ทีแรกตั้งใจว่าก่อนจะไปสัมมนาจะมาลงให้จบในส่วนของมัธยมต้น
แต่ตรวจต้นฉบับไม่ทัน เพราะพออ่านๆแล้วยังรู้สึกว่ามีจุดบกพร่องอยู่อีก
ยังไงคืนนี้จะพยายามลงให้ได้สัก ๒ ตอนครับ
แล้วผมคงต้องขอหายไปสัก ๒ สัปดาห์นะครับ เพราะมีสัมมนา แต่ก็จะเอางานเขียนไปทำต่อด้วย (ไม่รู้จะได้ทำรึเปล่า
)
ถ้ามีโอกาศแว่บมาลงเพิ่มเติมได้ ก็จะพยายามครับ พบกันอีกครั้งหลังสงกรานต์นะครับ
ใครที่ไปเที่ยว เที่ยวเผื่อผมด้วย ผมไปค้างคืนที่ไหนม่ายด้ายยยยยยยยย......
.................................................๑๒ เพื่อนใหม่-เพื่อนเก่า
คาบวิชาเรียนในภาคบ่ายของวันนั้น เวลาที่ครูมีอะไรต้องขึ้นกระดาน ผมก็จะชะโงกหน้าไปดูที่สมุดจดงานของ วินท์ แทน วินท์ บอกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ทำแบบนี้ง่ายกว่า ไม่ต้องเสียเวลามานั่งลอกที่หลัง หรือถ้าจดไม่ทันจริงๆ ก็ค่อยมานั่งลอกบางส่วนแทนที่จะต้องมานั่งลอกทั้งหมด วินท์ จดงานละเอียดยิบครับ ผมนึกไปถึงสมุดจดงานของ ราญ เลย แต่ ราญ ละเอียดกว่า เพราะถ้าเป็นสมุดจดงานของ ราญ คงมีคำว่า เป๊าะ......เสียงที่ครูทำชอกล์หักเมื่อสักครู่นี้อยู่ในสมุดจดงานของ ราญ ด้วยแน่ๆเลย ^0^
แต่ลายมือของ วินท์ อ่านง่ายกว่าลายมือ ราญ มากครับ ตัวอักษรตัวโตๆ ป้อมๆ สวยงาม เรียนด้วยกันไปสักพัก ผมถึงได้รู้ว่า วินท์ มีฝีมือในการวาดรูปหรือการเขียนตัวอักษรแบบต่างๆ รูปสวยๆ หรือตัวอักษรที่งดงาม ที่อยู่บนบอร์ดข้างกระดานดำหน้าชั้น ส่วนใหญ่เป็นฝีมือวินท์ พูดง่ายๆว่า วินท์ เป็นฝ่ายศิลป์ของห้องเลยก็ว่าได้
หลังจากหมดคาบวิชาเรียนในวันแรกของเทอม เพื่อนๆในห้องก็ถามกันว่าบ้านผมอยู่แถวไหน รอรถกลับบ้านที่ป้ายไหน พอผมตอบไป มีเพื่อนบางคนชวนออกไปรอรถกลับบ้านพร้อมกัน ผมก็ปฏิเสธไปครับ โดยให้เหตุผลว่า ปรกติ ผมจะกลับบ้านเย็นกว่านี้ เพราะผมไม่ชอบขึ้นรถแน่นๆตอนช่วงโรงเรียนเพิ่งเลิกเรียน อีกอย่าง วันนี้ผมอยากเจอพรรคพวกกลุ่ม ม.๒ เดิมด้วย เพื่อนๆก็เข้าใจครับ บอกว่าตามสบาย ไว้วันหลังก็ให้กลับพร้อมกันกับพวกเขาบ้าง
พอเพื่อนๆห้อง ๖ แยกย้ายกันไป ผมก็วิ่งตื๋อ ตั้งใจจะไปหากลุ่มเพื่อนซี้ที่ย้ายไปอยู่ห้อง ๒ กะๆเอาว่าถึงแน่แล้ว ก็เกาะประตูชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้อง เห็นมีคนนั่งจับกลุ่มกันอยู่ ๒-๓ กลุ่ม ผมก็มองดูกลุ่มแรกก่อน......ไม่มี กลุ่มต่อไป....ไม่มี กลุ่มต่อไป........
จากที่ยิ้มๆมองหาเพื่อนอยู่ ผมหน้าสลดเลยเพราะไม่เจอใครสักคน ผมก้มหน้าคิดในใจ .....ไวจริง กลับกันไปหมดและ ไม่มีใครอยากเจอเราเลยเหรอ........
“หาใครอยู่จ๊ะน้อง” มีเสียงถามมาจากกลุ่มหนึ่งในห้อง ผมเงยหน้าขึ้น กำลังจะอ้าปากถามถึงเพื่อน
“ตั้ม.....อ่ายตั้มม๋า ผิดห้องแล้วเว๊ย พวกเราอยู่ห้องนี้ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงคุ้นๆหูดังมาจากประตูห้องข้างๆผมก็เห็น ตุ่ม กวักมือเรียกผมอยู่ มี ราญ ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ ........อ้าว นี่ผมวิ่งเลยมาห้อง ๑ เหรอเนี่ย -*-
“โม่ๆๆ.....มานี่เร็ว ตั้ม” ราญ ดีดนี้วเรียกผม
“แฮ่ๆ” ผมวิ่งแลบลิ้นตรงไปกระโดดงับนิ้ว ราญ แต่ ราญ ก็เอานิ้วหลบจากฟันผมได้ทันท่วงที แล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมเบาๆด้วยความเอ็นดูเหมือนที่เคยทำบ่อยๆ แล้วก็เอามือโอบไหล่ผมพาเดินเข้าไปหาพรรคพวกที่นั่งอยู่ในห้อง ๒ ผมเห็นเต่านั่งอยู่กับใครก็ไม่รู้อีก ๓ คน ผมกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง
“ไม่ต้องมองหาหรอก ๓ ตัวนั่นกลับไปแล้ว เห็นว่ารีบกลับ” ตุ่มพูด เพื่อนซี้ ย้อมรู้ใจกันดี เพราะที่ผมมองหาอยู่คือ จก ต่อ กร นั่นเอง
“นี่เพื่อนเราตั้งแต่เรียนประถม วา โชค เชียร เคยเจอกันหลายหนแล้วนี่” เต่า แนะนำให้ผมรู้จักกับ ๓ คนนั้น ผมหันไปมอง ....ตี๋ อีกแล้ว เป็นไงนะ โรงเรียนนี้ มีแต่ ตี๋ๆ เอ........แล้วผมเคยเจอ ๓ คนนี้ที่ไหนหว่า แต่ก็คุ้นหน้ากันอยู่ เพราะคงเคยเห็นกันบ้างตอนเรียน ม.๑-ม.๒
“ดี ดี เรา ตั้ม” ผมยิ้มให้เพื่อนใหม่ พูดแล้วผมก็นั่งลงไปบนเก้าอี้ที่ ราญ ลากมาให้ แล้ว ราญ ก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ลากมาพร้อมๆกัน
“รู้แล้ว นายตั้ม ศิลปี คนดัง” วา พูด แล้วหันไปหัวเราะกับ โชค เชียร
“...............................” งง ครับ.........คนดังอะไรอีกอะคราวนี้..............หน้าผมคงเหว๋ออีก เลยหัวเราะกันใหญ่เลย ผมมองเพื่อนใหม่ทั้ง ๓ คนอีกรอบ แล้วก็คิดในใจ ........ทำไม โชค กับ เชียร หน้าคล้ายๆกัน
“ไม....เราหล่อขนาดต้องมองขนาดเลยเหรอ” เชียร ยักคิ้วให้ผม
“เปล่าอะ เรากำลังมองว่า ทำไม พวกนายสองคนหน้าคล้ายๆกัน” ผมตอบ
“สองคนนี้พี่น้องกัน” ราญ บอกผม “แล้วห้องใหม่เพื่อนๆเป็นไงมั่ง” ราญถามต่อ
“ก็ดีอะ เพื่อนๆห้องนั้นนิสัยดีนะ เมื่อกี้ยังชวนกลับบ้านพร้อมกันเลย” ผมหันไปตอบราญ
“แล้วทำไมไม่ไป” ตุ่ม ถาม
“ก็โรงเรียนเพิ่งเลิก คนเยอะ ขี้เกียจกลับ” ผมตอบพร้อมกับยักคิ้วให้ ตุ่ม “เดี๋ยวคนน้อยๆแล้วค่อยกลับพร้อมพวกนายงายยยย”
“ทำเป็นอ้อนนะ” ราญ พูดยิ้มๆ
“ม่ายอ้อนพี่ แล้วจาให้น้องปายอ้อนครายยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมทำจมูกย่น ยื่นหน้าไปให้ ราญ
“โอ๊ย......จาหมูกหักแย้วววววววววววววววว” ผมร้อง เพราะโดน ราญ บีบจมูกบิดไปบิดมา .....จริงๆร้องไปงั้นแหละ ไม่เจ็บหรอก อิ อิ......สักพัก ราญ ก็ปล่อยมือ พวกเราก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
พวกเราพากันคุยรื่องเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้รู้จัก ให้แก่เพื่อนเก่าที่คุ้นเคยกันได้รับรู้ แล้วก็ต่อด้วยอีกสารพัดเรื่อง ตามแต่จะนึกออก จนเห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงได้พากันออกจากโรงเรียนเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน
....................................................................
แล้วนับจากวันแรกของวันเปิดภาคเรียนในระดับชั้น ม.๓ ผมก็วิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างห้อง ๖ ของผม กับห้อง ๒ เป็นว่าเล่น จนคนในห้อง ๒ แทบจะนึกว่าผมอยู่ห้อง ๒ ไปด้วยแล้ว ส่วนเพื่อนๆในห้อง ๖ ก็สนิทสนมเข้ากันกับผมได้เป็นอย่างดี การกลั่นแกล้งที่ผมเคยกลัวไม่เคยเกิดขึ้นเลย มีแต่การหยอกล้อกันเล็กๆน้อยๆ ความช่วยเหลือในเวลาที่ผมทำอะไรไม่ได้ และอีกหลายๆอย่างที่มีแต่ความประทับใจในวัยเรียน
....................................................................
เวลาผ่านไปเกือบ ๒ เดือน ในช่วงพักกลางวันวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังให้ วินท์ สอนเรื่องการให้สีภาพต้นไม้อยู่ ก็มีเสียงเรียกมาจาก บัติ ที่คุยกันอยู่กับเพื่อนอีก ๓-๔ คนตรงประตูหน้าห้อง
“ตั้ม โว๊ย ตั้ม........มีหนุ่มหล่อมาหาอีกแล้วหว่ะ” ตามด้วยเสียงเป่าปากวี๊ดวิ้วจากในกลุ่มนั้น
ผมนั่งวาดรูปต้นสนอยู่ที่โต๊ะ มีวินท์ยืนอยู่ข้างๆ มือหนึ่งวางไว้ที่พนักเก้าอี้ที่ผมนั่ง อีกมือจับมือผมระบายสีไปตามต้นสนในกระดาษ พร้อมกับอธิบายถึงน้ำหนักของสีที่ควรเป็นให้ผมฟังไปด้วย
“เดี๋ยวค่อยมาต่อแล้วกัน ตั้ม ไปหาเพื่อนก่อนไป” วินท์ปล่อยมือผมแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง
เออ.....หล่อกันหมดทั้งโรงเรียนนั่นแหละ ยกเว้นตู แล้วโรงเรียนชายล้วนคงมีสาวสวยมาหาหรอกเน๊อะ......ผมคิดในใจ แล้วก็ลุกจากโต๊ะไปดูว่าเป็นใคร โดยที่ไม่ได้ถอดแว่นสายตาออก และยังมีดินสอสีสีเขียวที่กำลังระบายใบของต้นสนถือค้างอยู่ในมือ
แต่พอเดินมาได้นิดหน่อย
......ทำไมพี้นมันเอียงๆหว่า...อ้อ ไม่ได้เปลี่ยนแว่น ช่างมัน เดี๋ยวคนที่มาหาจะรอ
ผมค่อยๆเดิน เอามือคอยจับโต๊ะประคองตัวไว้ไม่ให้ล้ม เพราะรู้สึกว่าพี้นมันเอียงลาดลง เหมือนทางลงเขา