หลักกิโลเมตรที่ 5 บทสรุป
อาทิตย์ทัศน์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยทั้งที่กลับจากแม่ฮ่องสอนมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว แต่ทำไมเวลาที่ย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หัวใจจึงยังคงเต้นแปลก ๆ มือเรียวหยิบแหวนทองคำขาวที่คล้องอยู่กับสร้อยเส้นเล็กที่คอขึ้นมาหมุนไปมาก่อนที่เสียงเตือนข้อความเข้าของโทรศัพท์จะดังขึ้น
‘ถ้าจะเขียนสั้นขนาดนี้ ส่งข้อความมาก็ได้ครับ’ ข้อความหนึ่งถูกส่งมาพร้อมกับภาพของโปสการ์ดใบเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยลายเส้นปากกากาหมึกซึมสีดำขยุกขยิกแต่ก็รวมกันเป็นรูปดอกไม้ซึ่งคนวาดบอกว่ามันคือดอกบัวตองไม่ใช่ไข่ดาวเหมือนกับที่ใครบางคนได้พูดเอาไว้
‘ขอบคุณสำหรับทุกอย่างตลอดการเดินทางครั้งนี้’
‘...จ้า...’
ปากบางขยับยิ้มก่อนจะหยิบโปสการ์ดใบหนึ่งที่เสียบอยู่ในหนังสือข้าง ๆ คอมพิวเตอร์โน้ตบุคขึ้นมาดูก่อนจะพูดเบา ๆ กับเจ้านักเดินทางใบเล็ก ๆ ที่บุรุษไปรษณีย์เพิ่งเอามาส่งเมื่อตอนสาย
“ถ้าจะเขียนยาวขนาดนี้ก็เข้าเล่มทำเป็นรายงานมาส่งเถอะ”
อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ พลิกโปสการ์ดภาพเสก็ซต์ทิวสนริมอ่างเก็บน้ำเพื่ออ่านข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ด้านหลัง ตาคมเริ่มกวาดมองทีละตัวอักษร จนกระทั่งค่อย ๆ เพิ่มเป็นบรรทัด ทีละบรรทัด บรรทัดแล้วบรรทัดเล่า...
....แทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไรตั้งแต่หยิบโปสการ์ดใบนี้ออกมาจากตู้รับจดหมาย...
...ตั้งแต่เดินกลับเข้ามาในบ้าน...
...ตั้งแต่กลับขึ้นมาบนห้อง...
...จนกระทั่งตอนนี้...
เขาอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นจนจำมันได้ทุกคำ...
‘จ้า...
ขอบคุณนะที่หน้าหนาวปีนี้คุณมาแม่ฮ่องสอนกับผม ทั้ง ๆ ที่คุณขี้หนาวขนาดนั้น
ผมยังนึกกลัวอยู่เหมือนกันว่าจะพาคุณมาลำบากหรือเปล่า คุณจะสนุกหรือเปล่า
แต่ในที่สุดความกลัวของผมก็หมดไปเมื่อผมได้เห็นรอยยิ้มของคุณตลอดทาง
ดีใจจังที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นคุณทุกเช้า ดีใจจังที่คุณยอมให้ผมกอด
ดีใจจังที่คุณยอมฟังในสิ่งที่ผมได้บอกมันออกไป และผมจะดีใจมาก ๆ ถ้าวันหนึ่งคุณจะบอกในสิ่งคุณคิดให้ผมได้รู้บ้าง
ผมรักคุณนะ...รักมากที่สุดเลย...ตัง...^^’
...
ผ้าม่านสีขาวสะอาดตาพริ้วไหวไปตามแรงลมจากพัดลมเพดานที่หมุนเอื่อย ๆ ขับไล่ความร้อนของต้นเดือนเมษายน บนเตียงนอนเต็มไปด้วยโปสการ์ดเก่า ๆ และรูปถ่ายจำนวนมากที่ถูกเทออกมาจากกล่องที่เคยใส่ เจ้าของห้องยังคงนอนอ่านโปสการ์ดทีละใบ ๆ ก่อนจะวางลงข้าง ๆ ตัว โปสการ์ดเหล่านั้นคงจะมีแต่เรื่องราวดี ๆ เขียนอยู่แน่ ๆ รอยยิ้มเล็ก ๆ จึงได้ปรากฏบนใบหน้าของคนอ่านอยู่ตลอดเวลา
“เอาไว้หน้าหนาวปีหน้าเราไปแม่ฮ่องสอนกันอีกนะ” คนตัวสูงที่กำลังดูภาพจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุคบนตักเอ่ยขึ้นก่อนจะค่อยเอนหลังพิงข้างเตียง
“ไม่เบื่อบ้างหรือไง” คนที่เพิ่งวางโปสการ์ดแผ่นหนึ่งลงบนเตียงค่อย ๆ พลิกตัวนอนคว่ำก่อนจะขยับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ บ่ากว้างของคนที่กำลังนั่งอยู่กับพื้น
ตฤณกรส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ผมอยากไปดูดอกบัวตอง”
“ถ้าไปดูดอกบัวตองก็ต้องไปเดือนพฤศจิกายน”
“อยากไปดูนางพญาเสือโคร่งด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปกลางเดือนมกราคม”
“อืม..ถ้าอย่างนั้นไปปลายปีนี้เราไปก่อนรอบหนึ่ง แล้วต้นปีหน้าค่อยไปใหม่นะ”
“แล้วแต่คุณสิ” ปากบางของคนที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงขยับยิ้มก่อนที่วงแขนเล็ก ๆ จะคล้องที่คอของคนตัวสูง
“ทำไมยอมตกลงง่ายจัง ไม่กลัวหนาวแล้วเหรอ”
อาทิตย์ทัศน์กระชับวงแขนแน่นขึ้นก่อนจะวางคางลงบนบ่าของตฤณกรก่อนจะกล่าว “ไม่กลัว”
“ทำไมไม่กลัว” คนตัวสูงหันไปถามอย่างจงใจให้ปลายจมูกโด่งสัมผัสกับแก้มเนียน
“เพราะผมรู้ว่ายังไงคุณก็ไม่ปล่อยให้ผมหนาวตายหรอก ใช่ไหม” อาทิตย์ทัศน์ยิ้มพร้อมกับยักคิ้ว
“วันนี้น่ารักผิดปกตินะเราน่ะ” คนตัวสูงกล่าวก่อนจะเอื้อมมือจับที่ศีรษะของคนที่กอดคอเขาอยู่พร้อมกับโยกเบา ๆ
“ไม่ชอบเหรอ”
ตฤณกรยกมือขึ้นขยับแว่นสายตาก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “ไม่ชอบ”
อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ คลายวงแขนออกลุกขึ้นนั่งสมาธิ จากนั้นจึงเอื้อมมือทั้งสองข้างจับที่ศีรษะของคนข้างหน้าพร้อมกับออกแรงรั้งเบา ๆ ลงมาบนตักก่อนจะกล่าว “ไม่ชอบจริงเหรอ”
ตฤณกรสบตาคู่สวยก่อนจะยกยิ้มน้อย ๆ “ไม่ชอบ แต่รักเลยต่างหาก”
ปากบางที่ก่อนหน้านี้เม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงกลับคลี่ยิ้มอีกครั้ง มือเรียวค่อย ๆ ถอดแว่นสายตาของคนตรงหน้าออกก่อนจะโน้มตัวลงจรดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากอุ่น ๆ ของคนบนตัก ตฤณกรเองแทบไม่อยากจะเชื่อว่าวันนี้พ่อเสือหนุ่มจอมดุและแสนยิ้มยากอย่างอาทิตย์ทัศน์จะกลับกลายเป็นลูกแมวเชื่อง ๆ ที่คลอเคลียไปมาอยู่ข้าง ๆ ตัวของเขา...
“เมื่อไรจะยอมให้ถอดออกมาสวมเสียที” ตฤณกรก้มมองคนที่กำลังนอนขดตัวหลับตาพริ้มหนุนอยู่บนตักของตัวเองก่อนจะเอื้อมหยิบแหวนทองคำขาวที่สร้อยคอของเขาขึ้นมาดู
“อื้อ...” คนตัวเล็กกว่าครางขึ้นอย่างขัดใจเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกปลุกด้วยหลังมืออุ่น ๆ ที่ถูเบา ๆ ลงบนแก้มของตัวเอง คิ้วหนาค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันทั้งที่ยังหลับตาก่อนที่มือจะเอื้อมคว้ามือหนา ๆ นั้นมากอดไว้แนบอก
ปากหยักค่อย ๆ คลี่ยิ้มก่อนจะใช้มือที่เหลือเขี่ยเส้นผมที่ลงมาปกหน้าของคนที่กำลังนอนหลับ “คุณรู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำให้ผมรักคุณจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วนะ”
อาทิตย์ทัศย์ยิ้มที่มุมปากทั้งที่ยังหลับตา “ดี ถ้าอย่างนั้นก็รักผมให้มาก ๆ แล้วก็ห้ามไปรักใครที่ไหนอีกเข้าใจไหม” พูดจบตาคู่สวยก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง ร่างเล็กค่อย ๆ ขยับนอนหงายเงยหน้าสบตาคนที่กำลังมองมาที่เขา
“เข้าใจและยินดีปฏิบัติตามครับผม” ตฤณกรยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือบีบที่จมูกโด่งรั้นของคนตรงหน้าเบา ๆ คนที่ดูเรียบเฉยเสียจนไม่รู้ว่าในใจคิดยังไง บทจะขี้อ้อนก็เหมือนลูกแมวตัวเล็ก ๆ น่ารักที่นอนเคลียคลออยู่บนตักจนเจ้าของลุกไปไหนไม่ได้...
....
ฤดูฝน...
ฤดูที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเคลื่อนไหวช้าลง ฤดูที่ทำให้หลาย ๆ คนได้หยุดเพื่อคิดทบทวนบางสิ่งบางอย่าง
ฤดู...
ที่ช่วยให้หลายคนร้องไห้โดยไม่มีใครรู้...
ฝนเม็ดเล็ก ๆ ที่เริ่มโปรยปรายลงมาทำให้ชายหนุ่มร่างสูงต้องเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงสถานีรถไฟฟ้าก่อนที่ฝนจะตกลงมาในขณะที่สาว ๆ ออฟฟิศหลาย ๆ คนต่างเริ่มมองหาที่หลบฝน อาทิตย์ทัศน์ยืนมองรถที่จอดนิ่งอยู่บนถนนจากบนสถานีรถไฟฟ้า ยิ่งฝนตกในช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้ยิ่งทำให้การจราจรที่ไม่คล่องตัวอยู่แล้วกลายเป็นอัมพาตหนัก
“รอนานไหม” คนที่เพิ่งวิ่งขึ้นบันไดสถานีรถไฟฟ้ามาเอ่ยขึ้น
“ผมเพิ่งมาถึงเหมือนกัน เพิ่งเลิกประชุมเมื่อตอนก่อนทุ่มครึ่งนี่เอง” อาทิตย์ทัศน์ตอบคำถามคนที่กำลังยืนหอบพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือซึ่งแสดงเวลาเกือบสองทุ่มครึ่งขึ้นดู
“คุณจะกลับบ้านเลยไหม เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ยังหรอก เดี๋ยวแวะไปที่คอนโดคุณก่อน จะไปทำกับข้าวให้ทาน”
ตฤณกรค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจก่อนจะกล่าว “ไม่เอา ไม่ต้องทำหรอก ซื้อเข้าไปก็ได้ เหนื่อยเปล่า ๆ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย พูดยังกับผมไม่ค่อยได้ทำอะไรให้คุณทานอย่างนั้นแหละ”
“ก็ผมไม่อยากให้คุณเหนื่อย ไปสอนมาวันนี้รู้เลยว่าเป็นคุณนี่เหนื่อยน่าดู”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมพาไปทานอะไรอร่อย ๆ ก็แล้วกัน”
จากนั้นอาทิตย์ทัศน์และตฤณกรก็นั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีแห่งหนึ่งก่อนจะเดินเข้าซอยเล็ก ๆ เพื่อมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่กลางซอยซึ่งเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ สองชั้นขนาดสองคูหา ด้านหน้าถูกจัดเป็นมุมสำหรับถ่ายรูป ผนังกระจกใสทำให้มองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน วันนี้คนไม่มากนักอาจเป็นเพราะฝนตกจึงทำให้หลาย ๆ คนติดฝนอยู่ที่ไหนสักที่ อาทิตย์ทัศน์ผลักประตูกระจกบานใหญ่เดินเข้าไปในร้านที่ตกแต่งโดยเน้นสีแดงและสีดำ
คนตัวสูงเลือกนั่งที่โซฟาสีแดงที่มุมหนึ่งของร้านก่อนจะมองไปรอบ ๆ ซึ่งมีลูกค้าอยู่เพียง 4-5 โต๊ะรวมโต๊ะที่พวกเขานั่ง พนักงานเสิร์ฟสาวสวยเดินไปหยิบเมนูที่เคาน์เตอร์มาให้ทั้งคู่ก่อนจะยืนรอจดรายการอาหาร
“ร้านนี้อะไรอร่อยอ่ะคุณ” ตฤณกรเอ่ยขึ้น
“น้ำปลาพริก” อาทิตย์ทัศน์ตอบทั้งที่สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่เมนู
“น้องครับ พี่ขอน้ำปลาพริกหนึ่งถ้วย ข้าวเปล่าสองครับ”
“จะบ้าเหรอ” คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้น
“เอ้า! ก็คุณบอกเองว่าร้านน้ำปลาพริกอร่อย” คำพูดของสองหนุ่มทำเอาสาวสวยที่กำลังยืนรอจดรายการอาหารอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นรายการเมื่อกี้ยกเลิกนะคะ”
“ครับ” อาทิตย์ทัศน์ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะเริ่มสั่งอาหาร
“รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวสวยกล่าวก่อนจะรับเมนูคืนจากนั้นเธอก็เดินหายเข้าไปที่หลังร้าน
อาทิตย์ทัศน์มองดูคนตัวสูงที่เอนหลังพิงโซฟาอย่างหมดสภาพก่อนจะยิ้ม “ไหนเล่ามาซิครับท่านอาจารย์ วันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง”
“นึกถึงแล้วความดันจะขึ้น” คนตัวสูงทำหน้าเหยก่อนจะนึกถึงเรื่องที่ถูกขอร้องปนบังคับจากรุ่นพี่ให้ไปช่วยสอนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขาถนัดในชั้นเรียนวิชาคอมพิวเตอร์กราฟฟิกให้กับนักศึกษารุ่นน้องที่คณะที่เขาเคยเรียนเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา...
“คุณคิดดู ตารางเรียนเริ่มห้าโมงครึ่ง ห้าโมงสี่สิบห้าเพิ่งมาสองคน พอหกโมงเย็นปุ๊บ มากันเต็มเลย แถมมานั่งกินข้าวหน้าห้องแล็ปด้วย” คนตัวสูงบ่น....
ทันทีที่บรรดานักศึกษาก้าวเข้ามาในห้องแล็ปคอมพิวเตอร์ก็มีเสียงอื้ออึงกึ่งซุบซิบดังแว่วมาพร้อมกับสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาที่อาจารย์หนุ่มหล่อที่ยืนอยู่หน้าห้อง บรรดานักศึกษาสาว ๆ ต่างสบตากันยิ้ม ๆ ขณะเดินหาที่นั่ง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยอาจารย์จำเป็นก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
‘สวัสดีนักศึกษานะครับ วันนี้ผมเองมีความยินดีมาก ๆ ที่ได้กลับมาที่คณะที่เคยเรียน ได้กลับมาช่วยสอนนักศึกษารุ่นน้องอย่างพวกคุณ’
‘ยังไงคราวหน้ารบกวนปรับนาฬิกาตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทยด้วยนะครับ วันนี้อาจจะปรับตามประเทศอินเดียซึ่งช้ากว่าเรา 2 ชั่วโมงก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน แต่คราวหน้าขอตรงเวลานิดหนึ่ง’ สิ้นเสียงตฤณกร เสียงฮาก็ดังขึ้นพร้อมกันทั้งห้อง
จากนั้นใครคนหนึ่งก็พูดขึ้น ‘โดนเสียแล้ว’
‘ไปดร็อปเถอะ’ อีกคนหนึ่งหัวเราะ
หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ อาจารย์มาดนิ่งก็ขยับแว่นสายตาเล็กน้อยก่อนจะลงมือสอน ‘ให้นักศึกษาดูที่พาเล็ตด้านขวามือนะครับว่ามีกล่องพาเล็ตที่เราจะใช้งานไหม ถ้าไม่มีขึ้นไปดูที่เมนูบาร์ดูที่แถบวินโดวส์’
‘วินโดว์ หน้าต่าง’ เสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา
‘ใช่ครับ วินโดว์คือหน้าต่าง แต่ถ้าประตูอยู่โน่น ไปดร็อปเสีย’ ตฤณกรพูดกลั้วหัวเราะ
อาทิตย์ทัศน์หัวเราะ “ดีนะไม่ขับรถไป ไม่งั้นคงโดนปล่อยลมยางฐานที่อาจารย์พูดจาน่าหมั่นไส้นะครับอาจารย์ตฤณกร”
“ใช่เวลามาซ้ำเติมกันไหมเนี่ยคุณ” คนตัวสูงหน้ามุ่ย
“อ่ะ ต่อ ๆ แล้วยังไงต่อ”
“ก็ด้วยความที่เวอร์ชันของโปรแกรมมันค่อนข้างหลากหลาย ก็เลยทำให้เกิดปัญหาว่าเวลาอาจารย์บอกให้ใช้เครื่องมือนี้ นักศึกษาหาไม่เจอ เพราะบางเวอร์ชันหน้าตามันต่างออกไป หรือมีเครื่องมือที่หน้าตาคล้ายกันนี่แหละคุณ”
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้น ‘อาจารย์ครับ ผมทำแบบที่อาจารย์บอกแล้วมันไม่ได้ครับ’
ตฤณกรพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปดู ซึ่งนักศึกษาคนหนึ่งก็กำลังเดินไปดูให้เพื่อนที่นั่งเครื่องถัดจากนักศึกษาคนที่ยกมือเรียกอาจารย์เมื่อสักครู่เช่นกัน
‘เฮ้ย! ทำไมมันไม่ได้วะ’ อาจารย์หนุ่มบ่นกับตัวเองขณะยืนคลิกเม้าส์อยู่นานจนกระทั่ง ‘มันเลือกเครื่องมือถูกรึเปล่าวะ’ ได้เพียงคิดในใจ
‘อาจารย์โดนหลอกแล้ว’ เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น
ตฤณกรหันไปมองนักศึกษาคนที่เดินมาพร้อมกัน
‘เครื่องมือมันหน้าตาคล้ายกัน ผมก็โดนหลอก ทำอยู่ตั้งนาน หลอกกันนี่หว่า’
อาทิตย์ทัศน์ค้อมศีรษะให้พนักงานเสิร์ฟสาวสาวยที่ยกถาดอาหารมาวางก่อนจะหันกลับมายิ้มกับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม “ก็เลยฮากันทั้งห้องละสิท่า”
ตฤณกรพยักหน้าเซ็ง ๆ ก่อนจะเล่าต่อ....
‘ให้นักศึกษาเปิดไฟล์ภาพขึ้นมานะครับ’ ปากหยักกล่าว แต่มือกลับไม่ทำตาม ภาพบนจอโปรเจ็คเตอร์จึงปรากฏเป็น ไฟล์ > นิว
‘ต้อง ไฟล์ > โอเพนค่ะอาจารย์’ สาวน้อยที่นั่งแถวหน้าสุดพูดขึ้น
‘อืม..เยี่ยมมากครับ ผมจะทดสอบว่านักศึกษาตั้งใจเรียนหรือเปล่า’ ตฤณกรยิ้มอย่างภูมิใจกับมุกที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยนี้
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก...
‘ต่อไปให้นักศึกษาใส่ข้อความ โดยใช้สีคนละสีกับแบ็คกราวน์นะครับ’
‘อาจารย์คะ หนูทำไม่ได้สักทีค่ะ พิมพ์แล้วมันก็เป็นขีด ๆ งมอยู่ตั้งนานแล้ว’ สาวน้อยคนเดิมกล่าว
‘ยังไงนะครับ’ อาจารย์หนุ่มขมวดคิ้วเตรียมจะลุกไปดู
‘อ๋อ ไม่ไต้องแล้วค่ะ หนูลืมเปลี่ยนสีฟอนท์’ หลังจากนั้นก็มีเสียงโห่ของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง
‘นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่วะ’ คนหนึ่งตะโกนขึ้น แล้วทั้งห้องก็พากันหัวเราะ
‘เยอะตลอดนะครับคนนี้ ทั้งห้องมีปัญหาอยู่คนเดียว’ ตฤณกรหัวเราะก่อนจะนั่งลง
‘หนูก็อยากจะทดสอบอาจารย์ค่ะ ว่าอาจารย์ตั้งใจสอนพวกหนูหรือเปล่า’
....
อาทิตย์ทัศน์หัวเราะพรืดก่อนจะพยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นหน้าตูม ๆ ของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน
“ยังจะมาขำผมอีก ผมโดนทำร้ายมานะคุณ” ตฤณกรกล่าวด้วยน้ำเสียงงอน ๆ
“กรรมตามสนองหรือเปล่าคุณ สมัยเรียนกวนประสาทอาจารย์ไว้เยอะสิท่า”
“ผมออกจะเรียบร้อยน่ารัก” คนตัวสูงกล่าวก่อนจะตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
“คุณโดนแบบนี้บ่อยหรือเปล่า”
“ก็ไม่นะ” อาทิตย์ทัศน์ตอบเรียบ ๆ
“โดนเด็กจีบมากกว่าละสิ”
“จะบ้าเหรอ ไม่มีหรอก”
“อย่าให้รู้นะว่ามี”
“ถ้ามีแล้วคุณจะไปทำอะไรเขา”
“ผมจะตามไปนั่งเรียนด้วยทุกวันเลยคอยดู”
อาทิตย์ทัศน์ยิ้มให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก่อนจะเบนสายตาไปที่หญิงสาวในชุดพยาบาลที่เพิ่งประตูเข้ามา เธอเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ก่อนจะชี้เลือกเค้ก 2-3 ชิ้นให้พนักงานจัดใส่กล่อง....
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ตฤณกรเอ่ยขึ้น
คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะกล่าวทั้งที่สายตายังคงจ้องมองไปยังผู้ที่มาใหม่ “เปล่าหรอก แค่รู้สึกคุ้นหน้า”
ตฤณกรเหลียวหลังมองตามสายตาของคนตรงหน้า เป็นเวลาเดียวกับที่สาวน้อยนางหนึ่งในชุดนักศึกษาเปิดประตูตามเข้ามาในร้าน
“พี่พิมพ์” เธอร้องเรียกก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงสาวในชุดพยาบาลที่กำลังยืนควานหากระเป๋าสตางค์ในกระเป๋าสะพายที่หน้าเคาน์เตอร์
“รอนานไหม”
“ไม่นานจ้ะ” ผู้เป็นพี่ยิ้มก่อนจะส่งเงินให้พนักงาน
“เด็กแสบ” ตฤณกรพึมพำ เป็นเวลาเดียวกับที่สาวน้อยในชุดนักศึกษาหันมาสบตาเขาพอดี เธอยิ้มก่อนจะจะเดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะอาจารย์”
“เอ้อ..ครับ สวัสดีครับ” ตฤณกรกล่าว
“มาทานข้าวเหรอคะ”
“ใช่ครับ”
ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้พูดอะไรกันต่อ เสียงหวาน ๆ ของผู้เป็นพี่สาวก็ดังมาจากด้านหลัง
“แพร พี่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วนะ”
“ค่ะพี่พิมพ์” สาวน้อยหันไปยิ้มให้พี่สาวที่กำลังเดินเข้ามาก่อนจะรั้งแขนพี่สาวให้เข้ามายืนข้าง ๆ กัน “พี่แพร นี่ไงคะอาจารย์คนที่พิมพ์เล่าให้ฟัง ชื่ออาจารย์ตฤณกรค่ะ”
เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับตนเอง หญิงสาวในชุดพยาบาลจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน ในขณะเดียวกันตฤณกรก็ยิ้มให้เธอเช่นกัน
“พิมพ์ทอง” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้น
“รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอคะ” หญิงสาวกล่าวอย่างแปลกใจ
“พิมพ์ทอง มอสองทับสาม”
คิ้วโก่ง ขมวดเข้าหากันพร้อมกับพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตั้งใจ ในที่สุดริมฝีปากอิ่มก็ค่อย ๆ ขยับยิ้ม “จ้าใช่ไหม” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ใช่ จ้าเอง” อาทิตย์ทัศน์ยิ้มกว้างให้กับเพื่อนร่วมโรงเรียนที่ไม่ได้พบกันนานนับสิบปี
“ไม่เจอกันนานเลย พิมพ์เกือบจำจ้าไม่ได้แล้ว หล่อขึ้นเป็นกองเลย”
“พิมพ์ก็สวยขึ้นนะ”
ตฤณกรมองหญิงสาวในชุดพยาบาล เธอสวยจริง ๆ อย่างที่อาทิตย์ทัศน์ว่า ใบหน้ารูปไข่ชวนมองที่ถูกแต่งแต้มบาง ๆ ด้วยเครื่องสำอาง ปากนิดจมูกหน่อย ผมดำขลับถูกเกล้าเก็บอย่างเรียบร้อย
“จ้ามาทานข้าวเหรอ”
“อืม” อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า “แล้วพิมพ์ล่ะ”
“พิมพ์ทำงานแถวนี้น่ะ นี่ก็กำลังจะกลับบ้าน พอดีนัดกับน้องสาวไว้ที่นี่” เธอกล่าวก่อนจะหันไปหาสาวน้อยที่ยืนข้าง ๆ กัน “ไม่รู้ว่าจ้าจะจำได้ไหม นี่ยัยแพร”
“สวัสดีค่ะ” สาวน้อยในชุดนักศึกษาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้
ชายหนุ่มรับไหว้ “จำได้แค่ว่าพิมพ์มีน้องสาวเล็กคนหนึ่ง”
“นี่น่ะ อยู่ปีสี่แล้ว”
“เป็นลูกศิษย์อาจารย์ตฤณกรด้วยค่ะ” เธอหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มสวมแว่นตาที่ยังคงนั่งปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดอยู่
ก่อนที่การสนทนาจะดำเนินต่อไป เสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวในชุดพยาบาลก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“ค่ะพ่อ”
“พิมพ์เจอน้องแล้ว กำลังจะกลับกันแล้วค่ะ” เธอกล่าวก่อนจะวางสายในที่สุด
“พ่อโทรตามแล้วเหรอ” สาวน้อยในชุดนักศึกษาหันไปถามพี่สาวของเธอที่พยักหน้ายิ้ม ๆ ขณะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าสะพาย
“ยังหวงลูกสาวเหมือนเดิม” เจ้าของลักยิ้มเล็ก ๆ หัวเราะ
“จ้าน่ะ แซวพิมพ์ แล้วนี่ยังอยู่บ้านหลังเดิมไหม”
“ยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ไม่ไปไหนหรอก”
“ดีเลย เดี๋ยววันหลังพิมพ์จะแวะไปหานะ”
“ได้สิ แม่คงดีใจที่ได้เจอพิมพ์อีก”
“ถ้าอย่างนั้นพิมพ์ไปก่อนนะ” หญิงสาวยิ้มก่อนจะจูงมือน้องสาวเดินออกไปจากร้าน
ตฤณกรมองดูคนตรงหน้าที่กำลังมองตามร่างเล็ก ๆ ที่กำลังเดินข้ามถนนไปยังรถที่จอดอยู่อีกฝั่งก่อนจะกระแอมเบา ๆ ในขณะที่อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ หันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ใครน่ะ”
“เป็นเพื่อนสมัยเรียนน่ะ เมื่อก่อนเคยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน” คนตัวเล็กกว่ากล่าวก่อนจะตักอาหาร
“แฟนเก่าหรือเปล่า”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ”
“ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ละ แต่คุยกันจนลืมแฟนตัวเองที่นั่งอยู่ตรงนี้เลยนะ” ตฤณกรกล่าวด้วยน้ำเสียงงอน ๆ
“ก็ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีแล้วนี่นา” อาทิตย์ทัศน์มองคนหน้ามุ่ยตรงหน้าก่อนจะยิ้ม...
(มีต่อค่ะ)