24 วันถัดมา...“เฮ้ย ไอ้ซี จะกลับบ้านแล้วเหรอวะ” ไอ้โตตะโกนถามผม
“เออ ขอบใจพวกมึงสำหรับของขวัญด้วยนะเว้ย” ผมตอบกลับไปพร้อมกับชูถุงใส่ของขวัญที่ถืออยู่ในมือขึ้น
“อะไรว้าาา วันนี้วันเกิดมึงทั้งทีนะเว้ย จะไม่อยู่นั่งคุยกันก่อนเหรอวะ” ไอ้รันพูดขึ้นพร้อมกับเสียงตอบรับเห็นด้วยจากเพื่อนๆ คนอื่น
“ไม่อะว่ะ วันนี้กูต้องกลับไปกินข้าวกับที่บ้านน่ะ”
“โห่ๆๆ ไอ้คนเห็นครอบครัวดีกว่าเพื่อน!” ไอ้ไมค์แซว ตอบด้วยเสียงโห่ร้องเห็นด้วยและเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ และรุ่นน้องอีกเกือบสิบคน
ผมยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ “แล้วกูก็อยากรีบกลับไปหาไอ้นะด้วยว่ะ”
เสียงโห่ร้องเงียบลงทันที เลยทำให้ผมต้องนึกขำอยู่ในใจ
“เออๆ งั้นมึงไปเหอะ ฝากบอกมันด้วยนะเว้ยว่าพวกกูคิดถึง”
“โอเค แล้วเจอกันพรุ่งนี้เว้ย” ผมโบกมือลาเพื่อนๆ แล้วก็เดินไปที่รถของตัวเอง
วันนี้เป็นวันเกิดของผม เมื่อเช้าผมตื่นมาตั้งแต่ยังไม่หกโมงเพื่อใส่บาตรกับครอบครัว ของขวัญชิ้นแรกที่ผมได้รับคือนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่จากแม่ พ่อซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ให้ ส่วนพี่แซ็คกับทรายก็ให้ของขวัญมากันคนละกล่องแต่ผมยังไม่ได้เปิดดู และเมื่อมาถึงที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้รับคำอวยพรจากเพื่อน รุ่นพี่ และรุ่นน้องอีกหลายคน ได้ของขวัญอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงเค้กวันเกิดในตอนพักกลางวันด้วย
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าการเป็นที่รักของคนอื่นเนี่ย มันทำให้เรารู้สึกมีความสุขจริงๆ ถ้าหากว่าเป็นผมในสมัยก่อนแล้วล่ะก็ ผมคงไม่ได้สนใจที่จะผูกมิตรกับใครมากมาย หรือสนว่าจะมีคนจำวันเกิดของผมได้หรือไม่สักเท่าไหร่ แต่ผมในตอนนี้กลับรู้สึกมีความสุขแบบสุดๆ ที่หลายๆ คนไม่ใช่แค่จำได้และอวยพรแค่บนเฟซบุ๊ค แต่ยังอุตส่าห์ซื้อของขวัญและซื้อเค้กมาเซอร์ไพรส์ให้แก่ผม
นะเป็นคนที่สอนให้ผมผูกมิตรกับคนรอบข้างให้มากขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยเพียงรอยยิ้ม เขาสอนให้ผมหัดเปิดใจมากขึ้นเพื่อที่จะเชื่อใจคนอื่นที่ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทไม่กี่คน และที่สำคัญที่สุด เขายังเป็นคนที่สอนให้ผมเห็นคุณค่าของคำว่ามิตรภาพมากขึ้นอีกด้วย
นับตั้งแต่วันที่นะประสบอุบัติเหตุครั้งนั้นจนถึงวันนี้ ผมก็พยายามรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขามาโดยตลอด ผมเคยสัญญาว่าผมจะเป็นคนที่ดีขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น จะบอกรักเขาทุกวัน และจะไม่มีวันปล่อยให้ใครเข้ามาแทนที่เขาได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งผมก็คิดว่าผมทำแบบนั้นได้จริงๆ เพราะนับตั้งแต่เรื่องที่ผมกับนะเป็นแฟนกันและเรื่องอาการป่วยของเขาแพร่กระจายออกไป ก็มีรุ่นพี่เข้ามาทำท่าจะจีบผมอยู่ 2-3 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีรุ่นน้องปีหนึ่งเข้ามาและรู้ว่าผมชอบผู้ชาย ชีวิตของผมก็วุ่นวายขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว แต่นี่ก็นับว่าเป็นแค่หนึ่งในอุปสรรคเล็กๆ ที่ช่วยพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าความรักของผมที่มีให้แก่นะมั่นคงและยิ่งใหญ่ขนาดไหนล่ะนะ
เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็เอาสัมภาระไปเก็บในห้องนอน เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรีบขับรถออกไปที่โรงพยาบาลทันที ผมทักทายพยาบาลทุกคนบนวอร์ดอย่างเป็นกันเอง เพราะปกติผมก็มาที่นี่แทบจะทุกวันอยู่แล้ว
“กูมาแล้วนะ ไอ้ตูด” ผมทักทายเขาหลังจากที่เดินเข้าไปในห้อง “วันนี้วันเกิดกูนะเว้ย จำได้รึเปล่า”
นะที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงพร้อมเครื่องช่วยหายใจไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ซึ่งก็แน่อยู่แล้วล่ะนะ
ผมลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เขาและบีบมือเขาเบาๆ มือของเขาก็ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม “คืนนี้กูจะออกไปกินข้าวกับพ่อแม่นะ พวกเค้าจะไปรับยัยทรายที่มันเรียนพิเศษตอนเย็นๆ ค่ำๆ แล้วเราก็ไปเจอกันที่ร้านเลยว่ะ แต่อีกสักพักพี่แซ็คมันจะแวะเข้ามาหากูที่นี่ก่อนแล้วค่อยออกไปพร้อมกัน” ผมดูนาฬิกาข้อมือ “อีกไม่ราวๆ ครึ่งชั่วโมงมันก็น่าจะมาถึงแล้วมั้ง”
นะย้ายมาอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ราวๆ ครึ่งเดือนแล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะครบหนึ่งเดือนซึ่งเป็นเส้นตายที่หมอคนแรกบอกเราว่าเขาควรจะฟื้น หรือไม่อย่างนั้นก็จะหลับอยู่อย่างนี้ไปตลอด
ผมใช้หลังมือลูบแก้มเขาเบาๆ ผมไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว เพราะสิ่งที่เรียกว่าความหวังมันเจ็บปวดจนเกินจะทนจริงๆ ผมไม่อยากจะคาดหวังแต่สุดท้ายกลับต้องเจ็บปวดเพราะสัญญาณหลอกๆ ว่าเขาจะกลับมาอีก
ครั้งล่าสุดที่หมอให้ความหวังเราก็คือเมื่อสัปดาห์ก่อน เพราะสัญญาณชีพจรของเขาเต้นแรงขึ้นและคลื่นสมองก็ดูดีขึ้น แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่อีกหนึ่งสัญญาณที่บอกเราว่าเขาน่าจะพอได้ยินและรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวรอบตัวของเขาบ้างเท่านั้น ผมจึงยิ่งไม่ยอมแพ้และพยายามพูดคุยกับเขา จับมือเขา และเรียกเขาให้กลับมาหาผมทุกๆ วัน ซึ่งพ่อของเขา พี่นาย ครอบครัวของผม และเพื่อนๆ ของเขาเองก็ตื่นเต้นและต่างก็ทำแบบเดียวกันทุกครั้งที่มาเยี่ยม เราปฏิบัติกับเขาเหมือนว่าเขาไม่ได้นอนหลับอยู่แทบทุกอย่าง และถึงแม้บางครั้งมันจะดูว่างเปล่าและน่าเศร้า แต่ความหวังที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นแรงผลักดันที่ดีที่สุดที่บอกให้เราไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้
ในขณะที่ผมกำลังนั่งกดรีโมททีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น พี่แซ็คเดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลที่เข้ามาตรวจดูอาการของนะตามปกติ
“อ้าว ทำไมมาไวจังวะ พี่แซ็ค”
“กูโดดคาบบ่ายไปดูหนังมาว่ะ ก็เลยมาเร็ว แต่อย่าบอกพ่อกับแม่ล่ะ” มันหัวเราะ
“เออๆ ไม่บอกหรอก” ผมกรอกตา “ขืนซีต้องบอกพ่อกับแม่ทุกครั้งที่พี่แซ็คโดดเรียน ซีคงไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้วอะว่ะ”
“แหมเว้ย ไอ้น้องรัก พอได้ของขวัญไปแล้วก็กล้าทำปากใส่พี่มันได้เชียวนะ” เขาเดินมาเขกหัวผมเบาๆ ก่อนจะเดินไปหานะที่เตียง “พี่มาเยี่ยมแล้วนะ ไอ้นะ วันนี้วันเกิดไอ้ซีมันนะเว้ย ลืมไปแล้วรึเปล่า ตื่นขึ้นมาอวยพรให้มันหน่อยสิ”
ผมถอนหายใจเบาๆ “อย่าพูดเล่นแบบนั้นสิวะ ไม่ขำนะเว้ย”
“แล้วใครบอกว่าพี่พูดเล่นวะ พี่ก็อยากจะให้มันรู้สึกตัวไวๆ จริงๆ เมื่อไหร่ก็ได้ วันนี้ก็ยิ่งดี”
“เออๆ”
“ยังไงเราก็คงไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่ามันจะฟื้นขึ้นมาไหร่หรอก ใช่มั้ยล่ะ ไม่แน่ มันอาจจะฟื้นขึ้นวันนี้จริงๆ ก็ได้นี่หว่า เราถึงต้องเรียกมันทุกวันไง”
ผมหันไปมองหน้าของนะแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ถ้าหากว่านะตื่นขึ้นมาในวันนี้จริง มันก็คงจะเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดและปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมเลยล่ะ
“ทุกอย่างเรียบร้อยนะคะ” นางพยาบาลที่จดอะไรบางอย่างลงกระดาษเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมาบอกพวกเราสองคน เรากล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วพี่เขาก็เดินออกจากห้องไป
“เดี๋ยวเราจะไปกันเลยมั้ยเนี่ย” ผมหันไปถามพี่แซ็ค
“ยังอะว่ะ ยังมีเวลาเหลือเฟือนี่หว่า ตอนนี้ไอ้ทรายมันยังไม่เลิกเรียนเลยมั้ง”
“อืมม จะไปเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”
“คืนนี้แกก็จะนอนที่นี่อีกรึเปล่า”
“นอนดิ”
“งั้นแปลว่าเดี๋ยวเราเอารถพี่ไปแล้วให้พี่กลับมาส่งแกที่นี่ใช่มะ”
“ใช่แล้ว” ผมจับมือนะแล้วบีบเบาๆ “วันนี้วันเกิดซี ซีก็เลยอยากอยู่กับนะว่ะ... พี่แซ็คว่าพ่อกับแม่จะว่าอะไรมั้ยอะ”
“โอ๊ยยย ไม่ว่าหรอก แกมาอยู่เป็นเพื่อนไอ้นะที่นี่แหละ ดีแล้ว พ่อกับแม่เค้าไม่มีทางที่จะว...” พี่แซ็คชะงักไป เขายืนมองหน้านะด้วยแววตาประหลาดใจ
“อะไร”
มันนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่ยังไม่ยอมตอบคำถามของผม
“อะไรเล่าเฮ้ย” ผมยืนขึ้นและก้มลงมองใบหน้าของนะด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ ผมก็หันไปหาพี่แซ็คเหมือนเดิม “พี่แซ็ค มีอะไรเว้ย เป็นอะไร ทำไมไม่พูด”
มันเอียงคอเล็กน้อย “เปล่าว่ะ... แต่พี่คิดว่าเมื่อกี้พี่เห็นเปลือกตาของนะขยับนิดๆ อะ”
ผมรีบก้มลงมองตาของเขาทันที รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ถึงจะมีสัญญาณการเต้นของชีพจรกับคลื่นสมองที่รุนแรงขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายเกิดขึ้นมาก่อนเลยสักครั้งเดียว
“พี่แซ็คพูดเล่นรึเปล่าเนี่ย” ผมถาม พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นมากที่สุด
“ไม่ได้พูดเล่นเว้ย แต่... พี่อาจจะแค่คิดไปเองก็ได้มั้ง สงสัยจะตาฝาด”
“พี่แซ็ค...” ผมถอนหายใจอีกครั้ง รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาเสียดื้อๆ “มันทรมานนะเว้ย สิ่งที่เรียกว่า ‘ความหวังลมๆ แล้งๆ’ น่ะ และวันนี้ก็วันเกิดซีด้วย พูดตรงๆ เลยว่าซีเองก็อยากให้มันฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน อยากให้มีปาฏิหาริย์เหี้ยอะไรก็ได้ แต่ถ้าได้แค่หวังแล้วต้องเจ็บปวดอยู่เรื่อยๆ แบบนี้แม่งก็ไม่ไหวเหมือนกัน...” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“แกจะยอมแพ้แล้วเหรอ ไอ้ซี...”
“ไม่ใช่! ซีไม่ได้จะยอมแพ้ แต่บางครั้งซีก็แค่ท้อ และไอ้การที่ท้อมันก็เป็นเพราะว่าซีหวังอยู่ทุกวันว่านะมันจะได้ยินเสียงของซี รู้ว่าซียังรักและรอมันอยู่เสมอ แล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งต่างหาก นะคิดถึงมันนะเว้ย พี่แซ็ค คิดถึงมากด้วย แต่พี่แซ็คต้องเข้าใจนะว่าเวลาเราตื่นเต้นดีใจหรือหวังอะไรแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้นหลายๆ ครั้ง ซ้ำๆ ซากๆ มันก็ทรมานโคตรๆ จริงๆ” เสียงของผมเริ่มสั่นเครือ
“ไม่เอาน่า อย่าดราม่าสิวะ วันนี้วันเกิดแกนะเว้ย ไอ้ซี” พี่แซ็คเดินอ้อมเตียงมาตบบ่าผมเบาๆ “เดี๋ยวพ่อแม่เห็นหน้าแกเป็นตูดแบบนี้ พวกเค้าก็ไม่สบายใจหรอก และไม่ใช่แค่พ่อกับแม่ด้วย...” มันก้มลงมองนะ “ถ้าไอ้นะมันได้ยินแกพูดแบบนี้ มันก็จะไม่สบายใจนะเว้ย”
“เออๆ ซีก็บ่นๆ ไปงั้นแหละ แต่ถ้าพี่แซ็คไม่ตาฝาดบ้าๆ บอๆ แบบเมื่อกี้ อารมณ์ซีก็คงไม่จี๊ดขึ้นมาแบบนี้หรอก สาดดด” ผมชกลงบนต้นแขนของมัน
“โอ๊ยๆ เออออ ขอโทษเว้ย ก็ตอนแรกพี่ว่าพี่เห็นแบบนั้นจริงๆ นี่หว่า พี่เองก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องพวกนี้มาพูดเล่นสัก...” มันชะงักไปอีกครั้ง
“คราวนี้อะไรอีก!” ผมยืนขึ้นและหันไปมองหน้าของนะบนเตียง และสิ่งที่เห็นก็ทำให้ผมต้องตัวแข็งทื่อทันที
น้ำตาหยดเล็กๆ กำลังไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิททั้งสองข้างของนะ
“ตามหมอเร็ว! พยาบาลก็ได้! กดปุ่มเรียกเลย!” ผมรีบบอกพี่แซ็ค จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปจับมือของนะเอาไว้ ผมชะโงกหน้าเขาไปใกล้เขาจนปลายจมูกของเราแทบจะชนกัน จากนั้นก็ใช้นิ้วมือขวาปาดหยดน้ำตาออกจากแก้มของเขาเบาๆ “นะ มึงได้ยินกูเหรอ มึงได้ยินกูใช่มั้ย”
การเคลื่อนไหวบริเวณปลายนิ้วของเขาที่ผมรู้สึกได้ทำให้ผมต้องรีบปล่อยมือออก ผมก้มลงมองที่ปลายนิ้วของเขาอย่างตั้งใจแล้วก็เห็นว่าเขากำลังกระดิกนิ้วเบาๆ อยู่จริงๆ
“ไอ้นะ!” น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมาด้วยความดีใจ “พี่แซ็ค! นะกระดิกนิ้วแล้ว นะได้ยินที่พวกเราคุยกันจริงๆ ด้วย!”
หลังจากนั้นประตูห้องของเราก็ถูกเปิดออก นางพยาบาลสองคนรีบเดินเข้ามาในห้องเพื่อตรวจดูสัญญาณชีพพื้นฐานจากเขา เราสองคนอธิบายสิ่งที่เราเห็นให้พวกเขาฟัง แล้วจากนั้นอีกไม่กี่นาทีถัดมาหมอก็มาถึง เราเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้หมอฟังซ้ำอีกครั้ง หมอเริ่มตรวจดูม่านตาของเขา บีบนิ้ว จับแขนขา พูดคุยกับเขาอยู่สักพัก แล้วจากนั้นก็หันมาหาเราสองคนพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ยินดีด้วยนะครับ หมอคิดว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริงแล้ว”
.
.
.
จบจริงๆ แล้วจ้า
******************
หลังจากปล่อยให้ใจหายใจคว่ำกันไป ตอนนี้ขอบอกว่าจบจริงๆ แล้วนะ ^__^
อย่างที่บอกในแฟนเพจว่าตั้งใจจะให้จบแบบนี้อยู่แล้ว แต่เห็นอึนกันเยอะเหลื๊อออเกิน อิอิ เลยเอาตอนพิเศษมาแถมให้ น่าจะถูกใจกันไม่มากก็น้อยนะครับ หวังว่าคงทำให้สบายใจกันขึ้นได้บ้าง แต่เรื่องราวหลังจากนี้ ผมอยากให้ทุกๆ คนมีส่วนร่วมในการสรรสร้างกันขึ้นมาเองนะครับ ขอให้ทั้งนะและซี มีชีวิต มีความสุขกับชีวิตคู่ ฟันฝ่ากับอุปสรรคต่างๆ กันต่อไปในจิตนาการของทุกคนเน้อออ
^3^
หลังจากนี้ก็ฝากติดตามนิยายเรื่องใหม่ของผม (ที่ยังไม่ได้แต่งสักกะติ๊ด) ต่อไปด้วยนะครับ ส่วนมากนิยายผมจะอบอวลด้วยความรัก รักกันโลกสวยเหลือเกิน เรื่องหน้าคงต้องพลิกล็อคกันบ้างละสิ ฮ่าๆๆ แต่ระหว่างนั้น จะพยายามเข็น love is ออกมาให้อ่านกันพลางๆ ก่อนนะครับ
แล้วเจอกันเร็วๆ นี้