคำตอบของเขากลับทำให้ผมต้องนิ่งงัน
“จิเป็นรักแรกของพี่”
ผมเบิกตาโตมองเขาเลย
“หืม?”
ดูแล้วไม่น่าจะเป็นแบบนั้น พี่อินทร์หล่อจะตาย นิสัยก็ดี ไม่น่าจะไม่เคยมีแฟนมาก่อน แต่พี่อินทร์ดันพยักหน้าหงึกหงัก
“อื้ม เป็นคนแรกของพี่ด้วย”
นั่นยิ่งทำให้ผมตกใจมากขึ้นไปใหญ่
“จริงเหรอ”
ผมถามเสียงดัง พี่อินทร์ก็หัวเราะใหญ่ มิหนำซ้ำยังบอกว่า...
“แล้วก็จะเป็นรักครั้งสุดท้ายของพี่”
ถึงตอนนี้ ผมกำผ้าห่มที่อยู่ข้างๆ แน่น ไม่อยากให้เขาพูดแบบนี้เพราะผมรับปากไม่ได้ว่าผมจะรักเขาเป็นรักสุดท้ายหรือเปล่า อะไรไม่ว่า ผมจะรักเขาแบบคนรักอีกครั้งได้หรือเปล่า ผมยังไม่รู้เลย และมันก็ทำให้ผมต้องพูดออกมา
“แต่จิไม่รู้ว่าจะต้องทำให้พี่อินทร์รอไปอีกถึงเมื่อไร”
“ไม่ต้องห่วงจิ พี่เคยบอกไปแล้วไงว่าพี่รอได้ พี่รอเก่งจะตาย”
เขายิ้มทั้งที่เก็บความเศร้าบนใบหน้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ผมเองก็อึดอัดใจ สงสารเขาก็ด้วย ที่สำคัญ...ผมเจ็บในใจขึ้นมา
ผมไม่อยากทำให้เขาเป็นแบบนี้ ถึงผมจะไม่ได้รักเขาแบบคนรัก แต่ผมก็มีเยื่อใย มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมไม่กล้าไปจากเขาสักที ทว่าบางที...การอยู่แบบนี้อาจจะไม่ช่วยอะไร
“แต่จิรักพี่อินทร์แบบพี่น้อง”
ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจพูดออกไป บางทีการทำให้เขารู้ไว้สักหน่อยอาจจะเป็นการดี เผื่อเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะได้มีเวลาทำใจไว้ล่วงหน้า เพราะทั้งที่ผมพยายามจะลองมีอะไรกับเขาเหมือนตอนที่รักกัน แต่ผมกลับทำไม่ได้ทั้งที่เตรียมใจมาอย่างแน่วแน่แล้วว่ายังไงก็จะทำ ทว่าเขากลับตอบกลับเสียงแผ่ว
“พี่รู้อยู่แล้ว รู้...ว่าจิไม่ได้คิดอะไรกับพี่เลย” ผมก้มหน้านิ่ง พี่อินทร์เอื้อมมือมาจับมือผมไว้ พลันว่าเสียงเบา “แต่พี่ก็ยังรักจิเหมือนเดิมนะ”
ผมเองก็รู้อยู่แล้วเหมือนกัน แต่...เราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปจริงๆ เหรอ
“พี่อินทร์ครับ บางทีจิว่าพี่อินทร์ไม่ต้อง...”
ผมจะบอกให้เขาไม่ต้องรอแล้ว แต่เขาก็ดันสวนขึ้นมา
“ไม่จิ อย่าบอกให้พี่เลิกรอ อย่าพูด”
เขาไม่ได้ตะคอกหรืออะไร พูดในน้ำเสียงปกติ แต่กลับทำให้ผมต้องปิดปากสนิท พอสบตาเขาแล้ว ผมก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในแววตานั้น
“อย่าพูดแบบนั้น ขอร้อง อย่าบอกให้พี่หยุด พี่บอกแล้วไงว่าพี่รอได้ พี่รอเก่ง”
“...”
“ให้พี่รอเถอะนะ ให้รอไปเถอะ รอแบบหวังลมๆ แล้งๆ หรืออะไรก็ได้ แต่อย่าบอกให้พี่หยุด พี่ทำไม่ได้”
“...”
“พี่รักจิแล้ว ต่อให้จิไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไล่พี่ไป ให้พี่อยู่แบบนี้ มีความสุขไปวันๆ แบบนี้ พี่ก็พอใจแล้ว”
“พี่อินทร์...”
ผมครางออกมา ในใจปวดร้าวจนกลั้นน้ำตาไม่ไหว ผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้ ไม่อยากเห็นเขาพยายามทำตัวเข้มแข็งอีกแล้ว ผมพยายามจะรักเขาแล้ว... พยายามสุดๆ แล้ว แต่มันก็ไม่เทียบเท่ากับความรู้สึกที่ผมมีให้พี่จิณห์ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเลย
“จิต้องทำยังไง...ฮึก พี่อินทร์ จิต้องทำยังไงถึงจะรักพี่อินทร์ได้เหมือนเดิม...”
ผมทนไม่ไหวอีกแล้ว ปล่อยโฮออกมาจนได้ การที่เราอยู่กันอย่างนี้มันทรมานทั้งเขาทั้งผมเลย ถึงผมจะไม่ได้รักเขา พอมีความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาเหมือนว่าจะรัก มันก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ความรู้สึกนั้นแตกสลายและหายไป ราวกับว่ามีใครบางคนไม่อยากให้ผมรักเขายังไงก็ไม่รู้ แต่ขณะเดียวกันก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถปล่อยมือจากเขาได้
ผมต้องทำยังไงล่ะ ต้องทำยังไงถึงจะกลับมารักเขาเหมือนเดิมได้สักที ผมอยากรักเขา อยากจะหยุดสถานการณ์อย่างนี้แล้ว ไม่ใช่ไปมีใจให้กับคนที่ไม่สมควรอย่างนั้น!
พี่อินทร์ดึงผมเข้าไปกอดแน่น กระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ไม่ต้องทำอะไรเลย จิไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่ข้างๆ พี่ก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไร...”
“แต่จิ...”
“พี่รอได้ รอเก่งจะตาย...รอได้...พี่ไหว...”
เขาพร่ำพูดคำนั้นไม่หยุด ผมก็ร้องไห้ไม่หยุด จนกระทั่งเขาพึมพำออกมา
“พี่รอเจ้ามาชาตินึงแล้ว ไยจะรอเจ้าอีกสักหน่อยไม่ได้...พี่รอเจ้าได้เสมอ ระตูจรกา...”
ระตูจรกาอะไร...
ผมชะงัก มองหน้าเขาอย่างขอคำตอบ ทั้งที่ไม่พูดแต่พี่อินทร์ก็เหมือนจะเข้าใจว่าผมสงสัยอะไร เขาถอนหายใจออกมาแล้วจับผมให้นั่งตัวตรง
“จิรู้ไหม นิสัยไม่ดีของพี่คืออะไร”
“ครับ?”
“คือการที่มีอะไรแล้ว พี่ไม่เคยบอกหรือถามจิ ทุกครั้งที่เราทะเลาะหรือมีปัญหาเข้าใจผิดกัน ทั้งหมดเป็นเพราะพี่คิดอะไรก็ไม่เคยพูด เอาแต่คิดเองเออเอง ทำเองโดยไม่ถามจิสักคำ”
“...”
“แต่วันนี้พี่จะพูด พี่จะเล่าทุกอย่างให้จิฟัง ทุกอย่าง...ที่เป็นเรื่องของเรา”
ผมเข้าใจว่าเขาเล่าให้ผมฟังหมดแล้วนะ แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไร ได้แต่นั่งนิ่ง รอให้เขาเปิดปาก ทว่าเขากลับถามผมว่า...
“จิเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดหรือระลึกชาติได้ไหม”
ไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี ผมเลยได้แต่นิ่ง ปล่อยให้พี่อินทร์พูดต่อ
“เรื่องที่พี่จะบอกหลังจากนี้มันอาจจะฟังดูไร้สาระ แต่พี่ขอยืนยันว่าทุกสิ่งที่พี่พูด มันคือเรื่องจริง”
เขาดูกังวลมากเลยที่จะเล่า ใช้เวลานานพอสมควรทีเดียวในการสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะเปิดปากเล่า
“พี่คืออิเหนากลับชาติมาเกิด ส่วนจิก็คือระตูจรกา”
“...”
“อิเหนาแอบหลงรักระตูจรกามาตั้งแต่ชาติที่แล้ว แต่จรกาเกลียดอิเหนาเข้าไส้ ชาตินี้เกิดใหม่แต่จำอดีตชาติกันได้เพราะวิงวอนต่อองค์ประตาระกาหลา องค์เทวาต้นวงศ์อสัญแดหวาของพี่ จรกามาเกิดใหม่เพื่อจะมาครองคู่กับบุษบา ซึ่งก็คือไอ้บุศย์ ส่วนพี่มาเกิดใหม่ก็เพื่อจะตามมารักจรกาในชาตินี้”
“...”
“ส่วนสรัลก็คือสังคามาระตา ไอ้วิญคือวิหยาสะกำ...”
ผม...พูดอะไรไม่ออกเลย พอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมพี่อินทร์ถึงได้ดูเป็นกังวลนักที่จะพูดเรื่องนี้ ก็มันดูไม่น่าเป็นไปได้เลยนี่นา อิเหนากับพวกคนอื่นๆ มันเป็นตัวละครในวรรณคดีไทยไม่ใช่เหรอ กลับมาเกิดใหม่อะไร!
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรหรอกนะ ได้แต่ฟังสิ่งที่พี่อินทร์พูดต่อ
“ชาติก่อนพี่ทำผิดกับจรกาไว้มาก ชาตินี้เลยตามมาขอแก้ตัว กว่าที่จิจะยอมปล่อยวางความแค้นในอดีตจนยอมมารักพี่ก็ใช้เวลานาน พี่ต้องทำให้จิเข้าใจว่าเมื่อชาติก่อนที่อิเหนาแกล้งจรกาไม่ใช่เพราะความตั้งใจ แต่เป็นเพราะความรักต่างหาก พี่เลยให้แหวนจิไป”
แหวน...
ผมนึกถึงแหวนทองที่ประดับนิลเม็ดใหญ่ในตู้เสื้อผ้าได้ขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ พี่อินทร์ก็สวนขึ้นมาแล้ว
“พอจิรักพี่แล้ว ดันกลายเป็นว่าจิผิดคำสาบานที่ว่าจะไม่ญาติดีกับอิเหนาในชาติที่แล้ว ทำให้ถูกลงโทษให้ฟ้าผ่าตาย”
“ฟ้าผ่าตาย?”
“ก็ไม่ใช่ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ หรอก เป็นรอยฟ้าผ่าผุดขึ้นที่ตัวน่ะ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องไปอินโดนีเซีย”
“ทำไมเหรอครับ”
“ไอ้วิญบอกว่าสาบานไว้ที่ไหน ให้ไปถอนคำสาบานที่นั่น จิสาบานว่าจะไม่ญาติดีกับพี่ที่เมืองดาหา ตอนนี้เมืองดาหาคือตำบลหนึ่งในบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย เราเลยไปที่นั่นกัน”
ผมพยักหน้า ก็ยังไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดหรอกนะ อย่างที่บอกว่ามันเหลือเชื่อเกินไป แต่ผมก็ตั้งใจฟัง แถมยังมีคำถาม
“แล้วจิถอนคำสาบานได้ไหม”
“ได้” พี่อินทร์ว่ายิ้มๆ ซึ่งเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ “แต่พอฟื้นขึ้นมา ความทรงจำของจิที่เกี่ยวกับพี่ รวมถึงอดีตชาติก็หายไป”
“ทำไมเหรอครับ”
“พี่เองก็อยากรู้” เขาว่า “แต่ให้พี่เดา พี่คิดว่าคงเป็นเพราะความปากพล่อยของพี่”
ผมขมวดคิ้วมุ่น “ยังไงเหรอครับ”
“ตอนนั้นจิอาการไม่ดีแล้ว เป็นตายเท่ากัน ขนาดจะพูดขอถอนคำสาบานเอง ยังพูดแทบไม่ไหว พี่ก็เลยบนบานไปว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ได้ ให้จิไม่รักพี่ก็ได้ แต่ขอให้จิมีชีวิตรอด”
“...”
“เรื่องที่พี่ยังไม่เคยเล่าก็มีเท่านี้แหละ จิเชื่อพี่ไหม”
ผมตอบไม่ได้อยู่ดีว่าเชื่อไหม มันยากที่จะเชื่อ อีกอย่าง ที่เขาเล่ามา ผมไม่คุ้นเลยสักอย่าง จะให้คิดว่าพี่บุศย์คือบุษบา สรัลคือสังคามาระตา พี่วิญญูคือวิหยาสะกำ มันก็ยากที่จะจินตนาการทั้งนั้น แต่สายตาที่พี่อินทร์มองผม มันก็บ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน
ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก แต่เชื่อสิ่งที่เขาเล่าไม่ลง...
เพราะเงียบ พี่อินทร์ก็เลยยิ้มออกมา บีบมือผมแน่น
“ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ถือซะว่าพี่เล่านิทานให้ฟังก็แล้วกันนะ”
กลายเป็นอย่างนี้เสียได้ ผมเลยเบี่ยงประเด็นไปคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศเสีย
“เมื่อเย็นจิเห็นพี่อินทร์เก็บดอกชบาที่หน้าบ้านมาตั้งหลายดอก เอามาทำไมเหรอครับ”
พยักพเยิดไปที่ดอกชบาซึ่งพี่อินทร์เอาในถาดวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ เขาลุกขึ้นไปหยิบมา จากนั้นก็เอามาทัดหูผมเสียอย่างนั้น ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขาก็พูดออกมา
“พ่อดอกชบาของพี่”
คำนี้...หมายถึงผมจริงๆ ด้วย
“เมื่อชาติก่อนที่อิเหนาเจอกับจรกาครั้งแรก พี่เห็นจรกาเล่นอยู่เพียงลำพัง ก็เลยเข้าไปเล่นด้วย แล้วก็เก็บดอกชบาทัดหูให้ ถึงได้เรียกจรกากับจิว่าพ่อดอกชบา”
ทัดข้างหนึ่งเสร็จแล้ว ก็หยิบอีกดอกมาทัดให้อีกข้าง
“วันนั้นที่ละเมอก็เพราะฝันถึงจินี่แหละ”
เท่านั้นผมก็ชัดแจ้งทันทีว่าเขาเจ็บปวดแค่ไหน
ถึงขั้นน้ำตาไหล... ผู้ชายที่เข้มแข็ง อดทนเก่งอย่างพี่อินทร์ต้องเจ็บปวดแค่ไหนกันถึงหลั่งน้ำตาได้
ผมกำผ้าห่มแน่นกว่าเดิม ความรู้สึกผิดถาโถมจนผมเริ่มเกลียดตัวเองขึ้นมาแล้ว
ทำไมผมถึงไม่รักพี่อินทร์เหมือนเดิมสักที...ทำไม...
“พี่อินทร์... จิอยากรักพี่อินทร์นะ อยากรักจริงๆ...”
น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง ประโยคที่บอกกับเขามันทำให้ผมเจ็บที่หน้าอกมากๆ
รักเขาไม่ได้ แต่กลับไปจากเขาไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองเขาเจ็บปวด เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ได้แต่ทำทุกอย่างเป็นปกติทั้งที่มันไม่ปกติ
ทำไมเราสองคนจะต้องฝืนให้ต่างฝ่ายต่างทรมานกันขนาดนี้ด้วย...
ผมอยากจะถามเขาเหมือนกัน แต่คงถามไม่ได้แล้ว พี่อินทร์ไม่อยากฟังแน่ ผมจึงได้แต่เงียบ ปล่อยให้พี่อินทร์ดึงผมเข้าไปกอดแน่น กระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู
“พี่ก็อยากให้จิรักพี่เหมือนกัน...รักแรกของพี่ พี่อยากให้มันเป็นรักครั้งสุดท้าย พี่จะรอ ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ...”
เป็นครั้งแรกที่เขาบอกความต้องการที่แท้จริงออกมาตามตรงหลังจากที่แสร้งทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่นาน และประโยคนั้นก็ทำให้ผมต้องกอดเขาแน่นกว่าเดิม
ความรู้สึกที่โอบล้อมเราสองคนอยู่ ไม่มีใครรับรู้ได้หรอกว่ามันทั้งเจ็บปวด ทั้งทรมานแค่ไหน
ผมอยากรัก เขาอยากให้ผมรัก แต่ต่างฝ่ายต่างทำให้มันเป็นไปตามนั้นไม่ได้ ยิ่งมีความรู้สึกของผมที่เกิดขึ้นกับพี่จิณห์เข้ามาแทรก อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะเลวร้ายไปหมด
ต้องทำยังไงถึงจะยุติสถานการณ์แบบนี้ได้...
ผมจะต้องทำยังไงกันถึงจะยุติความเจ็บปวดของเขาได้สักที...
------------------------------
บอกแล้วว่าหน่วงใจเล็กน้อย 555
จริงๆ ไม่ค่อยอยากมาชี้แจงอะไร แต่ต้องชี้แจงหน่อยเพราะช่วงนี้จะมีนักอ่านบางคนมา Blame หนูแดงเพราะเส้นเรื่องนิยายไม่โดนใจ (คือเขียนดราม่าขยี้ปมนี่แหละ พอมีช่วงดราม่าปุ๊บ เอ้า Blame คนเขียนเฉ้ย)
คืออย่างนี้ค่ะ งานหนูแดงเนี่ยมักไม่ค่อยไปในโทนเดียวกันทั้งเรื่อง จะมีธีมหนึ่งคลุมโทน แล้วเส้นเรื่องจะขึ้นๆ ลงๆ ตามปมและสถานการณ์ในเรื่อง อย่างเรื่องนี้ คลุมโทนคอเมดี้ หมายความว่า 70-80% จะเป็นคอเมดี้ แต่พอมาถึงปมหลักของพล็อต ยังไงก็ต้องดราม่าค่ะ แล้วก็จะเป็นแบบนี้ทุกเรื่องเพราะมันไม่ใช่แนว Slice of life หรือคอเมดี้ที่ไม่มีปมอะไรเลย จริงๆ แล้วมันคือสไตล์การเขียนน่ะนะ ใครที่เคยอ่านงานหนูแดงมาก่อนก็น่าจะพอคุ้นกันว่างานหนูแดงส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ไม่ใช่โทนดราม่า แต่จะมีปมของเรื่องที่เป็นดราม่า ซึ่งเรื่องนึงก็จะมีประมาณ 1-3 ตอน แล้วแต่ความยาวของเรื่อง (แต่มีเรื่องแรกพบสบรักนะคะที่ไม่มีอะไรเลย คอเมดี้ทั้งเรื่อง มีดราม่าอยู่ครึ่งตอนแค่นั้นเอง XD) อันนี้จะเป็นสไตล์งานเขียนของหนูแดง
เลยอยากจะบอกกันว่าการที่อ่านงานหนูแดงแล้วไม่คลิกหรือไม่ถูกจริต มันไม่ใช่ปัญหาของหนูแดงที่จะต้องมาแก้เส้นเรื่องเพราะว่าใครสักคนอ่านแล้วไม่ชอบง่ะ ยิ่งการมา Blame เพราะว่าหนูแดงเขียนไม่ตรงใจ ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลยเน้อ เอาเป็นว่าขอความร่วมมือไม่ Blame นักเขียนไม่ว่าจะเรื่องไหนเพียงเพราะเขียนไม่ถูกใจเรานะคะ (แต่อินได้ ด่าตัวละครได้ ไม่ว่ากัน 555)
ช่วงนี้หนูแดงโดนทุกเรื่องเลย เดี๋ยว Blame ที่อัปช้า หรือไม่ก็อะไรทำนองนี้แหละ ซึ่งถ้อยคำที่ใช้ก็ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่อะเนอะ ส่วนตัวหนูแดงก็รับได้ค่ะเพราะเจ็บบ่อยๆ ค่อยๆ ชิน แต่บ่อยไปก็ไม่ดี อยากให้รักษาบรรยากาศดีๆ ร่วมกันนะคะ
ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ ผ่านดราม่าตอนสองตอนไป มันก็คอเมดี้เหมือนเดิมละจ้า XD