.
.
.
...หอม
สัมผัสแรกที่จมูกรับรู้ได้ทันทีที่ก้าวลงมาตามบันไดคือกลิ่นหอมของไข่เจียวจากครัวแบบเปิด สถานที่ที่ผมไม่เคยได้ใช้ทำอาหารกินเองเลยสักมื้อ จะมีแค่คนสองคนเท่านั้นที่หยิบจับอุปกรณ์ในครัวและเนรมิตเมนูหลากหลายให้ผมได้ลิ้มรสชาติ
คนแรกคืออาฟ้า บุคคลที่ชอบแอบหนีคนรักเพื่อมายืนทำกับข้าวให้ผมกินเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย มากสุดก็ไม่เกินสี่ครั้งต่อเดือน อาฟ้าทำกับข้าวไม่ค่อยเป็นหรอก แต่ที่สามารถทำให้ผมกินได้ แถมรสชาติยังอร่อยเหาะก็เพราะวัตถุดิบและเครื่องปรุงต่างๆ ที่มีพี่สาวของอาฟ้าเตรียมไว้ให้แล้ว อาฟ้าแค่เททุกอย่างลงในหม้อหรือไม่ก็กระทะ แล้วลงมือผัดๆ คนๆ จนทุกอย่างสุกแล้วก็ตักใส่จาน ตั้งวางบนโต๊ะให้มื้อนั้นผมได้อิ่มจนพุงกาง ผมยังแปลกใจจนมาถึงวันนี้ว่าคนที่ทำเค้กออกมาได้น่ากิน แถมรสชาติก็ระดับสิบดาวแบบอาฟ้า ทำไมถึงทำอาหารไม่เป็น (ทำไม่เป็นนี่ ผมหมายถึงทำให้อร่อย โดยที่ไม่ต้องให้ใครเตรียมวัตถุดิบกับเครื่องปรุงให้นะครับ)
ส่วนคนที่สอง ก็คนที่กำลังยกจานไข่เจียวมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร บนโต๊ะนั้นก็มีอาหารอีกหลายจานตั้งวางอยู่ก่อนแล้ว พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าแต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้น มีเมนูที่ผมชอบมากๆ ด้วย ก็เต้าหู้คลุกไข่ทอด ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้ง หมูทอดน้ำปลา ไข่ตุ๋นนมสด ต้มจืดปลาหมึกยัดไส้ ไข่พะโล้ (มีหมูสามชั้นด้วย) คะน้าน้ำมันหอย และจานสุดท้ายก็ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกลบอาหารจานอื่นๆ ...ไข่เจียวสีเหลืองทอง ไร้ร่องรอยสีน้ำตาลไหม้ ลองให้อาฟ้าทำเมนูนี้สิครับ เชื่อเถอะว่าหาสีเหลืองของไข่เจียวแทบไม่เจอ อาฟ้าเคยทำให้ผมกินแค่ครั้งเดียวจากนั้นก็ไม่ทำอีกเลย
ปาลินเป็นคุณหมอฟันที่ควรเปิดร้านอาหารมากกว่าคลินิกเสียอีก หรือว่าผมควรจะเปิดร้านอาหารให้ปาลินแทนคลินิกดีล่ะ แต่ว่ากับข้าวแปดอย่างสำหรับคนแค่สามคนจะไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง มากๆ เสียด้วยซ้ำมั้ง แล้วนี่ปาลินต้องใช้เวลาทำทั้งแปดอย่างนี้ไปกี่ชั่วโมงกันล่ะเนี่ย
“เยอะไปไหมปี จะกินกันหมดไหม” ผมเงยหน้าจากอาหารบนโต๊ะขึ้นไปมองหน้าและตั้งคำถามเอากับคนทำ
“หมดสิครับ...พี่พี” ไม่ใช่เสียงของคนที่เดินกลับไปยกโถข้าวมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร และไม่ใช่เสียงของหนุ่มลูกครึ่งที่ก้าวตามหลังผมมา กลับเป็นอีกคนที่เอ่ยตอบคำถามของผมมาจากนอกระเบียงห้อง
ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่ไม่คุ้นหู แล้วพบว่าใบหน้านั้นแสนคุ้นเคย คนที่ชอบเมนูไข่พะโล้กับต้มจืดปลาหมึกยัดไส้ที่สุด มิน่าล่ะถึงได้มีทั้งสองเมนูอยู่บนโต๊ะ
“ซัน” ...มาได้ไง ?
ทานตะวันก้าวเข้ามาในห้อง มาพร้อมยิ้มสดใสที่ไม่ต่างจากวัยเด็ก ที่ตามหลังมาและกำลังปิดประตูระเบียงก็คือชายหนุ่มที่มีใบหน้าคล้ายกันมาก เพราะด้วยความเป็นแฝดที่เกิดตามกันมาติดๆ ห่างกันแค่ห้าหกนาที แต่เรื่องของรูปร่างดูต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องอาศัยเพ่งไฝเม็ดเล็กบนแก้มซ้ายของเด็กแฝดเลยด้วยซ้ำ ผมก็แยกออกว่าคนไหนคือทานตะวัน คนไหนคือถิร
ทานตะวันมีรูปร่างสูงโปร่งและติดจะผอมในแบบของคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย กินเท่าไรก็ไม่อ้วน ส่วนถิร มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกชอบออกกำลังกาย เล่นกีฬาทุกชนิด ตัวสูงใหญ่และหนามาก พอยืนอยู่ข้างพี่ชายฝาแฝดก็ข่มให้อีกฝ่ายกลายเป็นคนตัวเล็กไปในทันที
“ซันคิดถึงพี่พี” ความคิดถึงของทานตะวันมาพร้อมกับท่อนแขนที่โอบรัดตัวผมเอาไว้แบบแน่นมาก “คิดถึงมากๆ ทำไมไม่มาหาพวกเราเลย กลับมาตั้งสองปีแล้วนะ”
ไม่ถึงสองปีหรอกที่ผมกลับมาอยู่ไทย แต่เดือนหน้าก็ครบสองปีแล้ว มันเป็นสองปีที่ผมไม่ได้กลับไปหาใครในครอบครัวตรัยธาดาเลย ยกเว้นอาฟ้าคนเดียว
“คิดถึงเหมือนกัน” ผมตอบรับมาจากความรู้สึกแท้จริง ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความเป็นลูกครึ่งและมีพ่อเป็นผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่อยู่แล้ว ทำให้ทานตะวันในวัยสิบแปดปีตัวสูงเท่าผมเลย ต่างกันเล็กน้อยกับแฝดน้องที่น่าจะสูงกว่าคนพี่ไปเล็กน้อย น่าจะสักเซ็นต์สองเซ็นต์
“เจอแล้วก็กลับได้หรือยัง” คนเป็นน้องเอ่ยเสียงห้วน เด็กผู้ชายที่ชอบทำตัวแก่จัดมาแต่ไหนแต่ไรมองหน้าผมนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลแดงเหมือนมีเมฆหมอกสีทึบเข้ามาปกคลุม เดินตรงมาดึงเอาตัวทานตะวันออกจากผม
“จะกลับได้ไงเล่า ยังไม่ได้กินข้าวกับพี่พีเลยนะ” คนอายุมากกว่าห้าหกนาทีแหวกลับทันที “ตัวเองก็อยากนั่งกินข้าวกับพี่พีเหมือนกันแหละ อย่ามาทำเก๊กหน้าทำท่าเฉยชาหน่อยเลย”
“อย่ามามั่วซัน ใครกันแน่ที่ลากแซนมาด้วย แซนไม่ได้อยากมาสักหน่อย” คนน้องเถียงกลับ ตวัดสายตามองผมนิดหนึ่งก่อนดึงกลับไปไว้ที่ใบหน้าของแฝดตน เอ่ยซ้ำ “กลับบ้าน”
“ก็กลับไปสิ แต่เค้าไม่กลับด้วยหรอก จะนั่งกินข้าวกับพี่พี คืนนี้ก็จะนอนกับพี่พีด้วย” ว่าแล้วก็สะบัดตัวออกจากมือคนเป็นน้อง แล้วเข้ามาเกาะแขนผมเอาไว้ “แต่ถ้าตัวเองกลับก็อดกินซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งกับไข่ตุ๋นนมสดที่เค้าทุ่มสุดตัวทำสุดฝีมือเลยนะ” แล้วก็ตบท้ายด้วยคำขู่กลายๆ ที่ทำให้ถิรพ่นลมหายใจออกมา หลังจากที่เหลือบมองไปยังอาหารบนโต๊ะแวบหนึ่ง
“อิ่มแล้วต้องกลับ” พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ส่วนคนพี่กลับส่ายหน้าพรืด เกาะแขนผมแน่นขึ้น ยังกับกลัวว่าจะถูกน้องชายกระชากเอาตัวออกไปอย่างนั้นแหละ
“บอกว่าจะนอนกับพี่พี”
“อย่าให้พูดเยอะซัน”
“ก็หุบปากไปสิ พูดทำไมล่ะ ยังไงเค้าก็ไม่กลับ เค้าจะนอนกับพี่พีให้หายคิดถึง”
“ได้ อยากให้พ่อรู้ใช่ไหม จะโทรบอกตอนนี้เลย” ไม่พูดเปล่า แฝดน้องล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ทำท่าจะโทรออกอย่างที่พูด คนเป็นพี่เลยรีบโดดเข้าไปแย่งเอามาได้ ทำท่าจะเขวี้ยงทิ้งอีกแน่ะ ผมเลยรีบคว้ามือทานตะวันไว้ก่อนเจ้าเครื่องบางจะบินไปกระแทกผนังห้องจนแตกกระจาย
เห็นมาตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็ก ถึงไม่ได้ดูแลใกล้ชิดก็เถอะ แต่ก็พอรู้ว่านิสัยของทานตะวันที่เห็นยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาเพราะน่าฟัง (เฉพาะเวลาอารมณ์ดี) เอาเข้าจริงเวลาโมโหหรือไม่พอใจก็ร้ายไม่เบา อารมณ์ร้อนได้พ่อมาเต็มๆ ส่วนถิรอารมณ์ร้อนเหมือนกันแต่มีส่วนผสมความใจเย็นของอานุมาด้วย เรียกว่าอารมณ์ร้อนแต่ไม่เท่ากับอารมณ์ร้อนและร้ายของทานตะวันตอนโกรธจัด จำได้ว่าตอนทานตะวันเจ็ดขวบเคยเอาก้อนหินปาหัวถิรจนตกเย็บไปหลายเข็ม เพราะน้องชายฝาแฝดทำอะไรขัดใจสักอย่างนี่แหละ ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร
“มาหาพี่ไม่ได้บอกพ่อหรือไง” ผมถาม ดึงเอาโทรศัพท์ออกจากมือแฝดพี่แล้วส่งคืนให้แฝดน้องไป จากคำพูดของถิรก็พอจะเดาได้ว่าพ่อของเด็กแฝดไม่อยากให้ทั้งคู่มาหาผม
“ซันไม่ได้ตั้งใจจะมา เลยไม่ได้บอกพ่อยะ” ทานตะวันรีบบอก “คือตอนที่พี่ปีโทรหาพรีม ซันก็อยู่ตรงนั้นด้วยก็เลยขอตามพรีมมา”
พรีม หรือนภัส... ว่าที่คุณหมอฟันคือน้องสาวสุดที่รักของปาลิน รักมากถึงขนาดยอมยกสมบัติที่ควรเป็นของตัวเองให้กับพ่อแม่ของนภัสไป เรื่องครอบครัวของปาลินยาวมาก ไว้ว่างๆ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง ที่เล่าได้สั้นที่สุดตอนนี้คือ นภัสคือแฟนสาวของทานตะวัน
“พี่พีไม่อยากให้ซันมาเหรอ” เจ้าตัวถามเสียงเศร้า มองผมตาละห้อย
“ยังต้องถามอีกหรือไงซัน เก้าปีมาแล้วนะ ฉลาดได้แล้วมั้ง” คนตอบกลับเป็นแฝดน้องที่มองผมตาขวาง ก่อนเดินไปช่วยปาลินตักข้าวใส่จาน “มากินข้าว กินเสร็จจะได้กลับซะที”
“ไม่กลับ!” อารมณ์ร้อนของทานตะวันเริ่มมาแล้ว ตางี้ขุ่นคลั่ก เจ้าตัวเดินไปกระชากไหล่น้องชายฝาแฝดจนฝ่ายนั้นแทบหงายหลัง “ตัวเองนั่นแหละกินแล้วก็กลับไปเลย ไม่ต้องมานอนกับพี่พีของเขา อยากฟ้องพ่อยะก็ฟ้องเลย เค้าไม่กลัวหรอก”
“แซนฟ้องแน่”
“ไอ้บ้าแซน!” คราวนี้ไม่ใช่เสียงที่ตวาดออกมาอย่างเดียว แต่กำปั้นของทานตะวันระรัวใส่ตัวแฝดน้องไม่ยั้ง
“ซัน อย่าทำน้อง” ผมต้องรีบเข้าไปรวบตัวเอาไว้ ดึงออกมาให้ไกลพอที่เจ้าตัวจะไม่ปากำปั้นใส่ถิรได้อีก
“ก็แซนด่าซันว่าโง่” เจ้าตัวหน้าบึ้ง มือยังกำหมัดแน่น
“ไม่ได้พูดว่าโง่สักคำ บอกแค่ว่าไม่ฉลาด”
“ไม่ฉลาดก็คือโง่นั่นแหละ” เถียงอย่างไม่ยอม “ตัวเองเป็นน้องมาด่าเค้าได้ไง เค้าเป็นพี่นะ”
“โง่จริงไหมล่ะ คนเขาไม่อยากเจอ ก็ยังเสนอหน้ามาหา” นี่พูดกระทบผมใช่ไหม
“ใครใช้ให้ตามมาล่ะ”
“ก็ใครบังคับแซนให้มาด้วยล่ะ ไม่ได้อยากมาด้วยสักหน่อย”
“ปฏิเสธก็ได้นี่”
“หึ... ยังกับซันจะยอม” คนเป็นน้องว่า “ลองให้แซนปฏิเสธสิ ซันก็จะใช้กำลังกับแซนเหมือนเมื่อกี้นั่นแหละ”
“ก็ตัวเองพูดให้เค้าหัวร้อนเองนี่ จงรับกรรมไปซะ”
“ต่อให้แซนหุบปากเงียบ ซันก็หัวร้อนได้ตลอดแหละ เอะอะก็ชอบใช้แต่กำลัง อ้างแต่ความเป็นพี่ เหอะ...เกิดก่อนแซนไม่กี่นาทีเอง”
“นี่อยากโดนอีกใช่ไหม” พูดจบก็ทำท่าจะพุ่งไปซัดกำปั้นใส่ถิรซ้ำ ดีที่ผมรวบตัวไว้ทัน
“พอแล้วซัน” ผมปราม พลางลากตัวคนอารมณ์ร้อนไปนั่งเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง “กินข้าว อิ่มแล้วก็กลับ” ผมบอกเพื่อจบปัญหา ไม่อยากให้เรื่องถึงหูพ่อของสองแฝดด้วย
ไม่รู้ว่าถิรจะเอาเรื่องที่มาหาผมไปบอกพ่อตัวเองหรือเปล่า ถ้าบอกจริงๆ ผมว่าทานตะวันหรือไม่ก็ทั้งสองคนนั่นแหละจะถูกลงโทษที่มาหาผม คุณยะคงไม่อยากให้เด็กสองคนมายุ่งเกี่ยวกับคนแบบผมเท่าไรหรอก เพราะฐานะของผมตอนนี้ก็ไม่ต่างจากศัตรูของเขา แถมลอบกัดเขาในเรื่องธุรกิจไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เรื่องล่าสุดก็เรื่องนิทรรศการของมาร์คัส รอสส์ ไม่รู้ว่าตอนนี้รู้เรื่องแล้วหรือยัง
“พี่พี...” ทานตะวันมองหน้าผม น้ำตาคลอเบ้า เปลี่ยนอารมณ์เร็วมากทั้งที่เมื่อกี้ดวงตาสีน้ำตาลแดงยังขุ่นคลั่กอยู่เลย “...ไม่อยากเจอผมจริงๆ หรือครับ” แล้วน้ำตาก็หยดแหมะบนแก้ม
บางครั้งมองทานตะวันก็เหมือนมองเห็นตัวเอง... อารมณ์ร้อน ขี้น้อยใจ และเจ้าน้ำตา
“หึ...” เสียงของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ดังเบาแต่ก็ทำให้เจ้าของน้ำตาตวัดสายตามองอย่างโกรธๆ “แซนบอกแล้ว คราวนี้เชื่อหรือยัง”
“ไม่ต้องมาซ้ำเติมเค้า!”
“รีบกินสิ เจ้าของบ้านไล่แล้วนะ” ถิรบอกทานตะวันแต่สายตามองมาที่ผม ลูกตาสีน้ำตาลแดงไม่แสดงความรู้สึกออกมาเท่าไร หากก็พอรู้ว่าเจ้าตัวไม่พอใจผม อาจถึงขั้นเกลียดขี้หน้าแล้วก็ได้
ถ้าทานตะวันนิสัยเหมือนผม ถิรก็ถอดมาจากคุณยะนั่นแหละ เพียงแต่ว่าได้นิสัยใจเย็นกับใจดีของอานุมาด้วย ส่วนผสมของนิสัยที่ต่างกันแต่ก็อยู่ร่วมกันได้ในตัวเด็กผู้ชายคนนี้
“พี่พี...” ทานตะวันเรียกผมอีกครั้ง “ให้ซันนอนด้วยนะครับ ซันคิดถึง สัญญาว่าซันจะไม่ดื้อ ไม่กวนพี่พีด้วย ขอนอนกอดเฉยๆ” เสียงเจ้าตัวสั่น ผมต้องลูบศีรษะปลอบ แต่ก็ยังยืนยันคำพูดเดิมของตัวเอง
“กินอิ่มแล้วกลับบ้านนะ พี่ไม่อนุญาตให้นอนที่นี่ บ้านมีก็ต้องกลับ”
“ฮึก...พี่พีใจร้าย...” คำตัดพ้อมาพร้อมสายน้ำตาไหลยาว
ใช่ ผมเป็นคนใจร้าย ทุกความใจร้ายของผมก็เพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง ผมไม่อยากผูกพันกับตรัยธาดาอีกแล้ว เพราะวันหนึ่งที่ผมต้องรักษาสัญญาที่ให้จิระเอาไว้ ผมจะได้ไม่เจ็บปวดกับการไปจากครอบครัวตรัยธาดาเป็นครั้งที่สอง
“พี่ปีครับ...ฮึก...” พอใช้น้ำตากับผมไม่สำเร็จ ทานตะวันก็หันไปหาคนที่นั่งข้างๆ ถิรแทน “ฮึก...ช่วยพูดกับพี่พีหน่อยสิครับ ซันอยากนอนกับพี่พี”
ปาลินที่เงียบฟังเหตุการณ์ระหว่างผมกับสองแฝดมาตลอด ถึงคราวได้เอ่ยปากพูดบ้าง
“นอนกับพี่ก็ได้” แต่เป็นความช่วยเหลือที่เจ้าของน้ำตาไม่อยากได้
“ไม่เอา” เจ้าตัวส่ายหน้าอย่างเอาแต่ใจ “ฮึก...ซันจะนอนกับพี่พี...พี่พีให้ซันนอนด้วยนะ...นะครับ” มือขาวยกขึ้นมาจับแขนผม เขย่าเบาๆ เป็นเชิงขอให้ผมเปลี่ยนใจ
“ร้องไห้ไปก็เท่านั้น” เป็นคำพูดของแฝดน้องอีกตามเคย เหมือนเคยที่แฝดพี่จะหันไปมองตาขวาง สาดคำพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นคลั่กแทบจะทันที
“หุบปากไปเลย!”
แฝดน้องยักไหล่ไม่สน มือก็หยิบช้อนกลางจะตักซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งใส่จานข้าวของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ตัก จานซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งก็ถูกคนเป็นพี่ยกหนี
“ไม่ให้กิน!”
ทานตะวันลุกขึ้นยืน เดินออกจากโต๊ะกินข้าว สาวเท้าไปในครัว ก่อนที่จะ...เทอาหารในจานลงถังขยะ
“ซัน!” เสียงของถิรแทบจะฟังเป็นเสียงคำราม ทั้งที่ผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมยังรู้สึกถึงความร้อนระอุของอารมณ์ที่แผ่ออกมาจากตัวเด็กหนุ่มลูกครึ่ง
เหมือนมีภาพของคุณยะซ้อนทับอยู่บนตัวของถิร ผมถึงกับต้องกะพริบตาไล่ภาพซ้อนทับนั้นออกไปจากการมองเห็น
“งี่เง่าเกินไปแล้วนะซัน” ฟังก็รู้ว่าถิรกำลังข่มอารมณ์ตัวเองอยู่ คงจะดึงเอาความใจเย็นในแบบของอานุมาข่มอารมณ์ร้อนร้ายแบบของพ่อตัวเองอย่างที่สุด
“ก็จะทำไม” น้ำตาบนใบหน้าเนียนใสไม่มีแล้ว ที่เหลือก็มีแต่สีหน้าไม่แยแสต่อการกระทำของตัวเอง “งี่เง่าแล้วไปหนักส่วนไหนของแซนหะ แล้วจานนี้เค้าก็เป็นคนทำ เค้าจ่ายเงินซื้อหมูเองด้วย จะทิ้งหรือจะไม่ให้ใครกินก็ได้”
ผมสบตาปี เจ้าตัวกำลังส่งสัญญาณให้ผมจัดการกับสองแฝด โดยเฉพาะแฝดพี่คนเจ้าอารมณ์ ผมส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นการปฏิเสธ ผมอยากปราม อยากห้ามนะ แต่ไม่เอาดีกว่า ขออยู่ห่างๆ ไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งให้เกิดความผูกพันขึ้นมาอีก
“งั้นก็กลับ” ถิรลุกขึ้นช้าๆ สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของแฝดพี่เลย ที่เปลี่ยนไปนิดหนึ่งคือสีหน้าที่คุกรุ่นกว่าเดิม
“ไม่กลับ!”
“ไม่กลับจะฟ้องพ่อ”
“ไม่กลัว เชิญฟ้องเลย” แฝดพี่ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านคำขู่ของแฝดน้อง
“ฟ้องคุณย่า”
ลมหายใจของผมสะดุดแทบจะทันทีกับคำพูดที่เอ่ยถึงผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต อยากเจอแต่ไม่กล้าไปเจอ รู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าว ต้องกลั้นใจข่มความรู้สึกขมปร่าลงไปในอก
“เชิญฟ้องตามสบาย... ไม่กลัวหรอก จะฟ้องอานุด้วยก็ได้นะ” ทานตะวันวางจานในมือลงก่อนกอดอก ทำหน้าเชิดอย่างท้าทาย ก่อนจะตาโตกับคำขู่ที่ตามมา
“แล้วถ้าแซนฟ้องอาภาล่ะ ซันจะกลัวไหม”
คำขู่นี้ทำเอาทานตะวันอ้าปากค้างไปหลายวินาทีกว่าจะขยับเปล่งเสียงแหลมปรี๊ดออกมาด้วยความโกรธจัด โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เพราะคนที่กำราบเด็กเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจได้มีเพียงคนเดียวคืออาภา ผู้หญิงที่เป็นเหมือนแม่ของแฝดทั้งสองคน ทานตะวันจะกลัวอาภาดุมากที่สุด ตอนเป็นเด็กที่ผมจำได้คือแค่อาภามองอย่างมีคำถาม แฝดคนพี่ก็หน้าซีดปากสั่นแล้ว
“ไอ้บ้าแซน! ไอ้น้องขี้ฟ้อง!” ทานตะวันกระทืบเท้าดังปักๆ ออกมาจากครัว ตรงมาหาแฝดน้องพร้อมกำปั้นที่เตรียมจะทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายให้หายแค้น ว่าจะไม่ยุ่งแล้วผมก็ต้องเปลี่ยนใจ รีบลุกขึ้นไปดึงตัวคนตัวบางแต่ชอบใช้กำลังออกมาได้ทันตอนที่ทุบถิรไปแล้วสองสามหมัด
“ใจเย็นก่อนซัน ตีแรงแบบนี้น้องเจ็บนะ” ที่ผมพูดอาจไม่จริงเท่าไรหรอก เพราะดูอาการของถิรแล้วไม่เห็นจะแสดงสีหน้าออกมาว่าเจ็บปวดกับกำปั้นที่ทุบๆ ลงมาบนตัวสักเท่าไร หน้าตายังนิ่งเหมือนเดิม
“หนังหนาขนาดนี้ไม่เจ็บหรอกครับพี่พี มือซันต่างหากที่เจ็บ ทุบแต่ละทีเหมือนเอามือไปชกต้นไม้” ถึงจะอารมณ์ร้อนแค่ไหนแต่ตอนพูดกับผม น้ำเสียงของทานตะวันก็กลับมาน่ารักน่าฟังขึ้น พอหันกลับไปพูดกับถิร เสียงก็ยังขุ่นด้วยอารมณ์ไม่พอใจเหมือนเดิม “อยากฟ้องก็ฟ้องเลย อยากให้เค้าโดนดุ โดนกักบริเวณก็เอาเลย แต่จำไว้นะว่าเค้าจะไม่ทำกับข้าวให้ตัวเองกินอีกตลอดชีวิต จะไม่คุยด้วยสิบปีเลย” เจ้าตัวทั้งท้าทายและข่มขู่ เหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะ
ก็จะไม่ให้ทานตะวันมีรอยยิ้มของผู้ชนะบนใบหน้าขาวใสได้ยังไงล่ะ แต่ไหนแต่ไรมาแล้วถิรก็ไม่เคยเอาชนะพี่ชายฝาแฝดได้ เพราะเจ้าตัวติดพี่ชายมากจึงยอมให้ตลอด ตอนที่ผมยังอยู่กับครอบครัวตรัยธาดา มีหลายครั้งที่แฝดพี่โกรธแฝดน้องแล้วไม่ยอมพูดด้วย ทำเอาคนเป็นน้องถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว
ถิรพ่นลมหายใจออกมาอย่างไร้ทางสู้กับคำขู่ของพี่ชายฝาแฝด มองดูแล้วก็ไม่ต่างจากตอนเป็นเด็ก ผมเห็นว่าเหตุการณ์สงบแล้วจึงจูงมือทานตะวันกลับไปนั่ง ไม่ลืมตำหนิการกระทำก่อนหน้านี้ของเจ้าตัว
...การกระทำที่ครั้งหนึ่งผมก็เคยทำเหมือนกัน
“ซันไม่ควรเอาอาหารไปทิ้ง ถึงจะไม่เสียดายแต่ก็ควรรู้ว่ามันมีค่า ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาไปทิ้งเพื่อประชดใครได้ ถ้าซันไม่อยากให้แซนกินก็แค่ยกจานหนีให้ไกลมือน้องก็พอ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย” ผมสอนเท่าที่พอจะทำได้ ตำหนิให้เจ้าตัวได้สำนึก “แค่กินทิ้งกินขว้างก็แย่พอแล้ว นี่เอาไปเททิ้งหมดจาน พี่จะไม่พูดว่าให้นึกถึงคนจนที่อดอยากไม่มีจะกินหรอกนะ เอาแค่ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ คนที่ยังไม่ได้กินจะรู้สึกยังไง”
...ยอมรับว่าผมเสียดายมาก ก็ของโปรดของผมเลยนะ
“ซันขอโทษครับ” เอ่ยเสียงหงอยที่โดนผมตำหนิขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวเดิม “ซันโมโหไปหน่อย”
“ไม่หน่อยละมั้ง”
ทานตะวันมองไปยังต้นเสียงแทบจะทันที ดวงตาสีน้ำตาลแดงฉายแววสงสัยว่าคนพูดเป็นใคร ราวกับว่าเจ้าตัวเพิ่งเห็นว่ามีบุคคลซึ่งไม่รู้จักนั่งร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำด้วย แล้วหันกลับมาถามผม
“ใครครับพี่พี” กระซิบเบาๆ แต่ผมว่าได้ยินกันทั้งโต๊ะ ดังนั้นเจ้าของประเด็นเลยตอบคำถามของทานตะวันเสียเอง
“แนะนำตัวละกันนะครับน้องซัน...น้องแซน” หนุ่มลูกครึ่งผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าเอ่ยออกมาด้วยยิ้ม มองตอบแฝดพี่ ก่อนพาสายตาไปหยุดที่แฝดน้อง “พี่ชื่อเจย์... เป็นคนรักของพี่ชายของน้องๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
อืม... ตอบแบบเกินจำเป็นอีกด้วย
“ไม่ใช่แค่ ‘คู่นอน’ หรือครับ?” น้ำเสียงเรียบเรื่อยของถิรเอ่ยถามออกมา ดวงตาจ้องเขม็งไปยังคนที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะ ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของจิระค่อยๆ จางลง “ผมไม่เห็นพี่พีจะจริงจังกับใครสักคน เห็นก็มีแต่คู่นอนที่ซื้อเอาไว้แก้เหงา พอเบื่อก็ทิ้ง”
อดแปลกใจไม่ได้ว่าถิรรู้เรื่องพวกนี้ของผมได้อย่างไร หรือว่าผมไม่ควรแปลกใจดีล่ะ ในเมื่อรสนิยมและความชอบของผมถูกซุบซิบในวงสังคมพอสมควร บางครั้งก็ยังมีข่าวซุบซิบบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่าผมคบหากับดาราชายวัยรุ่น เป็นข่าวอยู่สองสามคนมั้งครับ ซึ่งเขียนได้มั่วมาก เพราะผมแทบไม่รู้จักพวกที่ตกเป็นข่าวกับผมเลยด้วยซ้ำ ที่มีรูปถ่ายด้วยกันก็แค่ความบังเอิญที่คนเหล่านั้นเดินเข้ามาทอดสะพานให้ผม เพียงแต่ผมไม่เล่นด้วยเพราะผมไม่ชอบ... เพราะผมมีปมกับคนประเภทนี้
“มันก็จริงอย่างที่น้องแซนพูด ที่ผ่านมา ‘พีของพี่’ ก็มีแค่คู่นอนที่ซื้อเอาไว้แก้เหงาตอนที่พี่ไม่อยู่ แต่ตอนนี้พี่ก็มาแล้ว...คู่นอนก็ไม่จำเป็น” จิระเปิดรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ต่างจากอีกคนที่ลูกตาสีน้ำตาลแดงเหมือนมีพายุลูกย่อมๆ ก่อตัวขึ้นในนั้น “อ้อ... พี่หมายถึงคนเก่าๆ ของพีด้วยนะ ทิ้งไปแล้วก็คงไม่กลับไปหาให้เสียเวลา... ยิ่งคนแก่ๆ หรือจะสู้คนหนุ่มแน่นได้ จริงไหมครับพีรัช” ประโยคสุดท้ายหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าหันมาถามผม สายตานั้นกดดันปนกับร้องขอให้ผมช่วยยืนยันทุกคำพูดของเขา และมันไม่ยากเลยที่ผมจะทำให้จิระพอใจ
“พี่กับเจย์ เราคบกันมานานแล้ว” ...หวังว่าคำพูดนี้จะลอยไปถึงหูใครบางคนได้ง่ายขึ้น “เจย์คือคนสำคัญของพี่”
“แต่พ่อยะบอกว่า...” ทานตะวันพูดแทรกขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงปนสงสัย เจ้าตัวยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค คนเป็นน้องก็เอ่ยขัดจังหวะเสียก่อน
“กลับกันเถอะซัน” ถิรลุกขึ้นยืน ท่าทางไม่สบอารมณ์กับคำตอบของผมที่ช่วยยืนยันคำพูดของจิระว่าเป็นความจริงทุกอย่าง
“อืม” คนเป็นพี่ครางรับในลำคอเบาๆ ว่าง่ายกว่าตอนแรกมาก “ผมกลับก่อนนะครับพี่พี พี่ปี” ทานตะวันยกมือขึ้นไหว้ผมกับปาลิน
“กลับดีๆ ล่ะ” ผมบอกและพูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักเท่าไรออกมาช้าๆ คำพูดที่ผ่านความคิดมาอย่างดีแล้ว “ต่อไปก็ไม่ต้องมาหาพี่อีกนะ... เราสองคนไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพี่” ผมเลือกที่จะตัดขาดแล้ว ไม่อยากกลับไปผูกพันอีก
“พี่พี...” ทานตะวันทำหน้าจะร้องไห้ เจ้าตัวกัดริมฝีปากคล้ายกำลังกลั้นสะอื้นไม่ให้หลุดออกมา ก่อนหันไปซบไหล่น้องชายฝาแฝด อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมากอดและลูบหลังปลอบทันที ถิรมองหน้าผมด้วยสายตาที่กดดัน ราวกับจะบีบบังคับให้ผมเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่
แม้แต่จิระที่ดูจะไม่ชอบหน้าถิรเท่าไร ยังมองหน้าผมด้วยสายตาตำหนิอย่างเปิดเผย แต่ผมไม่สนใจและตัดปัญหาด้วยการลุกออกจากโต๊ะอาหาร เดินกลับขึ้นไปยังชั้นสอง เข้าไปในห้อง ปิดทุกการรับรู้
ผมทิ้งทานตะวันกับถิรก็เพื่อปกป้องความรู้สึกตัวเอง การเจอกันของผมกับทั้งสองแฝดย่อมทำให้ผมจมลึกลงไปในอดีตอีกครั้ง
ผมยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่งติดป้ายเอาไว้ว่า
...อารยะ ไตรธาดา
ประธานกรรมการบริหาร...มือทั้งสองข้างจูงมือเล็กๆ ของเด็กชายฝาแฝด ข้างซ้ายคือทานตะวัน ข้างขวาคือถิร นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มายืนอยู่หน้าประตูบานนี้ ด้านหลังบานไม้หนาเข้มกรุกระจกสีขุ่นไว้ครึ่งบนคือห้องทำงานของผู้เป็นพ่อของเด็กชายฝาแฝด
...คนที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าคือพ่อของตัวเอง จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อนที่ความจริงเปิดเผย ผมถึงรู้ว่าผมกับเขาไม่มีความผูกพันทางสายเลือด
ผมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนก้าวเท้าตามเลขาของคุณยะเข้าไปด้านใน สองแฝดปล่อยมือจากผมแทบจะทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ทั้งสองวิ่งไปเกาะโต๊ะทำงานตัวใหญ่อย่างคุ้นเคยสถานที่ ขณะที่ผมยืนทำตัวไม่ถูกไปหลายนาที จนกระทั่งนัยน์ตาสีราตรีทอดมองมาที่ผม
ความประหม่าทำให้ผมสั่นไปทั้งความรู้สึก ตั้งแต่คืนนั้นที่ถูกเขากอด เติมความอบอุ่นลงมาในหัวใจดวงน้อยนิดของผม ผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลยจนถึงตอนนี้ ผมยังรู้สึกว่าฝันไปด้วยซ้ำที่มายืนอยู่ตรงนี้ ในห้องนี้ และสบตากับเขา
นาทีนั้น... ผมรู้ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป
หรือบางที... อาจตั้งแต่คืนนั้นที่ผมเปลี่ยนไป
ผมมองเขาได้ไม่เต็มตา หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความรู้สึกผิดบางอย่างแผ่ซ่านจนน่าละอายใจ
จบตอนที่ 8
เรื่องอาจดูเรื่อยๆ นะคะ ไม่หวือหวา และการเล่าเรื่องก็ดูยืดยื้อ ฮื่อ อยากบอกว่าที่ต้องเล่าตัวละครทุกตัว ให้ดาหน้าออกมากันรัวๆ เพราะพวกเขามีตัวตนอยู่ก่อนแล้ว จะทิ้งขวางก็ไม่ได้ จะไม่เอ่ยถึงก็ไม่ได้ เลยต้องให้มีบทบาทกันสักเล็กน้อยนะคะ
ปล.ขอหายไปอีกสักพัก ขอไปปั่นสะสมตอนก่อนนะคะ (ช่วงนี้ปั่นไม่ทันเลยค่ะ มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ตามเยอะ เอาจริงๆ คือกำลังตกลงหลุมเลือดข้นคนจาง ปีนขึ้นมายังไม่ได้เลย T^T ติดมากก ตามทวิตทั้งวัน 555+)
สีเหลืองอ่อน