:: ๒ ::
ความฝัน
ถึงแม้ต๋องและไอร์จะมีความชอบเหมือนกันในหลายๆ อย่างแต่สิ่งที่แตกต่างกันนั่นคือกีฬา ต๋องเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ส่วนไอร์ไม่ชอบเล่นกีฬาแม้แต่ชนิดเดียว วันไหนที่เพื่อนไปเล่นฟุตบอลในช่วงเที่ยงที่โรงยิม ไอร์ก็จะนั่งทบทวนตำราเรียนรอในห้องอยู่คนเดียวเป็นประจำ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมไอร์จึงมีผลการเรียนเป็นอันดับหนึ่งของห้อง
“ทำไมผู้ชายถึงท้องไม่ได้เหมือนผู้หญิงนะ” ตอนนี้ไอร์กำลังนั่งอ่านวิชาชีววิทยาเรื่องระบบสืบพันธ์ุ นั่งอ่านได้สักพักก็เกิดความสงสัยว่าทำไม ผู้ชายถึงไม่สามารถตั้งท้องได้เหมือนผู้หญิง ทั้งๆ ที่ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน “มดลูกกับรังไข่งั้นเหรอ ถ้าผู้ชายมีก็สามารถตั้งท้องได้สินะ” เจ้าตัวทำท่าคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว นั่นคือความคิดของเด็กชั้นมอปลาย ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่ถูกสร้างขึ้นมาจากธรรมชาติ
“เหี้ย!” อยู่ๆ เจ้าตัวก็ต้องร้องเสียงหลงออกมา เมื่อมีมือปริศนามากอดรัดที่เอวคอดเอาไว้ ตอนนี้ต๋องแทรกตัวเข้ามานั่งซ้อนหลังบนเก้าอี้ โดยใส่กางเกงนักเรียนเพียงตัวเดียวส่วนเสื้อพาดที่บ่าเอาไว้ รูปร่างกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ขึ้นรูปชัดเจนบวกกับเนื้อตัวที่เปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ สัมผัสที่หลังของไอร์อย่างแนบแน่น
“ทำไมตัวมึงห๊อมหอมวะ” ใบหน้าคมยื่นเข้ามาสูดกลิ่นที่ซอกคอของไอร์อย่างถือวิสาสะ เจ้าตัวไม่รอช้ารีบฟาดไปที่กลางศีรษะเพื่อนเต็มแรง
“เพราะตัวมึงเหม็นไอ่สาดออกไป๊”
“ไอ้ไอร์นี่มึงกล้าเล่นหัวกูเหรอวะ เดี๋ยวมึงโดนกูแน่” ไม่พูดพล่ำทำเพลงต๋องก็เอานิ้วมือไปจี้ที่เอวเพื่อนทันที ไอร์อยู่ไม่สุขเริ่มดิ้นพล่านจนเก้าอี้โคลนเคลน
“ฮ่าๆ ๆ ไอ้ต๋องกูจั๊กจี้หยุดสิวะ ฮ่าๆ”
“ไม่จนกว่ามึงจะขอโทษกูก่อนที่มึงบังอาจมาตบหัวกู” เจ้าตัวไม่ยอมปล่อยให้เพื่อนเป็นอิสระได้แม้แต่น้อย มือหนึ่งก็กอดที่เอวไว้ส่วนอีกมือก็จี้เอวไปเรื่อยๆ
“มึงเป็นเพื่อนกูจะต้องขอโทษทำไมวะ ทีมึงทำกูไว้เยอะกว่านี้กูยังไม่บังคับให้มึงมาขอโทษกูเลย”
“แต่มึงเป็นเพื่อนที่อยู่ในโอวาทกูไงวะ กูสั่งอะไรมึงต้องทำ”
“ไม่โว้ย ปล่อยกูเดี๋ยวนี้กูเหม็นเหงื่อมึงจะแย่แล้วเนี่ย” เหงื่อเกือบทุกเม็ดของต๋องถูกซับไปด้วยเสื้อนักเรียนของไอร์จนเกือบหมดแล้ว
“เหม็นเหรอ ได้! งั้นกูจะให้มึงเหม็นกว่านี้อีก” ต๋องรีบดันศีรษะเพื่อนเข้ามาดมที่รักแร้ของตัวเองทันที
“อี๋!!! ไอ้เหี้ยต๋อง” ไอร์พยายามกลั้นหายใจเอาไว้ พร้อมกับหลับตาปี๋ ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีก็หัวเราะชอบใจอย่างอารมณ์ดี
ถุย!
เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วไอร์ก็ถ่มน้ำลายใส่รักแร้เพื่อนทันที มีหรือที่ต๋องจะไม่ยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
“ฮ่าๆ ๆ เป็นไงล่ะอยากแกล้งกูดีนัก” ไอร์รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วยืนหัวเราะเยาะเพื่อนเสียงดังท่วมห้อง
“อี๋...ไอ้สกปรก มึงกล้าถ่มน้ำลายใส่จั๊กแร้กูได้ไงวะ” ต๋องง้างแขนไว้ไม่กล้าหุบลงมา สีหน้าบิดเบี้ยวรังเกียจน้ำลายที่เปื้อนอยู่ที่ง่ามแขนซะเต็มประดา
“หายกันกับที่มึงมาทำให้เสื้อนักเรียนกูเหม็นเหงื่อมึงไปด้วย รีบๆ ไปล้างตัวเร็วเดี๋ยวอาจารย์ก็เข้ามาสอนแล้วเนี่ย” ไอร์ปัดมือไล่เพื่อนขณะที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มไม่ยอมหยุด
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” ต๋องชี้หน้าเพื่อนก่อนจะรีบวิ่งแจ้นออกไปล้างตัวที่ห้องน้ำ
“รีบกลับมาเอาคืนนะโว้ย” ไอร์ตะโกนตามหลังเพื่อนไป ก่อนจะอมยิ้มอยู่คนเดียว
ทำไมเวลามึงถึงเนื้อถึงตัวกูหัวใจมันต้องสั่นแปลกๆ ด้วยวะ....
*-*-*-*-*-*-*-*
เวลา 15.30 น.
“รีบเก็บกระเป๋าเร็วเดี๋ยววันนี้กูพาไปเที่ยว” ต๋องยืนยิ้มแฉ่งรอเพื่อนอยู่ก่อนแล้ว
“กูไปไม่ได้วันนี้ก็ต้องไปช่วยแม่ขายของ” เจ้าตัวรีบปฏิเสธไป
“ไม่ต้องห่วงก็โทรขออนุญาตแม่มึงตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว” ต๋องยักคิ้วให้เพื่อน
“ไอ้เพื่อนเลวทำอะไรไม่ไปรึกษากูเลย ถึงยังไงกูก็ไม่ไปอยู่ดีโว้ย” เมื่อเก็บสัมภาระเสร็จแล้วไอร์ก็รีบลุกขึ้นยืนสะพายกระเป๋าทันที
“อย่าดื้อได้ไหมวะ วันนี้กูตั้งใจจะพามึงไปเปิดหูเปิดตาซะหน่อย ไปกับกูเถอะนะขอร้องล่ะ” ต๋องทำท่าทางงอแงอย่างกับเด็กซะเต็มประดา
“ถ้ากูยังยืนยันจะไม่ไปล่ะ” ไอร์เหลือบตามองเพื่อนเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นต่อ
“ถ้ามึงไม่ไปกับกู...” ต๋องพูดเสียงเข้มก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาหา “ก็จะจับมึงทำเมียตรงนี้ล่ะ หึๆ”
“มะ...มึงไม่กล้าหรอกอย่ามาขู่กูซะให้ยาก” ไอร์มั่นใจว่ายังไงเพื่อนก็ไม่มีทางทำเรื่องอย่างนั้นแน่ เขายืนยิ้มระรื่นเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร
“มึงคิดว่าคนอย่างกูจะไม่กล้าจับมึงกดอย่างนั้นเหรอวะ ยิ่งตัวเล็กๆ อยู่ด้วยอย่างนี้ถนัดมือนักล่ะ” ต๋องแสยะยิ้มจนไอร์เริ่มกลัวขึ้นมาแต่เจ้าตัวก็ยังทำใจดีสู้เสือต่อไป
“เอาซี้มึงจะได้รู้ว่ากูก็ไม่ใช่เล่นๆ”
“อย่างนั้นเหรอวะ” พูดจบก็กอดตัวเพื่อนแล้วปล้ำลงที่พื้น
“ไอ้เหี้ยต๋องมึงบ้าไปแล้วเหรอวะ เสื้อกูเลอะไปหมดแล้วเนี่ย” ไอร์เริ่มโวยวายเสียงดัง แต่หลังจากนั้นก็ต้องเงียบปากเอาไว้เพราะตอนนี้ใบหน้าคม โน้มลงมาอยู่ใกล้แค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
“กูจะให้โอกาสมึงอีกครั้ง มึงจะยอมไปกับกูไหม?” เจ้าตัวเริ่มพูดเสียงต่ำเหมือนพยายามต้อนให้อีกฝ่ายจนมุม
“ถ้ากูตอบว่าไม่ล่ะ มึงก็รู้ว่าแม่กูไม่มีคนช่วยขายของ”
“ก็แค่วันเดียวเองกูขอแม่มึงให้แล้วด้วย อย่าให้กูต้องจับมึงกดจริงๆ นะไอ้ไอร์ ตามใจกูสักวันเถอะน่า”
“มึงไม่กล้าหรอกโว้ยกูเป็นผู้ชายอกสามศอกเหมือนมึงทุกอย่าง มีจู๋แถมใหญ่กว่ามึงด้วย มึงจะกล้าเอากูได้ลงคอก็ให้มันรู้ไป” เจ้าตัวยิ้มเยาะเพราะคิดว่ายังไงเพื่อนก็ไม่มีทางทำเรื่องอย่างว่าแน่นอน
“ไอ้อ่อนมึงรู้จักกูน้อยไปซะแล้ว ไหนว่าใหญ่กว่ากูขอดูหน่อยสิ” ต๋องรีบถอดเข็มขัดเพื่อนอย่างรวดเร็ว จนมือน้อยๆ นั่นรีบมาจับตะขอกางเกงเอาไว้ด้วยความหวงแหน
“พอแล้วๆ กูยอมไปกับมึงแล้ว” ในที่สุดไอร์ก็ยอมความร้ายกาจของเพื่อนไม่ไหว
“ก็แค่นั้นทำเป็นเล่นตัวอย่างกับผู้หญิงไอ้ห่า” ต๋องรีบลุกขึ้นแล้วปัดมือไล่ฝุ่นทันที ก่อนจะยืนมือมาให้คนที่นั่งอยู่จับเพื่อดึงให้ลุกขึ้นตาม
“มึงนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ”
“กูนึกว่ามึงรู้ตั้งนานแล้วซะอีก” ต๋องยิ้มให้เพื่อนแล้วกอดคอเดินลงไปข้างล่าง
เมื่อนั่งรถมาถึงที่หมายแล้วทั้งสองก็เดินตรงมาที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทันที บรรยากาศช่วงเย็นๆ มีผู้คนจำนวนมากที่มานั่งรับลมกันอย่างหนาตา ม้านั่งริมตลิ่งแทบไม่มีที่ว่าง ทั้งสองจึงยืนพิงราวกั้นแล้วชมทิวทัศน์สวยๆ ของวัดพระแก้วและวัดโพธิ์ฝั่งตรงข้าม
“ทำไมมึงพากูมาที่นี่วะ” ไอร์หันไปมองหน้าเพื่อนที่ยังคงจ้องมองไปข้างหน้าอย่างสบายใจ
“มึงเป็นเพื่อนที่กูรักที่สุดในฃีวิต กูถึงกล้าบอกกับมึงได้ทุกเรื่อง รู้รึเปล่าวันนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว ป๊ากับม๊าพาเคยกูมานั่งเล่นที่นี่วันนั้นกูมีความสุขมากที่สุดในชีวิต โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายที่พวกกูจะได้มาเที่ยวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน มึงยังคงไม่รู้ว่าที่จริงแล้วป๊ากับม๊ากูมีครอบครัวใหม่ตั้งนานแล้ว แต่ที่อยู่ด้วยกันก็เพราะหน้าตาทางสังคมและเพื่อตัวกูด้วย” เจ้าของเสียงมีใบหน้าเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงครอบครัวที่แตกแยก บางครั้งเขารู้สึกเหมือนเป็นตัวถ่วงในชีวิตของพ่อกับแม่ เพราะหากไม่มีเขาสักคนทั้งสองคนก็คงใช้ชีวิตกับครอบครัวใหม่ได้อย่างเต็มที่
“อย่าทำหน้าเศร้าสิวะ มึงยังมีกูอยู่ข้างๆ ยิ้มสิวะยิ้มๆ” ไอร์เอื้อมมือไปจับที่มุมปากของเพื่อนยกขึ้น แล้วก็ยิ้มตาม
“ถ้าชีวิตกูไม่มีมึงอยู่ข้างๆ กูจะอยู่ได้รึเปล่าวะ” ต๋องหันมาถามเพื่อน
“อยู่ได้สิวะเพราะมันจะไม่มีวันนั้น ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
“ในอนาคตพวกเราก็ต้องมีชีวิตของใครของมัน มึงจะอยู่กับกูได้ตลอดไปจริงๆ เหรอวะ” ต๋องถามเพื่อนด้วยความไม่แน่ใจ เขารู้สึกว่าไอร์คือส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว มันเกินคำว่าเพื่อนแต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าขาดไอ้เพื่อนตัวดีคนนี้ไม่ได้
“กูไม่มีทางออกไปจากชีวิตมึง ยกเว้นว่ามึงจะเป็นคนบอกกูไปจากชีวิตมึงเอง” ไอร์ให้สัญญากับเพื่อน
“กูจะทำอย่างนั้นทำไมวะในเมื่อชีวิตกูขาดมึงไม่ได้ขนาดนี้ไอ้ไอร์”
“ถ้าถึงขนาดนั้นมึงมาเป็นเมียกูเลยไหมวะ ฮ่าๆ ๆ” ไอร์พยายามสร้างบรรยากาศให้ดูสนุกสนานขึ้นมา
“มึงนั่นล่ะที่ต้องมาเป็นเมียกู ตัวแค่นี้กูจับกดได้สบายๆ อย่าทำเป็นเก่งๆ” ต๋องชี้หน้าเพื่อน
“อย่าทำเป็นเก่งไปไอ้ต๋องมึงเคยได้ยินจิ๋วแต่แจ๋วไหมวะ”
“เคยได้ยินแต่มันใช้ไม่ได้สำหรับมึงโว้ย” ต๋องยื่นหน้าหล่อเข้ามาใกล้ๆ จนทั้งสองเผลอจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง ต๋องค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่ไอร์กลับตั้งสติได้ทันก่อนจะผละหน้าออกไปมองที่แม่น้ำเจ้าพระยาแทน
“วันนี้วิวฝั่งโน้นสวยจังเลยนะมึงว่าไหม”
“อืม..สวยมากเอาไว้วันหลังกูจะพามึงมาอีกดีไหมวะ” ต๋องเอ่ย
“ไม่เอา...กูต้องเป็นคนพามึงมาสิวะ วันนี้ในทุกๆ ปีเดี๋ยวพ่อจะพาลูกมาเองนะครับคนดี” ไอร์ตบที่ท้ายทอยของเพื่อนเบาๆ
“ได้ครับพ่อ ถุ๊ย! มึงชักจะมากเกินไปแล้วนะไอ้ไอร์” ต๋องเบิ๊ดกะโหลกเพื่อนคืนซะเต็มแรง จนศีรษะโน้มไปข้างหน้าตามแรงมือ
“เป็นลูกมาตบหัวพ่อได้ไงวะ ไอ้ลูกทรพี” ไอร์ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ
“เดี๋ยวกูจะเป็นลูกคนแรกในโลกที่เอาพ่อทำเมียลองไหมล่ะ” พูดจบก็เดินเข้ามาประชิดจนใบหน้าหล่อทั้งสองห่างกันแค่เพียงนิดเดียว
ไอร์ทำท่าอึกอักเพราะรู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก
ไอ้เพื่อนเลวทำไมมึงชอบทำให้หัวใจกูสั่นอยู่เรื่อยเลยวะ...
“ทำไมมึงถึงชอบพูดว่าจะจับกูทำเมียบ่อยจังวะ กูยั่วสวาทมึงขนาดนั้นเลยเหรอวะไอ้ต๋อง” ไอร์ถามออกไปตรงๆ
“ก็มึงยั่วเยกูไง”
“ตรงไหนวะ” เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้ไอ้เพื่อนตัวดีพิศวาสตอนไหน
“ทุกตรง! เวลากูพูดอย่างนี้แล้วหน้ามึงตลกอ่ะ ฮ่าๆ ๆ”
“ตลกพ่องมึงดิ” ปากไวเท่าความคิด ไอร์รีบด่าเพื่อนกลับทันที
“เอ๊ะ! ไอ้นี่ด่าพ่อกูอีกแล้ว มึงโดนดีแน่” พูดแล้วก็เอานิ้วชี้ไปจิ้มที่เอวเพื่อน เพราะรู้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีคนนี้มันบ้าจี้มากขนาดไหน
“ฮ่าๆ ๆ โอ๊ยๆ กูยอมแล้วๆ ๆ ขอโทษครับคุณชายต๋อง” หลังจากโดนรุกหนักไม่เลิก ไอร์ก็ยกมือไหว้เพื่อนปรกๆ หากไม่ยอมศิโรราบมีหวังได้ขาดใจตายตรงนี้แน่นอน
“ถ้าขืนมึงยังปากดีอยู่อีกคราวนี้กูจัดมึงจริงๆ แน่” ต๋องชี้หน้าเพื่อนทีเล่นทีจริง
“คร้าบๆ ๆ ผมจะไม่ทำผิดซ้ำสองแล้วครับเจ้านาย” ไอร์ก้มหัวให้รัวๆ
“ดีมาก เชื่อป๋าแล้วทุกอย่างจะดีเอง มายืนใกล้ๆ ป๋าดิ๊” เจ้าตัวกวักมือเรียก ไอร์เห็นอย่างนั้นก็เดินเข้าไปเอาใจเพื่อนโดยการยืนข้างๆ จนทั้งสองร่างแทบไม่มีช่องว่างระหว่างกัน
“มีอะไรครับป๋า” ไอร์เอียงศีรษะไปซบไหล่เพื่อนพยายามอ้อนเต็มที่
“อนาคตมึงอยากเป็นอะไรวะ” อยู่ๆ ต๋องก็ถามถึงอนาคตอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไอร์ผงกศีรษะขึ้นแล้วมองหน้าเพื่อนทันที
“อนาคตหรอ...กูอยากเป็นหมอกูจะได้ดูแลแม่กูได้”
“เก่งๆ อย่างมึงจะเลือกเรียนอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“แล้วมึงล่ะอยากเป็นอะไร” ไอร์ถามกลับ
“ป๊าม๊าอยากให้เรียนบริหารแล้วมาช่วยกิจการที่บ้าน แต่กูคงไม่เอาด้วยเพราะกูอยากเป็นวิศวกร จะสาขาไหนก็ได้กูชอบ แต่ไม่รู้จะสอบติดรึเปล่าน่ะสิกูเรียนไม่เก่งเหมือนมึงนี่นา”
“เหลือเวลาอีกตั้งหลายปีกูจะช่วยติวให้มึงเอง ขอแค่มึงตั้งใจซะอย่างความสำเร็จจะไปไหนเสียไอ้เพื่อนรัก” มือน้อยๆ ยกขึ้นไปกอดคอเพื่อนรักเอาไว้อย่างเก้ๆ กังๆ เพราะสวนสูงที่ต่างกันมาก
“กูขอบใจมึงมากนะเว้ย แต่มึงช่วยเอามือลงจากคอกูได้ป่ะ” ต๋องหันมายิ้มให้เพื่อน
“ทำไมวะ” ไอร์มองหน้าเพื่อนแล้วกะพริบตาปริบๆ
“กูรำคาญน่ะสิ ตัวก็เตี้ยเสือกกระแดะอยากมากอดคอกู” ต๋องยกมือเพื่อนลงมาไว้ที่ข้างลำตัว ก่อนจะเอื้อมมือหนาไปกอดคอเพื่อนแทน “ต่อไปนี้กูจะเป็นคนกอดคอมึงเอง...เข้าใจ๊”
“คร้าบบคุณชายต๋อง”
“กลับกันเถอะเดี๋ยวแม่มึงจะรอนานจริงๆ แล้วกูไม่ได้โทรขออนุญาตท่านไว้หรอก ฮ่าๆ ๆ” เมื่อหลอกเพื่อนออกมาได้แล้วต๋องก็บอกความจริงออกไป
“ไอ้เหี้ยต๋องมึงทำอย่างนี้ได้ไงวะ ไอ้เพื่อนเลวกูจะไม่เชื่ออะไรมึงอีกแล้ว” เมื่อรู้ว่าเพื่อนโกหกไอร์ก็หน้าบึ้งขึ้นมาทันที ก่อนจะเดินดุ่มๆ ออกมาจากตรงนั้นเพื่อขึ้นรถ
“โอ๋ๆ ๆ อย่างอนนะครับคนดีของป๋า เดี๋ยวป๋าไปช่วยนะครับวันนี้”
“ป๋าแม่มึงดิกูอุตส่าห์ไว้ใจ” เจ้าตัวไม่ยอมอ่อนลง
“เค้าขอโทษน้า อย่าโกรธเค้าเลย ฮ่าๆ ๆ ขึ้นรถเร็วเดี๋ยวแม่ก็ด่าเอาหรอก” ต๋องหยุดขำไม่ได้ก่อนจะดันตัวเพื่อนขึ้นรถไป
บางครั้งคำว่าเพื่อนมันอาจจะน้อยเกินไป หากในอนาคตใจของใครคนหนึ่งมันเปลี่ยนแปลง