เสียงแว่วครั้งที่ 1 : พบกันครั้งแรก
รางเหล็กคู่ขนานเหยียดยาวไปไกลแทบลับสายตาชวนให้ถอนหายใจยาวยามที่มองและครุ่นคิดในใจว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะถึงจุดปลายทาง
แต่เมื่อมีความยากลำบากย่อมมีผู้ท้าชิง
ร่างสมส่วนสวมเสื้อโค้ทหนาสะพายเป้ใบโตที่บรรจุไปด้วยอาหารของใช้ต่างๆ กำลังเดินอยู่บนรางอย่างใจเย็น
ผมสีขาวโพลนแปลกตาสำหรับผู้พบเห็น
กับร่างสี่เท้าขนาดยักษ์ที่กำลังเดินเคียงคู่กัน
นับว่าเป็นภาพที่ชวนให้ประหลาดใจ
เพราะสัตว์ที่เท้าขนาดยักษ์นั้นมีช่วงบนมนุษย์แต่ช่วงล่างกลับเป็นอาชา
ผมสีน้ำตาลอ่อนสีเฮลเซนัทปลิวยุ่งเหยิงเมื่อสายลมของฤดูใบไม้ผลิพัดกระทบ
ดวงตาสีฟ้ากลอกไปมาเบื่อๆ ดึงหมวกโค้ทมาคลุมหัวตัวเอง
ก้าวขาเดินไปตามทางรถไฟอย่างเชื่องช้า ฟังเสียงนกที่ร้องจ้องแจกอยู่บนต้นไม้ หยุดมองท้องฟ้ากระจ่างใสที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆทำให้อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่
รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าและผิวปากออกมาอย่างอารมณ์ดี
ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเจ็บปวดเหลือร้าย
เขากุมท้องงองุ้มอย่างทรมาน น้ำตาเม็ดใสไหลหยดออกมาจากดวงตาอย่างห้ามไม่ได้ ริมฝีปากเผลอกัดจนเป็นแผลช้ำ เขารีบนั่งบนพื้นถอดกระเป๋าออกมาอย่างลุกลี้ลุกลนควานหายาในช่องกระเป๋าหน้า หยิบเม็ดยาสีขาวคุ้นเคยกลืนใส่ปากทันทีโดยไม่ต้องพึ่งน้ำ
แต่ต่อให้กินยาเข้าไปมันก็ไม่ได้ระงับความเจ็บปวดแต่อย่างใด มวลท้องยังคิดบิดเร่าไปมาราวกับกำลังเต้นเพลงจังหวะร็อค เขานอนงองุ้มดวงตาเบิกโพลง หอบหายใจหนักหน่วง มือกำแน่นหวังจะแบ่งเบาความรู้สึกเจ็บปวดออกไปยังมือแทน
เสียงนกยังคงดังเจื้อยแจ้ว
แม้ว่าเสียงร่างครวญครางบนพื้นด้วยความเจ็บปวดดังกว่าเสียงมัน
ใบหญ้าพัดปลิวน้อยๆ เมื่อลมผ่านลู่ใบ
ผิวขาวซีดของเขาเย็นเฉียบกว่าเดิมทั้งๆ ที่สวมเสื้อโค้ทหนา
ข้าวของกระจัดกระจายบนพื้นทำให้เขาต้องลงมือเก็บมันยัดใส่กระเป๋าอีกครั้งเมื่ออาการดีขึ้น โดยที่ไม่รู้ตัวผมสีเฮลนัทได้ถูกสีขาวกลืนกินไปแล้วเล็กน้อย
เขาสบถออกมาอย่างหงุดหงิด มือยีหัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ดวงสีกระจ่างใสมีสีแดงก่ำขึ้น เขากำลังคิดถึงอดีตที่ผ่านมาของเขาแม้ว่ามันจะทำให้เขาหงุดหงิดจนแทบคลั่ง
เขาเคยที่มีชีวิตที่ดี
ทุกอย่างกำลังไปด้วยสวย
จนกระทั่งโรคงี่เง่าบางอย่างมาครอบงำ
อลัน เป็นชื่อของเด็กกำพร้าที่เติบโตมาในศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้า ทุกคนล้วนเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับทุกคนที่อาศัยอยู่ด้วยกันแต่ดูเขาจะเป็นที่เอ็นดูมากกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ
ผมสีน้ำตาลฮอลนัทกับดวงสีตาสีฟ้าที่เจือไปด้วยความร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
เรียกให้ใครทั้งหลายต่างพากันเอ็นดู
แต่ทุกอย่างก็พลิกผัน
เมื่ออลันอายุ 18 ปี
ในระหว่างที่เขากำลังทำงานพิเศษเป็นรายได้เสริมอยู่นั้น อยู่ๆ เขาก็ล้มลงไปกองบนพื้นและหยุดหายใจไปในทันที ทุกคนตกใจมากรีบพาอลันไปโรงพยาบาล แต่เมื่อถึงโรงพยาบาลอลันกลับฟื้นพอดีและเดินเหินปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซึ่งถ้าหากมันเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวคงสามารถใช้เล่นเป็นมุขตลกได้
เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวสิ
หลายต่อหลายครั้งที่อลันทำให้คนอื่นตกใจ
การลงไปชักบนพื้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย การไอเป็นเลือดในบางวัน การเกิดตุ่มตามตั้วทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปทำอะไรมา
อลันตระเวนหาหมอไปทั่วหวังจะรักษาโรคที่กำลังคุกคามตัวเองให้หายขาด
แต่ไม่เป็นผล
ทุกคนหวาดกลัวอลัน
ไม่กล้าแม้แต่จะร่วมมื้อบนโต๊ะอาหาร เพียงแค่ว่ากลัวติดโรคที่ไม่สามารถบอกที่มาได้ของอลัน
จากคนร่าเริงอยู่เป็นนิจกลายเป็นคนที่เงียบ พูดน้อย
อลันตัดสินใจหนีออกจากที่นี้
เงินเก็บจากการทำงานพิเศษถูกละลายไปกับการซื้อยาระงับอาการราคาแพง อาหารกระป๋อง อาหารแห้ง กระติกน้ำทหาร ของใช้จิปาถะ เงินส่วนที่เหลืออยู่อีกส่วนถูกเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น
สิ่งที่อลันขาดก็คือโค้ทดีๆ ใช้สำหรับกันแดดกันหนาวสักตัว
เงินที่ยังพอเหลือไม่สามารถนำมาใช้ซื้อได้ แต่เอาเข้าจริงก็มีอยู่ตัวนึงที่พอจะหยิบยืมมาใช้ได้
ไม่สิ เรียกว่ามันคือการขโมยดีกว่า
อลันเป็นเด็กดีมาตลอดแม้จะถูกรังเกียจก็ตาม ในครั้งนี้อลันได้ฉีกฉากหน้าของตัวเองเป็นชิ้นๆ ด้วยการขโมยเสื้อโค้ทเนื้อดีของลุงวิลเลียมที่เป็นผู้ดูแลหลักในตอนนี้
ลุงวิลเลียมเป็นคนเดียวที่ไม่รังเกียจอลัน
อลันรู้ตัวดีว่ากำลังทรยศความเชื่อใจของลุงวิลเลียม
แต่มันช่วยไม่ได้
ในเมื่อเงินในกระเป๋าที่มียังไม่พอซื้อหมากฝรั่งด้วยซ้ำ
อลันขโมยมันในวันที่จะหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ ลุงวิลเลียมกำลังนั่งจิบกาแฟไออุ่นๆ ลอยกรุ่นปะทะใบหน้าและส่งกลิ่นหอมชองกาแฟ ลุงวิลเลียมยิ้มและกล่าวอรุณสวัสดิ์เมื่อเห็นอลันเดินเข้าไปใกล้ อลันไม่แสดงสีหน้าอะไรกระชับกระเป๋าใบโตที่ถูกบรรจุของไว้จนเต็มคว้าเสื้อโค้ทที่ถูกถอดพาดไว้บนเก้าอี้
อลันวิ่งสุดฝีเท้าหนีออกมาล้วงหากระเป๋าเงินที่ลุงวิลเลียมที่ชอบยัดใส่ไว้ในกระเป๋าและขว้างมันใส่ลุงวิลเลียมที่วิ่งไล่หลังตามมาด้วยสีหน้างุนงงเนื้อตัวเปรอะไปด้วยคราบกาแฟ
อลันยิ้มจางค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลงหอบหายใจเรียกอากาศที่เสียไปกลับคืนสู่ร่างกาย อลันเอ่ยพึมพำสั้นๆ หน้าสถานกำพร้าหลังโตที่เห็นอยู่ไกลๆ
“ ขอบคุณ ”
เสียงพูดเบาๆ ของอลันถูกเสียงลมประจำฤดูพลัดกลบไป
มีเพียงต้นไม้อากาศเป็นพยาน
การเดินทางของอลันเริ่มต้นจากการได้ยินข่าวลือเล็กๆ จากลูกค้าที่พูดคุยกัน ว่าสุดทางรถไฟสายเก่ามีสถานีรถไฟที่ถูกเปลี่ยนเป็นบ้านพักเและมีหมอฝีมือเทวดาสามารถรักษาโรคทุกโรคให้หายขาด
ในครั้งแรกอลันไม่ได้สนใจคิดว่าเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ แต่บ่อยครั้งที่เรื่องนี้ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นสนทนาทำให้ความสงสัยถูกกลบไปด้วยหวังแทน
เพราะข่าวลือนี้ช่วยให้อลันตัดสินใจกระทำในสิ่งตัวเองยังคาดไม่ถึง
อย่างการตัดสินใจเดินทางไปที่ๆ ว่า
อลันยกยิ้มจางถือถาดกาแฟไปเสิร์ฟโต๊ะลูกค้าที่พูดคุยกันอย่างออกรส และประเด็นสนทนาก็ไม่พ้นเรื่องที่อลันได้ยินมา รอยยิ้มจางช่วยให้การตอบคำถามทำได้ง่ายขึ้น อลันเชื่ออย่างนั้นและก็เป็นตามที่คิด
สาวผมบรอนด์ชุดกระโปรงลูกไม้ชิงบอกอลันก่อนทันทีถึงรายละเอียดที่อลันต้องการจะรู้ ริมฝีปากสีแดงสดไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูดแต่อย่างใดร่ายยาวจนเพื่อนที่มาด้วยกันถึงกับปรามและแอบกัดเบาๆ ถึงความบ้าผู้ชาย
อลันแกล้งทำหูทวนลมเมื่อได้ยินคำด่ารุนแรงที่สาวผมบรอนด์ถูกด่า
ทำยังไงได้ในเมื่อข้อมูลมันสำคัญ
เมื่อรู้สึกว่าคำพูดที่เหลือมีเพียงน้ำหาเนื้อความไม่เจอถึงขอลาออกมาอย่างสุภาพ
ส่วนข้อมูลที่ได้เพิ่มเติมมาก็คุ้มค่าชวนให้พอใจอยู่เหมือนกัน
ทางรถไฟสายเก่าที่ถูกระงับการใช้ไปเมื่อปีสองปีที่แล้ว เดินขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นสุดถึงจะถึงจุดหมาย แผนที่ในมืออลันช่วยบอกกลายๆ ว่าระยะทางนั่นไม่ได้เป็นเพียงวันสองวันถึง
แม้กระทั่งแรมปีก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะถึงหรือไม่
สภาพร่างกายแย่ๆ ที่ไม่สามารถเอาแน่เอานอนได้
แต่ทางเลือกที่น่าสนใจมีเพียงเท่านี้
อย่างน้อยๆ การเดินทางน่าจะทำให้มีความสุขกว่าการถูกรังเกียจไปวันๆ อลันตัดสินใจที่จะไปแม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ได้ยินมาอาจเป็นข่าวลือไร้สาระก็ตาม
การเดินทางบนทางรถไฟคงจะให้ความรู้สึกที่ดี
อลันหวังอย่างนั้น
ปลากระป๋องซอสมะเขือเทศราคาถูกกำลังโดนอลันเขี่ยไปมาด้วยความเบื่อหน่าย ลิ้นสีชมพูแลบลิ้นที่เปรอะไปด้วยซอสออกมาทำหน้าเหยเก “ รู้งี้ซื้อซอสอื่นมาด้วยก็ดีหรอก ” ถึงกำลังพร่ำบ่นแต่ก็ยัดเข้าปากของตัวเองอยู่ดี
อลันนั่งใต้ต้นโอ๊กต้นยักษ์ที่แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมไปทั่วบริเวณทางรถไฟเก่าๆ ถูกหญ้าเขียวขึ้นคลุมจนเหมือนเบาะนุ่มๆ จากธรรมชาติ แดดแรงเจิดจ้าที่อยู่ตรงหัวพอดีจึงทำได้เพียงโลมเลียใบไม้เท่านั้น
อลันจิบน้ำที่มีอย่างประหยัดเพราะไม่อาจรู้ได้ว่าอีกนานเท่าไหร่จะเจอแหล่งน้ำหรือเจอเมืองที่พอลงไปซื้ออะไรกินได้ ทางรถไฟสายเก่านั้นถูกตัดผ่านป่าบ้างเมืองบ้างสลับกันไปจากการศึกษาแผนที่
อลันคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อลมเย็นๆ พัดผ่าน
ความจริงแล้วอลันคนเดิมไม่ได้หายไปไหนแต่อย่างใด
เพียงแค่บุคลิกที่แสดงต่อคนอื่นเป็นเย็นชาเท่านั้น
สวบ..
เสียงการขยับตัวหลังพุ่มไม้ทำเอาอลันสะดุ้งคว้ามีดที่เหน็บไว้ตรงเอวมาถือ แววตาสั่นน้อยๆ เพราะความหวั่นวิตก การเดินทางในป่าก็เหมือนก้าวขาอยู่ในนรกอยู่กลายๆ
คุณไม่มีทางรู้เลยว่าสัตว์ร้ายมันจะออกมาอาละวาดตอนไหน
มีดเงินลวดลายสลักสะท้านประกายแสงชวนให้กลืนน้ำลายกับความคมกริบของมัน
เงินทำงานพิเศษของอลันถูกมีดเล่มนี้ผลาญไปเยอะพอสมควร ความประณีตของด้ามจับที่สลักลวดลายประจำเมือง เหล็กเนื้อดีที่ถูกตีด้วยเตาร้อนๆ หลายเหตุผลช่วยให้อลันยอมซื้อมันมา แต่เหตุผลที่ดูมีอิทธิพลกับเจ้าตัวมากที่สุดเห็นจะเป็นความชอบ
สวบ..
เสียงย่างก้าวดังขึ้นอีกครั้ง
อลันกลืนน้ำลายเอือกกระชับมือที่ถือมีด ในหัวนึกถึงภาพยนตร์ที่มีโอกาสได้ดู ภาพฉากการต่อสู้ระหว่างคนร้ายกับพระเอกปรากฎขึ้นมาเป็นฉากๆ ในหัวอลัน หน้าของอลันกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึง ในหัวมีเพียงการต่อสู้ด้วยปืนเท่านั้น สิ่งที่พอจะใช้ได้คือสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
จ้วง แทง จ้วง แทง
อลันท่องในใจถ้าหากร่างที่ปรากฏออกมาเป็นสัตว์ร้ายพุ่งกระโจนใส่
ผลุบ..
อลันถอนหายใจยาวเก็บมีดเหน็บเข้าที่เอวดังเดิม ย่างเท้าเข้าไปใกล้กระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวอ้วนที่ดูจะได้รับบาดเจ็บบริเวณขา ดวงตาสีทับทิมจ้องมองอลันราวกับกำลังของความช่วยเหลืออยู่กลายๆ บนตัวของมันมีแผลฉกรรจ์อยู่สองสามแผลแต่แผลที่ดูใหม่ที่สุดเห็นจะเป็นรอยเล็บลากยาวตรงคอที่ลึกพอให้ขนให้ไปแถบนึง
เป็นกระต่ายที่ตายยากชะมัด
อลันให้นิยามกับกระต่ายป่าที่กระโดดผลุบเข้ามาหาคล้ายกำลังขอความช่วยเหลือ
แปลว่ากระต่ายตัวนี้เคยได้รับการรักษาจากมนุษย์หรือไม่ก็เคยถูกเลี้ยงมาก่อน
อลันยืนชั่งใจอยู่สักพักว่าจะยอมสละยาของตัวให้มันดีหรือไม่ แต่จนรอดจนแล้วก็ทนสายตาของเจ้ากระต่ายป่าไม่ไหวยอมควักยากับผ้าก็อซออกมาทำแผลให้มัน
“ กระต่ายงี่เง่า ”
อลันสบถใส่กระต่ายป่าที่เมื่อพันแผลให้มันเสร็จมันกระโดดโหยงเหยงเตี้ยๆ อยู่สองสามทีก็กระโดดพรวดหายไปเลย อลันเก็บยากับเศษผ้ากอซจัดใส่กระเป๋าเหมือนเดิมและยิ้มเมื่อออกมาเมื่อจัดออกมาแล้วดูเป็นระเบียบดี อลันผลุบลุกขึ้นยืนสะพายเป้ใบโตที่น้ำหนักไม่น้อยออกเดินทางอีกครั้ง
ท้องว่างๆ ของอลันถูกเติมเต็มด้วยปลากระป๋อง
ร้องเท้าผ้าใบเก่าที่ดูวินเทจเหยียบย่ำอยู่บนเหล็กขึ้นสนิม
เสียงฮัมเพลงในลำคอดังแว่วไปในสายลม
ร่มสีเทาถูกกางออกบดบังแสงแดดเมื่อร่มไม้แผ่ขยายมาไม่ถึง
อลันกำลังเพลิดเพลินกับการเดินทางครั้งนี้อย่างที่เจ้าตัวหวังไว้ บรรยากาศเงียบสงบ ร่มไม้ ทุกอย่างขับกล่อมให้อลันอารมณ์ดีได้ง่ายๆ ไม่มีสายตาหวาดกลัวคอยจับจ้อง ไม่ต้องกังวลยามที่อาการกำเริบ ไม่ต้องกลายเป็นภาระของใครให้เป็นที่หนักใจ
อลันเริ่มรู้สึกชอบการเดินทางครั้งนี้
ความผูกพันกับรางคู่สายยาวทักทอขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
กุบ กับ..
เสียงฝีเท้าบางอย่างดังแว่วมาตามสายลม
อลันหยุดฮัมเพลงทันทีหันไปรอบตัวเพื่อหาต้นกำเนิดเสียงอย่างตื่นตระหนก อลันเงี่ยหูฟังอยู่สักพักพบว่าไม่มีเสียงอะไรแปลกๆ ดังขึ้นมาอีก จึงเดินต่อไปพร้อมกับฮัมเพลงใหม่
คงจะหูฝาดไปเอง
อลันคิดเงียบๆ หมุนร่มในมือเล่น ดวงตาสีฟ้าหลุกหลิกไปมาตามทางที่ย่างผ่าน ฝูงผีเสื้อที่บินเอื่อยๆ ตามดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ประปราย เสียงสวบสาบดังขึ้นไกลๆ ที่อลันอนุมานว่าคงเป็นเจ้ากระต่ายป่านั้นแน่ๆ
สาเหตุของบาดแผลตามตัวของมันคงไม่พ้นเหตุนี้ล่ะมั้ง
อลันหัวเราะเบาๆ ในความบ้าของเจ้ากระต่ายที่ทำเสียงสวบสาบให้ผู้ล่ารู้ตัวจนสามารถไล่กัดมันได้ แต่ดูๆ แล้วมันก็คงไม่ใช่เล่นเหมือนกันถึงสามารถหลีกหนีความตายมาได้หลายต่อหลายครั้ง
เสียงหัวเราะของอลันชะงักไปทันควัน
เมื่อภาพตรงหน้าได้กลายเป็นสีดำสนิท
อลันขยี้ตาหลับตาและลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
โลกสีดำทั้งใบกำลังเป็นของอลัน
อลันคลี่ยิ้มเยาะตัวเอง โรคบ้าๆ กำลังกำเริบขึ้นมาอีกครั้งแล้ว เพียงแต่คราวนี้มันไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรืออะไรเพียงแต่ทำให้มองอะไรไม่เห็นเท่านั้น
อลันหุบร่มลงใช้มันกึ่งไม้เท้าในการพาร่างของตัวเองเดินต่อไปอย่างไม่แยแส
เอาสิ
อยากทำอะไรก็ทำไปเลย กับร่างกายห่วยๆ ร่างนี้
อลันก้าวพลาดกับรางเหล็กจนหน้าคะมำลงไปกองบนพื้น ใบหน้าของอลันถูกเศษหินบาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงหยดซึมออกมาจากแผลทันที อลันนอนงองุ้มอยู่บนพื้นหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
เสียงแหบต่ำฟังขัดหู
น้ำตาที่ไหลพรากออกมาจากดวงตา
อลันก้มหน้ากอดตัวเอง
เสียงสะอึกสะอื้นดังแว่ว
บอกถึงความเจ็บปวด
ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเหมือนกับไม่แยแสหรือความปราณีใดๆ แผดเผาทุกสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง
ผิวขาวของอลันเริ่มเปลี่ยนเป๊นสีแดงเพราะความร้อน
เหงื่อผุดขึ้นตามตัวจนทั้งตัวอลันชุ่มไปด้วยเหงื่อ
อลันควานหาร่มที่หลุดมือตอนล้มอย่างสะเปะสะปะ
สิ่งที่ควานหาเจอมีเพียงอากาศ
อลันกัดฟันข่มอารมณ์ตัวเองที่เริ่มพลุ่กพล่านอีกครั้ง
ร่มคันสีเทานั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือของเจ้าของ
ถ้าหากอลันเอื้อมยาวกว่านี้จะพบกับมันพอดี
แต่แล้วความพยายามของอลันก็สำเร็จผล อลันหยิบร่มมาถือหยัดตัวขึ้นยืนก้าวขาเดินอย่างระมัดระวังใช้ร่มเคาะไปตามทางข้างหน้าพยายามหาที่ร่มในการพักชั่วคราว
แดดที่แผดเผาคล้ายกับหัวเราะเยาะอลันอยู่กลายๆ ว่าร่มไม้ไม่สามารถป้องกันมันได้
กุบ กับ..
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง
อลันหยุดเดินทันควัน สูดหายใจลึกเรียกสติที่มีอยู่น้อยนิดกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
เขาไม่ได้หูฝาด..
อลันทำอะไรไม่ถูก เหงื่อของอลันหยดติ๋ง
ร่มคันสีเทาถูกกางขึ้นมาบังแดดร้อนระอุ
แต่อากาศร้อนๆ นี่สามารถแก้ปัญหาได้
ในตอนนี้ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง
มีเพียงความเงียบงัน
อลันไม่กล้าเดินหรือขยับตัวอะไรทั้งนั้น
ถึงแม้มองไม่เห็นแต่กลับรู้สึกถึงร่างใหญ่โตที่อยู่ใกล้ๆ
“ เฮ้ยยย ” อลันหลุดเสียงร้องออกมาดังลั่นเมื่อตัวของตัวเองลอยหวือขึ้น
แขนมนุษย์ ?
อลันครางในลำคออย่างงุนงงรู้สึกถึงแขนหยาบๆ ที่กำลังประคองตัวเองขึ้นมาเหมือนในภาพนิตยสารงานแต่งงานที่ฝ่ายหญิงถูกฝ่ายชายโอบอุ้ม
และเขากำลังเป็นฝ่ายหญิงในรูปนั้น
“ ปล่อยฉันลง !! ” อลันดิ้นขลุกขลักพยายามใช้ร่มในมือฟาดมั่วไปทั่ว
จนกระทั่งเจอสัมผัสแข็งๆ ก็กระหน่ำรัวฟาดทันที
คล้ายกับกำลังหงุดหงิด ร่างที่โอบอุ้มอลันยกเท้าคู่หน้าชึ้นสูง
อลันร้องเสียงหลงหยุดใช้ร่มตีทำร้ายร่างที่กำลังโอบอุ้ม
อลันกลืนน้ำลายลงคอหวั่นๆ ไม่กล้าทำอะไรอีก ร่มในมือที่ยังคงกางอยู่อลันก็หุบมันลงมากอดไว้อย่างสงบเสงี่ยมกลัวว่าจะโดนหงุดหงิดใส่
โลกมืดๆ นี่น่ารำคาญชะมัด
อลันหลับตาลงปล่อยให้ร่างของตัวเองถูกลักพาตัวไปยังที่ไหนสักที่
รู้สึกหวาดกลัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
อลันตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย
ถ้าหากต้องการจะฆ่าก็คงทำได้แต่แรกแล้วหรือไม่ก็อาจจะฆ่าทีหลัง
เอาเถอะ ร่างกายห่วยๆ คงไม่มีค่าอะไรนักหรอก
อลันเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น
ร่างที่กำลังโอบอุ้มอลันขยับยิ้มจาง ช่วงล่างที่ผิดแผกไปจากมนุษย์ยังคงนำพาไปที่ๆ ปลอดภัยที่ถูกบันทึกไว้อย่างมากมายภายในหัว ใบหน้าหล่อเหลาผมบรอนด์ทองเหลือบมองร่างในอ้อมอกอดด้วยใจที่เต้นแรง
มนุษย์..
เป็นครั้งแรกที่ข้าให้ความช่วยเหลือมนุษย์
เสียงฝีเท้าดังกุบกับ
สัตว์ต่างๆ ที่ได้ยินต่างพากันหลีกหนียกเว้นเพียงเจ้ากระต่ายที่กระโดดพรวดมาขวางทาง
ร่างอมนุษย์ขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์เมื่อเจ้ากระต่ายกระโดดโหยงเหยงดวงตาสีทับทิบของมันสื่อกลายๆ ว่าห้ามเอาเขาไป
“ เขาเป็นของข้า กระต่ายโง่ ” เสียงตะคอกส่อถึงความไม่พอใจ “ ข้าเจอเขาก่อนเจ้าด้วยซ้ำ ”
หูสองข้างกระดิกรุนแรงเท้ากระทืบเสียงดัง
เจ้ากระต่ายกำลังไม่พอใจ
“ ถ้าเจ้าตามข้าทันก็เชิญ แต่อย่าหวังว่าจะเอาเขาไปจากข้า ” ร่างสี่เท้ากระโดดข้ามหัวเจ้ากระต่ายวิ่งกุบกับไปอย่างรวดเร็ว สายลมดังหวีดหวิว เศษดินที่ถูกเท้าคู่หลังกระแทกเหยียบโดนเจ้ากระต่ายเต็มๆ
แขนสั้นๆ ของมันพยายามปัดดินออกจากตัว ดวงตาสีทับทิบเข้มขึ้นด้วยความไม่พอใจ ขาคู่หลังถูกใช้งานทันทีแม้ว่ากำลังบาดเจ็บ มันรีบวิ่งกระโดดตามหลังไป
เสียงเพลงถูกฮัมขึ้นอีกครั้ง
ด้วยเสียงทุ้มแหบต่ำ
ด้วยทำนองที่ผิดจากต้นฉบับโดยสิ้นเชิง
เพราะเพลงที่ถูกฮัมนั้นมาจากการได้แอบฟัง
ร่างที่ถูกลักพาตัวขมวดคิ้วคล้ายกับรำคาญ เพลงจึงต้องหยุดการบรรเลงไปโดยปริยาย ดวงตาสีทองเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแสด อุณหภูมิเริ่มเย็นลง
มนุษย์ไม่ถูกกับอากาศหนาว
เขาพยักหน้าหงึกหงักตัวเอง รีบวิ่งให้ไวกว่าเดิมเพื่อไปยังบ้านของตัวเอง
เพิงไม้ถูกก่อขึ้นมาแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ใช้
ของบางอย่างที่ใช้บรรจุของไว้จนหนักถูกดึงออกจากตัวไปวางไว้ข้างๆ สเวนขมวดคิ้วงุนงงเพราะไม่คิดว่ามนุษย์ที่แสนอ่อนแอจะแบกอะไรที่หนักขนาดนี้
สเวนวางร่างที่เพิ่งลักพาตัวบนแคร่อย่างทะนุถนอม ใช้มือเกลี่ยผมออกจากใบหน้าด้วยรอยยิ้มและขมวดคิ้วเมื่อเห็นของบางอย่างในมือ
อาวุธที่ใช้ประโยชน์ได้สารพัด
ทั้งบังแดดและใช้ตบ
สเวนดึงมันออกจากมือเบาๆ แล้วโยนไปไว้บนหลังคาของเพิงเพื่อไม่ให้มันถูกนำมาใช้ในการประทุษร้ายเขาอีก สเวนก้าวถอยหลังออกมาอย่างเงียบเชียบก่อนจะควบฝีเท้าเข้าไปในป่าอีกครั้งเพื่อหาสมุนไพรมารักษาแผลทางยาวบนใบหน้าของมนุษย์
รอยยิ้มจางปรากฎบนใบหน้าอีกครั้ง
แววตาทอประกายเพ้อฝัน
ดวงจันทร์เริ่มปรากฏตัว
มีร่างสี่เท้ากำลังขะมักเขม้นกับการทำแผลให้กับมนุษย์
สเวนถูกใจมนุษย์คนนี้มาก
ผิวขาวซีด ผมสีน้ำตาลคล้ายเปลือกไม้ ดวงตาสีท้องฟ้ากระจ่างใส
โดยไม่รู้ตัวเขามักจะเผลอเดินตามไป
เสียงเพลงแผ่วเบาในอากาศชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
การย่างเท้าที่เป็นจังหวะดูเพลินตา
แต่สิ่งที่สเวนไม่ชอบคือยามที่มนุษย์ผู้นี้ร้องไห้สะอึกสะอื้น
หลายครั้งที่เขาต้องตกใจยามที่มนุษย์ครวญครางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
หัวใจของสเวนปวดหนึบ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าปรากฎตัวให้อีกฝ่ายเห็น
เซนทอร์ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้จัก
ชื่อของเขาอยู่เพียงในเทพนิยาย
การเลือกที่จะผูกพันกับมนุษย์เป็นการฆ่าตัวตายอยู่กลายๆ
ชีวิตของมนุษย์ช่างสั้นนัก
แต่ไม่ใช่กับสเวนที่หลงรักมนุษย์อย่างไม่รู้ตัว
สุดท้ายแล้วสเวนก็ไม่อาจห้ามตัวเองไว้ได้
ฝีเท้าควบวิ่งอย่างแรงกล้าเมื่อเห็นร่างที่ตัวเองเฝ้ามองล้มลงไปอยู่บนพื้น
เสียงหัวเราะพิลึกพิลั่นฟังแล้วรู้สึกแย่
สเวนชะลอฝีเท้าเมื่อเข้าใกล้มนุษย์
ร่างทั้งร่างของมนุษย์สั่นอย่างหวาดกลัว แต่ของบางอย่างที่เขาคิดว่าจะใช้ฟาดกลับถูกกางขึ้นมาเพื่อบดบังแสงแดดอันร้อนแรง
สเวนขมวดคิ้วงุนงงสักพักและตัดสินใจในชั่ววินาทีคว้าตัวอีกฝ่ายขึ้นมา
นำพาอีกฝ่ายไปยังบ้านของตัวเอง
เรียกได้ว่าเข้าข่ายการลักพาตัวอย่างสมบูรณ์
----------------------------
เจอกันครั้งแรกก็ลักพาตัวเลยเหรอ