21
คู่พ่อลูกที่ถูกหลอก
ณ ร้านหนังสืออิสระเล็กๆ ในมุมหนึ่งของเมือง
ด้วยความที่หนังสือไม่ได้เป็นที่นิยมอีกต่อไป อเล็กซ์ ฮริคมันซ์ (ชื่อใหม่ตามบัตรประชาชนปลอม- อเลฮานโดร โจฟ คูนิคาลอส) เลยแทบไม่มีลูกค้าให้ต้องบริการ แต่ปกติลูกค้าร้านหนังสือก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือมากมายอยู่แล้ว เขาเลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง
ตอนนี้เขากำลังอ่านตำราภาษาโปรตุเกสอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำอย่างนี้มาสองวัน และตอนนี้ก็สามารถฟังพูดอ่านเขียนได้แตกฉานราวกับเจ้าของภาษาเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งยังย้อมผมจากสีบลอนด์เป็นสีดำ กับทาโลชั่นผิวสีแทนให้สมกับเป็นหนุ่มละตินด้วย ให้ตายก็ไม่มีใครไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนบราซิล การปลอมตัวใหม่สำเร็จสมบูรณ์
พนักงานหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนาฬิกาของร้านดังบอกเวลาสี่โมง อเล็กซ์วางหนังสือลงแล้วบิดตัวแก้เมื่อย เตรียมพร้อมรับมือกับกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะมา
ร้านนี้อยู่ห่างจากโรงเรียนแค่สองร้อยเมตร ดังนั้นนักเรียนหลายคนจึงมาที่ร้านหลังโรงเรียนเลิก บางคนก็มาซื้อหนังสือ บางคนมาอ่านฟรี บางคนมานั่งดื่มเครื่องดื่มกับกินขนมในโซนคาเฟ่ บางคนแค่มาหลบแดดฝน บ้างก็มารอผู้ปกครองรับกลับบ้าน อเล็กซ์รู้สึกดีใจที่ยังมีเด็กๆ เข้าร้านหนังสือ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
แต่วันนี้เขาอาจจะดีใจไม่ออก...
มีเด็กชายมอต้น ผิวแทน หน้าตาดี เดินเข้ามาในร้าน อเล็กซ์จำได้ทันทีว่าเด็กนั่นเป็นใคร แต่แทนที่จะเข้าไปต้อนรับ เขากลับหาที่หลบ
ก็มันคือคนที่แจ้งความจับเขาน่ะสิ!หนุ่มลูกครึ่งลืมสนิทว่าไอ้เด็กนั่นเรียนที่นี่ และสองวันที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยเห็นมัน ไม่นึกว่าโลกจะกลมขนาดนี้
อเล็กซ์หลบอยู่หลังชั้นหนังสือ เหลือบตามองตามหลังเด็กอย่างระมัดระวัง เด็กนั่นก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใคร ท่าทางซึมเศร้ามืดมน เดินไปที่ชั้นหนังสือแนวธรรมะเหมือนจะหาหนทางหลุดพ้นจากความทุกข์ทางโลก
เด็กแบกกระเป๋าใหญ่เท่ากระสอบปูน พอวางลงกับพื้นก็ได้ยินเสียง ปึก!! บ่งบอกความหนาแน่นของมวลสารที่อยู่ข้างใน แต่เด็กไม่หาหนังสืออ่าน กลับนั่งกอดเข่า ก้มหน้า ไหล่สั่น ร้องไห้
อเล็กซ์สังเกตสภาพของเด็กชาย พบว่าที่แขนของเด็กมีรอยฟกช้ำสองสามจุด น่าจะเกิดจากถูกของแข็งกระแทก คอเสื้อยับยู่ยี่ กระดุมหลุดหนึ่งเม็ด กระเป๋ากางเกงกลับออกมาข้างนอกทั้งสองข้าง กระเป๋าใบงามถูกของมีคมกรีดเป็นรอยจนหมดสง่าราศรีของแบรนด์เนม
ถูกรังแก... คือคำแรกที่ผุดขึ้นมาเมื่อมองสภาพโดยรวม
ตอนนั้นเด็กชายเคยพูดว่าถูกกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ เห็นทีจะจริง แต่อเล็กซ์ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ ทั้งที่เด็กชายก็ดูเป็นมิตรดีออกแท้ๆ
ยิ่งนานก็ยิ่งร้องไห้หนัก โจรหนุ่มในคราบพนักงานกัดริมฝีปากชั่งใจ เขากลัวเด็กนั่นจะจำเขาได้ แล้วเรื่องจะยุ่ง...แต่หากปล่อยให้เด็กร้องไห้ต่อไป ก็ดูจะใจดำเกิน สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเด็ก
ความเป็นพี่ใหญ่ของบ้านเด็กกำพร้าหล่อหลอมให้เขาเป็นผู้ปกป้องและปลอบประโลมน้องๆ เขาจึงทนเห็นคนอ่อนแอถูกรังแกไม่ได้
“น้องคร้าบ เป็นอะร้าย” เขาพูดไทยสำเนียงฝรั่งแบบจงใจ
เด็กชายสะดุ้งนิดหน่อย แล้วค่อยๆ เงยหน้ามองพนักงานที่ยืนอยู่ตรงหน้า อเล็กซ์เห็นใบหน้าของเด็กเปื้อนน้ำตา ดวงตาบวมแดง แอบมีน้ำมูกไหลหน่อยๆ ส่วนเด็กชายเมื่อเห็นหน้าอเล็กซ์ก็ร้องเสียงดัง
“พี่ชาย!!!!”
“วะ...ว้อท?” อเล็กซ์ลนลาน
“พี่ชายจริงๆ ด้วย!” เด็กชายปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน
“พี่อเล็กซ์!” “เฮ้ย!!!!” อเล็กซ์สะดุ้งสุดตัว รีบเอามือปิดปากเด็กชายแล้วลากเข้ามุมอับลับตาคน เด็กชายดิ้นๆๆ จนอเล็กซ์ต้องกระซิบขู่กรอกหูให้หยุด เด็กจึงเลิกดิ้นพร้อมกับชูนิ้วว่าโอเค อเล็กซ์จึงยอมปล่อย
“ผมไม่นึกเลยว่าพี่ชายทำงานที่นี่” เด็กชายพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ อากาศเศร้าซึมก่อนหน้านี้เหมือนจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“หุบปาก อย่าเพิ่งพูดมาก” อเล็กซ์ทำเสียงดุ เหลียวมองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างระแวดระวัง แล้วจ้องหน้าเด็กจริงจัง “นายจำพี่ได้ยังไง”
“ผมจำกลิ่นพี่ชายได้” เด็กตอบพร้อมกับยิ้มแป้น
“...” อเล็กซ์ถึงกับพูดไม่ออก
ก็จริงของเด็ก ถึงเขาจะโกนหนวดเครา ตัดผมเผ้าย้อมสีเรียบร้อย ปลอมตัวปลอมชื่อใหม่ไม่เหลือเค้าโจรคนเดิมแล้ว แต่ยังใช้โรลออนกลิ่นเดิมอยู่... ไม่รู้จะโทษตัวเองที่สะเพร่า หรือโทษที่เด็กจมูกไวเหมือนหมาดี
“ดีใจจังที่ได้เจอพี่ชายอีก ถ้ารู้ว่าพี่ชายทำงานร้านนี้ ผมคงมาตั้งนานแล้วล่ะ ดีนะที่วันนี้หนีเรียนพิเศษมาที่นี่ เลยได้เจอกัน”
เด็กชายมองอเล็กซ์ด้วยความตื่นเต้นจนเก็บไม่อยู่ ไม่มีอาการซึมเศร้าเหมือนก่อนหน้านี้ หรือแสดงท่าทีหวาดกลัวที่เขาเป็นโจรเลยสักนิด
อเล็กซ์มองชื่อที่เสื้อเด็กแล้วถอนหายใจ
“ฟังนะ นายเพชร นายรู้ตัวใช่ไหมว่าทำให้พี่เดือดร้อน”
“รู้ครับ” เด็กพยักหน้า แววตาใสซื่อไร้เดียงสา “ผมคิดว่าถ้าพี่ชายโดนประกาศจับ อาจจะยอมมอบตัว แล้วผมก็จะไปยืนยันตัวพี่ที่โรงพัก เราจะได้เจอกันอีกรอบไง”
อู้หู ความคิด “พี่อุตส่าห์ช่วยนายจากนักเลง แต่นายกลับแจ้งจับพี่เนี่ยนะ”
“อ๊ะๆ อย่าเข้าใจผิดสิคร้าบ ผมแจ้งจับก็จริง แต่ก็จะประกันตัวให้ ผมไม่เนรคุณพี่ชายหรอกน่า”
อเล็กซ์ส่ายหน้าเพลียๆ “แต่ทำแบบนี้มันเกินไปนะ”
“ก็ผมอยากให้พี่ชายสอนผมต่อสู้จริงๆ นี่...” จู่ๆ เด็กชายก็หน้าเศร้าอีกครั้ง “ผมถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งเกือบทุกวัน... วันนี้ก็โดนตีแล้วขโมยเงิน แถมกระเป๋าที่ป๊าเพิ่งซื้อให้ใหม่ก็ถูกกรีดด้วย”
อเล็กซ์มองเด็กชายอย่างสะเทือนใจ เขาเห็นภาพตัวเองในอดีตทับซ้อนบนตัวเด็กชายเพชร ตอนที่ถูกรุ่นพี่อันธพาลในบ้านกลั่นแกล้งถึงขั้นเลือดตกยางออก เพียงเพราะเขามีพ่อเป็นโจร ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกายเท่านั้น ยังถูกรีดไถเงินที่ได้จากการวาดรูป ขายขนม กับงานเล็กๆ น้อยๆ ไปแทบหมด เขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นานหลายปี กว่าเด็กนรกพวกนั้นจะถูกลงโทษ โดนส่งไปยังสถานพินิจเยาวชนข้อหายาเสพติด
นั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้เขารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่าย พลันความโกรธที่มีให้เด็กชายก็หายไปอย่างไม่รู้ตัว
“ทำไมนายถึงถูกแกล้งล่ะ” อเล็กซ์ถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน คงเพราะผมเรียนเก่ง บ้านรวย ไม่ก็หล่อเกินไปล่ะมั้ง พวกเขาเลยหมั่นไส้”
เด็กชายก้มหน้าหงอย แม้คำพูดจะฟังดูมั่นหน้ามั่นโหนก แต่มันดันเป็นเรื่องจริง คนฟังเลยเกลียดไม่ลง
“ไม่ใช่ว่าผมขี้แพ้นะ แต่ผมสู้ไม่ไหวจริงๆ ตอบโต้ทีไรก็ถูกทำร้าย” เด็กชายลูบแผลฟกช้ำของตัวเองเบาๆ “แต่ก็เจ็บจนชินแล้วล่ะ”
อเล็กซ์สงสารเด็กชายจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
“พี่ชายช่วยผมได้ไหม” เพชรปาดน้ำตามองหน้าอเล็กซ์ ดวงตาเปียกชื้นส่อแววเว้าวอน “ผมอยากเข้มแข็ง ไม่อยากถูกรังแกอีกแล้ว”
“พี่จะช่วยอะไรได้ นายควรแจ้งครูหรือฟ้องป๊าสิ” อเล็กซ์บอกปัด เขาไม่อยากมีภาระเพิ่ม จากใจจริง
“ไม่ได้หรอก พวกเขาขู่ว่าถ้าผมฟ้องผู้ใหญ่ จะยิ่งโดนทำร้ายมากกว่าเดิม” เด็กชายตอบเศร้าๆ “ทางเดียวที่ทำได้ก็คือ...ผมต้องรับมือกับพวกเขาด้วยตัวเองเท่านั้น”
“งั้นนายก็ควรไปฝึกต่อสู้กับครูฝึกจริงๆ ไม่ใช่โจ... เอ่อ...คนธรรมดาอย่างพี่” อเล็กซ์ว่า แต่เด็กชายยังคงยืนยันคำเดิม
“ก็ผมถูกชะตากับพี่ชายนี่ พี่ชายต้องสอนผม” เพชรว่า แววตาจริงจังขึ้นมา “ไม่งั้นผมจะโทรแจ้งตำรวจจริงๆ ด้วย”
ดูมัน!!! อเล็กซ์กัดฟันระงับความโกรธ แล้วพูดกับเด็กอย่างใจเย็น
“นายก็เห็นว่าพี่ต้องทำงาน จะเอาเวลาไหนไปสอนนาย อีกอย่างนายเองก็เรียนพิเศษด้วยไม่ใช่เหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก”
“เป็นไปได้สิ ร้านนี้มีหนังสือติวสอบตั้งเยอะ ผมจะอ่านในนี้แหละ พอเสร็จแล้วเราก็ไปซ้อมต่อสู้กัน ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย”
“เฮ้ย อย่าด่วนสรุปเอาคนเดียวสิ”
“อ๊ะๆ กล้าปฏิเสธเหรอ อย่าลืมนะว่าผมกุมความลับของพี่ชายอยู่”
“..........” ไอ้เด็กหรรมส์
“ว่าไงครับพี่อเล็กซ์ ฮริ...”
“เออๆๆๆ ก็ได้” อเล็กซ์เอามือปิดปากเด็กชายทันที “พี่ตกลง แต่นายห้ามเรียกชื่อนั้นอีกเด็ดขาดเข้าใจไหม ตอนนี้พี่ชื่ออเลฮานโดร จำไว้”
“อื้อๆ” เด็กชายพยักหน้า อเล็กซ์ปล่อยมือจากปาก “เย้ ขอบคุณนะครับพี่ชาย!”
พูดเสร็จก็กระโดดกอดอเล็กซ์หนึ่งที
“เฮ้ยๆ ออกไป ไม่ทันไรเล่นลามปาม” โจรหนุ่มตกใจ ผลักหัวเด็กชายที่อยู่ระดับอกของเขาออกห่างจากตัว
“ก็คนมันดีใจอ่ะ”
“ทำแบบนี้แล้วป๊านายไม่สงสัยแย่เหรอ”
“ป๊ามัวแต่ยุ่งอยู่กับธุรกิจที่บ้าน ไม่ได้เจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของผมมากหรอก”
“งั้นก็แล้วไป”
“พี่ชายเลิกงานกี่โมง”
“ทุ่มนึง”
“ดีจัง” เด็กชายยิ้มอย่างสุขใจ “เลิกงานแล้วสอนผมหน่อยนะครับ พี่อเล...อะไรนะ”
“อเลฮานโดร เรียกพี่โด้เฉยๆ ละกัน เจ้านายก็เรียกพี่แบบนี้”
“ครับ พี่โด้”
“อืม อ่านหนังสือรอไปก่อนแล้วกัน พี่ต้องไปหน้าร้านแล้ว เดี๋ยวผู้จัดการสงสัย”
“ครับผม~” เพชรทำท่าตะเบ๊ะ อเล็กซ์ยิ้มน้อยๆ แล้วเดินออกจากมุมนั้นไปที่หน้าร้านซึ่งลูกค้ากำลังวุ่นวาย
แปลกดีเหมือนกัน แทนที่จะรู้สึกอึดอัดใจ เขากลับรู้สึกดี แม้จะถูกล่วงรู้ความลับถึงขั้นโดนแบล็กเมล์ แต่เขาคิดว่าตัดสินใจถูกที่เดินออกไปหา แทนที่จะหลบหนี
เพราะเขาชอบรอยยิ้มของเด็กนั่นมากกว่าน้ำตาของมันเป็นไหนๆ
อีกด้าน
เคฟรู้สึกตื่นเต้น เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอัญมณีเลอค่าแวววาวเยอะขนาดนี้
เขามาที่ร้านเพชรตามที่อยู่ในนามบัตรที่ได้รับเมื่อหลายวันก่อน ไม่ได้มาตัวเปล่าปลิว แต่หิ้วกล่องพิซซ่า อภินันทนาการจากร้านตัวเองมาด้วย
จะเข้าหาเป้าหมายทั้งที มันต้องมีใบเบิกทางซักหน่อย...ก่อนหน้านี้เคฟให้อเล็กซ์ช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับนายพัชร รู้ว่าเขาเป็นหม้าย เมียตายตั้งแต่สิบปีก่อน (หล่อนเป็นคนญี่ปุ่น ชื่ออะไรสักอย่างโกะๆ) ปัจจุบันอาศัยอยู่กับลูกชายสองคน และหมาพุดเดิ้ลสามตัว พ่อแม่เป็นเจ้าของบริษัทอสังหาฯ แต่ตัวเขาชอบเพชร จึงเปิดร้านเพชร ฐานะเข้าขั้นมหาเศรษฐีอย่างไม่ต้องสงสัย อุปนิสัยส่วนตัวเป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อเล็กซ์เจอชื่อของพัชรในรายนามบริจาคมูลนิธิต่างๆ เยอะมาก บริจาคทีก็หลักสิบล้านเป็นอย่างต่ำ นอกจากนี้เจ้าตัวยังไปโผล่รายการโทรทัศน์กับนิตยสารจำพวก
‘Hiso Daily เจาะลึกชีวิตเซเลป’ ’30 Under 30 เศรษฐีรุ่นใหม่ไฟแรง’ ‘ห้าสิบหนุ่มในฝัน หล่อ-รวย-ดี ที่สาวๆ ไม่มีวันได้ครอบครองทั้งชาตินี้และชาติหน้า’เคฟตื่นเต้นจนมือไม้สั่น ตั้งแต่เป็นโจรมาเพิ่งเจอรายนี้แหละที่รวยจริงจัง และท่าทางจะได้ไม่ยาก
เรานี่ช่างตาถึงจริงๆหนุ่มเลือดจีนสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติ ก่อนจะผลักประตูกระจกก้าวเข้าไปในร้านเพชรที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้ามาในร้านแล้วก็หูตาลุกวาว เพราะเพชรเยอะเว่อร์วังอลังการอย่างที่เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อน
ชายหนุ่มใช้สายตากวาดสแกนเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่เห็น แปลงเป็นภาพแผนผังร้านเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะครับคุณลูกค้า ร้านเรากำลังจะปิดแล้ว”
“.....” เคฟหันไปด้านหนึ่งของร้านตามเสียง “สวัสดีครับ”
“อ้าว คุณ! ผมไม่คิดว่าจะมาจริงๆ” เจ้าของร้านเดินเข้ามาหาพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร ออร่าของเขาเปล่งประกายยิ่งกว่าเพชรเสียอีก “ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง แต่ว่าวันนี้คุณคงซื้อไม่ทันแล้วล่ะ”
“ผมไม่ได้มาซื้อเพชรหรอก แค่มาเยี่ยม” เคฟพูดยิ้มๆ แล้วชูถุงของฝากขึ้นมา “เดาว่าคุณยังไม่ได้กินข้าวเย็น”
พัชรยิ้มร่าเริง เคฟไม่เห็นริ้วรอยสักนิดบนหน้าเขา เหมือนใบหน้าของเด็กอายุสิบห้ามากกว่าชายวัยเลขสามที่มีลูกแล้ว
“เยี่ยมเลย แต่ขอผมปิดร้านก่อน เชิญนั่งรอที่โซฟา”
“ถ้าไม่รังเกียจให้ผมช่วยได้ไหม”
“จะบ้าเหรอ คุณเป็นแขกนะครับ”
“เปล่าครับ ผมเป็นจีน”
พัชรขำพรืด “คุณนี่ อารมณ์ดีนะเนี่ย”
“หน้าตาก็ดีด้วยครับ”
อีกฝ่ายยิ้มเขินๆ “อันนี้ไม่เถียง”
“ให้ผมช่วยเถอะครับ เพราะผมหล่อและเป็นสุภาพบุรุษ แล้วคุณก็จะได้มากินของฝากไวๆ ด้วยไง เห็นไหม มีแต่ข้อดี”
“พูดขนาดนี้ ก็ตามใจแล้วกัน” เจ้าของร้านว่า
เคฟวางกล่องพิซซ่าไว้ที่เคาน์เตอร์แล้วช่วยปิดหน้าต่าง ปิดม่าน ล็อกประตู ชายหนุ่มแปลกใจที่ไม่มีลูกจ้างเลยสักคน มีแค่พัชรคนเดียว พอปิดร้านเสร็จแล้วพัชรก็ปาดเหงื่อ สีหน้าแลดูเหนื่อยล้า
“คุณไม่มีลูกน้องเลยเหรอ” เคฟถาม
“มีสิ แต่ช่วงนี้พวกเขาลากลับบ้านน่ะ ผมเลยดูแลร้านคนเดียว” พัชรตอบยิ้มๆ “แต่ก็โอเค ผมชอบที่ได้ทำทุกอย่างเองหมด ตั้งแต่เป็นเจ้าของร้านยันยามเฝ้าประตู”
จริงๆ คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะทุกคำที่พูดจะเป็นลูกศรพุ่งแทงคุณเคฟรู้สึกสังเวชใจในความไร้เดียงสาของพัชร แล้วก็ได้ค้นพบว่าคนรวยไม่ได้เล่ห์เหลี่ยมจัดทุกคนไป
“งั้นคุณคงเหนื่อยมากสินะ”
“ก็ไม่เท่าไหร่”
“ผมไม่รู้ว่าร้านปิดตอนไหน ไม่งั้นคงมาเร็วกว่านี้ ไม่น่ามารบกวนคุณเลย ผมกลับก่อนดีกว่า คุณจะได้พักผ่อน”
ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไป จริงๆ ภารกิจของเขาสำเร็จตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้านก้าวแรกแล้วล่ะ
แต่เจ้าของร้านจับแขนไว้
“รีบกลับทำไม อยู่กินด้วยกันก่อนสิ”
“...” เคฟเหวอเล็กๆ
คุณรู้รึเปล่าว่าคำว่า ‘อยู่กินด้วยกัน’ หมายความว่ายังไง?“จะดีเหรอครับ”
“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก นานๆ ทีมีแขกมาเยี่ยมก็ดีเหมือนกัน ไปนั่งกินในห้องครัวกันเถอะ” พัชรถือถุงพิซซ่าเดินนำไปที่หลังร้าน เคฟก็เดินตามไปตามมารยาท ระหว่างทางเดินผ่านห้องน้ำ เขาก็หยุดชะงัก
“ขอผมเข้าห้องน้ำแป๊บนึงได้มั้ยครับ”
“เอาสิ” เจ้าของบ้านยักไหล่ เดินเข้าไปห้องครัวก่อน
เคฟอยากจะหัวเราะเพราะไม่คิดว่ามันจะง่ายดายเพียงนี้ พอๆ กับอยากร้องไห้ให้กับความอ่อนต่อโลกของพัชร เขาสงสารเจ้าของบ้านเหลือเกินที่ไม่ทันกลโจรเลยสักเศษเสี้ยว นี่อยู่รอดมาได้ยังไงกันนะ แต่ไม่เป็นไร...เขาจะเป็นคนมอบบทเรียนให้เอง พัชรจะได้เจ็บแค่ทีเดียว
ช่องระบายลมบนผนังขนาดพอดีกับคนๆ หนึ่งจะลอดได้ น่าจะใหญ่พอตามที่คุณเอมี่รีเควสต์มา เคฟจัดการกดชักโครกเพื่อสร้างเสียงดัง กลบเสียงคลิกเมื่อปลดล็อก
ง่ายแค่เนี้ยแหละ ปิดจ็อบ
ที่เหลือจากนี้ก็ของแถมสำหรับเขาคนเดียวล้วนๆ
“วันนี้หยุดเหรอ” เจ้าของร้านถาม เมื่อแขกออกจากห้องน้ำ เดินตามเข้ามาในครับ
“เปล่าครับ วันนี้ผมทำกะเช้า เพิ่งเลิกงานตะกี้เอง”
“คุณยังดูเด็กอยู่เลย กำลังเรียนอยู่รึเปล่า”
“ก็เรียนแหละครับ แต่ไม่ได้เรียนทุกวัน บางวันก็เรียนวิชาเดียวงี้ เวลาที่เหลือผมเลยทำงานร้านเดลิเวอรี่”
“ขยันจัง ไม่เหนื่อยแย่เหรอ” พัชรทำตาโต ทั้งอึ้งและชื่นชม
“ก็มีบ้าง แต่พอนึกถึงพ่อที่ทำงานหนักกว่า ก็หายเหนื่อยไปเลยครับ”
นี่...คนดีไหมล่ะ คะแนนกูต้องมาเต็มสิบแล้วนะจุดนี้ โกยได้โกยไว้ก่อน ถึงจะเอาไปทิ้งทีหลังก็เหอะ“พ่อคุณต้องภูมิใจมากแน่ๆ” พัชรว่า
เคฟก้มหน้ายิ้ม เอาฝ่ามือถูท้ายทอย “ไม่รู้สิครับ คงงั้นมั้ง”
มาถึงห้องครัว พัชรเปิดถุงแล้วเอากล่องพิซซ่าออกมา เขาเพิ่งจะสังเกตว่ามีตั้งสองกล่อง
“โห ซื้อมาทำไมเยอะแยะ ผมกินแค่สามชิ้นก็อิ่มแล้วนะเนี่ย”
“ไม่ได้ซื้อครับ ได้ฟรี”
“เอ่อ...นี่ก็ตรงไป” พัชรหัวเราะ “ไงก็เหอะ เยอะขนาดนี้ผมกินไม่หมดหรอก”
“ผมเอามาเผื่อลูกชายคุณด้วยไง เห็นน้องเขาชอบ” เคฟยิ้มหล่อ ทำเอาคุณพ่อลูกหนึ่งเขินทำหน้าไม่ถูก
ต้องแสดงให้เห็นว่าเราแคร์เขาและลูกเขา รับรองได้ใจไปอีก“ลูกชายผมยังไม่กลับ เพิ่งให้ลงคอร์สพิเศษถึงสามทุ่มโน่น กว่าจะกลับมา พิซซ่าคงเย็นชืดพอดี” พัชรแสดงสีหน้าเสียดาย
“ว้า...รู้งี้ผมน่าจะเอาสปาเกตตี้หรือไก่ทอดมาแทน”
“ไม่เป็นไรหรอก น้องเพชรไม่เรื่องมาก ยิ่งถ้ารู้ว่าคุณตั้งใจเอามาให้ คงดีใจด้วยซ้ำ”
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นนะครับ”
ทั้งสองนั่งคนละฝั่งของโต๊ะ แล้วกินด้วยกันเงียบๆ แต่ไร้ซึ่งความกดดัน เป็นเรื่องแปลกทั้งที่พวกเขาเพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว... อาจเพราะเคฟสนิทกับคนอื่นเร็ว อัธยาศัยดีตามแบบพนักงานร้าน ส่วนพัชรก็ใจดีใจกว้าง เข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่ายเช่นกัน
“คุณอยู่กับลูกชายแค่สองคนหรือครับ” เคฟถามท่ามกลางความเงียบ ทั้งที่จริงรู้ไปถึงรากเหง้าของครอบครัวนี้แล้ว แต่เพื่อไม่ให้น่าสงสัย
“ใช่ ผมอยู่กับลูกสองคน”
“แล้วภรรยาคุณล่ะครับ”
“...” พัชรนิ่งไป
“เอ่อ ขอโทษครับที่เสียมารยาท คุณไม่ต้องตอบก็ได้”
“เธอเสียไปตั้งสิบปีแล้วล่ะ” พัชรตอบด้วยแววตาเศร้าๆ
“แล้วคุณไม่อยากหาใหม่บ้างเหรอ”
“...” พัชรมองเคฟด้วยดวงตาโตกว่าเดิมเล็กน้อย ราวกับไม่เคยถูกถามคำถามนี้มาก่อน “ผมยังไม่เจอ... เอ่อ ยังไม่แน่ใจ มันค่อนข้างเป็นอะไรที่พูดยาก”
เจ้าของร้านวางพิซซ่าลงในถาด เหมือนจู่ๆ ก็หมดอารมณ์กินซะอย่างนั้น
เคฟย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกับพัชร เจ้าตัวสะดุ้งแล้วเขยิบหนี
“คุณจะทำอะไร” พัชรถามโดยไม่มองหน้า เคฟเห็นว่าหูของพัชรเป็นสีแดง
ผมกำลังจะทดสอบคุณไง เคฟนึกในใจ
เขายิ้ม “เงยหน้ามาก่อน”
“...อะไรของคุณ”
“จะบอกว่าซอสเลอะปากเฉยๆ”
“....” พัชรท่าทางเคอะเขิน เอามือเช็ดๆ ปากตัวเอง แต่กลับยิ่งทำให้ซอสเลอะไปใหญ่ เคฟขำแล้วยกมือขึ้นเช็ดให้อย่างแผ่วเบา
ชั่วขณะนั้นเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของเคฟสัมผัสใบหน้า พัชรรู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างช็อตไปทั้งตัว เขาขนลุกซู่ ร้อนผ่าว รู้สึกวูบวาบที่ช่องท้องเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ฝูงใหญ่
“.....”
“.....”
เคฟเห็นทางสะดวกเลยตัดสินใจจู่โจม เขยิบใบหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเกือบแตะกับอีกฝ่าย พัชรหลับตาปี๋ รู้แน่แล้วว่ากำลังจะถูกเช็ดปากด้วยปากของเคฟ
ทั้งสองคนกลั้นหายใจ ทุกอย่างในตอนนั้นราวกับหยุดนิ่ง
แต่...
“ปะป๊า ผมกลับมาแล้วนะคร้าบ!!!”
“!!!!”
ประตูหลังห้องครัวถูกเปิดออกโดยเด็กชายที่มาพร้อมกับเสียงดัง ท่าทางเริงร่า คนที่อยู่ข้างในผงะแทบหลายหลังล้ม ถอยออกจากกันเกือบไม่ทัน
“อ้าว พี่ชายร้านขายพิซซ่านี่นา หวัดดีฮะ” เพชรไหว้ทักทาย
“หวัดดี” เคฟยิ้มให้ หน้าร้อนๆ หนาวๆ บอกไม่ถูก แต่คิดว่าเด็กชายไม่น่าจะเห็นฉากเมื่อกี้เพราะมีตู้เย็นบัง
“ลูกเพชร ทำไมกลับเร็ว เวลานี้หนูต้องเรียนคณิตศาสตร์อยู่ไม่ใช่เหรอ” ผู้เป็นพ่อสลัดความเขินเมื่อครู่ทิ้ง ปั้นหน้าเครียดใส่ลูกชาย
“วันนี้ครูไม่สบายฮะ” เด็กชายแอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง
“แล้วทำไมถึงกลับเอง ไม่โทรให้ป๊าไปรับ” พ่อคั้นต่อ
“ป๊าฮะ ผมโตแล้วนะ อยากลองขึ้นรถไฟฟ้าเองบ้าง สะดวกจะตาย ถึงเร็วกว่ารถป๊าด้วย” เด็กชายแถไถ “ฮ้าววว ง่วงมากเลย วันนี้เหนื๊อย...เหนื่อย ผมขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ”
“เดี๋ยว น้องเพชร!” พ่อเรียกไว้ แต่เด็กชายวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนเสียแล้ว “เป็นอะไรของเค้า...ท่าทางคึกคักแปลกๆ”
“เอ่อ ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ” เคฟเอ่ยพร้อมกับลุกจากเก้าอี้
“อ้อ...ครับ แล้วเจอกัน” พัชรโบกมือลา ทั้งที่แววตาเหมือนมีอะไรค้างคาอยู่ “ออกประตูนั้นได้เลย”
เคฟพยักหน้า เดินไปที่ประตูหลังห้องครัว แต่ก็เดินกลับมาประชิดตัวพัชรจนเจ้าตัวสะดุ้งเฮือก นึกว่าจะมีฉากต่อจากเมื่อกี้ที่หยุดชะงักกลางคัน
แต่เคฟไม่ได้ทำอะไร แค่กระซิบเบาๆ
“อย่าลืมเช็ดปากด้วยนะครับ”
แค่นั้น แล้วก็จากไป
พัชรถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้าย
เขาไม่รู้สึกหัวใจเต้นแรงขนาดนี้มาสิบปีเต็มๆ แล้วสินะ..........
พอก้าวพ้นเขตร้านเพชรออกมาสู่ถนน เคฟก็โทรศัพท์หาใครบางคนอย่างไม่รอช้า
“ฮัลโหลเฮีย ได้แหล่งแล้วนะ คืนนี้มาลุยได้เลย”
/////
สวัสดียามดึกค่ะทุกคน
ตอนนี้เผยการทำงานของอิเคฟเต็มรููปแบบ (จริงๆ ก็มีแค่เนี้ย)
สำหรับเรา เจ้านี่อ่ะเลวที่สุด เลวบริสุทธิ์ เลวกว่าใครในแก๊งแล้วค่ะ เหยื่อก็น่าสงสารที่สุดเช่นกัน 5555
ส่วนใครที่คิดถึงคู่อู๋เทียน ตอนหน้าจะมาแล้วจ้ะ!
ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ จุ๊ฟฟฟฟ