ตอนที่ 5
“วันนี้ก็จะไม่ตื่นจริงๆ เหรอครับ?”
ผมเอ่ยคำถามเดิมๆ ที่ผมมักจะใช้เอ่ยถามคุณชายเป็นประจำ แล้วเขายังคงตอบรับผมด้วยความเงียบหมือนเดิมเช่นกัน
ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะรับรู้ได้ไหมเวลาที่ผมพูดคุยด้วย แต่ก็เคยมีกรณีออกมาเหมือนกันไม่ใช่หรือ ว่าคนไข้นิทราบางคนสามารถได้ยินและรับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างรอบๆ ตัว
แค่หวังลึกๆ ว่าเขาจะรับรู้ได้บ้างเท่านั้น แม้เล็กน้อยก็ยังดี
“คุณชายครับ ถ้าไม่ตื่นในอีกวันสองวันนี่ เค้าจะส่งตัวคุณไปบ้านญาติแล้วนะ...”
“คุณก็รู้ว่าญาติคุณเขาไม่ค่อยเต็มใจที่จะรับผิดชอบ ถ้าเป็นงั้นจริงแล้วใครจะดูแลคุณล่ะครับ...”
“เพราะงั้นก็รีบๆ ตื่นขึ้นมาเถอะ คุณนอนหลับไปเป็นเดือนๆ แล้วนะ...”
“ถ้าไม่ตื่น หมอจะใช้คุณเป็นหนูทดลองเหมือนเดิมนะ...”
ยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ
แหม...ผมเกือบจะเป็นคนดีแล้วใช่ไหมล่ะครับ ฮ่าๆๆ
เห้อออ... ช่วยไม่ได้ล่ะนะ อย่างนี้ก็คงต้อง...
“อืม.....” ส่งเสียงในลำคออย่างครุ่นคิด
คาดผมหูแมวไม่เข้าอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ยังไงก็ต้องหูหมีเท่านั้น แต่ว่าลองให้ใส่หมวกพยาบาลดูก็ไม่เลวแฮะ...แต่ก่อนอื่นต้องหาวิกผมยาวมาใส่ให้เขาก่อนล่ะนะ
ผมจัดการหยิบของสะสมมาแต่งให้กับคุณชายอย่างสนุกมือ แล้วก็ทำให้ผมค้นพบว่าคุณชายเนี่ย แท้จริงควรจะเปลี่ยนชื่อเรียกเขาเป็นคุณหนูคุณนายแทน
ก็คนอะไรหน้าสวยเป็นบ้า ถ้าดูแต่หน้าไม่ดูหุ่น...เวลาที่สวมวิกผมยาวแล้ว บอกตามตรงว่าอย่างกับนางแบบลูกครึ่ง
หรือผมจะเรียกว่าเคสนี้เป็นเคส 'เจ้าหญิง' นิทราจริงๆ ดีเนี่ย?
ขณะที่คิดเรื่อยเปื่อย ผมก็นึกไปถึงวันที่หน้าทิ่มจนปากไปโดนคุณชายเข้า วันนั้นเขาดูจะมีปฏิกริยาตอบสนองจริงๆ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการตอบสนองอะไรเลย หัวใจมีแต่เต้นเนิบนาบ
ยิ่งเวลากระชั้นเข้ามา ผมก็ยิ่งกังวลมากขึ้นทุกที หรือว่าจะทดลองทฤษฎีจูบเจ้าหญิงนิทรานั่นต่อ?
โหย...ไม่เอาอ่ะ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว แล้วลืมไปแล้วหรือไงหมอจิ๊บ คุณชายเคยเป็นศัตรูหัวใจเชียวนะ!
...แต่มันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือไง?
เสียงความคิดฝั่งพ่อพระดังขึ้น ที่จริงแล้วอาจจะเป็นความคิดฝั่งที่รู้สึกผิดก็ได้
ความจริงแล้ว...ถ้าหากผมไม่ปล่อยปละละเลยคุณชายตอนมารักษา หากว่าใส่ใจอาการของคนไข้มากกว่านี้ เขาอาจะไม่ต้องขับรถอย่างอันตรายแบบนั้น
...ใช่
วันนั้นผมคิดว่าเขาคิดสั้นเพราะอาการซึมเศร้า
เขามีปัญหารุมเร้าหลายอย่าง และหลายอย่างก็บอกผมเป็นนัยๆ มาตั้งแต่ที่มารักษาอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ แล้ว แต่ผมก็ไม่ใส่ใจมันนัก
ทั้งที่อาการซึมเศร้าไม่ใช่อาการที่หมออย่างผมควรละเลย แต่อคติของผมในตอนนั้นก็บังตาเสียได้
ผมอาจจะไม่สนใจความจริงข้อนี้เลยก็ได้ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่หมออย่างผมแต่เป็นของจิตแพทย์มากกว่า ทว่า...คุณชายก็คิดชื่นชมผมจากใจจริง ผมยังจำรอยยิ้มของเขายามที่ขอบคุณผมได้อยู่เลย
ผมไม่อยากยอมรับว่าผมมีส่วนผลักเขาให้ไปสู่จุดนั้น แต่ผมก็ไม่อยากหนีความจริงข้อนี้ไปตลอดชีวิตเหมือนกัน หากไม่เผชิญหน้ากับมัน ผมคงใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้
เพราะงั้นผมอยากให้เขาตื่นขึ้น ตื่นมาดูว่าโลกใบนี้ยังมีอะไรให้รื่นรมณ์มากกว่าที่คิดนัก
แต่ในเมื่อเขาไม่มีอาการตอบสนองอะไร ลองใช้ทฤษฎีงี่เง่านั่นดูอีกทีดีไหม?
ผมไม่อยากคิดมากอีกแล้ว จะทำก็รีบทำ ผมรีบๆ เอาปากแตะปากคุณชายดูเผื่อจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงแบบวันนั้นอีก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
หรือว่าต้องเป็นจูบที่แอดวานซ์กว่านี้ฟะ?
“อืม....ไม่ลองก็ไม่รู้เว้ย!”
กลั้นใจ ลองประทับปากให้นานกว่าเดิม ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียง
ตี๊ดดดดดดดดดดดด
จากเครื่องวัดชีพจรดังขึ้น
หรือว่าทฤษฎีนี้จะได้ผลจริงๆ วะเนี่ย?
.
.
(มีต่อ)