ตอนที่ 30
ทุกอย่างเงียบ เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงของตัวอะไรสักอย่างร้อง เป็นเสียงที่ดังจี๊ดๆอยู่ในหู ผมมองหน้าคนตรงหน้า คนที่กำลังยกยิ้มให้กัน แต่ทว่าในแววตานั้นกลับมีเพียงแต่ความว่างเปล่า
มันเหมือนไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ
ดีนคนที่นัยน์ตามีแต่ความรู้สึกดูถูกยามที่มองมาหากันกับท่าทางเหนือกว่า แต่ในวินาทีนี้มันกลับไม่มีอะไรแบบนั้นอยู่เลย แต่นั่นแหละ... บางที ก็อาจจะเพราะกำลังเมา
‘ เออใช่ เมาแหละ พูดเหี้ยอะไรแบบนั้นออกมาได้ คงเมาแน่ๆ ’ คิดได้แบบนั้นผมก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปจ้องมันแบบจริงจัง “ ถ้ามึงเมาก็กลับบ้านไปนอน ” แต่ดีนก็แค่ยิ้ม “ ยิ้มเหี้ยอะไร นี่รู้มั้ยว่าพูดอะไรออกมา ”
“ โอเคๆ ” ตัดจบแค่นั้นด้วยเสียงที่เหมือนกับคนงัวเงีย ร่างที่ค่อยๆยืนหยัดด้วยขาตัวเอง มันผ่อนลมหายใจออกมา พลางหันไปอีกฝั่ง แล้วตอนนั้นเองที่ไอ้ซุงกับไอ้เวย์ก็เดินออกจากผับและกำลังตรงเข้ามาหา “ มึงไม่ใช่มั้ย งั้นกูจะลองถามเพื่อนมึงดู ”
ขาที่พยายามยืน ดีนใช้สติของตัวเองทั้งหมดที่มีทำทีเป็นจะเดินไปหาสองคนนั้น แต่ผมก็แค่ดันมันเอาไว้ก่อน ด้วยความไม่เข้าใจเลยว่า ตอนนี้มันคิดอะไรอยู่ และไม่เข้าใจเลยว่า มันจะทำอะไรแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน
“ เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ สติก่อนมั้ยไอ้สัด ” เสียงตะโกนที่ชวนให้อีกคนนิ่ง ไม่ต่างอะไรกับคนสองคนข้างหลังที่ถึงขั้นชะงัก ดีนหลุดหัวเราะออกมาในตอนที่จ้องหน้าผม
“ แล้วทำไมต้องดุด้วยอ่า ” สายตาของคนไร้สติมองกันอย่างล่องลอยในตอนที่ถามกลับมา ดีนมันยกยิ้มพลางเอียงหน้าไปมาแบบซ้ายทีขวาที “ หงุดหงิดอะไรขนาดนั้น แค่อยากลองเอง ก็ไม่ได้เหรอ ”
“ แล้วมันใช่เรื่องที่มันต้องลองมั้ย ใช่เรื่องที่มึงต้องเอาตัวไปเข้าแลกเหรอ ” ผมถาม ก่อนจะยกยิ้ม “ ทำไมวะ พอเค้าไม่เอา ก็คือจะปล่อยฟรีเลยว่างั้น นี่มึงไร้ค่าขนาดนั้นเลย ”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา สีหน้าที่เรียบนิ่งแปรเปลี่ยนไปเป็นความหงุดหงิด สายตาเล็กที่ไม่ต่างกันของเราจ้องมองกัน แต่แทนที่จะเถียงอะไรอย่างปกติ คนเมากลับแค่หันหลังหนี ดีนควานหากุญแจรถในกระเป๋าตัวเองแบบสะเปะสะปะ มือมันควานหาไปทั่ว
“ เมาขนาดนี้มึงยังจะขับรถออกไปเป็นภาระให้สังคมอีกเหรอ คนอื่นเค้าไม่ได้อยากจะตายไปกับมึงมั้ย ”
“ ด่าอยู่นั่น พอสักทีได้มั้ยไอ้สัด! ” เสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาจนชวนให้สะดุ้ง คนที่ตะโกนมาผ่อนลมหายใจออกมาพลางซบหน้าลงกับตัวรถ ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก แล้วตอนนั้นเองที่ผมจะได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ของคนที่ค่อยๆไหลลงไปนั่งยองอยู่ข้างๆกับรถของตัวเอง
“ ไอ้นี่ก็ไหลจัง ” พูดเหมือนติดตลกมือสองข้างก็ยกเช็ดมันออกไป
“ ก็ได้นะ ” ดีนเหลือบมองผมในตอนที่พูดคำนั้นออกมา
“ อะไร ”
“ ก็ที่มึงถามเมื่อกี้ไง ว่ามีอะไรกันมั้ย แล้วคำตอบของกูก็คือ ก็ได้นะ ” ยักไหล่ให้ในตอนที่พูดแต่เหมือนมันจะนิ่งไป “ กูน่ะ ไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว เพราะกูไม่ได้เสียเปรียบอะไรสักหน่อย ว่าแต่มึงเถอะ ”
“ อะไร ”
“ จะเอาจริงหรือเปล่าละ หรือแค่พูดออกมาพล่อยๆ ”
“ ไม่กลับคำอยู่แล้ว ” สายตาของคนที่ไม่เคยยอมแพ้เงยมองกันก่อนจะเว่าแบบนั้น ผมก็ได้แต่ยกยิ้ม “ เพราะถึงไม่ใช่มึง กูก็จะไปถามเพื่อนมึงอยู่ดี ”
“ เงี่ยนมากเลยว่างั้น ” ดีนไม่ตอบอะไรในตอนที่ผมถาม “ แต่ก็อย่าเลย ถ้าเป็นเพื่อนกู คงไม่หนำใจหรอก ” ผมบอก “ ถ้าเอากับใครสักคน เอากับกูที่เป็นศัตรูนี่แหละดีน เพราะมันดูชีวิตมึงไม่มีศักดิ์ศรีที่สุดแล้ว ”
รอยยิ้มที่ค่อยๆเหยียดยิ้มขึ้นมาตรงมุมปากเล็กๆ ดีนมันถอนหายใจในตอนที่เพื่อนของผมสองคนเดินมาถึง แววตานั้นก็หลับลง ลำตัวที่ค่อยๆไหลลงตามแรงโน้มถ่วง เหมือนคุมสติไม่ไหวนั้น ผมจำต้องดึงขาตัวเองเข้าไปกั้นไว้ที่ข้างตัวเองอีกฝ่าย กันไว้ไม่ให้มันล้มลงนอนบนพื้นหินสกปรก
“ ปวดหัวชิบหาย ลืมตาแทบจะไม่ขึ้นเลย ” ว่าแบบนั้นใบหน้านั้นก็ซบลงมาที่ขาของผม สายตาเรียวเล็กไม่มีทีท่าจะลืมตาขึ้นมา ดีนที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ คงร้อนรุ่มไปหมดทั้งร่าง ไม่นับความรู้สึกที่คงอยากจะอ้วกเอาทุกอย่างออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายทุกอย่างมันก็เลยอัดแน่นอยู่ในอก
“ สมควร ” พูดแค่นั้นแต่ขาก็ขยับเข้าไปแนบลำตัวอีกคนให้มากขึ้น ก่อนจะเกร็งไว้อย่างงั้นในตอนที่รู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่เหมือนจะเอนลงมามากกว่าเดิมจากคนไร้สติ
“ สภาพดูน่าหดหู่สัดๆ ” ไอ้ซุงเดินเข้ามาพลางเชิดหน้าไปยังคนเมาที่เจ้าตัวหมายถึง ส่วนไอ้เวย์มันยื่นบิลให้ผม ที่ก็ยื่นมือไปรับก่อนจะก้มหน้าลงมองรายจ่ายทั้งหมดนั้น
“ แดกเหมือนกลัวไม่ตายเร็วอะไอ้สัดซัดแต่ละตัว แรงๆทั้งนั้น ” ผมยกยิ้มพลางมองรายชื่อค็อกเทลที่อยู่บนกระดาษตรงหน้า
“ นี่มันตั้งใจมาเมาเลยนี่หว่า ” ก้มหน้าลงมองคนที่นั่งนิ่งๆแบบหมดสภาพ ก่อนจะพับบิลลงใส่กระเป๋าแล้วหันไปบอกเพื่อน “ เดี๋ยวกูโอนให้นะ รวมถึงของกูด้วย ”
“ อื้ม ”
“ แล้วนี่จะเอายังไง ” เราสามคนมองหน้ากันในตอนที่ซุงเอ่ยถามประโยคนั้น ผมเหลือบมองไปทั่วลานจอดรถ ในที่นี่ไม่มีใคร ไม่เอารถมา แล้วนั่นก็ทำให้ผมต้องคิดหนัก
“ โทรให้เพื่อนมันมารับมั้ย ไอ้อาร์มอะ ” เวย์มันเสนอทางออก ผมก็เหลือบมองก่อนจะส่ายหน้า
“ คงไม่จำเป็น ดีนมันจะไปห้องกู ”
“ ห๊ะ ? ” ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เสียงประสานของเพื่อนสองคนถามกันขึ้นมาเหมือนนัดหมาย
“ เออ ก็มันบอกแบบนั้น ว่าจะไปนอนห้องกู ”
“ แล้วมึงก็ให้มันไป ”
“ แล้วจะให้กูทำยังไงอะ ” ผมถามกลับ “ ให้มันขับรถกลับบ้านเองในสภาพแบบนี้ ? ”
“ ก็บอกอยู่ ว่าทำไมไม่โทรหาเพื่อนมัน ”
“ นี่โง่ หรือโง่มากเอ่ย ” หันไปถามไอ้ซุงอีกคนก็ทำทีเหมือนจะกำหมัดซัดใส่ผมแบบยิ้มๆ
“ เดี๋ยวเถอะไอ้สัด ”
“ ก็มึงถามเหมือนไม่คิด มึงก็รู้ว่ามันทะเลาะกับไอ้อาร์มที่ตอนนี้ก็เป็นผัวของเพื่อนกูอยู่ แล้วอีกอย่างกูไม่โทรไปบอกให้ไอ้เมี่ยงมันหงุดหงิดหรอก วันนี้วีรกรรมกูเยอะพอแล้ว ก็นี่แหละ การไถ่โทษของกูงายยย ” ยักคิ้วให้ในประโยคจบ แต่เหมือนคนที่ยังไม่เชื่อกันยังไงก็ยังไม่เชื่อกันอย่างงั้น ทั้งไอ้เวย์ไอ้ซุงหันหน้าไปคนละทาง “ ท่าทางแบบนั้นมันหมายความว่ายังวะไอ้สัด ”
“ หมายความว่าจะขึ้นถึงห้องมั้ย ไม่ใช่ต่อยกันอยู่ในลิฟต์นะหน้าเหี้ย ”
“ นี่ก็เกินไป ”
“ ไม่เกินหรอกจ้าเพื่อน กูเห็นเจอกันทีไร จะใส่หมัดกันตลอดเลย “
“ ก็แค่จะ ไม่เคยได้ใส่หมัดใส่มันสักที ” ผมเถียงกลับก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ มึงก็รู้ว่ากูสุภาพแค่ไหน ไม่มีทางหรอกไอ้ที่จะทำร้ายใคร ”
“ มีพื้นที่ตรงไหนให้กูขากถุยได้บ้างมั้ย ” ไอ้สัดซุงที่ทำทีเป็นมองซ้ายมองขวา ผมยกยิ้มกับท่าทางแบบนั้นก่อนจะพูดไม่ออกเสียง
“ หน้าเหี้ย ”
“ แล้วมึงจะเอามันกลับยังไง ” คำถามของไอ้เวย์ทำเอาผมคิดหนักอีกครั้ง เพราะมันเป็นคำถามที่ก่อนหน้านี้ผมก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน ครั้นจะให้ผมจอดรถของตัวเองไว้ ก็เกรงว่าจะไม่ได้ และจะให้จอดรถอีกคนไว้ก็เหมือนจะไม่ได้เหมือนกัน
“ รถแพงทั้งคู่ด้วยนะ ” ไอ้ซุงมันพูดยิ้มๆ “ เอาไงอะ ”
“ ช่วยขับรถกูไปที่คอนโดให้หน่อยได้มั้ย กูจะขับรถไอ้ดีนกลับเอง ” ผมบอกเพื่อนสองคนก็มองหน้ากัน เวย์มันพยักหน้ารับ
“ งั้นเดี๋ยวกูขับรถกูตามไป แล้วก็รับมึงกลับมาแล้วกันสัดซุง ”
“ โอเคตามนั้น ” โยนกุญแจรถของตัวเองให้อีกฝ่าย ไอ้ซุงไอ้เวย์แยกย้ายออกไปตามแผนที่วางไว้ ส่วนผมก็ย่อตัวลงประคองคนที่เหมือนจะหลับไปแล้วให้ลุกขึ้น “ ดีน ” เอื้อมมือตบแก้มมันเบาๆ แววตาเล็กก็ค่อยๆบรือตามอง
“ ถึงแล้วเหรอ ”
“ ถึงก็เหี้ยละ ลุกขึ้น ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับออกแรงดึงอีกคนขึ้นมาพิงรถของเจ้าตัว ผมจับไปที่หน้าขา แล้วพอมั่นใจว่ามันคือกุญแจมือมันก็ทำหน้าที่ล้วงเข้าไป แต่เหมือนคนเมาจะไม่ได้คิดแบบนั้น ดีนจับที่คอเสื้อของผมแน่นเหมือนมันจะคิดไปเป็นอย่างอื่นในความรู้สึกผม “ ใจเย็นก่อน ” กระซิบบอกอย่างงั้นก่อนจะผละตัวออกห่าง ผมชูกุญแจรถขึ้นตรงหน้ามัน “ แค่ล้วงกุญแจรถเอง ”
ดึงมือของคนที่ยังจับกันที่ปกเสื้อไม่ปล่อยไปไหน ลำตัวหนาที่เอนเอียงงุนงง ชวนให้ผมยกยิ้มกับการเข้าข้างตัวเองเมื่อครู่ แล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแต่อย่างใด
“ คือ ไม่ได้มีอารมณ์หรอกเหรอวะ ” ถามแบบนั้นก่อนจะหุบยิ้มลง เพราะดีนไม่ได้จับคอเสื้อแบบที่คิดเลย มันแค่เมา เมาจนยืนไม่อยู่ ก็เลยจับคอเสื้อกันไว้แบบที่ไม่ให้ตัวเองล้มลงไปไหน แล้วหน้าตาของคนตรงหน้า คือไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองกันด้วยซ้ำ “ โทษที หลงตัวเองไปหน่อ ”
แล้วก็ขอบคุณมากที่มึงไม่ได้สติขนาดนี้ ไม่งั้นคงโดนล้อไปทั้งชีวิตแน่นอน
กับคำที่มันคงออกมาในรูปแบบที่ว่า กูไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวมึงขนาดนั้นมั้ยไอ้สัด
“ ถ้าจะอ้วกบอกนะ ” ว่าแบบนั้นในตอนที่ยัดอีกคนตรงที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อย ส่วนผมที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ใช้เวลามองดูปุ่มต่างๆในรถที่ไม่เคยขับอยู่ไม่นาน ก็รีบถอยหลังออกไปจากที่จอดแล้วขับกลับคอนโดตัวเองไปแบบที่คันหลังคงแช่งแม่กันอยู่ไปหลายครั้ง ด้วยข้อหาที่กว่าจะออกรถได้ก็เนิ่นนานเสียเหลือเกิน
“ ให้กูช่วยพยุงมันขึ้นไปมั้ย ” ไอ้เวย์ที่เปิดประตูรถของตัวเองเอ่ยถามผม ในตอนที่เดินออกมาตรงที่ที่นั่งข้างคนขับ ส่วนรถของผมตอนนี้ไอ้ซุงก็จอดให้เรียบร้อยตรงที่ว่างข้างๆกัน มันเดินออกมาพลางโยนกุญแจให้
“ ให้กูช่วยพยุงไอ้ดีนขึ้นไปให้มั้ย ” คำถามเดียวกันกับอีกคน ผมก็ส่ายหน้าไปตามเดิม
“ ไม่ต้องหรอกกูไหว ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็ยักคิ้วตอบรับมาให้ “ โคตรหอมกลิ่นป้ายแดง บุญตูดกูจริงๆ ได้ขับเบนส์พี่เบส เกือบเฉี่ยวฟุตบาทแล้วเมื่อกี้ ตื่นเต้น ”
“ ตีนกูนะพูดเลย ”
“ ใช้ให้กูขับมาเองนะ ได้เหรอไอ้สัดประโยคนั้น ” ว่าแบบนั้นล้อๆ ผมก็ยกยิ้มพลางเก็บกุญแจรถของตัวเองใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกง “ กลับแล้วไอ้สัด ขอให้ไอ้สัดดีนอ้วกใส่พื้นห้องมัน ”
“ แล้วพอตื่นเช้ามันกูจะได้ถีบมันจมกองอ้วกนั่นแหละ ”
“ แค่คิดก็หายนะแล้วไอ้สัด ” เวย์มันว่าพลางส่ายหน้า “ คิดเหี้ยอะไรก่อนถึงเอามันมาที่ห้อง ”
“ แล้วจะให้กูทิ้งมันไว้ในผับให้โจรสาวเค้ามาล้วงกระเป๋ามันอีกเหรอไงละ ” ผมว่า “ ตามสโลแกนกูไง หน้าตาดีมีน้ำใจ โอเค๊ ? ”
“ ฟังแล้วปวดขี้ชิบหาย ไปละ ” ซุงมันเขี่ยหูตัวเองแบบที่รับไม่ค่อยได้ ก่อนมันสองคนจะโบกมือลาแล้วขับรถออกไป
ผมใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการพาคนเมาที่แทบจะไม่ขยับขาเดินเองเลยกลับมาที่ห้อง วินาทีที่ปล่อยอีกคนให้นอนลงบนโซฟากลางห้อง ผมถึงขั้นถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรง และแทบจะทรุดลงตรงนั้น
“ หนักชิบหาย ” เอ่ยบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ และรู้สึกตัวเองโง่ชิบหายที่บอกปัดความช่วยเหลือจากเพื่อนสองคนเมื่อครู่
ทั้งๆดูภายนอกก็ไม่ได้คิดว่าจะหนักอะไรเอาเบอร์นี้ มันก็รูปร่างดีแบบที่คนหุ่นเฟิร์มเค้าเป็นกัน หุ่นก็พอๆกับไอ้เมี่ยง ที่ตอนนั้นผมแบกมันตอนเมากลับไปที่ห้องแบบแทบจะอุ้มได้ แต่พอเป็นไอ้เหี้ยนี่ กลับคนละเรื่องเลย ตัวแม่งโคตรแน่น
ของทุกอย่างถูกวางลงบนโต๊ะ ผมเดินไปที่ครัว หยิบเอาแก้วขึ้นมากินน้ำเย็นๆให้ชื่นใจ ก่อนจะวางมันลงบนเค้าท์เตอร์ แล้วมองดูคนเมาที่ยังลงนอนนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ขยับไปไหน และทบทวนกับตัวเองว่า ควรจะทำอะไรต่อไปดี จะเช็ดตัวให้ หรือแค่ปล่อยให้มันนอนเรื้อนไปแบบนั้นจนถึงเช้า
“ อย่างหลังแล้วนะ ขี้เกียจ ” พูดกับตัวเองแบบยกยิ้ม ก่อนจะผละสายตาไปที่หน้าจอมือถือของตัวเองที่สว่างขึ้นมา ผมเดินไปดูมัน แล้วบนหน้าจอนั้นก็ปรากฏสายโทรเข้า “ แล้วนี่กูไปปิดเสียง ปิดสั่นมันตอนไหน ”
“ กว่าจะรับสายนะไอ้สัด ” ประโยคที่ได้ยินผ่านสาย ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะดึงมันออกจากข้างหูเพื่อให้มั่นใจว่า เป็นชื่อ ที่เขียนว่า เพื่อนเจ้ย จริงๆ ไม่มีผิดแต่อย่างใด
“ คุยกับกูได้แล้วอะ ” ผมถามใครอีกคนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
หลังจากเรื่องนั้น วันนี้ทั้งวันเจ้ยไม่คุยกับผมเลย ไม่คุยเลยสักคำเดียวหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น แถมยังนั่งหน้านิ่งไปสนใจ ไม่ว่าผมจะพูดอะไรมันก็เมิน ไม่ตอบสักคำถาม
“ กูโทรมาขอโทษที่อินเกิน ” มันว่าแบบนั้นผมก็หลุดยิ้มอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
เอาตรงๆคือโคตรดีใจ แน่นอนว่าการทะเลาะกับไอ้สัดเจ้ยแทบจะเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ผมไม่อยากจะให้มันเกิด จนบางทีก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก รู้จักกันครั้งแรกก็ต้องขึ้นม.ปลาย แถมยังมีเพื่อนอย่างไอ้ซุง ไอ้เวย์เข้ามาอยู่ในกลุ่ม แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังรู้สึกไม่อยากจะทำอะไรให้ขัดใจมันอยู่ดี คล้ายๆว่าจะเกรงใจ จนบางทีก็โดนไอ้สัดสองตัวนั้นขู่บ่อยๆ ว่า ‘ ฟ้องพ่อมึงอะ ’ ไม่ก็ ‘ ทำเหี้ยอะไรเกรงใจพ่อมึงหน่อย ’
แต่ก็อาจจะเพราะด้วยนิสัย
เจ้ยเป็นคนใจดี เป็นคนเดียวที่ถึงจะด่าจะว่ายังไง มันก็ยังเข้าใจในความเป็นผม ที่บางทีถ้าเป็นคนอื่น คงอยากเลิกคบไปแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับความปัญญาอ่อน ที่ผมเล่นทะเลาะกับดีนมานานร่วมปี
แต่ถึงอย่างงั้นมันก็อยู่ข้างกันตลอด เป็นคนที่คอยเตือนสติในตอนทำตัวเหี้ยๆ แล้วก็คอยยินดีในตอนที่มีความสุข
“ เอาจริง แค่มึงคุยกับกู กูก็ดีใจแล้วครับ ” นั่นแหละ จากใจเลยจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ตอนนี้ถ้าตะโกนออกไปก็คือจะตะโกนว่า โคตรโล่งเลยค้าบบบบบบบ
“ เมื่อกี้เมี่ยงมันโทรมาคุยกับกู บอกให้กูคุยกับมึงได้แล้ว ”
“ รู้สึกผิดไปใหญ่เลยกู ” ผมว่า พลางนึกถึงใบหน้าใจดีที่ก็ยิ้มให้กันแห้งๆในชั่วโมงเรียนที่ต้องนั่งกั้นกลางระหว่างเราสองคนของไอ้สัดนั้น เรื่องของตัวเองก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว เพื่อนยังมาทะเลาะกันอีก “ ต้องยกพานไปกราบมันแล้วมั้ยในจุดนี้ ”
“ เออดี กูเห็นสมควรนะ ตอนให้ก็เอาแบบคลานเข่าด้วยนะไอ้สัด ”
“ K เค้ารณรงค์ยกเลิกหมอบคลานกันแทบตาย มึงนี่ยังไง ”
“ ก็มึงถามอะ ” เจ้ยมันว่ายิ้มๆ “ แล้วไม่แค่นั้นนะ กูกลับมาบ้าน พอมิ้งมันเห็นหน้ากูเซ็งหน่อย ก็ถามใหญ่ สุดท้ายพอเล่าจบ เมียด่ากูกระจุย บอกว่ากูทำตัวเหมือนเด็กเล็ก โกรธกับเพื่อนแล้วไม่คุย ทำไมไม่เคลียร์ให้จบๆ ”
“ อะ ต้องสองพานไปเลยแล้วมั้งจุดนี้ ทั้งน้องมิ้งน้องเมี่ยง ” ว่าแบบนั้นปลายสายที่หัวเราะก็ถอนหายใจ
“ แต่เบส กูมีอะไรจะคุยกับมึงอย่างนึง ”
“ ว่า ” มองคนที่นอนอยู่บนโซฟาในตอนที่ตอบรับปลายสาย ผมหย่อนตัวลงนั่งตรงส่วนพักแขนที่ว่าง
“ เลิกทะเลาะกับไอ้ดีนเถอะ เลิกประสาทแดกใส่กัน ถ้ามันหาเรื่องมึงก่อนนะ มึงก็ทนๆไป อดทนเอาหน่อย กูเชื่อว่า ถ้ามึงไม่ตอบรับ ไม่นานมันก็เลิกยุ่งกับมึงเองนั่นแหละ นะ ถือว่าสงสารไอ้เมี่ยงมัน ”
“ กูก็คิดว่าจะ..” อย่างงั้น คำนี้ถูกหยุดชะงักไปก่อนที่จะได้พูด เพราะตอนนั้นคนที่คิดว่านอนอยู่เฉยๆกลับดึงตัวเองขึ้นมาแล้วกอดเข้าที่เอวอย่างแนบแน่น แต่ไม่เท่านั้น ดีนซบลงบนแผ่นหลังของผม
“ มึง..” เสียงครางเบาๆนั้นเอ่ยเรียกกัน “ ทำไมมันเป็นกูไม่ได้แล้ววะ ทำไมอะ ”
“ เชี้ยเบส นี่มึงอยู่กับใครวะ ”
“ เปล่าๆ ” บอกปัดแบบพัลวัล แต่แน่นอนว่าปลายสายคงไม่เชื่อ
“ ก็กูได้ยินอะ เสียงมึงคุยกับใคร ”
“ มึง ”
“ นั่นไง เรียกอีกละ มึงอยู่กับใครเหรออออ ” มันว่ายิ้มๆ แบบที่ผมนึกหน้าออกเลยว่ากำลังแสดงทีท่ายังไงอยู่ “ เออๆ ไม่กวนแล้วไอ้สัด ไว้พูดกันก็ได้ แค่เนี้ย ”
“ เฮ้ย มึงกำลังเข้าใจผิด ” ผมว่าเสียงดังแต่ก็เท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายแค่กดตัดสายไปอย่างคิดเองเออเอง สรุปความเอง และไม่รอฟังผมอธิบายอะไรทั้งสิ้น “ เจ้ย ไอ้เจ้ย เดี๋ยว..”
“ มึง ”
“ มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี้ย ” หันไปถามคนเมาแบบเสียงดัง ก่อนจะนิ่งไปในตอนที่เห็นว่ามันบรือตามองกันอยู่แบบที่สติไม่ค่อยครบสักเท่าไหร่
เออ แล้วกูจะเอาความเหี้ยอะไรกับคนเมาวะ
“ มึง ” เสียงที่เอ่ยเรียกย้ำกัน รู้หรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าคนที่เรียกซ้ำๆซากๆอยู่ตรงหน้านี้คือใคร
“ ว่าไง ” แต่ผมก็ตอบรับ ในตอนนั้นดีนมันก็คว้ามือเข้ามาจับก่อนจะก้มหน้าลงซบกับหลังฝ่ามือนั้น
“ ขอโทษ ขอโทษนะ แต่ให้โอกาสกูไม่ได้เหรอ แค่สักครั้ง นะ ขอร้อง ให้โอกาสกูเถอะ กูจะแก้ตัว กูจะทำให้รู้ ว่ากูรัก รักมึงแค่ไหน ”
“ นี่ทำไมอยู่ๆ มึงดูอาการมันดูหนักขึ้นมาอย่างงั้นวะ ” ผมพูดเสียเบาๆ พลางถอนหายใจแล้วหันไปทางอื่น แบบไม่รู้จะทำยังไงต่อ
เมื่อกี้ตอนที่อยู่ตรงหน้าผับอาการมันยังดูไม่เมามากขนาดนี้ แต่ยิ่งผ่านไป อาการเมามายของอีกคนกลับหนักขึ้น ทั้งๆที่จริงก็ควรสงบลงได้แล้ว
“ เห้อออออออออออออออออออออออ ” ไอ้แต่ลากเสียงยาวออกมา ผมที่หันไปมองมันอีกครั้ง ดีนก็เอ่ยเรียก
“ อาร์ม ” ลำตัวที่ดึงตัวเองเข้ามาใกล้กัน ดีนจับที่แขนผมออกแรงจนต้องหันไปเผชิญหน้า ก่อนร่างขาวจะดึงตัวเองที่ไร้สติเข้ามาจูบกันที่ริมฝีปาก
แววตานั้นยังหลับสนิทนตอนที่ผมมองดู ต่างจากรูปปากที่กำลังขยับจูบดูดดื่มอยู่บนสิ่งเดียวกันนี้ ส่วนมือเองก็ยังคงลูบไล้ไปตามรอบเอวที่ดึงรั้งตัวผมให้เข้ามาใกล้ ดีนผละตัวออกมันที่เลื่อนมือขึ้นมาปลดกระดุมสองเม็ดด้านบนของผมที่จำเป็นต้องคว้ามือนั้นให้หยุดลง
“ อย่า บอกไว้ก่อนว่าถ้าตื่นเช้ามาจะเสียใจนะ ”
“ เราลองมีอะไรกันมั้ย นะ ” คำพูดนั้นมาพร้อมกับสาตาที่คอไปด้วยน้ำตายามที่ถาม ดีนกำลังขอร้องใครคนนั้นในความรู้สึกของมัน คนที่มันไม่ใช่ผม “ ถ้ามึงไม่เชื่อในสิ่งที่กูพูดออกมา ต่อไปนี้ กูจะเก็บเรื่องของเราเอาไว้แค่กับเฉพาะพ่อแม่ของกู แล้วเราก็มาอยู่ด้วยกัน นะ โอเคมั้ย มาประกาศให้คนทั้งโลกมันรู้ไปเลยว่าเราเป็นอะไรกัน มีอะไรกันเถอะ ”
มือนั้นถอดเสื้อที่กำลังสวมในตอนที่พูดจบ แผ่นอกขาวเปลือยเปล่าในตอนที่มันโยนเสื้อตัวเองลงพื้นไป ทุกอย่างในช่วงเวลานั้นทำให้ผมนิ่งเพราะไม่รู้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่ผมก็แค่หันไปหยิบเสื้อตัวนั้นก่อนจะคลุมไว้ให้ แต่ดีนก็แค่ขืนตัว มันปัดออก
“ พอเถอะ มึงเมามากแล้ว ” มือถูกดึงขึ้นมาปิดปากผม มันที่ส่ายหน้าไปมา
“ ไม่พูดแบบนี้ได้มั้ย อาร์ม มึงไม่พูดได้มั้ยวะ ” สายตาวิงวอนที่บอกกัน ผมทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างจนใจ
สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะบอกว่า ผมไม่ใช่ใครคนนั้น
คนเราพอเวลาเสียใจมากๆก็เป็นแบบนี้ เป็นเหมือนเชือกที่พอมันขาดออก ด้วยแรงดึงรั้งทั้งหมดที่มี หางเชือกนั้นก็เหมือนจะสะบัดไปมาอย่างไร้ทิศทาง แล้วถูกปล่อยดิ่งไว้อย่างงั้นจนน่าใจหาย
ดีนเองก็เป็นแบบนั้น มันเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำอะไร ต้องรู้สึกแบบไหน ต้องเข้าใจอะไร ผมรู้ว่ามันก็คงรู้ว่าตัวเองผิด แต่นั่นแหละ มันก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองยังไง
รู้แค่ว่าเสียใจ รู้แค่ว่าไม่อยากเสียไป
ดีนคงรู้แค่นั้น
“ ก็ได้ แต่ไม่มีอะไรกันนะ ”
“ ทำไม ”
“ ก็กูไม่มีอารมณ์ ” ผมบอก อีกคนก็นิ่ง “ ให้ได้แค่นอนกอดเฉยๆ”
“ ก็ได้ ” ตอบรับเสียงอ่อนก่อนที่จะดึงตัวเองในตอนนั้นให้เข้ามาซบลงบนอก มันที่กอดกันไว้แน่นหลับตาลงด้วยริมฝีปากที่ยังคงพรึมพรำความรู้สึกของตัวเองออกมา “ แค่นี้ก็ได้ จะตามใจหมดเลย ”
“ อื้ม ”
“ แต่อย่าพูดแบบนั้นได้มั้ย ”
“ พูดอะไร ” ถามออกไปแต่อีกฝ่ายก็ทำได้แค่กอดกันแน่น
“ อย่าไล่กูไป กูไม่ได้อยากจากมึงไปไหน กูอยากอยู่กับมึง อยากอยู่ใกล้ๆ ”
“ เออ ไม่ไล่ ” ตอบแบบนั้นก่อนจะดันอีกคนลงมาซบที่อก ผมนอนราบกับโซฟาตัวที่นั่งแบบที่ลุกออกไปไหนไม่ได้ ส่วนคนบนร่างเองก็ขยับตัวเข้ามากอดกันไว้แน่นแบบไม่ไปไหนเช่นกัน ดีนนอนอยู่ในซอกโซฟาด้านในที่ว่างอยู่นั้น “ นอนได้แล้ว ดึกแล้ว ”
“ ไม่ไปไหนนะ ” มันถามย้ำด้วยจิตสำนึกที่ก็คงไม่ไว้ใจกัน
“ จริง ไม่ไปไหนหรอก ” ลูบหัวอีกคนอย่างที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประโยคที่พูดออกไปมันสมควรพูดมั้ย แต่ที่รู้สึกคืออยากจะให้มันสงบลงหน่อย จะแค่สักนิดก็ยังดี “ หลับเถอะ ฝันดี ”
ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาทั้งนั้น มีเพียงแค่ลมหายใจสม่ำเสมอของคนเมาที่แทบจะไม่มีสติ แต่มันก็แบบนี้ เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าของบางอย่างมีค่ากับเรามากแค่ไหน
ยกเว้นก็ตอนที่เราเสียมันไปแล้ว
...........................................................................