ตอนที่ 15 กล่องของแพนโดรานายหนึ่งหทัย เจริญไพศาลนันท์ คนที่มีชื่อเล่นว่ารักเดียว
เวลาที่ใครๆ พูดถึงคนคนนี้ มักจะมีสีหน้าไม่ค่อยดีตอนที่ได้ยินเขาถามว่าเดียวคือใคร เขาไปสนิทด้วยตอนไหน จากนั้นคนพวกนั้นก็จะอึกอัก อ้างถึงความสัมพันธ์ของเขากับเดียวว่าเป็นแฟนกัน
เป็นแฟนกัน? เป็นเพื่อนกันรึเปล่ายังไม่รู้เลย อยู่ห้องเดียวกันมาสามปีวันๆ ได้คุยกันกี่คำล่ะ คงไม่ได้มากมายอะไร ไม่อย่างนั้นเขานึกออกไปนานแล้ว อย่างตอนบุริมเจอกันครั้งเดียวก็จำได้เกือบหมด
พอเขาถามต่อไปอีกว่าแล้วตอนนี้คนชื่อเดียวอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครตอบได้จริงๆ สักคน แม้แต่มะเหมี่ยวที่สนิทกับคนนั้นหนักหนาก็ยังส่ายหน้า บอกว่านึกไม่ออก รู้แค่ว่าเดียวยุ่งมาก ต่อให้ไปหาคงไม่ได้เจออยู่ดี บางคนก็บอกว่าเดียวอยู่ที่นั่นที่นี่มั่วไปหมด เพื่อนสนิทของเดียวอีกคนยังบอกว่าโดนลักพาตัวไป ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดเอาฮาหรือเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
เขาไม่รู้หรอกว่าเดียวคือใคร แล้วก็ไม่เห็นต้องสนใจ นิลรัตน์วุ่นวายมากพอแล้วกับการเรียนให้จบ ไปสัมภาษณ์งาน แล้วก็ทำงานให้ดี ไม่มีเวลามาขุดหาความทรงจำพวกนั้นหรอก
แต่วันหนึ่ง หลังทำงานเสร็จ เขาก็ได้ยินเสียง เสียงของใครไม่รู้ดังขึ้นในหัว เขาพยายามไม่ใส่ใจ แต่มันก็ดังเป็นประโยคเดิมซ้ำๆ อยู่เรื่อย เช้า กลางวัน เย็น ดังเข้ามาให้ได้ยินอยู่ทุกวัน
นิลรัตน์ระอาเต็มที จนหลุดพูดกับมัน “เป็นผีขอส่วนบุญหรือไง”
“ไม่ใช่” ทางนั้นตอบกลับ ทำให้นิลแปลกใจ ไม่นึกว่าเสียงนี้จะพูดอย่างอื่นเป็นด้วย “นี่ จดไว้ให้หน่อยสิ เราจะลืมอยู่แล้ว” นั่นปะไร สุดท้ายก็กลับมาพูดเหมือนเดิมอีกจนได้
“จดเองสิ ไม่ใช่เรื่อง”
“ที่นี่ไม่มีอะไรเลย จดให้หน่อยนะ นะนิล”
“ยุ่งยากจริง” ปากบ่น แต่มือก็หากระดาษกับปากกาแถวๆ นั้น เขาไม่ได้เขียนอะไรนานเต็มที อย่างมากที่สุดก็จดนั่นนี่ ไม่ก็เขียนทดตอนคิดงาน เครื่องเขียนบนโต๊ะเลยมีไม่มากนัก ทรัพยากรกระดาษก็มีแต่เอสี่ เพราะกระดาษรายงานแบบมีเส้นยกให้มรกตไปหมดแล้ว
“เอ้า ว่ามา”
คนนั้นพูด แล้วเขาก็เขียนตามจนกระดาษหมดไปหน้าหนึ่ง
“ของวันนี้จบแล้ว” เสียงนั้นว่า
“ของวันนี้อะไร เขียนให้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ คนอื่นว่างๆ กันตั้งเยอะแยะนี่ ไปหาสิ” เขาบอกปัด ออกจะรำคาญอยู่พอสมควร
“คุณเป็นคนเดียวที่ได้ยินนี่นา”
“คิดว่าอยากได้ยินหรือไง” ทางนั้นเงียบไป ไม่ได้เซ้าซี้อีก เป็นว่าคืนนั้นเขาก็เข้านอนจริงๆ ได้สักที
หลังจากนั้นเขาหยิบมันกลับมาอ่าน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของคนชื่อเดียว รักเดียว ที่มีชื่อจริงว่าหนึ่งหทัย...
แล้วทำไมถึงมาอยู่ในเรื่องเล่าของผีนั่นกันล่ะไล่ไปเสียขนาดนั้น สุดท้ายพอเสียงนั่นกลับมาขอร้องให้เขียนอีก ก็จะหากระดาษปากกามาเขียนให้อยู่ดี แถมยังอุตส่าห์อุทิศซองใส่เอกสารให้ด้วยซองหนึ่ง อย่างน้อยเจ้าผีก็ไม่ได้มารบกวนตอนอยู่ในที่ทำงาน วันที่เขายุ่งจัดๆ ก็ไม่ได้ส่งเสียงให้รำคาญใจ พอว่างๆ ถึงจะออกมาสักที เลยยอมช่วยๆ มันไป ไม่อย่างนั้นก็คงจะมาตื๊ออีก
เย็นวันหนึ่ง เกิดข้อพิพาทเล็กๆ ขึ้น
“แก้ไม่ได้นะ” มันร้อง “อย่าแก้นะ”
“ก็เที่ยวใช้ชื่อใครเขาไปทั่วได้ยังไง ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!” หงุดหงิด...มีอย่างที่ไหน ใช้ให้เขาเขียนให้ไม่พอ ยังยืมชื่อเขากับเพื่อนมาเขียนเรื่องรักประโลมโลก พอเปลี่ยนเป็นเอกับบี เจ้าผีก็ส่งเสียงคัดค้านเต็มที่
ความจริงเขาเปลี่ยนเป็นเอบีตั้งแต่แรกแล้วแหละ แต่ผีมัวเล่า เลยเพิ่งมารู้ตอนที่เขากวาดสายตาอ่านอีกรอบ เพราะตอนเขียนไม่ค่อยตั้งใจฟังเท่าไหร่ ต้องรีบเขียนตามให้ทันคำผี
นี่ก็เถียงกันมาจะครึ่งชั่วโมง แต่นิลรัตน์ก็ไม่ได้ตัดบทหนีไปนอนอย่างทุกทีด้วยเหนื่อยใจกับผีตนนี้เหลือทน นี่มันชื่อเขานะ เขาควรจะมีสิทธิ์ในชื่อตัวเองรึเปล่า แล้วหนึ่งหทัยก็ควรจะได้รับรู้ก่อนที่จะถูกเอาชื่อมาเขียนเรื่องแบบนี้มั้ย
มันอึดอัดนะ เวลาที่ตัวเองโดนจับคู่กับคนนั้นคนนี้ ไม่มีใครชอบหรอก หรือต่อให้มันเป็นเรื่องจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะเอาไปขยาย ไปบอกต่อกันสนุกปาก สร้างเรื่องเติมแต่งโดยไม่สนใจอะไร ราวกับเรื่องความรักของคนอื่นเขาเป็นเรื่องของตัวเอง ทั้งที่มันไม่ใช่
ความรักไม่ใช่ของสาธารณะ ยิ่งถ้าสาธารณะที่ว่าอยู่ในสังคมคนไม่มีมารยาทเหมือนเช่นสังคมในที่ทำงานของเขาด้วยแล้ว
เขาคิดอยู่เสมอว่าถ้ามีความรักก็คงจะบอกให้รู้กันแต่คนที่สนิท แล้วก็ครอบครัวเท่านั้น
มีเสียงสะอื้นดังมา ตามด้วยเสียงพูดรัวเร็ว ดูจะทั้งโมโหและแค้นใจกับคำพูดของเขามาก “ไม่ได้ใช้ชื่อใครไปทั่วสักหน่อย ที่นี่ ที่ของเรา เรื่องเป็นแบบนี้จริงๆ นะ”
แล้วเสียงนั้นก็ร้องไห้ใหญ่เลย...
ยุ่งยากจริงๆแต่บางที คราวนี้ฝ่ายที่ผิดอาจจะเป็นเขาก็ได้ บางทีเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ผีเจอมาจริงๆ แล้วก็กลัวจะลืมไปจริงๆ เขาคงจะล้ำเส้นไปหน่อย
“นี่ เดี๋ยวแก้คืนให้ก็ได้ เลิกร้องไห้เถอะ” ได้ตามที่เรียกร้องแล้ว เสียงร้องไห้ถึงค่อยๆ เบาลง
นิลแอบคิดในใจ นี่เรามันไม่มีใครเอาจนต้องคว้าเสียงประสาทหลอนมาเป็นเพื่อนแล้วเหรอวะ แต่ผีนี่ก็ไม่ใช่พวกเลวร้ายอะไร อีกอย่างก็ใกล้จะถึงวันนัดแล้ว ใจดีด้วยสักหน่อยแล้วกัน
.
หลังจากนับวันรออย่างใจจดใจจ่อ ก็ได้เข้าพบจิตแพทย์สักที หมอถามอะไรอยู่พักใหญ่เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่นิลกำลังเป็น ในตอนท้ายก็ขอให้มาอีกทีตามนัดเพื่อติดตามอาการ อีกทั้งแนะนำให้เขาเขียนบันทึกประจำวันด้วยเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการรักษา
ทีแรกเขาก็ไม่ได้จะเขียนจริงจังอะไรนัก แต่เขียนไปๆ ก็เริ่มลงรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มบรรยายความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ต่างๆ ในแต่ละวัน นัยว่าเขียนแล้วก็เพลิน รู้ตัวอีกทีก็หมดไปอีกหน้าหนึ่งแล้ว
ทว่าพอเขียนได้สักสองสัปดาห์ ก็เริ่มมีเรื่องราวบางอย่างแทรกเข้ามาเป็นภาพเคลื่อนไหวตอนที่เขาเขียน เหมือนถูกบังคับให้ดูหนังทั้งที่ไม่ได้อยากดู และถ้าไม่เขียนออกมา มันก็จะรบกวนจิตใจจนเขียนเรื่องของวันนั้นต่อไม่ได้
สุดท้ายนิลก็เลยใช้วิธีแยกประเภทก่อนว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ตอนเขียนสมุดบันทึกประจำวันก็เขียนแค่เรื่องที่จริง นอกจากนั้นย้ายไปไว้ในอีกเล่มทั้งหมด
เล่มที่บันทึกเรื่องจากภาพเคลื่อนไหวเป็นเรื่องของเขากับนายหนึ่งหทัยล้วนๆ อีกแล้ว อ่านแล้วรู้สึกแปลกๆ ชอบกล คันไม้คันมืออยากจะเปลี่ยนให้เป็นนายเอนายบีจริงๆ
ถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงผีนั่น เงียบไปนานแล้วเหมือนกันตั้งแต่เริ่มกินยา บางทียาอาจจะทำให้ผีมาส่งเสียงไม่ได้เหมือนเดิม เลยออกมาในรูปแบบหนังแทนงั้นสิ?
บางขณะที่เขียนตามใจผีอยู่นั้น ก็มีภาพเคลื่อนไหวอีกชุดฉายทับ
รู้ว่าเป็นอีกชุดเพราะบรรยากาศต่างกันชัดเจน หนังของผีจะออกฟุ้งๆ ลอยๆ วนไปเวียนมาแถวหอพักกับมหาวิทยาลัย คบหาเที่ยวเล่นกันไปวันๆ ประหนึ่งการเรียนไม่ได้หนักหนาทั้งที่อยู่ปีสามปีสี่กันแล้ว ส่วนชุดที่ฉายแทรกมาบรรยากาศจะดูเหมือนเป็นคลิปถ่ายเล่นที่เอามาต่อๆ กัน ดูเรียลกว่า
ภายหลังก็พบว่าภาพเคลื่อนไหวอีกชุดนั่นคือความทรงจำของเขาเอง
ตั้งแต่นั้น การเขียนกลายเป็นประตูสู่ความทรงจำ เขาเขียนบันทึกต่อไปเรื่อยๆ จนคล้ายเป็นกิจวัตร ทั้งบันทึกประจำวัน และบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่ฉายวนเวียนในหัว จนวันหนึ่ง กระทั่งคนชื่อเดียวที่เขาได้ยินแต่ชื่อมาตลอด เขาก็จำได้แล้ว
แรกๆ แทบไม่เคยได้คุยด้วยเพราะอยู่กันคนละกลุ่ม แต่ต่อมาด้วยความบังเอิญก็ได้มาทำโครงงานกลุ่มเดียวกัน เป็นคนเงียบๆ ที่ไม่ได้เงียบตลอดเวลา มีอะไรตลกๆ และคาดไม่ถึงให้ได้เห็นบ่อยๆ พอหลงไปสังเกตดูบ่อยเข้าก็ถอนตัวไม่ขึ้น
มดงานอย่างเขามีงานให้ทำล้นมือ แต่พอกลับถึงบ้าน ทานอาหาร อาบน้ำพร้อมนอนแล้ว มือกลับหยิบสมุดมาเปิด ปลายนิ้วคว้าเอาปากกามากด เสียงสปริงลั่นแผ่วเบา ตามด้วยเสียงของปลายปากกาขูดขีดกับหน้ากระดาษโดยมีหมึกเป็นสิ่งหล่อลื่น
จากความสนใจ กลายเป็นใส่ใจ ในที่สุดก็ขอเป็นคนรู้ใจ และเป็นพื้นที่สบายใจให้กัน มันรู้สึกอิ่มเอมอย่างไรชอบกลที่ได้หวนนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น
เวลาเที่ยงคืนครึ่ง ภาพเคลื่อนไหวดับหายไปแล้ว ปากกาถูกเก็บกลับที่ แต่สมุดยังอยู่ในมือ
เรื่องราวในสมุดนี้สะสมกันมากขึ้นทุกที สายตากวาดอ่านเล่นๆ อย่างเพลิดเพลิน มันจะเพลิดเพลินได้นานอยู่หรอกถ้าเขาไม่เริ่มเอะใจ...หลายเรื่องในหนังของผี เหมือนบิดเปลี่ยนมาจากเรื่องจริงของเขากับเดียว
ดึกมากแล้ว แต่ชายหนุ่มยังนั่งเรียบเรียงเหตุการณ์ในความทรงจำที่ได้คืนมาเทียบกับเหตุการณ์ที่เขาเขียนแยกไว้ในสมุดแบบช็อตต่อช็อต
หนังของผีหยิบยกมาจากความทรงจำของตัวเขาเอง? บางทีผีอาจจะพยายามช่วยให้เขาจำได้?
มันก็แปลกดีที่เรื่องจริงอยู่ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยสองปีแรก แต่เรื่องของผีดันบอกไว้ว่าเกิดหลังขึ้นปีสามไปแล้ว ทั้งที่ช่วงหลังขึ้นปีสามนิลก็ไม่ได้อยู่กับเดียวสักหน่อย... ความคิดของนิลหยุดลงแค่นั้น
ไม่ได้อยู่กับเดียวหรือ ใช่ ตอนเรียนปีสามเขาไม่ได้ลืม เขาลืมเรื่องที่เกิดก่อนหน้านั้น เกิดอะไรสักอย่าง ทำให้เขาสูญเสียความทรงจำ ดีที่ไม่ได้ลืมเนื้อหาที่เรียนไปเลยยังจบในสามปีครึ่ง แต่ตลอดเวลาที่เขาเรียนจนกระทั่งจบออกมาทำงาน ไม่มีตอนไหนเลยที่นิลได้เห็นเดียวตัวเป็นๆ
คำถามหนึ่งดังระงมในหัว ทำไมตอนเขากลับไปเรียนปีสามถึงไม่เจอเดียว
เดียวอยู่ไหนแล้ว เลิกกันหรือ จะเลิกกันได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น
โดนลักพาตัว? ไปเรียนต่างประเทศ? ยุ่งอยู่กับอะไร? ข้อสันนิษฐานของเพื่อนคนไหนล่ะที่จริง
ความสงสัยเติบโตหยั่งรากลงลึก กระตุ้นให้เขาออกค้นหา ถาม และตามไปถึงบ้านเดียว ทว่าครอบครัวของเดียวไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครอยู่ที่นั่น หญ้าขึ้นรกร้าง รั้วล็อกไว้ เขาไม่อยากบุกรุกเข้าไปจึงถามเอาจากบ้านข้างๆ แต่พวกเขาย้ายเข้ามาใหม่จึงไม่รู้เรื่องอะไร
เป็นความอยากรู้...ที่ทำให้นางมนุษย์ผู้นั้นเปิดกล่องออก กล่องที่ถูกกำชับมาแล้วว่าอย่าเปิด...
ในเวลานั้นนิลคิดแต่ว่าต้องเขียน คิดว่าเป็นทางเดียวที่จะได้รู้ว่านายหนึ่งหทัยและครอบครัวหายไปไหน เขาต้องจำให้ได้
จนกระทั่งวันที่ 10 เมษายน เขาก็ได้รู้ทุกอย่าง
ขากลับเกิดอุบัติเหตุ ไม่มีใครรอดเลยยกเว้นเดียว แต่จะเรียกว่ารอดก็พูดได้ไม่เต็มปาก...มะเหมี่ยวบอกว่า ‘เดียวอาการสาหัส ตอนนี้ยังไม่ได้สติ’ บอกไปก็ร้องไห้ไป เธอเองก็เพิ่งรู้และยังตกใจ แต่ก็นึกได้ว่าต้องบอกนิล เลยโทรมา
เดียวรอ...รออยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ หนึ่งเดือนที่เขาเพิ่งจะได้รู้ข่าวคราว
ตอนไปถึง นิลทันได้เห็นวินาทีสุดท้ายบนโลกนี้ของคนที่เขารัก
หลังจากงานบุญของเดียว เขาก็ได้แต่คิดถึงอดีต ถ้ารู้ข่าวเร็วกว่านี้ก็คงดี บางทีถ้าเดียวรู้ว่าตื่นมาแล้วจะเจอเขา เดียวอาจไม่จากไป อาจตื่นมาคุยกัน อยู่ด้วยกันต่อไปอีกนานๆ
สายไปแล้ว และจะว่าไปก็เห็นแก่ตัวนัก แต่ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าเห็นแก่ตัว คิดแต่ว่าเขาดูแลเดียวได้ ต่อให้ร่างกายเดียวเป็นยังไง เขาก็จะดูแลเอง จะป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดตัวให้ ต่อให้แย่แค่ไหน ก็ยังอยากให้อยู่ด้วยกัน
นั่นน่ะไม่ใช่เขาทำเพื่อเดียวหรอก
เป็นการทรมานเดียวเพื่อไม่ให้นิลรัตน์ต้องสูญเสียใครไป
นิลละอายในความคิดเก่าก่อนของตัวเองเหลือเกิน ละอายเสียจนต้องเขียนลงในบันทึก...บันทึกส่วนตัว ไม่ใช่เล่มของนิลและเดียวที่อยู่ในโลกของความสุขและความหวานชื่น
สองคนนั้นไม่ควรต้องมาแปดเปื้อนด้วยความรู้สึกนึกคิดของเขา ในสมุดเล่มนั้นทั้งนิลและเดียวกำลังเริ่มบทใหม่ของชีวิตด้วยกัน และเขาไม่เคยคิดให้ทั้งสองพบกับเรื่องร้ายใดๆ เลย แม้จะทะเลาะกันบ้าง จะโกรธกันบ้าง ก็ไม่เป็นไร สุดท้ายทั้งสองจะยังคงกลับมาพูดคุยทำความเข้าใจ รักและดูแลกันตลอดไปจนแก่เฒ่า แล้วก็หยุดค้างที่อายุนั้นไปชั่วนิรันดร์
นิลคิดจะเขียนเรื่องในสมุดต่อแม้จะไม่มีภาพเคลื่อนไหวที่ผีส่งมาให้แล้ว เขียนเพื่อเยียวยารักษาตัวเอง เขียนเพื่อหลอกตัวเองว่านี่ไง ยังมีนิลและเดียวที่มีความสุขอยู่ตรงนั้น เขียนเพื่อให้ลืมความจริงที่เพิ่งจำได้แม้ชั่วขณะสั้นๆ เขียนเพื่อหนีออกไปให้ไกลจากจักรวาลที่ไม่มีคำว่าตลอดนิรันดร์
ทว่าเขียนออกมาไม่ได้เลยแม้สักคำ
ตอนจบของนิลกับเดียวในสมุด จะต่างออกไปได้ยังไง ในเมื่อมันก็บรรจุแต่ถ้อยคำที่เขากับเดียวเคยพูดคุยกันไว้จริงๆ บรรจุรายละเอียดเหล่านั้นเอาไว้เต็มไปหมด แม้จะมีบางส่วนแปลกใหม่ แต่ที่นั่นก็ควรจะดำเนินเรื่องขนานกันไปกับที่นี่อยู่ดี
แต่เขาไม่อยากให้นิลในสมุดต้องเสียใจไปตลอดนี่ ไม่อยากให้เดียวในสมุดต้องจากไป อยากให้มีความสุขตลอดกาล แต่มันจะออกมาสภาพไหน จะยิ้มให้กันแบบไหน จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นต่อไป เขาไม่เห็นภาพ สิ่งที่คิดขึ้นมาเองและพยายามบีบบังคับให้เป็นไปก็มัวเลือนไม่ต่างจากหมอกควัน
ถ้าไม่ติดที่อยากให้เรื่องเต็มไปด้วยความสุขสันต์ เขาก็คงจะเขียนต่อได้ดีทีเดียว เพราะภาพที่ตรงกับความเป็นจริงนั้นชัดเจนมากพอจะเอาไปเขียนได้จนจบ มันติดอยู่ที่เขาไม่ต้องการให้ทั้งสองคนในสมุดพบเจอเรื่องเช่นที่เขาเจอ ติดอยู่แค่ตรงนั้น
เขาเลือกเก็บสมุดไว้ในลิ้นชัก ปิดล็อก ใจนึกอยากจะเอากุญแจไปโยนลงทะเลหรือที่ไหนไกลๆ แต่สุดท้ายก็แค่โยนมันไปนอกหน้าต่าง บอกตัวเองว่าจะไม่เขียนแล้ว และจะกลับไปตั้งใจทำงาน ลืมๆ ไปว่าในนั้นคืออะไร
เรื่องคงจบลงเพียงเท่านี้ ถ้าเจ้มุกไม่มาหาแล้วยื่นกุญแจนั่นมาตรงหน้า
มันควรจะนอนนิ่งอยู่ในบ่อปลา ถูกตะกอนทับตะไคร่ถม ไม่ควรมีใครสังเกตเห็นแล้วสนใจถึงขนาดพยายามเอามันกลับขึ้นมา แต่มันก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว พร้อมคำบอกเล่าแปลกประหลาด
เจ้มุกบอกเขาว่ามีคนมาเข้าฝัน มาขอให้เจ้ช่วยนิลด้วย มาบอกว่านิลแยกออกเป็นสองคน นิลฟังเจ้แล้วก็ได้แต่คิดว่ามันออกจะพิลึกกึกกือ เชื่อถือได้ยากอยู่สักหน่อย
“เอากุญแจนี่ไขลิ้นชักนั้นให้เจ้ดู ถ้าเปิดไม่ได้ หรือไม่มีสมุดที่ว่าอยู่ข้างใน ก็แปลว่าเจ้ฝันไร้สาระ”
นิลเม้มปาก สั่นศีรษะ คิ้วขมวดแทบจะชนกัน “ไม่ต้องพิสูจน์อะไรหรอกเจ้ มันคือกุญแจลิ้นชักอันนี้จริงๆ นิลโยนออกไปเอง แล้วสมุดข้างใน ก็เขียนเรื่องแบบนั้นไว้จริงๆ”
เขาไขเปิดเอาสมุดออกมา มือลูบบนหน้าปก ไม่รู้ทำไม แต่ก็สัมผัสได้ว่าคิดถึงเรื่องราวอันแสนสุขข้างในเหลือเกิน เขาเล่าที่มาของสมุดเล่มนี้ให้เจ้ฟัง ไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังกลับขมวดคิ้ว ท่าทางเป็นกังวล
“บางทีนี่อาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษานะนิล เราเอาไปปรึกษาหมอภาดีมั้ย” คนที่บ้านรู้เรื่องที่เขาไปหาหมอ แต่ไม่ได้รู้จากทางนั้นหรอก เพราะเป็นจรรยาบรรณแพทย์ที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ป่วย เขาเป็นคนเล่าเอง
เจ้อาจจะพูดถูกหลายอย่าง แต่เรื่องที่เขาแยกเป็นสองคน...ก็ยังเชื่อได้ยากอยู่ดี
มีแค่ส่วนนี้ที่เขาอยากจะเชื่ออย่างสนิทใจ...ส่วนที่เจ้บรรยายถึงคนที่มาเข้าฝัน
เด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบ ตาโต ตาชั้นเดียว ผมตรง ต่อให้ในโลกมีคนลักษณะอย่างนี้กี่ล้านคน ในหัวเขาก็ยังเห็นภาพของนายหนึ่งหทัยชัดเจน
“ถึงเสียงที่ได้ยินจะหายไปแล้ว แต่ลองไปดูก็ไม่เสียหายนี่นา ถ้าไม่มีอะไรก็จะได้สบายใจ” เสียงของเจ้ทำให้ภาพที่ปรากฏชัดนั้นเลือนหายไป เหมือนหยดน้ำตกต้องผิวกระจกใสทำให้เกิดระลอกคลื่น ทำลายภาพสะท้อนบนนั้นจนสิ้นสลาย
สุดท้ายนิลเลยมานั่งอยู่ในห้องนี้ เล่าเรื่อง ตอบคำถาม แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจมลงไป ง่วงงุน กึ่งหลับใหล เขามองรอบตัวด้วยความเลื่อนลอย
ผนังสีครีม โต๊ะกินข้าวทำจากไม้มีเก้าอี้สองตัว เลยไปข้างหลังมีส่วนครัวเล็กๆ ทางซ้ายมองผ่านประตูกระจกใสออกไปเห็นระเบียงและภาพอาคารสูงเรียงรายเป็นฉากหลัง
ที่แท้ก็จมมาในหนังของผีนั่นเอง นี่คือหอพักของเขากับเดียว สถานที่ที่เรื่องส่วนใหญ่ในสมุดดำเนินไปหลังจากนิลในหนังของผีกลับมาเรียน
ชายหนุ่มหันหลังไป จึงเห็นโซฟาสีน้ำเงินที่คุ้นเคย มีเดียวนั่งรอเขาอยู่บนนั้น...สองคน
ถ้านิลอีกคนคือส่วนที่แบ่งภาคมาจากจิตใจเขาอย่างที่หมอภาอธิบาย แล้วเดียวอีกคนคืออะไร?
“เอ๋ เรามีไฝตรงนี้ด้วย” เดียวคนที่ไม่ได้ใส่แว่นสำรวจ มือซ้ายกดคนข้างใต้จมไปกับโซฟา อีกมือพยายามเลิกเสื้อขึ้น
แล้ว...คนไหนล่ะเดียวตัวจริง?
“นี่! ทำอะไรน่ะ!” เดียวว่า ออกแรงยื้อชายเสื้อไว้ไม่ให้เปิดเห็นอะไรมากไปกว่านี้ “นิลก็อยู่นะ!”
คนที่กำลังจะถอดเสื้อคนข้างล่างยิ้มสวย “ไม่เห็นต้องอายเลย นิลเค้าก็เห็นมาหมดแล้วไม่ใช่รึไง”
โอเค ตัวจริงคือคนข้างบนสินะ นิลคิดในใจ
เดียวคนข้างล่างนิ่งไป ก่อนจะยิ้มสวยบ้าง “หึงล่ะสิ”
คนรักตัวจริงของเขาก้มหน้าลง คลายแรงที่ใช้เลิกชายเสื้อ คนข้างล่างเลยได้จังหวะลุกกลับขึ้นมา รวบมืออันตรายไว้ด้วยกันไม่ให้ขยับทำอะไรแปลกๆ อีก ยินเสียงตอบกลับคำถามของตนว่า “...หึงสิ”
เดียวในสมุดหันมองนิลหนึ่งที เป็นการมองแค่แวบเดียว แล้วก็กลับไปวางสายตาไว้บนเดียวตัวจริงอีกครั้ง คลายมือปล่อยให้ข้อมือทั้งสองเป็นอิสระ เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“นี่ เรานะถูกสร้างมาจากนายทั้งนั้น รักเดียว เราเป็นแค่คนที่มาแสดงเป็นเดียวตามบทที่หมอนี่ยัดมาให้ ทุกอณูของเรา ไม่มีความเป็นตัวเราตรงไหนเลยที่นิลรัก มีแต่ส่วนที่เป็นของนายทั้งนั้น” ว่าพลางก็วางมือแปะบนหัวคนตรงหน้า
“เอาคืนไปเถอะ หรืออันที่จริงคือ รับเขากลับไปเถอะ อย่าได้คิดตัดสินใจแทนอีกฝ่าย นายก็รู้นี่นา รู้ใช่ไหมว่าเขารักมาก มากๆ เลยเหมือนกัน”
ผู้รับสารยกสองมือขึ้นปิดหน้า ก้มหัวลงนิดหน่อยเหมือนตอบรับ
“ไม่มีใครมาแทนที่นายได้ทั้งนั้น เหมือนแค่ไหนก็ไม่เหมือน ไม่มีวันแทนได้” เดียวในสมุดยิ้มอีก แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่มอบให้ด้วยความจริงใจ ส่งมือไปจับไหล่คนตรงหน้าทั้งสองข้าง เขย่าเบาๆ หนึ่งหน ก่อนจะลุกขึ้นหันมาทางนิลที่ออกอาการทำอะไรไม่ถูก
“ไปเสียก่อน ไปหานิลอีกคน จัดการให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา หรือจะปล่อยให้เดียวต้องตามคุยกับทั้งสองคนคนละครั้งก็ตามใจ”
“แต่เดียว...”
“เดี๋ยวเราจัดการให้ ไปเถอะน่า ทำตัวเชื่อฟังหน่อยไม่ได้หรือไง ให้ตายสิ เขียนบทห่วยแตกแล้วยังจะดื้อดึงอีก ไม่น่ารักเลยจริงๆ”
“ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องที่เราเขียนตามหนังของผีตนนั้นต่างหาก”
“ไม่ใช่ นายนั่นแหละที่คิดแล้วก็เขียน กินยาเข้าไปแล้วเสียงของเขาก็หายไปใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องที่นายเขียนหลังจากนั้นทั้งหมดน่ะไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว อีกอย่างเขาเป็นคนนะไม่ใช่ผี แล้วก็ชื่อเดียวเหมือนกัน รู้จักไหมมิติคู่ขนานน่ะ” เห็นนิลจะอ้าปากถาม ก็เลยรีบดัก “ไม่ต้องรู้เรื่องยิบย่อยเยอะนักหรอกน่า เอาตัวเองให้รอดก็พอแล้ว รีบไปได้แล้วไป”
นิลรัตน์ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ก็โดนกระชากกลับไปที่โลกจริง...ไม่ ไม่ใช่ รู้สึกว่าเบากว่านิดหน่อย...เขาอาจจะเป็นแค่กระแสความคิด ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้ได้ยังไง แต่ก็รู้ว่าตัวเองคือกระแสความคิด
แล้วเขาอีกคนก็คงเป็นเจ้าของร่างกายอยู่ตอนนี้
นิลคนนั้นกำลังอ่านเรื่องในสมุดที่คงจะเหมือนกับชีวิตที่ฝั่งนั้นทุกระเบียด อ่านจนจบ แล้วก็เงียบไป นิลที่อยู่ข้างนอกมาตลอดไม่รู้หรอกว่าคนที่เคยอยู่ข้างในจะคิดอะไรบ้างหลังจากอ่านจบแล้ว แต่ก็เริ่มเล่าเรื่องฝั่งของตัวเองให้ฟัง ให้รู้ว่ามีอะไรที่เขาไม่ยอมเขียน
ทางนั้นเงียบอยู่นานก็ตัดสินใจเล่าเรื่องกลับมาเหมือนกัน
เรื่องของทางนั้นแปลกไปมากเมื่อเขาหยุดเขียนอย่างนั้นหรือ? ถ้าเขาเป็นฝ่ายควบคุมร่างกาย ก็คงเลิกคิ้วขึ้นสูง
“นายว่าที่นายเขียนสมุดเล่มนี้ เหมือนเปิดกล่องแพนโดรา”
ก็จริง ใช่ เขาพูดอย่างนั้นออกไป แต่ตอนพูดไม่ได้คิดอะไรเลย
กล่องของแพนโดราเป็นกล่องรวมหายนะที่เมื่อเปิดออก สิ่งที่อยู่ข้างในก็จะถูกปลดปล่อยสู่โลกภายนอก ทว่านี่ไม่ใช่กล่องแพนโดรา มันไม่ได้บรรจุหายนะ หากแต่บรรจุความทรงจำ
ทั้งจุดเริ่มต้น เรื่องราวระหว่างทาง และ...“บางทีนะ...” นิลที่กำลังคุมร่างกายอยู่เผลอเคาะนิ้วกับโต๊ะ
เขาหัวเราะขื่น นี่คือตัวเขาสมัยก่อนนะ ทำไมจะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไร...แค่ตั้งต้นก็เห็นไปถึงปลายทางแล้ว
คงจะเลี่ยงไม่ได้แล้วสินะตามตำนาน กล่องถูกปิดโดยยังมีสิ่งหนึ่งค้างอยู่ข้างใน สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็คือความสิ้นหวัง แต่สำหรับกล่องใบนี้แล้วมันต่างออกไป
ปลายนิ้วที่เคาะอยู่หยุดเคาะ เลื่อนไปหาบางสิ่ง “บางที...ถ้าการเขียนคือการเปิดกล่องนั่นออกมา ทำให้ได้รับรู้อดีตที่เป็นจุดเริ่มต้น ได้มีปัจจุบันอย่างที่ควรจะเป็น เราก็ต้อง...”
เขียนอีกครั้ง เพื่อจะได้รู้จุดจบของเรื่องราวทั้งหมดไงล่ะปากกาที่ถูกหยิบขึ้นมาเป็นด้ามที่เดียวให้ หมึกหายไปเกินครึ่งแล้ว คงเพราะเขียนทีไรก็เป็นต้องหยิบปากกาด้ามนี้ทุกที
เขาใช้ชีวิตกับความทรงจำพวกนั้นมานานกว่า คงจะเห็นจุดจบของเรื่องในสมุดนี้ชัดกว่านิลในสมุดที่แหวกว่ายตามโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ อีกอย่าง...เรื่องที่บอกเล่าตลอดเล่มนี้ก็เริ่มต้นขึ้น และดำเนินมาด้วยความคิดฝันเฟื่องของเขาทั้งนั้น ฝ่ายบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เหลือจึงเป็นใครอื่นไปไม่ได้
นิลที่เคยอยู่ในสมุดสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกช้าๆ จากนั้นก็บอกกับคนในกระแสความคิด “เราจะเขียนให้เอง เล่ามาเลย”
เวลาไหลเลื่อนผ่าน แต่ร่างกายของพวกเขาก็ไม่ได้เหนื่อยล้าหรือหิว มือที่เขียนก็ไม่ได้เกิดความเมื่อยอันควรจะเกิด
จรดปลายปากกาถึงอักษรตัวสุดท้าย น้ำหมึกก็หมดพอดี พอจะลงนามนิลรัตน์ ก็เลยมีแต่รอยกดไร้สีหมึก
“เขียนไม่ติดแล้วแฮะ ดีนะที่จบแล้...เอ๊ะ?”
ไม่มีนิลคนข้างในสมุด และคนข้างนอกสมุดอีกแล้ว ไม่มีนิลคนในความคิด และคนที่อยู่ข้างนอกความคิดอีก ความทรงจำและความเป็นตัวตนสองสายไหลเชื่อมเข้าหากันที่ปากทางสู่ห้วงมหรรณพ
ในความจดจำได้ นิลเอ่ยกับตัวเอง เป็นเสียงสุดท้ายของนิลคนในสมุด ก่อนที่ความเป็นนิลคนนั้นจะหลอมกลับเข้าหาเขาอย่างสนิทสมบูรณ์ “ขอบใจที่หวังดีกับเราเสมอมา ต่อจากนี้ก็มาเผชิญกับจุดจบของโลกข้างนอกนี้ด้วยกันเถอะ”
เมื่อเสียงนั้นสิ้นสุดลง ในพริบตาถัดมาเขาก็พบว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับโซฟาที่มีนายหนึ่งหทัยนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“มานั่งนี่สิครับนิล เดียวมีอะไรจะบอก”
*****************
สวัสดีวันศุกร์ค่ะ วันนี้เรื่องน่าจะชัดขึ้นอีกหน่อยแล้วนะคะ
สัปดาห์หน้า เราจะได้ไปดูเฉลยปมอย่างละเอียดด้วยกันอีกครั้งค่ะ
ถ้าใครอ่านตอนนี้แล้วเอ๊ะกับอะไรหลายๆ อย่าง เราจะมีอธิบายละเอียดๆ อีกทีนะคะ ส่วนนี้จะมีการสร้างนั่นนี่ขึ้นมาเองค่อนข้างเยอะ แล้วมันยัดลงไปในเรื่องไม่ได้ QwQ
ยังไงถ้าสงสัยอะไร ถามมาได้นะคะ จะได้รวมไปตอบด้วยกันในนั้น
เราอาจจะตอบไม่ได้ทุกอย่างก็ได้ แต่ตอนเขียนก็พยายามสร้างนั่นนี่ขึ้นมาอย่างปวดหัวสุดๆ เลยค่ะ 555 ยังไงก็ต้องยอมรับว่าอาจยังมีจุดที่พลาดไป มีจุดที่คิดไม่ถึง และมีจุดที่ลากมันไปเหมือนกัน ตอนอธิบายเราก็น่าจะได้รู้ไปพร้อมๆ กันเลยว่าเผางานตรงไหนไว้บ้าง ^^'
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ