บทที่ 11
{ จุ ด อ่ อ น }
โอเค ถ้าเกิดว่าพวกคุณอยากจะให้ผมบอกเล่าความรู้สึกถึงประสบการณ์การดูหนังครั้งแรกในโรงภาพยนตร์กับผู้ชายที่ไม่ใช่ทั้งพ่อและเพื่อนล่ะก็ ผมบอกได้เลยนะว่าผมน่ะ.. ดูหนังไม่รู้เรื่องเลย!
ย้ำ
ดู-ไม่-รู้-เรื่อง-เลย!! คืองี้.. ไม่ใช่เพราะว่าหนังที่เลือกดูมันเป็นหนังรางวัลแบบที่ดูยากดูเย็นหรอกนะ หรือต่อให้มันเป็นระบบซาวด์แทร็กก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะว่าตอนนี้ผมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษไปแล้ว (ก็เพราะไอ้การจุ๊บแลกภาษานั่นแหละ!) แต่สาเหตุหลักทั้งหมดทั้งมวลมันมาจาก..นายพ่อมดเหล้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมต่างหาก!
มันเริ่มจาก..การจับมือ
ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนเราถึงจะต้องจับมือกันไว้ในขณะที่นั่งดูหนังด้วย? แต่ในเมื่อเหล้ารัมเลือกที่จะคว้ามือผมไปจับไว้.. ผมก็ไม่ได้ห้ามอะไรนะ เพียงแต่.. พอได้จับกันแล้ว.. มันก็เหมือนว่าความสนใจของผมไปโฟกัสที่จุดๆ นั้นเพียงจุดเดียว แบบว่า.. มือผมจะสากไปจนเขารู้สึกได้มั้ย? หรือถ้าจับกันไปนานกว่านี้เหงื่อที่มือผมจะออกจนมือเขาเปียกหรือเปล่า? แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง..เขาจะไม่รังเกียจความชื้นที่มือผมหรอ?
คำถามมากมายในใจมันรบกวนผมมาก จนผมต้องคอยกะเวลาคร่าวๆ ในใจ พอรู้สึกว่าจับกันนานไปแล้ว ผมก็จะทำทีเป็นปล่อยออกมามาหยิบป๊อบคอร์นใส่ปากบ้างอะไรบ้าง ก่อนจะหาจังหวะเช็ดมือกับเสื้อแบบที่ไม่ให้นายพ่อมดเหล้าเห็น แล้วก็กลับไปจับกันต่ออะไรแบบนั้น ซึ่งก็น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีนะ เพียงแต่..มันทำให้ผมดูหนังไม่รู้เรื่องไง..
ต่อมาก็คือ..การป้อนของกิน
จริงอยู่ที่ผมอาศัยจังหวะช่วงเอามือมาเช็ดเหงื่อหยิบนู่นหยิบนี่กินบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ได้บ่อยนัก เพราะฉะนั้นคนที่มือขวาว่างอย่างเหล้ารัม (เพราะเขานั่งอยู่ฝั่งขวาของผม) ก็เลยทำหน้าที่หยิบนั่นหยิบนี่มาป้อนให้ ซึ่งผมก็เกิดคำถามขึ้นใจอีกว่า..ผมอ้าปากกว้างไปมั้ย? แล้วต้องกะจังหวะยังไงไม่ให้ผมเผลองับมือเขาเข้าหรือทำให้นิ้วของเขาเปื้อนน้ำลายอะไรแบบนั้น เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าเกิดกรณีที่น้ำลายไปเปื้อนมือเขาขึ้นมา เขาจะรังเกียจผมหรือเปล่า? ไม่เพียงเท่านั้นนะ พอเขาป้อนมา ผมจะเป็นแค่ฝ่ายกินอย่างเดียวก็ใช่ที่ ก็ต้องคอยป้อนกลับไปด้วย เดี๋ยวน้ำ เดี๋ยวป๊อบคอร์น สุดท้าย..ผมก็ดูหนังไม่รู้เรื่องอีกตามเคย..
แล้วพอของกินหมด ก็ตามมาด้วย..การซบไหล่
อันนี้ล่ะปัญหาหนักสุดสำหรับผมเลย เพราะพอหนังดำเนินไปได้เกือบชั่วโมง เหล้ารัมก็เริ่มเกิดอาการเลื้อยเป็นงูขึ้นมาซะอย่างงั้น ทำให้จากที่นั่งตรงๆ ก็เริ่มไหลลดระดับลงไปเรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะเอาหัวมาอิงไหล่ของผมไว้..
คือ.. หัวเขามันก็ไม่ได้หนักหรอกนะ แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่าหน้าร้อน.. ทั้งๆ ที่แอร์ของโรงหนังก็เย็นสะใจดี แต่คือหน้าผมร้อนเหมือนมีคนเอาไฟมาจี้เลยครับ พะ..เพราะว่านี่คือครั้งแรกที่เขาทำกับผมแบบนี้ไง! แถมเหล้ารัมเองก็ใช่ว่าจะเอาหัวมาพิงแล้วนอนนิ่งๆ เสียเมื่อไหร่ บางทีก็ยุกยิก บางทีก็เหมือนจะไถหัวกับไหล่ผมเบาๆ ด้วย จนสมาธิในการดูหนังของผมมันแตกซ่านไปหมด แถมบางทีผมของเขาก็มาโดนต้นของผมอีก ขนนี่ลุกไปหมดเลย แล้วก็อีหรอบเดิมครับ..คือผมดูหนังไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ
แต่.. นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบนะ ถึงแม้จะดูหนังไม่รู้เรื่องเลยก็เถอะ แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกดีที่มีเหล้ารัมนั่งอยู่ข้างๆ คอยจับมือกัน ป้อนน้ำป้อนป๊อบคอร์น แถมยังเอาหัวมาพิงไหล่ด้วย จนบางที..ผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน.. ว่าถ้าสักวันนึงผมต้องตายไป..มันจะมีโลกหลังความตายที่ทำให้ผมได้นึกถึงเรื่องราวเหล่านี้มั้ย หรือไม่ก็..ถ้าว่านึงที่เหล้ารัมหายไปล่ะ ผมจะกลับไปอยู่ได้ด้วยตัวเองเหมือนที่แล้วมาหรือเปล่า?
นั่นไง.. ผมเริ่มคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยอีกแล้ว..
ทำไมช่วงนี้ถึงได้อ่อนไหวจังวะวาฬ?
“วาฬครับ เอาน้ำอีกมั้ย?” แต่ในขณะที่ผมกำลังคิดนั่นคิดนี่ไปไกล จู่ๆ เหล้ารัมที่อิงไหล่ผมอยู่ในตอนแรก ก็เงยหน้าขึ้นมากระซิบที่ข้างหูผม พร้อมกับเขย่าแก้วโค้กในมือให้ดูว่ายังมีเหลืออยู่หากผมต้องการ
ทว่าผมเลือกจะปฏิเสธ “ไม่ครับ คุณกินเถอะ” เพราะรู้สึกว่าตัวเองกินน้ำเยอะเกินไปแล้ว
ยิ่งอากาศเย็นๆ แบบนี้ด้วย ยิ่ง... โอ๊ะ! นั่นไง ผมว่าสิ่งที่ผมกังวลมันเริ่มทำงานละ ฮือออออออ~
“เดี๋ยวนะ ทำไมคุยตัวสั่นแบบนี้ล่ะวาฬ”
“เอ่อ... ผมปวดฉี่อ่ะ”
“เฮ้ย จริงดิ ทำไงอะ หนังน่าจะยังอีกนานเลยนะกว่าจะจบ”
ใช่ ผมเองก็คิดว่าอีกนานเลยกว่าจะจบ เผลอๆ ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่อาการปวดฉี่ฉับพลันของผมน่ะมันไต่ระดับขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้นคงทนอั้นต่อไปอีกไม่ไหว
“งั้นผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
“ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับ” ห่างๆ กันบ้างก็ได้ แค่นี้ก็จะรวมเป็นร่างเดียวอยู่แล้ว “เดี๋ยวผมรีบไปรีบมา”
“โอเค งั้นเดี๋ยวผมดูแทนให้ กลับมาไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง : )”
พอได้ยินเหล้ารัมพูดแบบนั้น ผมก็ส่งยิ้มกลับไปให้เขา ทั้งๆ ที่ในใจนี่คืออยากจะบอกว่าไม่จำเป็นเลยสักนิด ต่อให้เขาเล่าส่วนที่ขาดหายไป ผมก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี เพราะว่าผมน่ะดูไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่แรกแล้ว ฮ่าๆๆๆ~
แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปนะ ทำแค่รีบลุกออกจากโรงฯ ไปห้องน้ำเท่านั้น เพราะขืนพูดออกไปอย่างใจคิด มีหวังได้อธิบายกันยาวจนฉี่แตกในแน่
ซึ่งพอกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนถึงห้องน้ำชาย ผมก็รีบผลักประตูเข้าไปอย่างคนปวดมาก
ทว่า..
“สวัสดี”
“นะ..นาย!”
..ใครจะไปคิดกันว่าในห้องน้ำนั้นจะมีนายซองซูยืนส่งยิ้มร้ายมาให้!
“ในที่สุดฉันก็ได้เห็นหน้านายชัดๆ สักทีนะ : )”
วินาทีนั้นผมรู้เลยว่าเขาไม่ได้แค่มาทักทายแล้วเดินจากไปเฉยๆ แน่
แต่ก่อนจะทำอะไร ผะ..ผมขอฉี่ก่อนได้มั้ยเนี่ย!?
* * * * * * *
เอาจริงๆ นะ จะหาว่าผมีคิดนั่นคิดนี่แบบไม่ดูเวล่ำเวลาก็ได้ แต่ช่วงนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองค่อนข้างจะได้รับประสบการณ์ที่เป็น ‘ครั้งแรก’ ถี่มาก ไม่ว่าจะเป็น..ประสบการณ์การเข้าร่วมงานเลี้ยงเต้นรำสวมหน้ากากครั้งแรก การได้ดูหนังกับชายอื่นที่ไม่ใช่พ่อและเพื่อนเป็นครั้งแรก รวมถึง..การถูกลักพาตัวครั้งแรกด้วย!
“ดื่มชามั้ย นี่ชากุหลาบนะ ของดีมาก รับรองเลยว่านายต้องชอบ” แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะ ไอ้การถูกนายซองซูลักพาตัวมาน่ะ เพราะนอกจากเขาจะไม่ได้ทำอะไรรุนแรงแล้ว เขาก็ยังปฏิบัติกับผมอย่างดี แถมยังอนุญาตให้เข้าไปฉี่ก่อนพาหายตัวมาที่นี่ด้วย ผมก็เลยให้คะแนนความเกลียดชังในตัวไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการเจอกันครั้งแรกที่งานของเกรวินเกอร์น่ะนะ
“ไม่ล่ะ”
“ทำไม กลัวฉันใส่ยาพิษให้นายกินหรือไง : )”
ก็ใช่น่ะสิ ถามได้ ถึงจะไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับผมก็เถอะ แต่กับคนที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ตลอดเวลาเหมือนนายพ่อมดเกาหลีคนนี้เนี่ย ใครมันจะไปไว้ใจได้! “รู้แล้วยังจะมาถามอีก”
“โอเค ตามใจนะ ไม่กินก็ไม่กิน” พูดจบ ซองซูก็เลื่อนกาจากที่จะรินใส่แก้วผม ย้ายไปรินใส่แก้วของตัวเองแทน ซึ่ง..กลิ่นของมันหอมมาก หอมขนาดที่ว่าผมต้องลอบกลืนน้ำลายเลยล่ะ
แต่ไม่ได้นะวาฬ ยังไงก็ต้องอดใจไว้ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าไม่ใช่การมานั่งดื่มชา แต่เป็นการรู้ถึงสาเหตุที่เขาลักพาตัวผมมาต่างหาก “นี่ ว่าแต่นายเถอะ จะตอบได้หรือยังว่าลักพาตัวฉันมาทำไมกันแน่” ถึงแม้จะรู้ว่าคงไม่พ้นเรื่องความบาดหมางของเขากับเหล้ารัม แต่ผมก็อยากจะถามเพื่อความแน่ใจ เผื่อว่าบางทีอาจจะเป็นกรณีอื่นก็ได้
“อะไรกัน ทีฉันถามชื่อนายนายยังไม่ตอบเลย แต่ตัวเองกลับมาเค้นหาเหตุผลจากฉันเนี่ยนะ ไม่แฟร์เลยสักนิด”
“งั้นก็ตามใจนายเถอะ” ผมสะบัดหน้าหนีอย่างคนไม่ง้อ
เรื่องอะไรผมจะบอกชื่อของตัวเองให้ซองซูได้รู้จักล่ะ แค่เห็นหน้าก็มากเกินพอแล้ว เกิดเขารู้ชื่อสกุลของผมขึ้นมา ก็รู้หมดน่ะสิว่าผมเป็นใคร มีคำสาปอะไรติดตัวมา แล้วเดี๋ยวก็จะต่อยอดไปหาเหตุผลที่เหล้ารัมมาใกล้ชิดกับผมจนรู้เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สองอีก
เฮ้อออออออ~ เกิดในตระกูลต้องสาปนี่มันลำบากจริงๆ เลยให้ตายสิ!
ด้วยความเบื่อหน่ายจากชีวิตที่แสนจะยุ่งยาก ผมเลยเปลี่ยนจากการคิดนั่นคิดนี่เป็นการหันไปสำรวจที่ที่เราอยู่แทน อืม.. ดูเหมือนว่าจะเป็นเขาวงกตแฮะ เพราะทั้งสี่ด้านนั้นเป็นกำแพงต้นไม้ลักษณะสี่เหลี่ยมที่สูงมาก มีทางออกเพียงหนึ่งทาง แต่ผมช่างใจกับตัวเองแล้วว่ายังไงก็จะไม่บ้าวิ่งหนีออกไปเด็ดขาด เพราะหากว่าที่นี่คือเขาวงกตจริง มันคงไม่ใช่แค่เดินไปหลงไปหรอกนะ แต่คงมีลูกเล่นอะไรที่อันตรายรอผมอยู่แน่ อย่าลืมสิว่าคนที่พาผมมาน่ะเป็นพ่อมดนะ ผมว่าผมไม่เสี่ยงจะดีกว่า
ส่วนพื้นที่ส่วนกลางของกำแพงทั้งสี่ด้านนั้น ดูเหมือนจะเป็นสวนหย่อมสำหรับพักผ่อนหย่อยใจ มีน้ำพุอยู่กึ่งกลาง มีหินโรย มีไม้ประดับ และมีมุมดื่มชาที่ผมกับซองซูกำลังนั่งอยู่ในตอนนี้ ซึ่งถ้าให้เดานะ ผมว่าจุดนี้ต้องเป็นใจกลางของเขาวงกตแน่ แล้วไอ้เขาวงกตนี่ก็ต้องอยู่ในพื้นที่ของบ้านหรือคฤหาสน์ของนายพ่อมดเกาหลีนี่ด้วย
“โอเค ฉันยอมแพ้นายก็ได้” ซึ่งความตลกก็คือ พอผมเลือกที่จะไม่สนใจซองซู เขากลับบอกผมว่าขอยอมแพ้ซะอย่างงั้น อะไรของเขาเนี่ย? “ยังไงซะ สักวันนึงฉันก็ต้องได้รู้ชื่อของนายอยู่ดี เพราะฉะนั้นฉันจะบอกให้ก็ได้ว่าทำไมฉันถึงพานายมาที่นี่ : )”
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเลย ทำเพียงแค่หันไปรอฟัง และพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองขำกับการพูดเองเออเองของเขา เดี๋ยวจะเสียเรื่องซะก่อน
คนอะไรวะ พออยากรู้ไม่บอก พอไม่อยากรู้ก็บอกเองซะงั้น บ้าเปล่า?
“นายรู้อะไรมั้ย ว่าตลอดเวลาที่ฉันรู้จักกับไอ้เหล้ารัมมา นอกจากพี่สาวแสนสวยของมันแล้ว ฉันก็ไม่เคยเห็นมันพาใครไปออกงานหรือพาไปเที่ยวเหมือนนายมาก่อนเลย”
“…”
“แสดงว่านายเองก็คงจะสำคัญสำหรับมันมากทีเดียว”
“…”
“แต่ก็นะ ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังอยากจะขอพิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเองอยู่ดี ก็เลยพาตัวนายมาที่นี่ยังไงล่ะ : )”
“แล้วไง?”
“อะไรคือแล้วไง?”
เฮ้ออออออออ~ ผมว่าผมจะไม่พูดอะไรแล้วนะ แต่พอมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่านายซองซูนี่ไร้สาระชะมัด และคงจะว่างมากด้วยที่จับผมมาเพื่อพิสูจน์ความสำคัญอะไรนั่น ในเมื่อ... “ก็ถ้านายรู้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ มันจะส่งผลดีอะไรกับนายไม่ทราบ นอกจากจะยั่วให้เขารำคาญใจน่ะ”
“หึ แบบนั้นก็ดีสิ ให้มันรำคาญใจมากๆ โมโหจนอยากจะฆ่าฉันเลยยิ่งดี ฉันกับมันจะได้มีโอกาสดวลเวทกัน แล้วคนทั้งโลกเวทมนตร์จะได้รู้สักทีว่าใครกันแน่ที่เหนือกว่า!”
อินเนอร์ของซองซูแรงมาก มันส่องสะท้อนออกมาจากภายในตา..จนผมรู้สึกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเปลวไฟได้ ก็คงจะแผดเผาทุกอณูของที่ที่เราอยู่ตอนนี้ รวมถึงตัวผมและตัวเขาเองด้วย..
อะไรจะโหยหาการดวลเวทมนตร์ขนาดนั้นนะ?
“นี่ อย่าหาว่าผมสอดเลยนะ แต่ทำไมคุณถึงได้โหยหาการดวลกับเหล้ารัมนัก ทั้งที่เหล้ารัมเองก็ดูจะไม่ได้สนใจเรื่องใครเก่งกว่าใครเลยสักนิด”
“หึ! มนุษย์ต่ำต้อยอย่างนายจะไปเข้าใจอะไรกับคนอย่างฉันที่พยายามฝ่าฟันขึ้นมาจนเป็นที่หนึ่งของนักดวลเวทมนตร์ แต่ทุกคนกลับบอกว่าถ้าเหล้ารัมร่วมดวลด้วย ฉันก็คงไม่มีวันขึ้นมาจนถึงจุดนี้ได้ คิดแล้วมัน...เจ็บใจนัก!”
“…” ที่แท้เรื่องมันก็เป็นแบบนี้นี่เอง... เฮ้อออออ~ จริงอยู่ที่ผมนั้นต่ำต้อยและคงจะไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่ซองซูเป็น แต่รู้อะไรมั้ย ผมอยากพูดอะไรกับเขาสักอย่างสองอย่างนะ
คืออย่างแรก..เขาน่ะโชคดีแค่ไหนแล้วที่ทุกวันนี้ยังมีลมหายใจให้ฝ่าฟันขึ้นไปได้สูงขนาดนั้น ในขณะที่ผมมีเส้นตายของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และอย่างที่สองคือ..เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของเหล้ารัมเลยสักนิด ผิดที่เขานั่นแหละที่ฟังคำของคนอื่นมากไปน่ะ
แต่คิดๆ ดูแล้ว พูดไปก็เท่านั้น นายพ่อมดเกาหลีนี่คงไม่ฟังผมหรอก ป่วยการว่ะ
“แล้วฉันทำผิดตรงไหนกัน ในเมื่อทุกคนพูดแบบนั้น ฉันก็จัดการท้าดวลไอ้เหล้ารัมอย่างเป็นทางการ ไม่เคยนอกกฎกติกาเลยแม้แต่ครั้งเดี๋ยว แต่มันกลับไม่เคยรับคำท้าฉันเลยสักครั้ง แถมยังหลบหน้าฉันด้วย แล้วผลคือไงรู้มั้ย? ทุกคนกลับยังพูดเหมือนเดิมว่าถ้าเหล้ารัมรับคำท้ายังไงก็ชนะแน่ แม่งเอ้ย! แล้วทำไมถึงไม่มีใครไปด่าไอ้เหล้ารัมว่ามันปอดแหกหดหัวอยู่แต่ในกระดองบ้างวะ!?”
“โอเคซองซู จริงๆ ฉันก็ไม่อยากจะแสดงความเห็นอะไรหรอกนะ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ เพราะจากที่ฟังมา มันเป็นความผิดของนายต่างหากที่ฟังคำพูดของคนอื่นมากเกินไป ต่อให้นายชนะเหล้ารัมได้จริง คนมันจะพูดมันก็หาเรื่องพูดได้อยู่ดี อีกอย่างนะ มันไม่ใช่ความผิดของเหล้ารัมเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าเขามีสิทธิ์ที่จะตอบรับหรือปฏิเสธนายก็ได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ใจเขาต้องการ เพราะนี่คือสิทธิส่วนบุคคลของเขา และคุณเองก็ต้องเคารพมันด้วย”
“ช่างหัวสิทธิส่วนบุคคลสิวะ!”
เพล้ง!
“…”
เยี่ยมเลย.. ดูเหมือนว่าคำพูดของผมจะทำให้ซองซูหัวเสียซะแล้ว เพราะเขากระแทกแก้วชาในมือลงกับโต๊ะอย่างแรง จนแตกออกเป็นชิ้นๆ ผมก็เลยรีบยกมือยอมแพ้ทันที
ไม่ใช่ว่ากลัวนะ แต่ลองเขาพูดออกมาแบบนี้ ผมว่าต่อให้ยกเหตุผลมาหมดโลก นายพ่อมดเกาหลีนี่ก็หาข้อมาหักล้างได้อยู่ดี เผลอๆ ตั้งแต่เกิดจนโตคงจะไม่เคยรู้จักคำว่า ‘ยอมแพ้’ เลยมั้ง!
“หึ! จริงอยู่ที่ไอ้เหล้ารัมมันมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธฉัน แต่เชื่อเถอะว่า ต่อจากนี้ไป มันคงจะต้องตอบรับสถานเดียวแน่ : )” แต่ในขณะที่ผมคิดว่าทุกอย่างจะจบลงแค่แก้วแตก นายซองซูกลับยังคงต่อความไม่เลิก แถมยังยิ้มเหมือนว่าในหัวมีแต่สิ่งชั่วร้ายอีก จนผมอดไม่ได้ที่จะถามกลับไป
“หมายความว่าไง?”
“ก็หมายความว่า.. ฉันไม่เคยสามารถใช้อะไรต่อรองกับไอ้เหล้ารัมได้เลย จนกระทั่ง..มีนายเข้ามาน่ะสิ : )”
“…” แล้วคำตอบของซองซูก็ทำเอาผมหายใจติดขัดไปชั่วขณะ.. น่ะ..นี่สรุปว่าเขาจะใช้ผมเป็นเครื่องมือในการต่อรองให้เหล้ารัมดวลกับเขาหรอเนี่ย!?
“เป็นไง อึ้งกับความฉลาดของฉันสินะ : )
ใครว่าล่ะ อึ้งกับความร้ายกาจของนายต่างหาก!
แต่ขืนพูดไปแบบนั้นก็คงตายเพราะปากเป็นแน่ เพราะฉะนั้นผมคงจะต้องทำดีสู้เสือเอาไว้ แล้วหาอะไรที่น่าพูดมากกว่านี้ อย่างเช่น.. “แล้วนายจะมั่นใจได้ไงว่าเขาจะยอม จริงอยู่ที่เหล้ารัมอาจจะพาฉันไปไหนมาไหนด้วย แต่นั่นก็อาจจะไม่ได้หมายความว่าฉันมีค่ามากพอถึงขนาดที่เขาต้องยอมตอบรับคำท้าดวลที่เฝ้าอุตส่าห์ปฏิเสธมาอย่างยาวนานหรอกนะ”
โอเค ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ใจผมน่ะมันสวนไปอีกทางเลยนะ เพราะรู้ดีว่าสำหรับเหล้ารัมแล้ว ถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับผม เขายอมทำได้หมดนั่นแหละ รวมถึงการรับคำท้าดวลของซองซูด้วย..
แล้วดูสิ่งที่นายซองซูตอบกลับมาสิ..
“ก็เพราะคำว่า ‘อาจจะ’ ไง ฉันถึงได้พานายมาที่นี่ จะได้พิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเองว่าสำหรับไอ้เหล้ารัมแล้ว นายมันก็แค่มนุษย์ธรรมดาๆ คนนึง หรือว่าเป็น ‘จุดอ่อนสำคัญ’ ของมันกันแน่ : )”
..จำเป็นต้องร้ายกาจขนาดนี้เลยหรือไง!?
ฟู่วววววววววววววววววววววววว~
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้โต้ตอบอะไรนายพ่อมดซองซูกลับไป... จู่ๆ สายลมดุจดั่งพายุโหมก็พัดกระหน่ำเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ถึงขั้นที่ว่าผมกับซองซูนั่งกันไม่ติด ต้องรีบลุกขึ้นยืน เพราะรับรู้ได้เลยว่า..สายลมที่แสนจะบ้าคลั่งนั้นกำลังจะพัดพาสิ่งต่างๆ ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ให้หลุดลอยไป!
“นี่มันลมบ้าอะไรกันวะเนี่ย!?” ส่วนเสียงโวยวายนี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นายซองซูนั่นแหละ
ทว่า..!
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!
“เฮ้ยยยยยย!”
ก่อนจะเกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้นในเวลาต่อมา ทำเอาซองซูร้องลั่นด้วยความตกใจ ในขณะที่ผมรีบยกมือขึ้นปิดหูตัวเอง เพราะเสียงที่ว่านั่นดังมากเสียงจนมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างผมเกินจะรับไหว
แล้วทันใดนั้น.. กำแพงต้นไม้ทั้งสี่ด้านก็กระจายตัวออกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่มันจะสลายหายไปในพริบตา!
ทำให้ตอนนี้ผมสามารถมองเห็นได้แล้วว่าสถานที่ที่ตัวเองกำลังยืนอยู่นั้นเป็นลานขนาดกว้างบริเวณด้านหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ก็คงจะเคยเป็นเขาวงกตมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ แต่ดูเหมือนว่ามันได้ถูกทำลายลงเรียบร้อยแล้ว ด้วยฝีมือของ…
“ส่งหัวใจของฉันคืนมา ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!!”
..เหล้ารัม!
ใช่... เป็นเขาไม่ผิดแน่ ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในระยะที่ค่อนข้างไกลก็เถอะ แต่ผมบลอนด์กับความสูงโดดเด่นแบบนั้นรับรองว่าเป็นเหล้ารัมตัวจริงเสียงจริงแน่ เพียงแต่ว่า.. ในเวลานี้..เขาอาจจะไม่ใช่พ่อมดแสนดีอย่างที่ผมคุ้นเคยก็เป็นได้...
เพราะยิ่งเดินเข้ามาใกล้ ผมยิ่งรับรู้ได้ถึงกระแสแห่งมนตราที่ทั้งอัดแน่นและรุนแรงเสียจนน่าหวาดหวั่นใจ.. หรือถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ..เหล้ารัมในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคลื่นยักษ์ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ชายฝั่งและเตรียมกวาดล้างให้แบบไม่เหลือซาก!
ตึกตัก ตึกตัก แต่รู้อะไรมั้ย.. ผมกลับใจเต้นแรงเฉยเลยว่ะ.. ไม่ใช่เพราะว่าความกลัวหรอกนะ แต่เป็นเพราะ..ผมดีใจมากกว่า (ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก ผมดีใจจริงๆ) แบบว่า..รู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจนหัวใจมันเต้นผิดจังหวะอะไรแบบนั้น.. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้มีโอกาสเห็นพลังความโกรธที่ปะทุออกมาอย่างรุนแรง พร้อมทั้งเสียงคำรามจากเหล้ารัมที่บอกว่า..ผมคือหัวใจของเขาที่ซองซูขโมยมา.. คะ..ใครไม่รู้สึกอะไรเลยก็บ้าแล้ว!
แต่ทว่า.. “ใจจริงก็อยากจะลองดีไม่สนคำเตือนของนายดูสักตั้งนะ แต่ว่า..วันนี้จะยอมคืนให้แบบง่ายๆ ก็แล้วกัน” ..แทนที่นายพ่อมดเกาหลีจะรู้สึกกลัว เขากลับโต้ตอบเหล้ารัมกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูจะมีความสุขไม่น้อย ทำเอาผมที่กำลังปลื้มกับเหล้ารัมอยู่ต้องรีบหันไปมองด้วยความสงสัย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นายพ่อมดซองซูหันรอยยิ้มมาทางผมพอดี แล้วพูดต่อ “ไปสิ แฟนนายมารับแล้วนี่ : )”
“...”
ใจจริงผมอยากจะร้องค้านเรื่องคำว่า ‘แฟน’ ที่ซองซูพูด แต่พอเห็นแววตาของเขา..ผมกลับพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว แถมความตื่นเต้นที่เคยมีในใจก็จางหายไปในพริบตา..
เพราะถ้าผมเดาไม่ผิด ทั้งรอยยิ้มและตาเป็นประกายที่กำลังส่งข้อความมามันน่าจะหมายความว่า..นายพ่อมดเกาหลีได้เห็นถึงความสำคัญของผมที่มีต่อเหล้ารัมด้วยตาของตัวเขาเองแล้ว..
ในขณะที่เหล้ารัมเองที่เพิ่งจะเดินเข้ามาใกล้ก็ดูจะงงๆ ไปเหมือนกันที่ซองซูยอมส่งผมคืนโดยที่ไม่ต่อรองอะไรทั้งสิ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะลบล้างความโกรธภายในแววตาของนายพ่อมดเหล้าไปได้หรอกนะ
“มันทำอะไรคุณหรือเปล่า?” แต่ก็เพียงไม่นานนักหรอกนะที่เหล้ารัมให้ความสนใจกับซองซูน่ะ เพราะพอผมขยับตัวไปใกล้เขา ความโกรธก็ถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วงในทันที ราวกับว่าพ่อมดที่มาพร้อมคลื่นยักษ์คนนั้นได้ลดระดับเหลือเพียงแค่หยาดฝนที่หล่นรดลงมาเพื่อชโลมจิตใจเท่านั้น
แล้วก็ไม่ใช่แค่การถามลอยๆ ด้วยนะ แต่นายพ่อมดหน้าฝรั่งยังมีการจับผมหมุนตัวดูเพื่อสำรวจร่างกายด้วย ผมที่รู้ตัวดีว่าไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นจึงรีบยกมือขึ้นห้าม
“ผมโอเคครับเหล้ารัม นายซองซูไม่ได้ทำอะไรผมเลย เขาแค่..จับผมมาเพราะอยากจะกวนประสาทคุณเท่านั้น” แน่ล่ะว่าผมโกหก ในเมื่อนายพ่อมดเกาหลีจับผมมาด้วยจุดประสงค์อะไรก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่..ผมคิดดีแล้วว่าตัวเองไม่ควรจะบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไปเลย เพราะไม่อยากให้เหล้ารัมต้องมาคอยเอาแต่ห่วงผมมากขึ้น จนกลายเป็นว่าไปเข้าล็อคกับสิ่งที่ซองซูต้องการ “แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วย ผมนึกว่าคุณจะทิ้งผมซะแล้ว” ก่อนจะพยายามพูดติดตลกให้คนตรงหน้าลดความตึงเครียดลง แต่กลายเป็นว่า..
“ไม่มีทางครับ ผมไม่มีทางทิ้งคุณแน่” ..เหล้ารัมดันซีเรียสขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า ทำเอาผมนี่ถึงกับเงิบไปเลยที่อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยสีหน้าจริงจังแบบนั้น “เพราะฉะนั้น คุณห้ามคิดแบบนั้นอีกนะครับ”
“เอ่อ..” ที่เขาว่ากันว่า..พ่อมดแม่มดเมื่อรู้สึกพิเศษกับใครไปแล้ว ความเข้มข้นของความรู้สึกก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วนี่..มันคือแบบนี้เองสินะ.. “โอเคครับ ผมจะไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว”
เพราะฉะนั้นพอพูดจบ ผมจึงรีบพยักหน้าตอบรับตามไปด้วยอย่างกลัวว่าแค่คำพูดอาจจะไม่มากพอ พร้อมทั้งเสริมทัพด้วยรอยยิ้ม โดยหวังเพียงว่าเหล้ารัมเองก็จะเลิกทำหน้าเครียดแล้วส่งยิ้มคืนกลับมาให้ผมเช่นกัน
แต่ดูท่าว่างานนี้คงจะเรียกรอยยิ้มของนายพ่อมดเหล้าออกมายากหน่อยแฮะ เพราะพอผมตอบรับปุ๊บ เขาก็หันไปส่งสายตาดุร้ายใส่ซองซูปั๊บ ก่อนจะเริ่มแสดงพลังออกมาทางคำพูดให้อีกฝ่ายได้รู้ตัว “ส่วนแก อย่าได้คิดมายุ่งกับคนของฉันอีก ถ้าสันดานก่อกวนของแกมันแก้ไม่หาย ก็มากวนฉันนี่ ไม่งั้น..อย่างว่าแต่การประลองเลยซองซู แค่ซากของแก..ตระกูลพยอนก็จะไม่มีวันได้รับคืน!”
“...”
คำขู่ของเหล้ารัมดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คำขู่เลยสักนิด.. มันเหมือน..เป็นสิ่งที่เขาจะทำจริงแน่ หากซองซูยังไม่เลิกยุ่งกับผมน่ะนะ ในขณะที่พ่อมดเกาหลีเองแม้ว่าจะยังทำเป็นยืนยิ้มเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงชิลๆ อยู่ได้ แต่แวบนึง..ผมที่ขยับมายืนข้างๆ เหล้ารัมก็แอบเห็นความสั่นไหวภายในแววตาของซองซูเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นการสั่นไหวที่เกิดขึ้นในวินาทีสั้นๆ แต่นั่นก็บอกให้รู้ว่าสิ่งที่เหล้ารัมพูดมีผลต่อเขาเช่นกัน
จนตอนนั้น..ผมเองที่อยู่ใกล้ชิดกับเหล้ารัมมาหลายวันก็ได้คิด ว่าบางที..การที่ได้อยู่ใกล้เกินไป อาจทำให้ผมลืมนึกไปว่าเขานั้น..น่ากลัวมากแค่ไหน..
อย่าลืมที่ไรเกอร์บอกสิ นี่น่ะ หนึ่งในห้าพ่อมดที่เก่งกาจที่สุดในทศวรรษนี้เชียวนะ
“ไปกันเถอะ”
เหล้ารัมเลิกสนใจซองซูในวินาทีต่อมา ก่อนที่เขาจะจับมือผมไว้ แล้วพาเดินออกไปให้ไกลจากตัวป่วนอย่างนายซองซู
ทว่า..
“...”
..แต่ก่อนที่เราสองคนจะพากันหายตัวกลับมายังโลกมนุษย์ ผมหันกลับไปมองนายพ่อมดเกาหลีอีกครั้ง และได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แฝงความพึงพอใจส่งมาให้ ซึ่งเพียงแค่เห็นด้วยตาก็รู้แล้วว่า..เขาพึงพอใจกับข้อพิสูจน์ในวันนี้เป็นอย่างมาก...