:: ๑๑ ::
ขอโอกาส
เกือบสัปดาห์แล้วที่ต๋องเทียวมารับส่งลูกสาวไปกลับโรงเรียนทุกวัน ทำให้ตอนนี้อันดาติดพ่อแจมากกว่าใครๆ หลายครั้งที่เจ้าตัวเล็กอยากให้ผู้เป็นพ่อค้างที่บ้านด้วย แต่ไอร์ไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ยิ่งทำอย่างนั้นต๋องยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ แค่อันดาปันใจไปให้มันก็รู้สึกหงุดหงิดมากพอแล้ว
“คุณหมอคะมีคนมารอพบข้างนอกค่ะ” พยาบาลสาวเดินเข้ามาในห้องตรวจ ขณะเจ้าตัวกำลังนั่งรอคนไข้คิวต่อไป
“ผมไม่ได้นัดใครไว้นะนอกจากคนไข้” ไอร์ทำหน้าสงสัยแล้วพยายามนึกว่าได้นัดใครไว้หรือเปล่า
“น่าจะเป็นญาติคุณหมอนะคะ เพราะมาพร้อมกับน้องอันดา”
ได้ยินอย่างนั้นก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นใคร ปกติแล้วทั้งสองจะไปรอรับลูกสาวที่หน้าโรงเรียนพร้อมกัน แต่วันนี้ต๋องกลับไปก่อนเวลาแล้วรับตัวอันดามาก่อน หลังจากนั้นก็พาลูกสาวมาหาที่โรงพยาบาล
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ”
“อยู่ตรงหน้าประชาสัมพันธ์ค่ะ”
“เดี๋ยวผมออกไปละกัน” ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาเลิกงานแล้ว เหลือคนไข้อีกหนึ่งคิวก็จะจบวัน
ไอร์ตรวจคนไข้เสร็จแล้วก็เก็บของเดินออกมาจากห้องตรวจ รีบเดินตรงไปยังประชาสัมพันธ์ก็เห็นสองพ่อลูกกำลังนั่งรออยู่ จึงเดินดุ่มๆ ไปหมายว่าจะด่าคนที่ไม่เคารพกฎกติกา
“คุณแม่มาแล้ววว” อันดารีบวิ่งเข้ามากอด
“ทำไมวันนี้ไม่รอแม่อยู่ที่โรงเรียนล่ะ” เสียงหวานเอ่ยกับลูกสาว
“วันนี้คุณพ่อพาน้องอันดามาเซอร์ไพรซ์คุณแม่ค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยบอก
“วันหลังรอแม่ที่โรงเรียนนะคะ ใครไปรับก็ไม่ต้องมา” พูดกับลูกแต่หันไปทำตาดุให้อีกคน
“ได้ไงนี่พ่อนะครับไม่ใช่คนอื่นซะหน่อย”
“ไม่รู้ล่ะ...ไปลูกกลับบ้านกัน” ไอร์จูงมือลูกสาวไปที่ลานจอดรถทันที ต๋องเองก็ได้แต่เดินตามหลังแล้วยิ้มที่มุมปากอย่างอารมณ์ดี
เดินมาถึงไอร์ก็สังเกตเห็นความผิดปกติของล้อรถที่มันยุบตัวลงกว่าเมื่อเช้า ไม่น่าเชื่อว่ารถที่จอดอยู่เฉยๆ จะยางรั่วได้ขนาดนี้ เจ้าตัวนั่งลงมองดูล้อรถทั้งสี่อย่างไม่สบอารมณ์
“คุณแม่คะรถเป็นอะไร” อันดายืนสะพายกระเป๋านักเรียนมองดูอยู่ข้างๆ
“รถยางรั่วน่ะลูก”
“แล้วเราจะกลับกันยังไงคะคุณแม่”
“เดี๋ยวแม่โทรเรียกช่างซ่อมก่อนนะลูกไปรอในรถก่อน”
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” ต๋องเดินมาหาแล้วยืนมองดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ใช่แล้วนั่นมันเป็นฝีมือเจ้าตัวเอง
“ไม่มี! ไปไกลๆ เลย”
“กลับรถกูก็ได้พรุ่งนี้ค่อยให้ช่างมาซ่อม” ต๋องแนะนำ
“ไม่มีทาง...มึงกลับไปเลย”
“โอเค้ถ้ามึงไม่ต้องการความช่วยเหลือกูไปก็ได้” พูดเหมือนยอมง่ายๆ แต่เจ้าตัวกลับไปอุ้มลูกสาวออกมาจากรถ หลังจากนั้นก็กระซิบที่หูลูกสาวก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะตะโกนออกมา
“คุณแม่ตามมานะคะ” อันดาโบกมือให้ขณะกอดคอผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น
“อันดากลับมาหาแม่เดี๋ยวนี้นะ” ไอร์ลุกขึ้นยืนแล้วเท้าสะเอวด้วยความโมโห เอาลูกมาเป็นข้อต่อรองอีกแล้วหรือนี่มันน่าโมโหนัก ไอร์จำใจเดินตามไปเพราะเป็นห่วงลูกสาว กลัวว่าไอ้พ่อตัวดีจะพาไปที่อื่นแทนที่จะกลับบ้าน
ต๋องพาลูกขึ้นไปนั่งข้างคนขับแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพ ส่วนไอร์นั่งอยู่เบาะหลังทำหน้าตาบึ้งตึ้งผิดจากลูกสาวที่รู้สึกจะร่าเริงเกินเหตุ หลังจากผู้เป็นพ่อบอกว่าจะพาไปเที่ยวแทนที่จะกลับบ้าน
“นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่” ไอร์เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจเมื่อคนขับรถเริ่มขับออกนอกเส้นทาง
“ก็ไม่ใช่ไง” เจ้าตัวยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี
“เลี้ยวกลับไปที่บ้านเดี๋ยวนี้” ไอร์เริ่มทำเสียงเข้มขึ้นมา
“น้องอันดาอยากไปเที่ยวใช่ไหมคะ” ต๋องไม่สนใจแต่หันไปถามลูกสาวแทน เพื่อให้คำตอบของอันดาเป็นคำตัดสินของความไม่ลงรอยนี้
“ใช่ค่ะน้องอันดาอยากไปเที่ยว”
“เดี๋ยวพ่อจะพาไปนะคะ” พูดแล้วก็หันมายักคิ้วให้คนที่นั่งอยู่เบาะหลังผ่านกระจกหน้ารถ
“เย้! แปะๆ ๆ” เจ้าตัวเล็กส่งเสียงด้วยความดีใจพร้อมกับปรบมือเสียงดัง
“วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะกูไม่ชอบ”
“กูก็อยากจะทำอย่างนั้นนะแต่ลูกชอบน่ะสิก็เลยขัดไม่ได้...มึงเข้าใจกูนะ” ต๋องเอาเรื่องลูกมาอ้างอีกเช่นเคย และนั่นก็ทำให้ไอร์ต้องยอมแทบทุกครั้ง
“เอาลูกมาอ้างตลอด” เจ้าตัวทำหน้างอก่อนจะหันออกไปนอกรถ
ต๋องยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทางนั่น มันทำให้รู้สึกอยากเข้าไปกอดเอาใจซะเหลือเกิน หากไม่มีลูกอยู่บนรถด้วยเขาคงจะทำอย่างนั้นไปแล้ว
เมื่อถึงที่หมายแล้วต๋องก็วนรถหาที่จอดรถ แล้วอุ้มลูกสาวเดินมาที่ริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อรู้ว่าต๋องพามาที่นี่ไอร์ก็นึกถึงความหลังขึ้นมาทันที เขาจำได้แล้วว่าวันนี้คือวันที่เคยสัญญาเอาไว้ว่าจะพาไอ้เพื่อนรักมาทุกๆ ปี
“ถึงแล้วววชอบไหมครับอันดา” ต๋องอุ้มลูกสาวยืนดูทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงแดดสีส้มตกกระทบบนผืนน้ำตลอดทั้งสายดูแล้วช่างสวยงามและรู้สึกผ่อนคลายไปในเวลาเดียวกัน
“ชอบค่ะคุณพ่อ”
“เดี๋ยววันหลังพ่อพามาอีกนะคะ”
“จริงๆ นะคะ”
“พ่อสัญญาค่ะ...ไม่เหมือนกับคุณแม่ที่เคยสัญญาว่าจะพาพ่อมาที่นี่ทุกปีแต่ก็ผิดสัญญา” ต๋องพูดกับลูกสาว แต่สายตากลับหันไปมองอีกคนที่กำลังยืนจับราวมองวิวฝั่งตรงข้าม
“คุณแม่ทำไมผิดสัญญาล่ะคะ” อันดาเอ่ยถามผู้เป็นแม่ทันทีที่ได้ยิน
ไอร์หันหน้ามามองลูกสาวพร้อมกับยิ้มกริ่มให้
“แม่ได้ผิดสัญญาซะหน่อยอันดาจำไม่ได้เหรอแม่พาอันดามาที่นี่ทุกปีเลยนะ” เขาทำตามสัญญาทุกปีเพราะถือว่าลูกคือตัวแทนต๋อง แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้มาตรงตามวันที่เคยได้สัญญาเอาไว้ นั่นเพราะกลัวว่าอาจจะเจออีกฝ่ายนั่นเอง
“น้องอันดาจำไม่ได้ค่ะ”
“เห็นไหมว่าแม่ไม่เคยผิดสัญญากับใครเลยนะ
“คุณแม่สัญญากับคุณพ่อไม่ใช่อันดาซะหน่อย” เด็กหญิงทำหน้าสงสัย
“ขี้สงสัยจริงๆ เจ้าตัวเล็ก...มาหาแม่มา” ไอร์อ้าแขนรอรับลูกสาวส่วนต๋องก็ยอมให้อันดาไปแต่โดยดี
ต๋องพอจะเข้าใจว่าทำไมไอร์ถึงได้บอกว่าไม่เคยผิดสัญญา เพราะอันดาเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของเขานั่นเอง ได้ยินอย่างนี้ยิ่งทำให้เจ้าตัวประทับใจในตัวไอร์มากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าลูกสาวคนนี้จะเกิดมาจากความไม่ได้ตั้งใจ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องขอบคุณไอร์ที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กได้เกิดขึ้นมาเป็นพยานรัก อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกว่ากำลังจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์รออยู่ข้างหน้านี้แล้ว
ไอร์อุ้มลูกสาวตัวน้อยชมความงดงามของวิวทิวทัศน์ฝั่งตรงข้ามอย่างเพลินตา ส่วนต๋องยืนจ้องมองภาพนั้นด้วยความสุขใจที่เห็นเมียกับลูกอยู่ตรงหน้า มันอาจจะเป็นบุพเพสันนิวาสที่เขาได้เจอและรู้จักกับไอร์ ใครจะคาดคิดว่าคนๆ นี้จะมีสถานะเป็นทั้งเพื่อน เมียและแม่ของลูกในเวลาเดียวกัน เขาไม่มีทางปล่อยให้ไอร์จากไปไหนอีกเป็นอันขาด หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เดินเข้าไปกอดจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน
“มึงอย่าไล่กูไปไหนอีกเลยนะ กูอยากอยู่กับมึงอย่างนี้นานๆ” เสียงแผ่วเบาเอ่ยข้างใบหู ตอนแรกเจ้าตัวก็ว่าจะกระทุ้งศอกให้อีกฝ่ายคลายอ้อมกอด แต่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกได้ถึงความจริงใจ และน้ำเสียงนั่นก็ทำให้นึกถึงวันนั้นในอดีตที่เคยมาด้วยกัน...
*-*-*-*-*-*-*-*
อยู่ที่ริ่มฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณครึ่งชั่วโมงต๋องก็พาทั้งสองคนกลับมาที่บ้าน
“คุณย่าคะน้องอันดากลับมาแล้วว” เด็กหญิงตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปกอดผู้เป็นยายทันทีที่ลงจากรถ ส่วนพ่อและแม่ก็เดินตามหลังมาติดๆ
“คุณพ่อพาไปไหนมาเนี่ย” ปิ่นแก้วถามหลานสาว
“พาไปดูแม่น้ำมาค่ะ น้องอันดาชอบมากสวยที่สุดเลย” อันดาโม้ให้ยายฟัง
“อยากไปอีกไหมล่ะ”
“อยากสิคะ”
“ถ้างั้นน้องอันดาต้องเป็นเด็กดีนะคะ”
“ได้เล้ยย น้องอันดาจะเป็นเด็กดีทุกวันเลยค้า”
“เอากระเป๋าไปเก็บก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว ยายทำของโปรดน้องอันดาไว้เยอะเลย”
“เย้! คุณพ่อกินข้าวกับอันดาด้วยนะคะ” เด็กหญิงหันไปหาผู้เป็นพ่อ
ต๋องหันไปมองหน้าไอร์ทันทีเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบใจเอา วันนี้ยิ่งขัดใจเจ้าตัวมาหลายเรื่องแล้ว
“ก็แล้วแต่” พูดแล้วก็พาลูกสาวไปเปลี่ยนชุดด้านบน
ต๋องยิ้มกว้างเมื่อได้รับอนุญาตเป็นนัยๆ
ปิ่นแก้วเองก็พอจะดูออกว่าตอนนี้ลูกชายเริ่มจะใจอ่อนลงบ้างแล้ว เธอก็หวังว่าอีกไม่นานคงจะได้มีลูกเขยอย่างเป็นทางการกับเขาเสียที
ต๋องช่วยว่าที่แม่ยายจัดโต๊ะจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นไม่นานแม่กับลูกก็เดินลงมาพร้อมกันในชุดไปรเวทใส่สบายๆ
“เชิญเลยคร้าบบบ” ต๋องเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้กับลูกสาวแล้วตามด้วยคนรัก แต่เจ้าตัวจับที่เก้าอี้ไว้ไม่ยอมรับความหวังดีจากอีกฝ่าย
“ทำอย่างกับอยู่บ้านตัวเองงั้นล่ะ” พูดแล้วก็เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้
“ตอนนี้อาจจะไม่ใช่แต่วันหน้าก็ไม่แน่นะคร้าบบบ”
“อย่าหวังซะให้ยาก”
“เอาล่ะๆ กินข้าวกันเถอะ” ปิ่นแก้วส่ายหน้าให้กับความพ่อแง่แม่งอนของทั้งสองคน
ทุกคนลงมือทานข้าวเย็นมื้อพิเศษพร้อมกับแขกที่ไม่ค่อยอยากจะรับเชิญของไอร์ เด็กหญิงอันดาแลดูจะมีความสุขกับทุกๆ วันหลังจากที่ได้รู้ว่าตัวเองมีพ่อเหมือนกับคนอื่นๆ แล้ว อีกทั้งเจ้าตัวเล็กยังเป็นกาวใจเชื่อมความสัมพันธ์ของพ่อและแม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
“น้องอันดาทานเยอะๆ นะคะจะได้โตเร็วๆ” ต๋องว่าพลางตักกับข้าวให้ลูกสาว
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ ตักให้คุณแม่บ้างสิคะ”
ต๋องมองหน้าอีกคนทันทีเพราะกลัวจะโดนปฏิเสธเหมือนก่อนหน้านี้
“แม่ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนอันดาซะหน่อย แม่ตักเองได้ค่ะ” ไอร์บอกกับลูกสาว
“แต่คุณแม่ก็เป็นเมียคุณพ่อไม่ใช่เหรอคะ” เด็กหญิงพูดตาแป๋ว
ต๋องและปิ่นแก้วได้ยินก็ถึงกับขำออกมาพร้อมกัน แต่ไอร์กลับหน้าแดงก่ำซะอย่างนั้น
“ใครบอกให้พูดอย่างนี้ห๊ะอันดา ทีหลังห้ามพูดอีกนะคะเข้าใจไหม”
“เพื่อนๆ ที่โรงเรียนเขาก็พูดกันอย่างนี้ ถ้าไม่มีคุณพ่อน้องอันดาก็ไม่ได้เกิดมาใช่ไหมคะ” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุอันดากลับเริ่มยิงคำถามที่ทำให้ผู้เป็นแม่หน้าแดงมากยิ่งขึ้น นั่นช่างถูกใจพ่อที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ซะเหลือเกิน
“ย้ายโรงเรียนซะเลยดีไหมเนี่ย เด็กขนาดนี้มาพูดเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“ไม่เอานะคะน้องอันดาไม่ย้ายโรงเรียนนะ” เจ้าตัวรีบพูดโต้กลับทันควัน
“ถ้าไม่อยากย้ายก็ห้ามพูดเรื่องอย่างนี้อีกนะ”
“ค่ะคุณแม่”
“ทำไมชอบดุลูกอยู่เรื่อยเลย อันดาพูดถูกแล้วเราเป็นผัวเมียกัน จะอายทำไมเนี่ยดีซะอีกลูกเราฉลาดขนาดนี้...ใช่ไหมคะอันดา” ต๋องพูดเอาใจลูกสาว
“ก็กูไม่ยอมรับมึงเป็น....เอ่อ...” เมื่อถึงคำท้ายประโยคเจ้าตัวกลับอ้ำอึ้งไม่กล้าพูดออกมา
“แต่กูยอมรับมึง...ให้มาเป็นทุกอย่างในชีวิตกูนะ” แม้จะอยู่บนโต๊ะทานข้าวแต่ต๋องก็ไม่อายที่จะกุมมือคนรักเอาไว้แน่น ไอร์พยายามดึงมือกลับแต่ต๋องไม่ยอม
ปิ่นแก้วและอันดาหันไปยิ้มให้กันอย่างพอใจ
“อือ หึ้ม” ปิ่นแก้วกระแอมไอเมื่อเห็นทั้งสองคนนิ่งเงียบ
“เอ่อ...ขอโทษนะครับแม่ที่เสียมารยาทบนโต๊ะอาหาร”
“ไม่เป็นไรจ๊ะแม่ไม่ถือ” ปิ่นแก้วยิ้มให้
“แม่อ่ะแทนที่จะหวงลูกตัวเอง” ไอร์มองค้อนใส่ผู้เป็นแม่
“ทำไมแม่จะไม่หวงล่ะไอร์ แต่ต๋องก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลซะหน่อย”
“สำหรับแม่อาจจะไม่ใช่ แต่สำหรับผมใช่” เจ้าตัวส่งสายตาพิฆาตไปให้ทันที
“ต๋องสู้ๆ นะลูกอย่าเพิ่งท้อล่ะ” ปิ่นแก้วพูดให้กำลังใจว่าที่ลูกเขย
“คุณแม่!” ยิ่งได้ยินอย่างนั้นไอร์ยิ่งงอนแม่หนักเข้าไปใหญ่
“แม่ไม่ได้เข้าข้างใครนะ แต่แม่กลัวต๋องจะท้อไปซะก่อน เพราะดูท่าทางลูกแม่จะใจแข็งซะเหลือเกิน”
“ขอบคุณแม่มากๆ นะครับผมจะสู้ไม่มีถอยเลยครับ”
“สู้ๆ นะคะคุณพ่อ”
“โอ๊ยทุกคนเป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย!” ไอร์รู้สึกหงุดหงิดที่โดนแย่งพรรคพวกไปหมด จึงลุกขึ้นเดินออกไปหน้าบ้านทันที
“ตามไปสิคะคุณพ่อ” เหมือนกับว่าทั้งลูกสาวและว่าที่แม่ยายต่างก็เอาใจช่วยเต็มที่
ต๋องยิ้มให้แล้วเดินตามออกไปทันที เมื่อมาถึงก็พบเจ้าตัวยืนกอดอกทำหน้าบึ้งอยู่หน้าบ้าน ต๋องเดินย่องเข้าไปคว้าหมับเข้าที่เอวก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น
“เหี้ย! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ” กำปั้นน้อยๆ พยายามทุบเข้าที่แขนรัวๆ
“ไม่ปล่อย!” เสียงเข้มเอ่ยที่ข้างใบหูจนคนที่โดนกอดอยู่ขนลุกชัน
“ถ้าไม่ปล่อยกูจะร้องให้แม่ได้ยิน”
“ร้องเล้ยย ก็แม่นั่นล่ะบอกให้กูตามมึงมา”
“แม่นะแม่” ไอร์บ่นอุบอิบเสียงเบา ไม่นึกเลยว่าจะเข้าข้างคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง ลูกสาวก็อีกคนตั้งแต่มีพ่อเข้ามาในชีวิต เขาก็ดูเหมือนจะมีบทบาทน้อยลงไปเรื่อยๆ
“อย่าโทษแม่เลย โทษกูเถอะที่รักมึงมากเกินไป”
“กูจะอ้วกอย่าพูดให้ได้ยินอีกเด็ดขาดเลย”
“ทำไมเหรอกลัวจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ไง”
ฟอดด!!!!
พูดแล้วก็หอมแก้มฟอดใหญ่จนคนที่อยู่ในอ้อมกอดหน้าแดงขึ้นมาทันที
“ไอ้คนฉวยโอกาส”
“ยังน้อยกว่าที่มึงทำกับกูซะอีก”
“กูทำอะไรลืมไปหมดแล้วเว้ย”
“ถ้าจำไม่ได้กูจะเตือนความจำให้มึงเอง” ต๋องจับมือเรียวเข้ามาล้วงในกางเกงของตัวเองทันที
“อี๋!! ปล่อยมือกูเดี๋ยวนี้นะ” ไอร์ทำหน้ารังเกียจขยะแขยงซะเต็มประดา
“ทีตอนนั้นกูปั่นจักรยานมึงยังมาล้วงไข่กูเล่นเลย มึงจำไม่ได้เหรอ ฮึ”
“นั่นมันสมัยเด็กๆ เว้ยตอนนี้โตจนมีลูกกันแล้วยังจะมาเล่นแบบนี้อีก” เจ้าตัวโวยวาย
“ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้มึงกูเป็นไอ้ไอร์ของกูเสมอไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเว้ย” ต๋องเอ่ยข้างใบหูเสียงเบาก่อนจะปล่อยมือข้างที่ถูกล้วงให้เป็นอิสระ
“.............” ไอร์นิ่งไม่ยอมพูดอะไร ในใจก็คิดว่าทำไมเขาต้องกีดกันต๋องออกจากชีวิตขนาดนี้ด้วยนะ ในเมื่อตอนนี้ใจมันก็เรียกร้องให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมอยู่ทุกๆ วัน
“ขอโอกาสให้กูดูแลมึงกับลูกเถอะนะ พ่อกับแม่กูท่านก็เร่งให้กูพามึงกับลูกไปกราบท่านที่บ้านให้ได้”
“ตอนนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับกูแล้ว.....”
“หมายความว่าไงวะ” ต๋องทำหน้าสงสัย
“ขึ้นอยู่กับมึงว่าจะมีความพยายามมากแค่ไหนต่างหาก” คนที่อยู่ในอ้อมกอดอมยิ้มเมื่อพูดจบประโยค
“หมายความว่ากูยังมีโอกาสใช่ไหมวะ มึงให้โอหาสกูใช่ไหมไอร์!” เจ้าตัวพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ก็แล้วแต่จะคิด...ถ้ากูไม่เห็นหน้ามึงทุกวันโอกาสมันก็จะริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ”
ต๋องยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าความพยายามเริ่มได้ผลบ้างแล้ว ยิ่งรู้อย่างนั้นยิ่งกระชับอ้อมกอดเอาไว้แน่น ใบหน้าก็คลอเคลียที่ต้นคอขาวอย่างซุกซน
“พอได้แล้วกูจะเข้าไปละ ป่านนี้แม่กับอันดาคงกินข้าวเสร็จแล้ว” ไอร์พยายามแกะมือออก
“ก็ได้ครับ ผมยอมตามใจเมียทุกอย่างเลย”
ไอร์ที่กำลังยืนหันหลังให้อมยิ้มแล้วเดินนำหน้าเข้าไปในบ้าน โดยมีชายหนุ่มรูปร่างกำยำเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามหลังไปติดๆ
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*