บทที่ 4
ออกทีวีด้วยกันครั้งแรก
นับตั้งแต่วันนั้นนี่ก็ผ่านมาได้เกือบๆ เดือนที่ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้คุยกัน อาจจะมีเจอกันบ้างแต่เจอกันในฐานะฝั่งตรงข้าม ทำให้ทั้งสองต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะรักษ์ที่มีกระแสในโลกออนไลน์อย่างมาก ทั้งเรื่องที่ได้รับความนิยมและเรื่องที่ถูกโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
สิ่งที่ทำให้รักษ์เป็นที่นิยมคือกระแสเฟคนิวส์ที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ก่อนจะมีการจัดแถลงการณ์ร่วมกับพรรคว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องจริง ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีกระแสขึ้นมา หลังจากนั้นรักษ์พยายามสร้างภาพรักให้เป็นคนดีขึ้นมาแม้ว่าเรื่องที่ทำจะเป็นการจัดฉากบ้างเป็นบางกรณี อาทิ
‘วันนี้ผมบังเอิญไปเจอเหตุการณ์ที่น่าประทับใจเกิดขึ้น มีวัยรุ่นชายหน้าตาดียืนแจกหน้ากากฝุ่นป้องกัน PM 2.5 อยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเพราะแต่งตัวธรรมดา แต่พอไม่มองใกล้ๆ ผมถึงกับคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ผมเลยรับหน้ากากมาอย่างงงๆ ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าคนนั้นคือ รักษ์ เดชะนฤมิตร พรรคธรรมรงค์ไทยนั่นเอง ความคิดเห็นผมนะถ้าเขาจะมาแจกเขาก็ควรจะใส่เสื้อพรรคหรืออะไรก็ได้ที่บ่งบอกว่าเขามาจากไหนถ้าหากจะทำคะแนน แต่นี่เขามาแบบธรรมดา บอกตามตรงผมโคตรประทับใจเลยครับ การเลือกตั้งครั้งนี้ผมรู้แล้วว่าจะเลือกพรรคอะไร’
ข้อความพร้อมกับรูปที่รักษ์ยืนแจกหน้ากากให้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาเป็นไวรัลในช่วงข้ามคืน มีคนกดไลก์กดแชร์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคอมเม้นต์ที่กล่าวชื่นชมและออกตัวเป็นแฟนคลับรักษ์อย่างล้นหลาม
เป็นเรื่องที่ง่ายมากหากจะเล่นกระแสผ่านสื่อโซเชียล เพราะรักษ์ทำการวิเคราะห์มาว่าสื่อโซเชียลไปไวมากโดยที่ไม่มีการตรวจสอบ และกระแสที่ตกไวเช่นกัน โจทย์ที่ท้าทายของเขาก็คือทำอย่างไรให้อยู่ในกระแสโซเชียลมากที่สุด เช่นเดียวกับเผ่าเพชร ที่เดินคนละเส้นทางกับรักษ์ โดยเขานั้นออกสายต่างจังหวัดและเขตที่เขาลงสมัคร เน้นลงพื้นที่จริงทำงานจริง แสดงด้านที่จริงใจออกมาให้มากที่สุด ด้วยการที่ทำงานหนักมาตลอดหลายวันทำให้เผ่าเพชรเริ่มมีอาการไม่สบาย แต่เขาก็ไม่คิดจะหยุดออกหาเสียง และวันนี้เป็นอีกวันที่เผ่าเพชรต้องมาทำงานในตัวแทนของพรรคในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ ผ่านรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ทั้งสองเตรียมตัวมาอย่างดีทั้งข้อมูล การวางตัว รวมถึงการแสดงออกทางอารมณ์ เรื่องนี้เขาต้องทำได้ดีกว่านักการเมืองผู้ใหญ่ที่ก่อนหน้าที่มีอาการฟิวส์ขาดจากการโจมตีในระหว่างการดีเบตของฝ่ายตรงข้าม
“สวัสดีครับ” เผ่าเพชรที่มาถึงก่อนเวลานัดล่วงหน้ากล่าวสวัสดีทีมงานที่ออกมาต้อนรับและพาไปยังสถานที่พักก่อนเริ่มการจัดรายการ
“ตัวจริงคุณเผ่าเพชรน่าเด็กกว่าที่เคยเห็นในรูปอีกนะคะ” ทีมงานสาวที่ทำหน้าที่ในการต้อนรับชวนเผ่าเพชรคุยระหว่างเดินเข้ามาในห้องพัก
“ขอบคุณครับ แล้วนี่ยังไม่มีใครมาอีกเหรอครับ? คุณมน?” เผ่าเพชรที่เข้ามาในห้องเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าในห้องพักไม่มีใครเลย นอกจากเขาและทีมงานผู้หญิงที่ชื่อมนจากการสังเกตป้ายที่เธอห้อย
“ยังเลยค่ะ คุณเผ่าเพชรมาคนแรก เชิญนั่งก่อนนะคะเดี๋ยวมนเอาน้ำกับของว่างมาให้ทานไปก่อน เหลือเวลาอีกนานกว่าจะดำเนินรายการ”
“ครับ เรียกผมว่าเพชรเฉยๆ ก็ได้ครับ เรียกคุณผมไม่ค่อยชินเลย”
“ฮ่าๆ ได้เลยค่ะ ถ้าน้องเพชรต้องการอะไรเรียกพี่เลยนะคะ” เผ่าเพชรโค้งศีรษะเล็กๆ ตอบรับคำของมน ระหว่างนั้นเผ่าเพชรจึงนั่งเช็คข่าวรอระหว่างที่ทุกคนยังไม่มา
ข้อมูลของในวันนี้จากทางพรรค เขารู้เพียงแค่ว่ามีนักการเมืองรุ่นใหม่มาออกรายการน่าจะสี่ถึงห้าพรรค หนึ่งในนั้นเขามั่นใจว่าต้องมีรักษ์อย่างแน่นอน เผ่าเพชรแอบรู้สึกกังวลเล็กน้อยเพราะนี่ก็ผ่านมาเกือบเดือนที่ทั้งคู่ไม่ได้ติดต่อกัน ทั้งงานยุ่ง ไม่มีเวลา และรักษาระยะห่างระหว่างที่การแข่งขันเริ่มเข้มข้นขึ้น แต่เรื่องที่เผ่าเพชรรู้สึกไม่สบายใจอีกอย่างก็คือ วันนี้เป็นวันครบรอบแปดปีของการคบกัน
ถ้าเป็นปีที่ผ่านมาทั้งคู่ก็คงออกไปทานข้าว ดูหนัง ซื้อของขวัญให้กันและกัน แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เขาสองคนสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันในวันคบรอบ ซึ่งเผ่าเพชรเองก็เข้าใจเหตุผลของมันดี
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ”
คำทักทายในช่วงที่มีสมาชิกเข้ามาใหม่ทำให้เผ่าเพชรไม่รู้สึกเหงาเหมือนตอนที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียว เพราะตัวแทนที่มาเผ่าเพชรรู้จักเป็นอย่างดีเพราะเคยเจอกันมาก่อนหลายต่อหลายครั้ง บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นการสอบถามสารทุกข์สุกดิบในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องมากกว่าศัตรูคู่ตรงข้าม จนกระทั่งคนที่เผ่าเพชรนึกถึงเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วกาแฟหลายใบในมือ พร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ไหลออกมาตามกรอบหน้าของ ‘รักษ์’
“สวัสดีครับ ขอโทษที่มาช้านะครับ” รักษ์วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะพร้อมกับกล่าวขอโทษทุกคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว จากสายตาที่เขามองมาคร่าวๆ เขาคงเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง “ผมซื้อกาแฟร้อนมาฝากทุกๆ คน มีขนมด้วยเจ้านี้อร่อยเลย อันนี้ของทีมงานครับ ผมหวังว่าคงไม่มีใครฟ้องว่าผมซื้อเสียงหรอกนะครับ”
“แหมคุณรักษ์ ดักทางเก่งนะครับ” ‘ตฤน’ นักการเมืองที่มาจากพรรคเสื้อสีขาวพูดหยอกเชิงทีเล่นทีจริง
“ต้องดักไว้ก่อนครับ เผื่อมีรูปหลุดออกไปผมจะได้ตามตัวถูกว่าเป็นใคร” รักษ์มองไปทางเผ่าเพชรผ่านๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกตพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ มุมปากที่เขาตั้งใจจะสื่อว่า คนนั้นที่หมายถึงคือใคร ส่วนเผ่าเพชรเองก็พยายามแสร้งไปทางอื่นเพื่อไม่สนใจรักษ์ “อันนี้ขนมจากใจในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องกัน ไม่มีสีเสื้อมาเกี่ยวแน่นอน”
“ขอบคุณครับ” ทุกคนต่างหยิบขนมกาแฟที่รักษ์ซื้อมาฝากขึ้นมารับประทานเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ซึ่งเผ่าเพชรเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“.....” เผ่าเพชรชะงักทันทีที่สัมผัสรสชาติของกาแฟ เพราะรสชาตินี้มีเพียงรักษ์คนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเขาชอบ เผ่าเพชรจึงเหลือบสายตาขึ้นไปมองและเห็นว่ารักษ์เองที่ยิ้มให้เขาอยู่
“ผมไม่รู้ว่ารสชาติจะถูกปากทุกคนไหม ผมเลยซื้อรสที่ผมชอบมาน่ะครับ”
“คุณรักษ์สงสัยจะชอบทานหวานนะครับเนี่ย” ‘ภรัณ’ ตัวแทนจากพรรคเสื้อสีชมพูพูดขึ้นหลังจากที่ได้ชิมรสกาแฟ “แต่ไม่ใช่หวานน้ำตาลใช่ไหมครับ”
“หวานจากหญ้าหวานครับ”
“.....”
เผ่าเพชรชอบดื่มกาแฟใส่น้ำตาลหญ้าหวาน.... เพราะใส่หวานเท่าไหร่ก็ไม่มีผลต่อสุขภาพ
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย แต่มีหนึ่งคนที่นั่งเกร็งเหมือนทำตัวไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขายอมรับเลยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รักษ์ซื้อของให้เขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเก็บอาการไม่อยู่กับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของรักษ์
“คุณเพชรไม่สบายหรือเปล่าครับ ทำไมอยู่ๆ หน้าแดง” ตฤนที่นั่งอยู่ข้างๆ สังเกตใบหน้าของเผ่าเพชรที่เริ่มออกสีแดงระเรื่อกับความคิดความรู้สึกของตัวเอง
“เปล่าครับ สงสัยแอร์หนาว” เผ่าเพชรสะบัดความคิดในหัวของตัวเองออก ก่อนจะหาข้ออ้างตอบตฤนกลับไป
“เอาเสื้อผมไหม?” ตฤนเตรียมจะถอดเสื้อคุมของเขาออก แต่เผ่าเพชรกลับห้ามเอาไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็ถึงเวลาแล้ว ขอบคุณนะครับ” รักษ์มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนิ่งๆ พร้อมกับจดบันทึกไว้ในใจว่าตอนนี้เขาไม่พอใจการกระทำของตฤน แต่เขาพอใจกับท่าทางที่เผ่าเพชรแสดงออก ดูก็รู้ว่าเขิน
“ทุกคนเชิญที่สตูฯ ค่ะ” เสียงของทีมงานดังขึ้นทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องเตรียมลุกออกไปด้านนอกหลังจากที่ติดไมค์ไวเลสไว้ที่ตัว
หมับ!
ระหว่างทางที่เดินออกเผ่าเพชรต้องเดินผ่านรักษ์ที่ยืนอยู่ เผ่าเพชรพยายามไม่สนใจ แต่รักษ์กลับยื่นมือของเขามาสัมผัสมือของเผ่าเพชรเบาๆ ในช่วงที่เผ่าเพชรต้องเดินผ่านก่อนจะเอาออกโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น สัมผัสที่ทำให้ความคิดของทั้งคู่เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวภายใต้ท่าทางนิ่งๆ ที่แสดงออกมา
การดำเนินรายการเริ่มจากพิธีกรนั่งอยู่ริมสุดไล่เรียงตำแหน่งจากรายชื่อของพรรคตามพยัญชนะ ทำให้เผ่าเพชรและรักษ์นั่งอยู่ห่างกันออกไป ระหว่างนั้นพิธีกรทำหน้าที่ดำเนินรายการด้วยท่าทางและทักษะที่ชำนาญทำให้นักการเมืองรุ่นใหม่ลดอาการประหม่าลง
“การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งที่ดุเดือดไม่ต่างจากหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะสิ่งที่ทุกคนจับตามองเป็นพิเศษคือนักการเมืองรุ่นใหม่ที่อายุเรียงได้ว่าน้อยมากตั้งแต่ที่เคยมีการลงสมัครมาเลยค่ะ เรามาทำการรู้จักพวกเขาเหล่านี้ ดิฉันของเริ่มที่ท่านแรกค่ะ คุณรักษ์ เดชะนฤมิตร จากพรรคธรรมรงค์ไทย” พิธีกรทำหน้าที่กล่าวเปิดพร้อมกับผายมือไปทางรักษ์ที่นั่งอยู่กับที่ เมื่อกล้องแพลนมาที่เขา รักษ์จึงฉีกยิ้มเล็กพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ด้วยท่าทางอ่อนน้อม
“ท่านที่สองคุณตฤน พฤษกภาส จากพรรคไผท”
“ท่านที่สามคุณภรัณ ธัญสิริ จากพรรคเลือดไทย”
“และท่านสุดท้ายคุณเผ่าเพชร บันดาลทรัพย์ จากพรรคสร้างสิ่งใหม่ค่ะ” และมาจบที่เผ่าเพชรเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะเริ่มดำเนินรายการที่เข้มข้นขึ้น
“มาที่คำถามแรกเลยนะคะ คุณเผ่าเพชรมั่นใจไหมคะว่าพลังของคนรุ่นใหม่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมือง”
“มั่นใจครับ มั่นใจมากเลยครับ เพราะพลังของคนรุ่นใหม่จากพรรคสร้างสรรค์ใหม่เรามั่นใจว่าแนวคิดของเราและการทำงานที่ลงพื้นที่เข้าถึงจริงของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงได้” เผ่าเพชรเริ่มตอบคำถามเป็นคนแรกก่อนจะถัดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงรักษ์
“แล้วคุณรักษ์คิดเห็นอย่างไรคะ”
“ผมเองมั่นใจเป็นอย่างเป็นอย่างมาก แต่ที่สำคัญคือนอกเหนือจากที่พวกเราในที่นี้เป็นคนรุ่นใหม่แล้ว พวกเราทั้งหมดยัง first time voter เหมือนกัน จะเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการออกมาใช้สิทธิใช้เสียงเลือกตั้งที่จะถึงนี้ครับ” First time voter ในที่นี้คือเยาวชนที่มีอายุสิบแปดถึงยี่สิบห้าปี เพราะตลอดแปดปีที่ผ่านมาประเทศไม่มีการเลือกตั้ง แต่มาจากการแต่งตั้งเพราะเหตุความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้ประเทศถูกแช่แข็งไม่ให้มีการเลือกตั้ง แต่เป็นการแต่งตั้งนักการเมืองขึ้นมา อย่างที่รู้ๆ กันคือตัวแทนของพรรคธรรมรงค์ไทย
“เริ่มดุเดือดกันแล้วนะคะ ตอนนี้อยากให้แต่ละคนพูดถึงตัวเองในฐานะคนรุ่นใหม่กับพรรค เริ่มที่คุณรักษ์ค่ะ”
“ครับ ผมมาจากตัวแทนของพรรคธรรมรงค์ไทยพรรคที่มีความเก่าแก่มากที่สุดและอยู่มาในทุกๆ ยุคสมัย แต่ก่อนอื่นเลยผมต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เห็นด้วยกับพรรคทั้งหมดในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ ผมจึงเข้ามาผลักดันสิ่งนั้นในพรรคและเรียนรู้การทำงานกับคนรุ่นเก่าเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผ่านนโยบาย กระบวนการต่างๆ และเข้ามาเป็นกระบอกเสียงให้กับทุกคน นอกจากนี้ทางพรรคยังฉีกกฎแนวอนุรักษนิยมอย่างที่ทุกท่านน่าจะทราบดี โดยการให้โอกาสนักการเมืองรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในลำดับปาร์ตี้ลิสเป็นลำดับต้นๆ ครับ”
“แล้วคุณเผ่าเพชรคิดอย่างไรคะ”
“สำหรับผมเลยนะครับการได้เข้ามาเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่มันเป็นสิ่งที่ควรมีอยู่นานแล้ว เพราะที่ผ่านมานักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนส่วนมากจะละเลยความต้องการและความคิดของรุ่นใหม่อย่างเราๆ โดยเฉพาะเรื่องบางเรื่องที่ไม่เป็นที่ยอมรับและถูกมองว่าแนวคิดที่พวกเราคิดเป็นเรื่องที่ขัดต่อธรรมเนียม อย่างเช่น การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร การแต่งงานในเพศเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านจากสังคมวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมมาเป็นสังคมที่ทันสมัยผ่านเทคโนโลยีต่างๆ ที่ก้าวล้ำมากยิ่งขึ้น จากที่ประเทศที่พัฒนาเขาทำกัน ผมว่าบทบาทในส่วนนี้คนรุ่นใหม่มีส่วนในการผลักดันอย่างมากครับ” เผ่าเพชรแสดงทัศนของตัวเองผ่านแนวคิดหลักของพพรคซึ่งขัดกับอีกสามพรรคที่เหลืออย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะพรรคแนวอนุรักษนิยมอย่างพรรคของรักษ์
“นอกจากแนวคิดของทุกคน อยากทราบว่าอะไรคือปัญหาที่เกิดขึ้นของการเมือง และการที่มีนักการเมืองรุ่นใหม่เข้ามามันจะช่วยลดปัญหาตรงนี้ไหม เริ่มจากคุณตฤนค่ะ”
“ในความคิดของผม.........”
“คุณเผ่าเพชรคิดเห็นอย่างไรคะ”
“ผมมองว่าที่ผ่านมาปัญหาทางการเมืองคือการไม่ฟังเสียงประชาชน การทำงานผ่านแนวคิดของคนกลุ่มๆ เดียวเท่านั้น ผมมองว่านั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากสำหรับสังคมประชาธิปไตยครับ”
“ไม่ได้เป็นการชี้นำนะคะ แต่สิ่งที่คุณเผ่าเพชรตอบมาเป็นการพูดเป็นนัยๆ ถึงพรรคธรรมรงค์ไทยหรือเปล่าคะ?”
“ผมพูดตามความเป็นจริงครับ ถ้ามันไปโดยหรือตรงกับบางสิ่งบางอย่างผมก็จำเป็นต้องยอมรับในสิ่งที่ผมพูด” บรรยากาศในสตูฯ เริ่มดุเดือดมากยิ่งขึ้นเมื่อพิธีกรได้รับสัญญาณให้เพิ่มความร้อนแรงจากทีมโปรดิวเซอร์
“คุณรักษ์มีความคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งที่คุณเผ่าเพชรพูดค่ะ”
“ผมมองว่าสิ่งที่คุณเผ่าเพชรพูดก็เป็นเรื่องจริงครับ แต่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่บอกว่าการไม่ฟังความคิดเห็นของประชาชน เพราะนโยบายที่ผ่านมาทางพรรคของเราเน้นปัญหาที่คนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้มองถึงส่วนน้อยนะครับ เราฟังทุกความต้องการของทุกคนและทุกระดับเพียงแต่บางครั้งนโยบายที่เราทำอาจจะไม่ถูกใจกับคนหลายๆ คน ถ้าให้เลือกตามหลักการแล้วเราก็ต้องแก้ที่ปัญหาของคนส่วนใหญ่หรือเปล่าครับ? ถ้าเราทำตามคนส่วนน้อยหรือคนบางกลุ่มซึ่งไม่สนใจคนส่วนใหญ่เลย แบบไหนที่ควรจะถูกมองว่าเป็นปัญหามากกว่ากันครับ” รักษ์ตอบด้วยรอยยิ้มเล็กๆ แต่ในคำพูดเรียกได้ว่าเป็นการเชือดเฉือนดีๆ นี่เองเพราะแต่ละจุดทิ่มแทงและตอบโต้กันอย่างเมามัน
“ผมจะยกตัวอย่างให้เข้าใจกันง่ายๆ นะครับเผื่อบางท่านในที่นี้คิดตามไม่ทันหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อ ถ้าหากว่าประเทศของคุณมีคนหนึ่งร้อยคน หนึ่งในจำนวนนั้นซึ่งเป็นส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องความยากจน แต่สิบเปอร์เซ็นต์ของประเทศเป็นคนที่มีฐานะและเอาตัวเองรอด หากคุณเป็นรัฐคุณจะเลือกมองปัญหาของคนกลุ่มไหนก่อนกัน ระหว่างเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กับอีกสิบที่ช่วยเหลือตัวเองได้ดีแต่มีบางเรื่องที่ต้องการรัฐมาสนับสนุน ถ้าถูกสิบเปอร์เซ็นต์มองว่าไม่ฟังเสียงประชาชนเลย กับอีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่สามารถลืมตาอ้าปากได้โดยที่ไม่ต้องขอรับความช่วยเหลือจากรัฐเหมือนเดิม ผมก็ยอมถูกมองว่าไม่ฟังเสียงประชาชนครับ”
“คำตอบของคุณรักษ์นี่เรียกได้ว่าฮือฮาและร้อนแรงมากเลยค่ะ แล้วอีกสองท่านที่เหลือคิดเห็นอย่างไรกันบ้างคะ” ตฤนและภรัณต่างตอบคำถามของพิธีกรและตอบโต้แนวความคิดของรักษ์และเผ่าเพชรได้อย่างดุเดือดไม่แพ้กันจนกระทั่งถึงช่วงการดีเบตเรื่องนโยบาย
“ทางพรรคของเราเน้นไปที่เรื่องสิ่งใหม่ๆ นโยบายใหม่ๆ การติดต่อกับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น การผลักดันให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นและกล้าที่เป็นตัวของตัวเอง และปลดล็อกจากค่านิยมเดิมๆ ดังนั้นอย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงครับ” เผ่าเพชรเริ่มเป็นคนแรกในการพูดนโยบายของพรรค “โดยนโยบายที่ทางเรานำมาหาเสียงในวันนี้คือนโยบายตอบโจทย์คนรุ่นใหม่อย่าง นโยบาย freedom of idea เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานร่วมกับรัฐบาลในตำแหน่งที่สำคัญๆ เพื่อเป็นฐานให้กับการพัฒนา ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี อุตสาหกรรม นวัตกรรมใหม่ๆ และยกเลิกระบบกฎเกณฑ์เดิมๆ ทิ้งไป โดยเฉพาะการยกเลิกระบบราชการบางตำแหน่งที่ไม่สามารถทำงานตอบโจทย์ประเทศได้ ซึ่งนี่เป็นการลดจำนวนราชการที่ไร้เสถียรภาพออกไปและเปิดรับคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามา โดยทำหน้าที่คล้ายๆ กับฟรีเล้นหนึ่งคนไม่ได้ทำหนึ่งหน้าที่เท่านั้น แต่เป็นการบูรณาการความรู้ในหลายๆ ด้านเข้าด้วยกันเป็นสหความรู้ครับ”
“นโยบาย freedom of idea ของพรรคสร้างสิ่งใหม่เรียกได้ว่าน่าสนใจมากเลยค่ะ เรามาฟังความคิดเห็นของพรรคอื่นๆ กันบ้าง เริ่มจากคุณรักษ์เลย คิดเห็นอย่างไรกับนโยบายนี้คะ”
“ผมบอกได้คำเดียวเลยครับว่ายาก มันยากมากๆ เรียกได้ว่าเป็นนโยบายขายฝันเลยก็ได้ ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ นะครับ คงจะไม่โกรธกันนะ ผมเห็นถึงความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงระบบราชการ แต่คุณอย่าลืมว่าระบบนี้มันฝังรากลึกลงไปแล้ว ถ้าจะถอนออกอย่างที่คุณพูดก็คงยากแม้ว่าจะเริ่มจากบางตำแหน่งก็ตาม นโยบายนี้ผมเห็นรอยรั่วอีกเยอะเลย ถ้าให้พูดวันนี้ก็คงไม่หมดแน่ๆ อาจจะต้องซื้อเวลาเพิ่ม แต่ถ้าให้ผมแนะนำการที่ทำนโยบายที่เป็นรูปธรรมมันน่าจะสำเร็จมากกว่านโยบายขายฝันนะครับ อย่างแรกเลยการลงมือทำให้ทุกคนเห็นก่อนว่าคุณทำสำเร็จก่อนที่จะเสนออะไรในทำนองนี้ แต่ผมขอชื่นชมนะที่คุณคิดจะนำคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำงานในสิ่งที่คนรุ่นเก่าๆ เขาทำไว้ เรื่องบางเรื่องมีความคิดเจ๋งๆ ใหม่ๆ ไม่พอ มันต้องอาศัยประสบการณ์ด้วย เพราะสุดท้ายผมก็ไม่ได้บอกว่าผมเก่งหรือเจ๋งมากพอที่จะไม่ขอยืมมือใครเลย อย่าลืมว่าคนรุ่นใหม่ที่เก่งคือคนที่ต้องทำงานร่วมกับคนทุกรุ่นได้ด้วย” จบการไปอีกหนึ่งหมัดที่เรียกได้ว่าเป็นหมัดน็อกเอาท์ของรักษ์เลยก็ว่าได้ การมาออกรายการครั้งแรกครั้งนี้เขาทำสำเร็จ และเผ่าเพชรต้องไปทำการบ้านมาใหม่ เพราะเขาประมาทให้รักษ์มากเกินไป
“แต่...”
“หมดเวลาแล้วค่ะ ต้องขออนุญาตปิดตรงนี้เลย” ยังไม่ทันที่เผ่าเพชรจะได้อธิบายเพิ่มเติมพิธีกรตัดจบแบบดื้อๆ ก่อนที่จะให้ทุกคนสรุปภายในสามสิบวินาที
เผ่าเพชรนั่งสงบสติอารมณ์และพยายามแยกแยะเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัว สิ่งที่รักษ์ทำไปเมื่อสักครู่ก็คืองานทั้งนั้น อย่ามารู้สึกแย่แบบนี้ เขาไม่แน่ใจว่ารู้สึกแย่เพราะถูกวิจารณ์หรือรู้สึกแย่เพราะคนวิจารณ์กันแน่ ถ้าคิดดีๆ ก็คงเป็นเพราะคนที่วิจารณ์คือรักษ์มากกว่า
“ขอบคุณทุกคนมากนะคะ” หลังจากจบการดำเนินรายการพิธีกรรีบเข้ามาขอโทษขอโพยทุกคนที่อาจจะล่วงเกินไปทางคำพูดกับทุกๆ คนเพราะนั่นเป็นสคริปต์ที่เธอได้รับมาอีกที ยิ่งถามตรงและพยายามทำให้ทุกคนตีกันมากเท่าไหร่นั่นคือหน้าที่ของพิธีกร
“ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับที่อาจจะพูดแรงเกินไป” ก่อนจะออกจากสตูฯ รักษ์เดินตรงมาหาเผ่าเพชรอย่างเนียนๆ เหมือนอย่างคนอื่นๆ
“ครับ ไม่เป็นไรครับ” เผ่าเพชรเองก็ยิ้มตอบรักษ์อย่างสุภาพเช่นกัน เพราะบริเวณนี้มีทั้งกล้องและคนอีกมากมายเขาจึงต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง
“ออกทีวีด้วยกันครั้งแรกเลยนะครับ”
“คือ..?”
“ครั้งแรกไงครับ” เผ่าเพชรงงหนักเข้าไปใหญ่เมื่อรักษ์พูดในสิ่งที่เผ่าเพชรไม่เข้าใจ โดยเฉพาะคำว่าครั้งแรกที่สามารถตีความไปได้หลายความหมาย
“.....”
“เดตบนเวทีครั้งแรกในวันครบรอบแปดปี...”
“.....!” เผ่าเพชรรีบเช็คไวเลสของตัวเองทันทีว่าปิดหรือยังในช่วงที่รักษ์เนียนๆ เข้ามากระซิบใกล้ๆ เพราะกลัวคนอื่นจะได้ยิน
ใบหน้าของเผ่าเพชรเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด
“วันนี้เขินบ่อยจัง”
“ไอ้รักษ์” เผ่าเพชรกัดฟันพูดออกมาเบาๆ เมื่อรักษ์ยังคงแกล้งแหย่เผ่าเพชรในที่ที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้
“คิดถึง”
“ไอ้รักษ์....”
“ก็พูดตามความจริง ผมโกหกตรงไหนเหรอครับคุณเผ่าเพชร ถ้าไม่พอใจก็คงช่วยไม่ได้จริงๆ” หางตาของรักษ์เห็นว่าตฤนเดินเข้ามาทางที่เขายืนคุยกับเผ่าเพชรอยู่ จึงรีบเปลี่ยนน้ำเสียงและโหมตให้ตฤนเข้าใจผิดว่าเรื่องที่พูดคือเรื่องที่เขาพูดกับเผ่าเพชรในช่วงดำเนินรายการ “เพราะผมพูดตามความรู้สึกของผม”
“เอ๋? คุณรักษ์พูดไม่ถูกนะครับ เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เหตุผลมากกว่าความรู้สึก” และเป็นไปตามที่รักษ์คิดเอาไว้ไม่มีผิด
“เรื่องแบบนี้ผมไม่มีเหตุผล” รักษ์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจและปล่อยให้ตฤนตีความไปแบบนั้น ส่วนเผ่าเพชรเองก็ยื่นนิ่งเพราะรู้สึกเหมือนจะเป็นลม ไม่ใช่เพราะเขินแต่อาจจะเป็นเพราะอาการไข้หวัดของเขาเริ่มแสดงอาการออกมา
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เผ่าเพชรเลี่ยงออกมาจากสตูฯ และตรงไปที่โรงรถเพื่อตรงกลับคอนโดฯ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ารักษ์เดินตามมาห่างๆ และเห็นอาการของเผ่าเพชรทุกอย่างจนเขาอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
“คุณคิมครับช่วยดูให้หน่อยว่าโรงจอดรถชั้น E มีคนอยู่ไหม ถ้าไม่มีคุณคิมช่วยกันไม่ให้ใครขึ้นมาได้ไหมครับ” รักษ์ต่อสายหาผู้ติดตามส่วนตัวของเขาในช่วงที่เผ่าเพชรยืนหันหลังพิงรถด้วยท่าทางไม่สู้ดีนัก
“ครับ พี่คิม ช่วยบอกพ่อว่าผมไม่กลับบ้านนะครับ ขอบคุณครับ” รักษ์วางสายก่อนจะตรงไปหาเผ่าเพชรเมื่อเขาได้รับการยืนยันว่าชั้นนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากเขาสองคน อาจจะเป็นเพราะเป็นชั้นที่อยู่สูงที่สุดก็ว่าได้ ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองเผ่าเพชรคงตั้งใจจะจอดตรงนี้เพื่อให้เขาเข้ามาหาได้อย่างสะดวก
“ไอ้เพชร”
“ไอ้รักษ์?”
“ไหวไหมมึง? กูบอกว่าให้ดูแลตัวเองด้วย มึงบ้ารึเปล่าที่ทำงานแม่งเจ็ดวันรวดแบบนั้น ไหนตัวร้อนไหมวะ” รักษ์เข้าไปประชิดตัวเผ่าเพชรพร้อมกับรวบเอวและดึงเข้ามาใกล้ก่อนที่จะใช้ฝ่ามืออังที่หน้าผากเบาๆ
“ตัวร้อน”
“เดี๋ยวกูไปกินยา”
“ไปหาหมอเลย”
“มันนาน”
“ใครเสือกป่วยล่ะ อย่างอแงไอ้เพชร มึงไม่สบาย” รักษ์ขมวดคิ้วทันทีที่เห็นว่าเผ่าเพชรเริ่มดื้อไม่ฟังในสิ่งที่เขาพูด
“กูไม่ได้เป็นไรทั้งนั้นแหละ ปล่อยกูได้แล้ว” เผ่าเพชรผลักรักษ์ออก “เดี๋ยวคนอื่นเห็น”
“กลัวไร”
“เดี๋ยวกูถีบให้เลย พูดมาได้กลัวไร มึงรีบไปเลยไอ้รักษ์” เผ่าเพชรโบกมือไล่ให้รักษ์ออกไปได้แล้วเพราะกังวลว่าจะมีคนมาเห็นเข้าก่อน
“เดี๋ยวขับรถให้”
“กูขับได้ไม่ต้องห่วง”
“ไม่ได้ห่วง กูแค่ไม่อยากให้รถพังหรอกหนา แล้วก็ไม่ต้องบอกว่ากลัวใครเห็นเพราะฟิล์มรถมึงดำฉิบหาย ขึ้นไปได้แล้วกูไม่อุ้มหรอกนะไอ้เพชร ถ้าไม่ขึ้นก็เดิน” รักษ์ล้วงกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงของเผ่าเพชรก่อนจะเดินไปที่คนขับและสตาร์ทรถ เผ่าเพชรถอนหายใจออกมาก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“หลับไปก่อนถึงแล้วจะปลุก”
“เออ”
“มียาไหม กูว่ากูเคยใส่ไว้ในนี้นะ” รักษ์พูดกับตัวเองพร้อมกับหายาสามัญประจำบ้านในรถของเผ่าเพชรที่เขาเคยใส่เอาไว้
“ไอ้เพชรตื่นมากินยาก่อน” หลังจากที่หายาเจอรักษ์โน้มตัวเข้าไปเขย่าตัวเผ่าเพชรเบาๆ “กูก็อยากจะจูบป้อนยาเหมือนในละครหรอกนะ แต่มันใช้ไม่ได้กับมึง ชอบอมยา” รักษ์พยายามง้างปากของเผ่าเพชรออกและดันยาเข้าไปในปากพร้อมกับกรอกน้ำตาม และบีบปากให้เผ่าเพชรกลืน
“หลับซะเดี๋ยวปลุก” รักษ์ผิดฝาขวดน้ำก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากของเผ่าเพชรเบาๆ พร้อมกับขับรถออก
วันนี้เขาไม่ลืมว่าเป็นวันอะไร ดังนั้นตลอดทั้งวันเขาจึงยอมทำตามเสียงหัวใจมากกว่าเสียงของสมอง
งานมาที่หลังความรักได้ถ้าเขาต้องการ