“ รักคืนรัง ”
ตอนที่ 11
“เธอเป็นใครน่ะ?”
เจนจิราเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อน ลูกสาวท่านนายกสมาคมมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ เพราะปกติเธอก็ไม่เคยคิดจะเป็นมิตรกับผู้หญิงที่เข้ามายุ่งกับธรณ์อยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ธรณ์รู้แจ้งแก่ใจมาตลอด
ธรณ์เองแม้จะรู้จักลิซ่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเองก็ไม่ได้รู้จักนางแบบสาวดี ว่าถ้าเธอหวังหรือต้องการสิ่งใดแล้ว เธอก็จะพยายามจนสุดความสามารถของตัวเอง นางแบบสาวเหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อย ขณะมองอีกฝ่ายอย่างประเมิณ ใช่ว่าเธอจะไม่รู้จักไฮโซสาวตรงหน้า แต่อดีตก็เป็นได้เพียงแค่อดีต ปัจจุบันต่างหากที่สำคัญ เธอไม่แคร์หรอกว่า ที่ผ่านมาผู้ชายที่เธอหมายปองจะผ่านใครมาบ้าง เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย แต่สิ่งที่เธอหวังก็คือ...
เธอจะเป็นคนสุดท้ายของเขา!! “แปลกจังนะคะที่คุณไม่รู้จักฉัน ลิซ่าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉันเจนจิรา เป็นแฟนของธรณ์” เจนจิราเอ่ยอย่างมาดมั่น ควงหมับเข้าที่แขนข้างขวาของชายหนุ่มอย่างถือวิสาสะ จนธรณ์เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ได้ ต้องเอ่ยปรามอีกฝ่าย
“เจน คุณก็รู้ดีว่าระหว่างเราสองคนเป็นอะไรกัน อย่าพูดให้คนอื่นเข้าใจผิดสิ”
เจนจิราหน้าชาไปเล็กน้อย ที่ถูกบอกปฏิเสธต่อหน้าคนที่เธอมาดหมายเอาเองว่าเป็นคู่แข่ง แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมแพ้ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเฝ้าตามตื๊อธรณ์ และต้องคอยจัดการกับคนที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับชายหนุ่ม
“ธรณ์เขาก็ปฏิเสธแล้ว คุณก็เลิกพยายามยัดเยียดตัวเองให้เขาเถอะ”
ถ้ากรี๊ดได้ เจนจิราคงกรี๊ดไปแล้ว แต่เพราะทำไม่ได้ หญิงสาวจึงได้แต่ยืนเม้มริมฝีปากแน่น คิดหาวิธีโต้ตอบอีกฝ่าย มือก็ยังยึดแขนชายหนุ่มแน่นราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยไป ธรณ์อาจจะผละจากเธอไปหานางแบบสาว
“แล้วที่ผ่านมาล่ะคะธรณ์”
“เราเป็นเพื่อนกัน ผมบอกคุณหลายรอบแล้วนะเจน ว่าผมกับคุณเป็นได้แค่เพื่อนกัน” ชายหนุ่มย้ำเจตนารมณ์เดินให้หญิงสาวฟัง นางแบบสาวได้ทีเลยถือโอกาสเยาะคู่กรณี
“ไม่ได้ยินเหรอคะ ว่าคุณน่ะเป็นแค่เพื่อนสำหรับธรณ์”
“แล้วแม่นางแบบนี่ล่ะ เป็นอะไรสำหรับคุณคะธรณ์”
ธรณ์นึกอยากจะเอามือขึ้นมาก่ายหน้าผากตัวเองด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเขา เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถจะไปโทษใครได้เลย ที่โทษตัวเองและการกระทำอันมักง่ายของตัวเอง
“ลิซ่าก็เป็นเพื่อนของผมอีกคน”
นางแบบสาวหน้าม้านไปเล็กน้อย ขยับจะเอ่ยทักท้วงอะไรออกมา แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะบุคคลที่ก้าวมายืนประชิดข้างหลังธรณ์ ไม่รู้ว่าเพราะท่าทีที่ดูมีอำนาจหรือความสงบนิ่งของอีกฝ่าย แต่ก็ถือว่าหยุดหญิงสาวสองคนที่ทำท่าจะต่อความสาวความยืดได้ทันที
“คุณผู้หญิงทั้งสองครับ คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ ถ้าผมจะขอพาเจ้าของงานไปทักทายแขกคนอื่นบ้าง”
แม้จะเป็นประโยคบอกเล่ากึ่งคำถามที่เอ่ยด้วยเสียงเรียบ แต่อะไรบางอย่างในตัวประธานบริษัทหนุ่ม ก็ทำเอาสองสาวเลือกที่จะเงียบ และปล่อยให้เขตแดนพาธรณ์ออกไปจากวงสนทนาอย่างง่ายดาย
พอเดินพ้นหญิงสาวสองคนมาแล้ว ธรณ์ก็พึมพำขอบคุณเขตแดน ขณะที่นักธุรกิจหนุ่มได้แต่ส่ายศีรษะด้วยระอา
“ถ้านายยังไม่เลิกหว่านเสน่ห์ เหตุการณ์แบบนี้ก็จะเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น”
“ผมอยู่ของผมแท้ๆ กับเจนจิรา ผมก็บอกเขาแล้วว่าเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยอยู่นิวยอร์ก ส่วนลิซ่า ถึงผมจะเคยคิดอยากสนุก แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว คุณก็เห็นว่าตอนนี้ผมก็ทำแต่งาน” อธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างยืดยาวแล้ว ธรณ์ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ประหนึ่งว่าตัวเองกำลังยืนแก้ต่างความผิดต่อหน้าคนรักอย่างไรก็ไม่รู้
“ไม่แปลกหรอก งานนี้เป็นงานเปิดตัวนาย พวกเธอก็คงอยากจะถือโอกาสเปิดตัวว่าเป็นตัวจริงของนายด้วยเหมือนกัน” เขตแดนเอ่ยอย่างคนที่มองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง
ธรณ์ทำหน้าประหลาด แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยคิดอยากจะมีตัวจริงอยู่แล้ว ไม่มีใครเคยได้รับสิทธิ์นั้น ทุกคนก็รู้กฎเกณฑ์ข้อนี้ดี ว่าธรณ์ก็แค่เล่นสนุกด้วย แต่มาตอนนี้ ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกอยากเล่นสนุกกับใครเหมือนที่แล้วมา จะว่าเบื่อก็ไม่ใช่ ความรู้สึกทางเพศเขาก็ยังมีเต็มเปี่ยม อาจจะเป็นเพราะมีบางสิ่งที่เขาต้องสนใจมากกว่า อย่างเช่น...การทำงานล่ะมั้ง
เขตแดนพาธรณ์เดินมาหาเพื่อนรักสองคน ที่ยืนจิบไวน์อยู่มุมหนึ่งของงาน และกำลังมองตรงมาที่ธรณ์ด้วยดวงตาพราวระยับ พอเพลย์บอยหนุ่มเดินเข้ามา ก็ถือโอกาสแซวทันที
“เป็นยังไงล่ะหนุ่มเนื้อหอม โดนผู้หญิงรุมทึ้งกลางงานเลยนะ”
“เห็นแล้วก็ไม่คิดจะช่วยกูเลยนะ”
“ก็อยากจะช่วยอยู่หรอก แต่เห็นคุณเขตต์เขาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเข้าไปช่วยแล้วนี่หว่า” อเล็กซ์แกล้งเอ่ยทีเล่นทีจริง
เขตแดนเอาแต่ยิ้มรับโดยไม่พูดอะไร ส่วนธรณ์ก็ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนพิกล คงมีเพียงชินดนัยที่ทำหน้าเคร่งขึ้นมาทันที ยืนคุยกันอยู่ซักพัก ชินดนัยก็เอ่ยปากขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้อเล็กซ์ยืนคุยโวต่อไป มีเขตแดนเป็นผู้ฟังที่ดี ส่วนธรณ์ก็เอาแต่ขัดคอเพื่อนเป็นระยะ
====================
ชินดนัยเดินเลี่ยงออกมานอกงานเลี้ยง พอดีกับร่างสูงที่สวมชุดสูทสากลวิ่งกระหืดกระหอบมา พอเปลี่ยนจากชุดทหารมาดเข้มมาเป็นชุดสูทสากล อีกฝ่ายก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ ชินดนัยไม่ได้เอ่ยอะไร เขาปล่อยให้อีกฝ่ายยืนรออยู่มุมหนึ่ง ส่วนตัวเองเดินเข้าไปหาคุณสงคราม ที่กำลังยืนคุยกับผู้ใหญ่คนหนึ่งอยู่
“คุณลุงครับ ขอรบกวนเวลาซักครู่ได้ไหมครับ”
คุณสงครามเลิกคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะพยักหน้าใจดี แล้วจึงเอ่ยขอตัวกับผู้ใหญ่ที่ยืนคุยอยู่ อีกฝ่ายก็โบกไม้โบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ผู้สูงวัยกว่าเดินตามชินดนัยออกมามุมลับตาคน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
“เธอ...ชินดนัย จิรวงศ์ที่เป็นเพื่อนสนิทของธรณ์ใช่ไหม”
“ครับ ผมชินดนัย จิรวงศ์ ส่วนนี่ก็พันตรีชนวีร์ จิรวงศ์ครับ” ชินดนัยเอ่ยแนะนำคนข้างกายที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว นายทหารหนุ่มเพียงแค่ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
“คุณลุงสบายดีนะครับ”
คุณสงครามพยักหน้ารับ ก่อนจะกวาดสายตามองหาหลานชาย ชินดนัยเองก็มองอาการของอีกฝ่ายออก เลยเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
“ธรณ์อยู่กับเพื่อนสนิทของผมอีกคนที่ชื่ออเล็กซ์ครับ คงไม่มารบกวนเราพักใหญ่ พอดีผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณลุงเป็นการส่วนตัวน่ะครับ”
“เกี่ยวกับธรณ์ใช่ไหม” คุณสงครามเอ่ยถามชายหนุ่มที่อายุคราวลูกด้วยท่าทีสงบ แม้ในใจกำลังเต้นระรัวราวกับมีกลองศึกบรรเลงอยู่ภายใน
“ผมก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับธรณ์หรือเปล่า แต่ที่ผมรู้คือเกี่ยวกับคุณลุงน่ะครับ”
ชินดนัยเอ่ยจบก็แบมือไปด้านข้าง นายทหารหนุ่มก็รู้ใจ รีบหยิบรูปถ่ายใบหนึ่ง ที่ค่อนข้างเก่าพอสมควรออกมาวางบนฝ่ามือ จากนั้นรูปก็ถูกส่งต่อให้คุณสงคราม ซึ่งรับไปดูด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างด้วยอาการตกตะลึงพรึงเพริด มือที่ถือรูปถ่ายอยู่พลันสั่นระริก จนชินดนัยต้องดึงกลับมาแล้วส่งคืนให้ผู้พันชนวีร์ ที่รับไปเก็บไว้อย่างมิดชิด เพื่อป้องกันการหลุดรอดออกไป
“เธอได้มาได้ยังไง”
“ขอโทษที่ลืมแนะนำไปครับคุณลุง ผู้พันชนวีร์เขาสังกัดอยู่หน่วยข่าวกรองของกองทัพบก เรื่องบางเรื่องก็เลยไม่เกินความสามารถของผู้พันน่ะครับ ขึ้นอยู่กับว่า...ผมอยากรู้ลึกแค่ไหน”
เป็นอีกครั้งที่คุณสงครามต้องเป็นฝ่ายประหวั่นพรั่นพรึงชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวลูก ส่วนชินดนัยยังคงสงบนิ่ง ถึงเขาจะไม่ได้เป็นทหารเหมือนผู้เป็นพ่อ แต่ท่านนายพลก็สอนให้เขารักษาความสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่จะต้องเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
“แล้วเธอต้องการอะไร”
“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณลุงเองก็คงไม่ต้องการให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...คุณลุงคงไม่อยากให้ธรณ์รู้ใช่ไหมครับ”
“เธอเข้าใจถูกแล้ว คนสุดท้ายในโลกที่ฉันต้องการให้รู้ก็คือธรณ์ แล้วเธอต้องการอะไร” คุณสงครามยอมรับออกมาตามตรง ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงชัดเจนว่ารู้อะไรมาพอสมควร เขาก็คงไม่มีอะไรต้องปิดบังชายหนุ่มอายุคราวลูกสองคนตรงหน้าอีกต่อไป ที่เหลือก็เพียงแค่ จะทำอย่างไรให้ความลับยังคงเป็นความลับต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นความต้องการของเราก็ตรงกันครับ เพราะผมเองก็ไม่ต้องการให้ธรณ์รู้ ผมคงไม่ยอม ถ้ามีใครต้องมาทำให้ธรณ์เสียใจอีก”
แม้ชินดนัยจะไม่ได้มีท่าทีคุกคาม แต่แววตาของชายหนุ่มก็บอกว่า เขาจริงจังกับเรื่องของธรณ์มากแค่ไหน คนที่ไม่ได้อยู่กับธรณ์ ในเวลาที่ธรณ์อ่อนแอที่สุด คงไม่มีวันเข้าใจเขา อดีตมันผ่านพ้นไป และกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เหลือเพียงปัจจุบัน ที่เขาจะไม่ยอมให้มันมาทำร้ายธรณ์เด็ดขาด
“เธอมั่นใจได้เลยว่า ถ้าธรณ์รู้เรื่องนี้ ธรณ์จะไม่ได้รู้จากปากฉันแน่ แต่ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่าเธอจะไม่เป็นคนบอกธรณ์เสียเอง”
ชินดนัยเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำ ที่ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าชาทันที
“ถึงยังไง...ผมก็ไม่เคยคิดที่จะทรยศต่อความไว้ใจของธรณ์เหมือนที่คุณลุงกำลังทำอยู่หรอกครับ” คุณสงครามได้แต่กำมือแน่น เพราะมันเป็นความจริงที่เขาไม่มีสิทธิ์โต้เถียง ทุกอย่างที่ชินดนัยพูดมาถูกต้อง เขาทรยศต่อความไว้ใจของธรณ์ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าธรณ์รู้เข้า...
“ผมไม่เดินไปส่งนะครับ ขออนุญาตกลับเข้างานเลี้ยงเลย ธรณ์คงรอผมอยู่แล้ว อย่าลืมนะครับ ว่าธรณ์จะต้องไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ว่าจะจากปากผมหรือปากคุณลุงก็ตาม แค่นี้ล่ะครับที่ผมต้องการจะคุยกับคุณลุง ขอตัวก่อนครับ” ชินดนัยเอ่ยก่อนจะหันหลังเดินจากมา แต่เขาไม่ได้เดินกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ชายหนุ่มเดินเลี่ยงออกมาตรงระเบียงของโรงแรม โดยมีนายทหารหนุ่มเดินตามประกบประหนึ่งบอดี้การ์ดส่วนตัว
ชินดนัยท้าวแขนลงกับขอบระเบียง ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งล้วงหยิบบุหรี่ออกมาใส่ปาก ยังไม่ทันที่จะควานหาไฟแช็ค ก็มีมือดีเอื้อมมาจุดให้โดยที่ไม่ต้องร้องขอ ก่อนที่มือข้างเดียวกันจะถือวิสาสะดึงบุหรี่ออกจากปากเขา หลังจากที่เขาสูบได้ไม่นาน แล้วเอาไปคาบไว้เสียเอง
“ถ้าจะสูบทำไมไม่หยิบออกมาอีกมวน มาแย่งผมทำไม”
“ทำไมจะต้องสูบสองอันให้เปลืองด้วยล่ะ อีกอย่าง...สูบมวนเดียวกันก็เหมือนกับการจูบทางอ้อมไง” ผู้พันหนุ่มตอบก่อนจะพ่นควันลอยไปในอากาศ จนเป็นที่น่าหมั่นไส้ในสายตาชินดนัย
“ผมทำถูกหรือเปล่า ที่ไม่บอกความจริงกับธรณ์” ชินดนัยอดที่จะเปรยขึ้นมาไม่ได้ ขณะทอดสายตามองฝ่าความมืดออกไป
มีหลายวิธีที่เขาจะใช้ปกป้องธรณ์ แต่ชินดนัยก็ไม่รู้ว่า การปกป้องธรณ์โดยปิดบังความจริง เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือเปล่า เพราะเขาคิดเอาเองว่า ตราบใดที่ธรณ์ไม่รู้ ธรณ์ก็คงไม่เจ็บ แต่ชายหนุ่มคงลืมนึกไปว่า...
ความลับไม่มีในโลก อยู่ที่ว่าธรณ์จะรู้ช้าหรือรู้เร็ว “นายนี่ห่วงธรณ์มากจนฉันชักจะสงสัยแล้วนะ ว่าตกลงนายคิดกับธรณ์แค่เพื่อนหรือเปล่า”
“พี่อย่ามาคิดอกุศลหน่อยเลย ผมก็แค่...เคยเห็นธรณ์เจ็บปวด เลยไม่อยากเห็นธรณ์ต้องเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกแล้ว ธรณ์เป็นเพื่อนที่ดีของผม”
ไม่มีคำตอบจากนายทหารหนุ่ม เขาเพียงแต่ยืนสูบบุหรี่และปล่อยความคิดล่องลอยออกไป ถ้าจะมีใครซักคนเชื่อในสิ่งที่ชินดนัยพูดอย่างไม่มีข้อสงสัยและไร้ข้อกังขา คนนั้น...ก็คงจะเป็นตัวเขาเอง
====================
“กูว่าชินมันตกส้วมตายไปแล้วหรือเปล่า หายหัวไปห้องน้ำเป็นชาติเลย”
ธรณ์เปรยขึ้นมา หลังจากยืนฟังเขตแดนกับอเล็กซ์คุยกันเรื่องธุรกิจอยู่นาน พอเขตแดนออกปากว่า ถ้าหากได้กลุ่มเงินทุนคาร์เตอร์มาเป็นพันธมิตร คงจะดีกับอิสระคอนสตรัคชั่นไม่น้อย อเล็กซ์เลยรับปากว่าจะนำเรื่องที่เขตแดนเสนอเข้าหารือกับทางครอบครัว ยิ่งคุยกันเลยยิ่งถูกคอ จนธรณ์ยังนึกสงสัยอยู่ครามครันว่า ตกลงอเล็กซ์มันเป็นเพื่อนใครกันแน่ระหว่างเขากับเขตแดน
“มึงว่างก็เดินไปดูที่ห้องน้ำสิธรณ์” อเล็กซ์เสนอความเห็นเข้าให้
ธรณ์สบถด่าเพื่อนรักอย่างหยาบคาย แต่ก็ทำท่าว่าจะเดินไปตามชินดนัยที่ห้องน้ำตามที่อเล็กซ์เสนอ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป เวธน์ก็เดินเข้ามาหา
“คุณสงครามจะกลับแล้วครับ”
“นายไปส่งคุณพ่อแล้วกลับมารอรับฉันกับธรณ์ละกัน” เขตแดนสั่งเสร็จเลยถือโอกาสเรียกธรณ์กับอเล็กซ์ให้เดินไปส่งคุณสงครามด้วยกัน
พอเดินออกมาเห็นคุณสงครามยืนรออยู่ก่อนแล้ว ธรณ์เลยถือโอกาสแนะนำอเล็กซ์ให้ผู้เป็นลุงรู้จัก และรีบสำทับว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ถึงได้พูดภาษาไทยปร๋อ แถมยังด่าไฟแล่บอีก
“ยังไงพ่อกลับไปนอนที่บ้านธรณ์ก่อนละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยพาพ่อกลับไปส่งที่บ้าน”
“เดี๋ยวพองานเลิกธรณ์ก็คงจะกลับแล้ว ลุงครามพักผ่อนไปก่อนได้เลยนะครับ ดูท่าแล้วลุงครามน่าจะเหนื่อยน่าดู” ธรณ์อดเอ่ยอย่างเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูซีดเซียว
“ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากหรอก ลุงแก่แล้วต่างหาก”
ยืนล่ำลากันอยู่ซักพัก เวธน์ก็พาคุณสงครามไปยังลานจอดรถ พอส่งคุณสงครามเสร็จ ธรณ์ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจะไปตามหาชินดนัย แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัวไปไหน อเล็กซ์ก็เอ่ยขึ้นมาก่อนอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ต้องไปตามหาแล้วล่ะ เดินมานู่นแล้ว”
ธรณ์มองตามสายตาของอเล็กซ์ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมา เมื่อเห็นว่าชินดนัยไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีนายทหารที่วันนี้อยู่นอกเครื่องแบบติดตามมาด้วย พออีกฝ่ายเข้ามาเดินเข้ามาใกล้ ธรณ์ก็เอ่ยทักทันที
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับผู้พัน ผมนึกว่าจะไม่ว่างมา เลยไม่ได้ส่งบัตรเชิญไปให้”
“ไม่เป็นไรหรอก เชิญชินก็เหมือนกับเชิญผมนั่นแหล่ะ ว่าแต่...ได้ข่าวว่าวันนี้เนื้อหอมจนสาวรุมตอมหึ่งเลยหรือธรณ์” ผู้พันหนุ่มอดเอ่ยสัพยอกคนอายุน้อยกว่าไม่ได้ ผลคือคนเนื้อหอมถึงกับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที
“ผู้พันก็พูดเกินไป โทษทีที่ลืมแนะนำครับ นี่คุณเขตแดน เกียรติณรงค์ ผู้ปกครองผม ส่วนนี่ก็...”
“พันตรีชนวีร์ จิรวงศ์ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเขตแดน”
พอฟังนามสกุลของผู้มาใหม่ เขตแดนก็คลายความสงสัยทันที เพราะอีกฝ่ายคงจะเป็นญาติกับชินดนัยแน่แท้ เพราะเท่าที่รู้ ท่านนายพลผู้เป็นพ่อของชินดนัยมีลูกชายเพียงคนเดียว ซึ่งก็คือชินดนัย จิรวงศ์ ผู้ที่ไม่เคยคิดจะเจริญรอยตามผู้เป็นพ่อด้วยการรับราชการทหาร
พอคุยกันไปซักพัก เขตแดนก็เลยรู้ว่าที่ธรณ์และอเล็กซ์รู้จักนายทหารหนุ่มเป็นอย่างดี เพราะผู้พันเดินทางไปราชการที่ต่างประเทศ และมีโอกาสพบปะกันอยู่หลายหน แต่เท่าที่เห็นจากสายตาตนเอง ดูเหมือนว่าอเล็กซ์กับผู้พันชนวีร์จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอย่างไรชอบกล
“คืนนี้ไปเมากันต่อไหมชิน พรุ่งนี้กูก็จะกลับอเมริกาแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เจอมึงสองคนอีก” อเล็กซ์มันพูดหน้าเศร้า ที่ธรณ์กับชินดนัยมองปราดเดียวก็รู้ว่ามันเสแสร้งแกล้งทำ เพราะคุณชายคาร์เตอร์เขานั่งเครื่องบินเป็นว่าเล่น ต่อให้อยู่ห่างกันคนละซีกโลกก็ตามที แต่ถ้าคุณชายเขาอยากมา ยังไงเขาก็จะมาหาให้จนได้
“ขอโทษที พอดีชินต้องกลับกับฉัน คุณเขตต์ก็ต้องพาธรณ์กลับบ้านด้วยใช่ไหมครับ” ผู้พันหนุ่มไม่พูดเปล่า ยังหันไปดึงเขตแดนที่กำลังจะอ้าปากห้ามธรณ์มาเป็นพวกด้วยทันที
“ถ้าอย่างนั้นกูกลับไปกินกับมึงที่บ้านละกัน คืนนี้กูไปค้างกับมึงนะชิน” อเล็กซ์เองก็ไม่ยอมเลิกรา เพราะเป็นลูกชายคนเล็ก คำว่าไม่ได้แทบจะไม่เคยปรากฏในพจนานุกรมของเขา
“ขอโทษที คืนนี้ฉันนอนกับชิน คงไม่มีที่ว่างให้นายเข้ามาแทรกกลางหรอก”
ธรณ์ยืนกลั้นหัวเราะ เหมือนเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นอะไรที่เห็นจนเคยชิน ส่วนเขตแดนได้แต่ยืนงง จนสุดท้ายแล้ว ชินดนัยก็ต้องเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ย
“เอาเป็นว่ามึงกลับไปนอนที่โรงแรมเหมือนเดิมนะอเล็กซ์ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้กูกับธรณ์จะไปส่งมึงที่สนามบิน ถ้ามึงคิดถึงพวกกูเมื่อไหร่ก็ค่อยบินมาหา เพราะกูรู้ว่านั่งเครื่องบินเป็นว่าเล่นนี่ก็เป็นหนึ่งในงานอดิเรกยามว่างของคุณชายคาร์เตอร์” ชินดนัยเอ่ยจบก็แสยะยิ้มอย่างรู้ทันเป็นการปิดท้าย
“เออ! ไปนอนกอดพี่ชายมึงให้หายคิดถึงเลยนะชิน กูไปนอนโรงแรมก็ได้”
ธรณ์มองแล้วก็ยิ้มขำกับท่าทีที่แกล้งทำเป็นหัวฟัดหัวเหวี่ยงของอเล็กซ์ ส่วนชินดนัยก็แค่ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ เขากล้าพูดได้เลยว่าอเล็กซ์และชินดนัยเป็นเพื่อนรักเพียงสองคนของเขา ถึงจะมีน้อย แต่เขาก็รู้ว่าทั้งสองคนจะไม่มีวันหักหลังหรือทำให้เขาเสียใจเด็ดขาด
====================
[มีต่อนะคะ]