ตอนที่ 21Matt Part รอ...รอ รอ นี่ก็ผ่านมาจะ 24 ชั่วโมงแล้วนะ คนจะจีบกันเขาทำกันแบบนี้หรอกเหรอ ไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้า เดินไปรดน้ำต้นไม้ตอนเช้าก็ไม่เจอ หรือว่าพี่เชนจะไม่เข้าใจคำว่าจีบ จริงสิ! พี่เชนอาจจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าจีบก็ได้ แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจทำไมถึงบอกมาว่าให้อยู่เฉยๆแล้วจะพยายามเข้ามาเองหล่ะ โอ้ย!!! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวนะ เดินลงไปหาอะไรกินข้างล่างดีกว่า เผื่อจะฟุ้งซ่านน้อยลง
"ถือแต่โทรศัพท์จังเลยนะ รอใครโทรมาอยู่เหรอคะน้อง" ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงแซะแซวจากพี่มัทที่นั่งอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะอาหาร แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจแล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะแทน
"โทรศัพท์แมทต้องพังแล้วแน่ๆเลยพี่มัท" ผมถามขึ้นหลังจากนั่งลงฝั่งตรงข้ามพี่มัท
"เรื่องที่ถามก็ยักไม่ตอบ แล้วรู้ได้ไงว่ามันพัง" พี่มัทวางแก้วนมลงแล้วมองค้อนผมก่อนจะพยักเพยิดหน้ามาทางไอ้ฮีโร่
"ยังไม่มีใครโทรเข้ามาเลยวันนี้ พังแน่ๆอ่ะ" ผมบอกพี่มัทก่อนจะยกมันขึ้นมาเคาะลงไปกับโต๊ะสองถึงสามครั้งหวังจะให้มันหายเงียบ
พี่มัทกลับส่ายหน้าก่อนจะเอามือท้าวคางค้ำไว้กับโต๊ะแล้วบึนปากก่อนจะถามผม "ตรรกะไหนของแกแมทที่ไม่มีใครโทรมาแล้วจะแปลว่าโทรศัพท์พัง"
"ไม่รู้อ่ะ มันต้องพังแน่ๆ พาไปซื้อเครื่องใหม่หน่อย" ผมพูดบอกก่อนจะยื่นมันให้กับพี่มัท
"ซื้อสมาร์ทโฟนนะ เอารุ่นใหม่ล่าสุดไปเลย" พี่มัทบอกหลังจากลองจิ้มๆอยู่สองสามที
"ไม่เอาๆ เอาแบบเดิมนี่แหละ แค่ให้มีสายโทรเข้ามาก็พอ" ผมต้องการแค่นั้นจริงๆมีออพชั่นแอพชั่นเสริมมากมายไปก็ใช้ไม่เป็นอยู่ดี
"งั้นก็ไม่ต้องแก้ที่โทรศัพท์หรอกแมท มัทว่าแก้ที่คนจะโทรเข้ามาดีกว่า ประสาทจริงน้องฉัน" พูดจบก็วางไอ้ฮีโร่ลงตรงหน้าผม แล้วลุกเอาแก้วนมไปเก็บที่อ่างล้างจาน
.......................................................................
ในขณะที่ผมกำลังจ้องมองมันอยู่เงียบๆ มันก็แผดร้องเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของการเป็นโทรศัพท์ออกมา
กริ๊งงงง! กริ๊งงงงง!
"ฮัลโหลๆ" ผมรีบรับทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น
"แมท" และก็คาดหวังอยู่ลึกๆว่าขอให้เป็นคนที่ผมกำลังคิดถึงทั้งๆที่เขาคนนั้นหายตัวไปทั้งวัน
"ครับ" ผมตอบรับ
"ทำไมวันนี้พูดเพราะจังวะ" พูดแบบนี้ไม่ใช่แล้วแหละ
"ไอ้เชี้ยโอ้ต" โคตรจะผิดหวัง
"นี่คงคิดว่าคนที่รออยู่โทรมาละสิ รีบรับจนไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำ" พี่มัทพูดแทรกขึ้นมาขณะเดินออกจากห้องครัว และที่พี่มัทพูดก็ถูกต้องทุกอย่าง นี่เลยเป็นสาเหตุที่ผมผิดหวัง
"มึงจะด่ากูทำไมครับเนี่ย" 'ก็เพราะเป็นมึงไง เลยผิดหวังแบบนี้ จะไม่ให้ด่าได้ไง' ทั้งหมดนี้ทำได้แค่คิดในใจ และถึงแม้มันจะทำให้ผมผิดหวัง แต่ถึงยังไงก็ไม่ใช่ความผิดมันอยู่ดี
"เออๆ โทษที นี่มึงโทรหากูยากไหม ต้องโทรหลายครั้งหรือเปล่า" ผมถามมันเพราะอาจจะเพราะสัญญาณไม่ดีพี่เชนอาจจะติดต่อผมยาก
"ไม่นะ นี่ครั้งเดียว ติดเลย"
"งั้นโทรศัพท์กูก็ไม่ได้เสียหน่ะสิ" แล้วทำไมพี่มันถึงปล่อยผมไว้เฉยๆแบบนี้วะ ไม่แม้แต่โทรมา อยู่ใกลล้กันแค่นี้ด้วย
"ถ้าเสียแล้วกูจะโทรติดได้ไงวะ โชว์โง่อีกละ" เออ! พูดบ่อยเหลือเกินนะ เรื่องโง่เนี่ย
"แล้วตกลงมึงโทรมาทำไม"
"พอดีกูจะไปคุยกับเอเย่นต์ที่เช่าจอดเรือ แล้วก็กะว่าจะไปลองเครื่องเรือด้วย เผื่อมึงอยากไปเลยโทรมาชวน"
"ก็อยากไป"
"เออดี งั้นเดี๋ยวกูไปรับ ชวนพี่เชนด้วยนะ จะได้ถือโอกาสพาไปเที่ยวเลย" จะชวนไปทำไม วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้เจอหน้ากันเลย
"กูคงไปคนเดียว"
"อ้าวไมวะ"
"เออน่า มารับกูก่อน"
"โอเคๆ อีก 10 นาทีเจอกัน กูอยู่แถวบ้านมึงพอดี"
ได้ยินว่ามันอยู่แถวนี้ผมเลยรีบไปเปลี่ยนชุดแล้วหยิบของ เพื่อจะได้ไม่ต้องให้มันรอนาน
"จะไปไหนกัน" พี่มัทถามขณะที่ผมกำลังจะวิ่งขึ้นบันได
"โอ้ตชวนไปดูที่เช่าจอดเรือ" ต้องหยุดวิ่งก่อนแล้วหันมาตอบพี่มัท
"แล้วคุณเชนหล่ะ" ถามถึงกันอยู่นั่น ตอนนี้ไปผุดอยู่แถวไหนก็ไม่รู้
"สนใจทำไม ไปหยิบเป๋าตังค์ก่อน ถ้าโอ้ตมาแล้วพี่มัทบอกมันรอแป๊บนะ" พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปที่ห้องตัวเองทันที
.......................................................................
"รอนานยังมึง" ถามมันทันทีที่ขึ้นรถแล้วรัดเข็มขัดเรียบร้อย
"นิดหน่อย" ค่อนข้างเป็นคำตอบในแบบที่ผมไม่คิดว่าจะได้รับ ไม่ใช่ว่าจะไม่พอในในคำตอบ เพียงแต่มันไม่เคยตอบแบบนี้มาก่อนไม่ว่าจะรอนานสักแค่ไหน
"โทดทีมึง กูหาโทรศัพท์ไม่เจอ ลืมไปว่าวางไว้ข้างล่างตอนลงมาคุยกับพี่มัท"
"สนใจจะตามหาโทรศัพท์ด้วยเหรอวะเดี๋ยวนี้" ที่มันถามแบบนี้เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่ใช่คนที่สนใจจะพกโทรศัพท์ แต่วันนี้กลับอยากถือมันไว้นั่นก็เพราะว่าเผื่อใครบางคนจะติดต่อมา
"เมื่อก่อนกูก็สนใจนะ" เลยตอบแย้งแบบแถไปทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นถูกต้อง
"เหรอ" คำพูดที่เหมือนจะประชดแต่น้ำเสียงเบาบางซะจนไม่น่าใช่
"เออดิวะ"
.......................................................................
โอ้ตพาผมมาอีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต เป็นอำเภอที่อยู่ติดกับจังหวัดพังงา ที่ที่มันพาผมไปเป็นที่จอดเรือพวกเรือใบ เรือยอร์ช เรือสำราญส่วนตัวขนาดเล็ก เป็นท่าเรือที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกแบ่งซอยออกเป็นช่องๆไว้เป็นที่จอดเรือและมีทางให้เดินเป็นไม้ดูแข็งแรงสำหรับเดินไปขึ้นเรือได้ มันพาผมมานั่งที่ศาลาเล็กๆใกล้ๆทางลงไปสะพานเชื่อมกับทางเดินไปลงเรือ
"เช่าแพงไหมวะที่นี่" ที่ผมถามก็เพราะก่อนหน้านี้มันบอกว่าเรือที่จอดอยู่ทั้งหมดนี้คือต้องมาเช่าที่จอดเอา
"ก็พอประมาณ"
"แต่เจ๋งหว่ะมีคนมาดูแลคอยล้างเรือให้เราด้วย ฟูลเซอร์วิสมาก" ผมเห็นบางลำมีคนที่ดูท่าทางน่าจะเป็นชาวบ้านแถวนี้กำลังล้างทำความสะอาดเรืออยู่
"อืม นี่ใส่แว่นกันแดดเอาไว้ แดดมันแรง เดี๋ยวปวดตา" มันพูดพลางถอดแว่นกันแดดยื่นมาให้
"ไม่เอาอ่ะ มึงใส่เหอะ ให้กูแล้วมึงจะใส่อะไร อีกอย่างมันมืด กูไม่ชอบ" ผมตอบปฏิเสธไป
"อย่าดื้อดิวะ ใส่ไป กูมีอีกอัน" ไม่รอให้ผมรับ มันกลับเอามาสวมเข้ากับหน้าผมแทน
"นั่งเล่นแถวนี้ไปก่อนนะมึง กูไปเช็คเรือกับสัญญาแป๊บเดียว" มันพยักหน้าตอบแล้วบอกให้ผมนั่งรอก่อนจะเดินไปยังกลุ่มคนที่ยืนเช็คสภาพเรืออยู่ไม่ไกลมากนัก
"ไปด้วยไม่ได้เหรอวะ ไม่อยากนั่งรอตรงนี้คนเดียวเลยมึง" มันส่ายหน้า
"ตรงนั้นมันแดดร้อน แค่ 5 นาทีนะ เดี๋ยวกลับมา" ในความคิดผมมันก็ร้อนเหมือนกันแค่มีหลังคากับไม่มีหลังคาแค่นั้นเอง ถ้าผมไปด้วยอย่างน้อยก็ไม่ต้องยืนอยู่คนเดียว แต่ในเมื่อทำแบบนั้นไม่ได้ผมก็ไม่ควรทำตัววุ่นวายมาก ต้องเข้าใจว่ามันมาทำงาน ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นมันก็เดินกลับมา
"ไวจังวะ" ผมพูดบอกพลางก้มมองนาฬิกา "5 นาทีจริงๆด้วย"
"กูกลัวมึงรอนาน"
"เห้ย! ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามึงมาทำงาน กูรอได้" ผมโบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
"เสร็จแล้วๆ ไปดูที่เรือกัน" พูดจบก็เดินนำผมไปที่ท่าเรือ
"เรือพวกนี้มีเจ้าของหมดเลยเหรอวะ" เรือทุกลำดูหรูหราแม้กระทั่งลำเล็กๆ
"ใช่"
"มีป้ายบอกขายด้วย มึงซื้อสิโอ้ต"
"เอาเงินที่ไหนซื้อวะ ลำนึงนี่เลี้ยงมึงได้สิบชาติ" ปัจจัยชีวิตผมมีมูลค่าถูกกว่าไอ้เรือนี่อีกเหรอ ทำไมมันโชคดีจังวะ เกิดมาก็มีราคา ดูมีคุณค่าเชียว
"แล้วมึงมาติดต่อที่นี่ไว้ทำอะไร" ในเมื่อบ้านมันทำธุรกิจสปีดโบ้ทก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรือจำพวกนี้นะ
"ก็กูกะจะทำพวก premium tour ให้กับลูกค้าวีไอพีที่เอาเรือมาจอดที่นี่แล้วสนใจจะทัวร์เมืองหรือชายหาดแบบส่วนตัว ผู้จัดการที่นี่เลยให้ลองทำแผนมาเสนอดู เขาจะช่วยเสนอลูกค้าให้" อย่างนี้นี่เอง
"อ่อ กูก็นึกว่ามึงมาเช่าที่จอดเรือซะอีก"
"นั่นก็ด้วย เฮียกูตั้งใจจะซื้อเรือต่อจากเพื่อนแฟนเขา เลยจะถามเช่าที่จอดแล้วก็ถามเผื่อปล่อยเรือให้เช่าด้วย เพราะกลัวว่าซื้อมาแล้วจะไม่คุ้ม" นี่แค่ถามเล่นๆนะ เป็นเรื่องจริงซะงั้น ผมรู้นะว่าบ้านนมันครอบคลุมธุรกิจท่องเที่ยว แต่ไม่คิดว่าจะใหญ่โตขนาดนี้ ที่ผ่านมามันมีเวลามาเล่นมาหาผมบ่อยๆได้ไง คงเป็นแค่มันละมั้ง ส่วนคนอื่นคงยุ่งกันหมด
"เฮียคนไหนวะ" ที่ผมถามก็เพราะพี่ชายของโอ้ตมีหลายคนมาก เท่าที่รู้ญาติๆมันมีลูกชายเยอะกว่าลูกสาว มันเคยเล่าว่าถึงกับขาดแคลนจนขาดทุนกันได้เลยทีเดียวถ้าต้องแต่งออกไป
"เฮียเอยไง ลูกของโกหนาน"
"อ่อโกหนานพี่ชายแป๊ะหนุนป๊ะ" ผมลองที่จะล้อมัน เพราะวันนี้มันดูนิ่งๆกว่าที่เคย
"เออ แป๊ะหนุนพ่อกูนี่แหละ" แปลกแฮะ ปกติถ้าเรียกพ่อมันว่าแป๊ะมันจะด่าผมกลับ เพราะมันบอกว่าถ้าเรียกแบบนั้นจะทำให้พ่อมันดูแก่ แต่วันนี้มันกลับไม่เถียง ไม่ด่า ไม่มีแม้แต่น้ำเสียงประชดประชันด้วยซ้ำ
"ทำไมวันนี้มึงแปลกๆวะ" ผมหันไปมองหน้ามันที่กำลังมองตรงไปข้างหน้า แต่เนื่องจากมันใส่แว่นกันแดด ผมเลยไม่เห็นว่าสายตามันเป็นแบบไหน
"แปลกยังไงวะ"
"ไม่รู้ดิ กูอาจจะคิดไปเองมั้ง ไม่มีอะไรหรอก ไปทางโน้นกันเถอะมึง" ผมชี้ไปตามทางเดินที่เป็นซอยเล็กๆสำหรับขึ้นเรือที่จอดเรียงรายกันอยู่เพื่อให้มันนำทางผมไป ที่สงสัยนั้นผมคงคิดมากไปเอง เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคงดีกว่า
"เอาดิ"
"ที่นี่สวยเนอะ กูไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่ามีที่สวยๆแบบนี้ด้วย อย่างกับในหนังเลยมึง" เราค่อยๆเดินใกล้เรือขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่มีแค่เรือกับเสียงคลื่น ไม่มีความวุ่นวาย เพราะมีแค่คนดูแลเรืออยู่ไม่ถึงสิบคน ผมชอบบรรยากาศแบบนี้นะ มันเงียบ สงบ แต่ก็ไม่ใช่บรรยากาศที่ให้ความรู้สึกว่าอยู่คนเดียว
"กูรู้ว่ามึงชอบไง เลยชวนมา" ผมยิ้มตอบก่อนจะตบบ่ามันเบาๆ โอ้ตเป็นแบบนี้เสมอ มันรู้ว่าอะไรที่ผมชอบ และมันก็รู้ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับผม ยังไม่เคยลองคิดดูเลยสักครั้งว่าหากขาดมันชีวิตผมคงยากขึ้นแน่ๆ
"พี่" มีเสียงเรียกของเด็กหนุ่มที่กำลังล้างเรืออยู่เอ่ยเรียกมาทางผมกับโอ้ตจนเราทั้งคู่หันมามองหน้ากันก่อนที่โอ้ตจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้งแล้วชี้มาทางผมให้เด็กคนนั้นส่ายหน้ามันเลยเปลี่ยนมาชี้ตัวเอง
"พี่นั่นแหละ จำผมไม่ได้ละสิ" โอ้ตส่ายหัวทำให้เด็กคนนั้นวางสายยางแล้วกระโดดลงมายืนตรงทางเดินข้างเรือที่เราสองคนยืนอยู่
"จำไม่ได้ พี่เคยเจอน้องเหรอ มึงรู้จักป่ะแมท" มันหันมาถาม ผมเลยส่ายหน้าแสดงให้มันรู้ว่าไม่รู้จักเหมือนกัน
"โหพี่ เพิ่งเจอกันไม่นานยังไม่ถึงเดือนเลยนะครับ"
"โทษทีๆจำไม่ได้จริงๆ ไหนลองเล่ามาสิว่าเราไปรู้จักกันได้ยังไง"
"ก็ที่พี่มาด่าผมตอนอุบัติเหตุตัดหน้ารถเมื่อปลายปีที่แล้วไง" หน้าโอ้ตยังคงขมวดคิ้วต่อไป ไม่แปลกหรอกที่มันจะงง เรื่องที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวานมันยังจำไม่ค่อยจะได้ นี่ผ่านมาตั้งเกือบสามอาทิตย์มันคงลืมไปแล้วแหละ ที่เป็นแบบนี้นั่นก็เพราะมันเป็นคนไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องในอดีตสักเท่าไหร่นั่นเอง
"อ่อๆ นึกออกแล้ว ไอ้เด็กไร้ความรับผิดชอบนี่เอง" แปลกแฮะ จำได้ด้วย หรือว่ามันโดนตัดหน้าเอง แต่ก็ไม่น่านะถ้ามันโดนเองทำไมผมถึงไม่รู้
"แหมพี่ ผมเลิกแล้วน่า ตั้งแต่มีความรับผิดชอบชีวิตก็ดีขึ้นเยอะเลย"
"เออ ดีขึ้นก็ดีแล้ว มีความรับผิดชอบมันเป็นเรื่องที่ดี แล้วคู่กรณีเป็นไงบ้างหล่ะ หายดีแล้วใช่ไหม"
"หายดีแล้ว ตอนนั้นคุณเขาถามหาพี่ด้วยนะ"
"เขาจะถามหาไปทำไม เวลาแบบนั้น ไม่น่าจำกันได้ด้วยซ้ำ"
"อันนั้นผมก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ผมบอกคุณเขาไปว่าผมจำพี่ได้ ถ้าเจออีกทีผมจะพาพี่ไปเจอเลย"
"อย่าดีกว่า แล้วไม่ต้องบอกเขานะว่าเจอ ไปละ โชคดีนะเว้ย" มันพูดจบก็หันหลังให้กับเด็กคนนั้น ผมเลยต้องรีบเดินตามมันไป
"ขอบคุณนะพี่ที่ไม่ปล่อยผมไป" น้องตะโกนไล่หลังในขณะที่โอ้ตทำแค่โบกมือให้โดยไม่หันไปมองสักนิด
.......................................................................
ในขณะเดินมาเรื่อยๆตามทางเดินระหว่างที่จอดเรือ ผมก็คอยมองหน้ามันอยู่ตลอด ในใจก็นึกอยากจะดึงแว่นกันแดดออก จะได้รู้ว่ามันมองอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าผมกำลังมองด้วยความสงสัย
"อย่าให้กูต้องถาม" ในเมื่อมันจำได้แต่ไม่ยอมอธิบาย ผมก็ควรเริ่มทำตัวเป็นคนขี้สงสัยได้แล้ว
"กูว่าแล้วว่ามึงต้องอยากรู้ ทำหน้าเป็นหมางงเชียว ฮ่าๆๆๆ" ท่าทางที่ดูสบายใจของมันจนล้อผมเล่นแบบนั้นต่างจากอารมณ์นิ่งๆของมันก่อนหน้านี้ และเรื่องที่มันคุยกับน้องเขาคงไม่ใช่เรื่องใหญ่นักแต่ผมก็หยุดความอยากรู้ไม่ได้อยู่ดี
"ไอ้สัด เล่ามาเลย" ผมพูดบอกมันด้วยน้ำเสียงบังคับพร้อมด้วยตบหัวมันเบาๆเพื่อตอกย้ำ
"นี่กูตามใจมึงมากเกินไปป่ะวะ ตบหัวกูซะแรงเลยนะ" พูดเกินจริงตลอด แค่ผลักเบาๆเองนะ
"อย่าเปลี่ยนเรื่อง เล่ามาเลย"
"ไอ้น้องคนตะกี้มันขับรถมอเตอร์ไซค์ตัดหน้ารถยนต์คันหนึ่งจนเสียหลัก ตัวมันเองไม่เป็นไรหรอกแค่ถลอกนิดหน่อย แต่คู่กรณีนี่สิหักหลบข้างทางแล้วก็นิ่งไปเลย กูเลยเข้าไปเสือก ตะโกนเรียกน้องมันเอาไว้ไม่ให้หนี บอกให้มันรับผิดชอบก่อน"
"แค่นั้น" สรุปมันไม่เกี่ยวสินะ เป็นแค่คนเข้าไปเสือก
"เออ มึงจะเอาแค่ไหน วันหลังอยากได้มากกว่านี้ก็บอกแต่แรก กูจะได้แต่งเพิ่ม" มันส่ายหัวเบาๆแล้วหันไปมองอีกทาง
"กูไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น กูได้ยินน้องมันบอกว่าคู่กรณีน้องเขาถามหามึง"
"อย่าไปสนใจเลยมึง วันนั้นกูเคาะกระจกอยู่ตั้งหลายครั้งก็ไม่ตอบ ดีนะประตูไม่ได้ล็อค เปิดประตูไปเขย่าตัวตั้งนานตบหน้าตั้งหลายทีก็ยังไม่รู้สึกตัว กูเลยปล่อยไว้งั้นอ่ะ เพราะกูต้องรีบไปรับมึงด้วย"
"ไปรับกูเหรอ" ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองขณะทวนคำพูดมัน
"ใช่ วันที่มึงกลับจากฮ่องกง"
"ไม่เห็นมึงจะเล่าให้กูฟังเลย" ผมขมวดคิ้วถาม
"ก็มันไม่ได้สำคัญอะไรนี่หว่า"
"งั้นแสดงว่าท่าทางมึงที่ดูแปลกๆวันนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า จริงๆมึงเป็นห่วงคนที่โดนชนใช่ไหม่ไม่ใช่แค่เรื่องที่หลินมากินข้าวด้วยวันนั้น"
"ไม่เกี่ยวเลย กูไม่ได้รู้จักเขาซะหน่อย จะเป็นห่วงไปทำไม ที่ช่วยก็แค่ทำตามหลักมนุษยธรรมเฉยๆเหอะ"
"แต่ที่จริงมึงอยู่ช่วยเขาก่อนก็ได้นี่หว่าบอกกูกูก็เข้าใจได้นะเว้ย" ผมพยายามสังเกตท่าทีของมัน แต่มันกลับทำแค่มองไปข้างเหมือนนกำลังจ้องมองอะไรสักอย่าง คนอย่างโอ้ตเนี่ยนะจะลงไปยุ่งเรื่องของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับมัน
"ตำรวจมาพอดี กูจะอยู่ทำไม ที่สำคัญกว่านั้นคือกู..."
ตูม!!!
"เห้ยมึง!" มีคนตกน้ำ" หลังจากที่ได้ยินเสียงผมก็รีบบอกโอ้ต แต่นั้นคงช้าไปเพราะคนข้างตัวผมวิ่งไปปลายท่าและเตรียมจะกระโดดตามลงไปแล้ว
"เดี๋ยวกูไปตามคนมาช่วยนะมึง" รีบตะโกนตามหลังมัน นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้
.......................................................................
ผมรีบวิ่งมาตามคนไปช่วยมัน ทั้งที่เดินมาไม่ได้ไกลแต่ตอนวิ่งกลับมาทำไมถึงยังไม่ถึงสักทีก็ไม่รู้ แต่พพอได้เห็นศาลาที่ยืนรอมันตอนแรกมีคนนั่งอยู่ผมจึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
"ขอโทษนะครับ ขอความช่วยเหลือหน่อยครับ มีคนตกน้ำอยู่ด้านโน้นครับ"
"เด็กล้างเรือหรือเปล่าน้อง มันคงร้อนแล้วลงไปเล่นน้ำละมั้ง"
"ไม่น่าใช่นะครับพี่ เขาหันหลังทิ้งตัวลงทะเลไปเลย นี่เพื่อนผมกระโดดลงไปช่วยอยู่ พี่ช่วยไปดูหน่อยนะครับ"
"อ้าวเห้ย พวกมึงไปดูหน่อยสิ"
"ขอบคุณครับพี่" ผมยกมือไหว้ขอบคุณทันทีที่พวกพี่เขายินดีจะไปช่วย
"ทางไหนน้อง"
"ทางนี้ครับ ทางนี้" ผมชี้นิ้วไปทางซอยเล็กๆตรงข้ามที่พวกพี่ๆเขานั่งกันอยู่ซึ่งเป็นทางที่ผมวิ่งมา
.......................................................................