ตอนที่ 10
ตั้งแต่มาเรียนที่นี่ ผมเคยเดินมาแถวหลังโรงเรียนแค่เพียงหนเดียวเท่านั้น หลังรั้วโรงเรียนของเราเป็นตึกแถวและบ้านหลังเล็กๆ ค่อนข้างแออัด ดูขัดกับความเจริญรอบข้าง ซึ่งหากเดินเลยไปอีกหน่อย จะมีซอยเล็กซอยน้อยที่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านมากมาย ในบรรดาซอยเหล่านั้น บางซอยก็เป็นซอยตัน แต่บางซอยก็สามารถทะลุไปแถวหน้าโรงเรียนหรือแม้แต่ซอยแถวหน้าคอนโดของผมได้ ผมไม่เคยเดินไปหรอก แต่เพื่อนของผมบอกมาอีกที เพราะบางคนก็อยู่ในซอยเหล่านี้ และก็เพื่อนพวกนั้นนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่าเมื่อเดินเลยหลังโรงเรียนเราไปหน่อย จะมีที่ว่างๆ ที่ไม่มีคนใช้และเป็นสถานที่พวกวัยรุ่นมักมาจับกลุ่มกันยามเย็นหรือในตอนกลางคืน ซึ่งจุดนี้จะอยู่ห่างจากโรงเรียนของผมและโรงเรียน ส.ค. เป็นระยะทางเท่าๆ กันพอดี ดังนั้นเมื่อไอ้พวกเหี้ยนั่นบอกให้มาเจอกันหลังโรงเรียน ผมจึงรู้ได้ทันทีว่ามันหมายถึงที่ไหน
ผมรู้ตัวอยู่ตลอดว่าผมถูกคนเดินตามอยู่ห่างๆ ซึ่งก็คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากไอ้สองคนที่ผมเห็นเมื่อตอนหัวค่ำและตอนเดินออกมาเมื่อครู่
เมื่อเดินไปถึงสถานที่นัด ผมก็เห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนรอผมอยู่แล้ว
หนึ่ง... สอง... สาม... สี่... ห้า... หก... เจ็ด... แปดคน ถ้ารวมกับไอ้สองคนที่เดินตามผมมาทางด้านหลังด้วยก็เป็น 10 คน แต่ดูท่าทางว่าพวกมันน่าจะเป็นแค่คนที่คอยดูลาดเลาให้เท่านั้น เพราะพอผมเดินใกล้เข้ามาถึงที่นี่ พวกมันก็หายไปแล้ว
ที่จริงแปดคนก็ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้สักเท่าไหร่ เพราะตอนแรกผมกะไว้ว่าพวกมันอาจจะมีมากกว่า 10 คนด้วยซ้ำ ถ้าแค่แปดคนแบบนี้ก็ยังถือว่าโอเค... ในสถานการณ์ปกตินะ
“กูก็มานี่แล้วไง ยังไงต่อ” ผมเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนพลางกวาดสายตามองพวกมันทุกคน แน่นอนว่ามีอยู่สี่คนที่ผมเคยเจอแล้วจากเมื่อคืนแรก และอีกสองคนที่ผมเจอเมื่อเย็น ส่วนอีกสองคนที่ตัวใหญ่กว่าใครเพื่อนนั้นผมเพิ่งจะเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก
เท่าที่มองด้วยตาเปล่า ผมไม่เห็นใครถืออาวุธอยู่ในมือสักคน ซึ่งแม่งแปลได้แค่สองอย่างเท่านั้นคือ ถ้าไม่เป็นโชคดีของผมไปเลย ก็คือแม่งมีอาวุธขนาดเล็กจำพวกมีดหรือปืนซ่อนอยู่ในเสื้อผ้า และถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงตกอยู่ในอันตรายกว่าเดิมแน่ๆ
ที่จริงถ้าแค่มีดน่ะ ผมก็เคยเจอมาบ้าง ไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่หรอก แต่ผมต้องไม่ลืมว่าทำไมผมถึงมาที่นี่ในคืนนี้ และที่สำคัญคือผมต้องย้ำตัวเองอยู่ตลอดว่าหัวเข่าของผมไม่ได้อยู่ในสภาพดีพอ ที่จะรับมือกับคนจำนวนเท่านี้ได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เพราะฉะนั้นผมต้องเลิกทำอวดเก่งสักที
“มึงยังจำเพื่อนกูได้ใช่มั้ย” ไอ้คนที่เจอผมเมื่อตอนเย็นตรงหน้าโรงเรียน คนที่พูดเยอะที่สุดและกวนส้นตีนที่สุดพูดขึ้นพลางพยักเพยิดไปทางเพื่อนๆ มันทั้งสี่คน แต่ผมไม่ตอบ มันจึงพูดต่อ “พวกมันบอกกูว่ามึงเล่นพวกมันซะน่วมเลยนี่หว่า และถ้าไม่ได้เอาคืน พวกกูก็คงนอนไม่หลับว่ะ มึงเข้าใจใช่มั้ยวะ”
ผมถอนหายใจเบาๆ แม่งอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นหรือดูหนังมาเฟียจีนเยอะไปรึเปล่าวะ ไอ้แตดหมานี่
“มึงจะให้กูทำยังไง” ผมถามย้ำไปอีกครั้ง ในขณะที่พวกมันเริ่มเดินเข้ามาล้อมกรอบผม
“ก็ไม่ยากหรอก แค่ยืนเฉยๆ ให้พวกกูรุมกระทืบแค่นั้นเอง” ไอ้คนตัวใหญ่สุดพูดขึ้นบ้าง
“ยืนเฉยๆ เหรอ” ผมเลิกคิ้วขึ้น “พูดออกมาเต็มปากเลยเหรอวะ พวกมึงเก่งแต่ทำร้ายคนที่ไม่สู้จริงๆ นะเนี่ย หรือคิดว่าถ้ากูตอบโต้กลับแล้วจะสู้กูไม่ได้ ถึงแม้พวกมึงจะมีกันแปดคนเนี่ยนะ” ดูเหมือนผมจะเลิกนิสัยปากดีไม่ได้จริงๆ แฮะ “เด็กกรุงเทพฯ ไม่สิ เด็กโรงเรียนมึงแม่งก็เก่งแค่เห่า แต่กัดไม่เป็นงั้นดิ แล้วอีกสองคนที่เดินตามกูมาตั้งแต่แรก ไม่มาร่วมวงด้วยรึไง มึงคิดว่าแค่แปดคนจะพอเหรอวะ อ่อนๆ อย่างพวกมึงเนี่ยนะ”
“ไอ้เช็ดแม่งนี่!!” เสียงของใครคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับกำปั้นที่เหวี่ยงเข้าหน้าของผมอย่างแรง “ปากดีนักนะ ไอ้เหี้ย!!”
หลังจากที่เสียหลัก ผมก็รู้สึกถึงหมัดและเท้าที่ถูกประเคนเข้าใส่ร่างกายของผมอย่างไม่ยั้ง ตอนแรกผมก็พอจะยกมือขึ้นกันและเอี้ยวตัวหลบหมัดของพวกมันได้บ้าง แต่การเอาแต่เป็นฝ่ายตั้งรับโดยไม่โต้ตอบ แม่งก็ทำยากจริงๆ ว่ะ
ผมตั้งการ์ดขึ้นปกป้องคางและชายโครงของตัวเองเอาไว้เพื่อลดความเสียหายเท่าที่จะทำได้ แต่แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงของแข็งที่ฟาดลงบนหัวของผมอย่างแรงจนทำให้ผมถึงกับทรุดตัวลงไปบนพื้น แววตาของผมพร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกราวกับสมองของผมแทบจะหยุดทำงาน จากนั้นพวกมันก็ใช้ท่อนไม้หรืออะไรบางอย่างฟาดเข้าที่สีข้างของผมอีกที ทำเอาลมหายใจของผมขาดห้วง ผมพยายามหายใจเข้าปอดอย่างทรมานแต่ก็ไม่เป็นผล ผมที่ล้มตัวลงนอนคุดคู้บนพื้นถูกเตะซ้ำเข้าที่กลางหลังและกลางลำตัว ความเจ็บปวดราวกับว่ากระดูกถูกหักออกเป็นท่อนๆ วิ่งแล่นไปทั่วทั้งร่าง ภาพตรงหน้าของผมเริ่มเลือนลาง ดวงตาของผมก็เริ่มปิด และหูของผมก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้วนอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ของตัวเองที่ดูเหมือนจะยิ่งแผ่วลงทุกทีๆ
แม่งเอ๊ยยย ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าการโดนรุมกระทืบแม่งเจ็บเหี้ยๆ ขนาดนี้... คืนนี้กูจะตายมั้ยวะเนี่ย
ผมเริ่มรู้สึกถึงเลือดอุ่นๆ ที่ไหลลงมาตามใบหน้า ผมหลับตาลง เริ่มจะยอมแพ้กับการพยายามฝืนประคองสติเอาไว้แล้ว เสียงสบถด่าด้วยความสะใจของพวกมันก็เริ่มแผ่วลงไปทุกทีๆ จนเกือบจะเข้าสู่ความสงบเงียบ ผมไม่รู้ว่าถ้าหากผมหมดสติไปแล้ว พวกมันจะหยุดตีนที่กำลังรุมกระทืบผมอยู่รึเปล่า แต่ถ้าหากว่าสวรรค์ยังคงให้โอกาสแก่ผมที่อยากจะกลับตัวกลับใจทำเพื่อแม่สักครั้งในชีวิตแล้วล่ะก็ ผมก็หวังว่าผมจะไม่ต้องทรมานมากไปกว่านี้แล้วล่ะนะ...
“เฮ้ย!! อะไรวะ!” เสียงร้องตะโกนเสียงหนึ่งดังแว่วขึ้น ทำให้ผมรู้สึกตัวและค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ดวงตาที่พร่ามัวของผมไม่สามารถจับภาพที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตรงหน้าได้ดีเท่าไหร่นัก ผมได้ยินและเห็นไอ้พวกเวรตะไลทั้งหลายกำลังเคลื่อนไหวหรือวิ่งผ่านหน้าผมไปมา และแล้วจู่ๆ หนึ่งในพวกมันก็ล้มลงตรงหน้าผม จากนั้นก็อีกคน และอีกคน
ผมพยายามจะขยับตัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว โดยเฉพาะบริเวณชายโครง และหัวของผมก็เจ็บจนแทบจะระเบิด อีกไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงตะโกนโหวกเหวกเมื่อครู่ค่อยๆ เบาลง จนกระทั่งกลายเป็นความเงียบสงบ ผมมองเห็นเท้าของคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาหาผม จากนั้นเขาคนนั้นก็คุกเข่าลง
“ก้อง! ยังไหวอยู่รึเปล่า!” เขาจับตัวผมเขย่าเบาๆ จากนั้นก็พลิกตัวของผมเป็นนอนหงาย ผมเจ็บจนต้องร้องออกมา ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเองลอดผ่านปากออกมาเลยก็ตาม
ผมหันไปมองหน้าของคนที่กำลังพยุงหัวของผมเอาไว้ “พี่วิน...”
“ยังไม่ต้องพูดอะไร บอกพี่มาว่าเจ็บตรงไหน”
“เจ็บอะไร... ไม่เจ็บ... สักหน่อย” ผมยิ้มให้เขา
“ยังจะทำปากเก่งอีก!” เขาตะคอกใส่หน้าผม ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ผมก็เห็นเขาเป็นตอนที่เขาผมสั้นและหน้าเด็กกว่าในปัจจุบันนี้... ผมเห็นภาพของเขาเมื่อหลายปีก่อนที่ผมเคยลืมไปแล้วซ้อนขึ้นมา และมันก็ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาอีกครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง