Special
Halloween Day
Patrick X Sebastianคุณแมด แฮท เทอร์และแมวเชสเชียร์ของเขา
[Sebastian]31 ตุลาคม คือวันฮาโลวีนหรือเรียกกันอีกอย่างว่าวันปล่อยผี เมื่อถึงเทศกาลนี้ทีไรบรรยากาศภายในตัวเมืองคึกคักทุกครั้ง ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนแต่งผีไม่ก็ฉีกแนวเป็นแฟนตาซีไปเลย มหาวิทยาลัยที่ผมทำงานก็มีจัดกิจกรรมสำหรับเทศกาลนี้ทุกปี ผมไม่เคยเข้าร่วมสักปี กระทั่งปีนี้
เป็นปีแรกที่มา แถมไม่ได้มาคนเดียวซะด้วย
“บอกแล้วว่าคนต้องมองคุณเยอะแน่ๆ”
เสียงหงุดหงิดดังจากคนข้างตัว ผมหันมอง แพทริคกำลังหน้ามุ่ย เขาขมวดคิ้ว มองซ้ายทีขวาที จนคนอื่นที่มองมาพากันหันหนีแทบไม่ทัน
“เพื่อนร่วมงานกับลูกศิษย์ฉันทั้งนั้นแพท”
“ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สนใจคุณนี่”
“แต่เขาก็รู้ว่าฉันมีนายแล้ว” ผมพยายามปลอบแมวยักษ์ที่อารมณ์เสีย “ว่าแต่ฉัน นายเองล่ะรู้ตัวบ้างไหมว่าโดนมองเหมือนกัน”
“ฮะ? ผมน่ะเหรอ” แมวยักษ์หน้าเหรอหรา “มองทำไม ผมไม่ได้แต่งตัวเท่ๆ แบบคุณสักหน่อย”
“คอสเพลย์เป็นแมวแบบนี้นายก็น่ารักน่า”
ผมพยายามกลั้นขำ มองแพทริคในชุดเสื้อเชิ้ตลายทางสีเทากับกางเกงสแลคสีดำ กระดุมเสื้อปลดลงหนึ่งเม็ดโชว์โชกเกอร์สีดำที่ลำคอ บนหัวสวมที่คาดผมหูแมวสีเทา ส่วนเข็มขัดที่เขาใส่ ด้านหลังมีพวงหางแมวสีเทาสลับลายดำ ไม่นับรวมถุงมือครึ่งมือในรูปแบบอุ้งมือแมวสีเดียวกันที่เขาสวมนั่นอีก
“ผมไม่อยากเป็นแมวเชสเชียร์สักหน่อย”
“แต่ฉันเป็นแมด แฮทเทอร์” ผมยิ้ม ขยับหมวกทรงสูงที่ตัวเองสวมนิดๆ “และฉันอยากมีแมวเชสเชียร์เป็นของตัวเอง นายก็ยอมรับข้อตกลงนี่ ถ้าจะมาด้วยต้องแต่งเป็นแมวเชสเชียร์ จะปฏิเสธก็ได้แต่นายไม่ทำ”
“ก็ใครจะปล่อยให้คุณมางานแบบนี้คนเดียวล่ะ”
“แมวขี้หวง”
“ก็เจ้าของน่าหวง”
“ไหนใครเคยบอกว่าให้ฉันลองเปิดใจกับคนอื่นๆ ดู” ผมเลิกคิ้ว ยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ “พอฉันทำแบบนั้นกลับเป็นนายซะเองที่แยกเขี้ยวขู่กลัวคนอื่นเข้าใกล้ฉัน”
“ก็ผม…”
“เซบาสเตียน!” ผมเงยหน้ามองตามเสียงเรียก ชายคนหนึ่งในชุดกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์โบกมือให้มาแต่ไกล “มาทางนี้หน่อยครับ”
“ใครน่ะ” เสียงแมวยักษ์ขู่ฟ่อ ผมยิ้ม
“เพื่อนร่วมงานน่ะ”
ตอบแค่นั้นก่อนเดินไปตามคำเชิญ เมื่อมาถึงผมก็พบมนุษย์หมาป่ากับแวมไพร์ยืนขนาบข้างกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์อยู่ พวกเขาส่งยิ้มเมื่อเห็นผม
“ยินดีต้อนรับคุณแมด แฮทเทอร์กับแมวเชสเชียร์ของเขา”
“นี่แพทริค” ผมแนะนำเจ้าแมวยักษ์ที่ปั้นหน้ายิ้มให้พวกเขารู้จัก จากนั้นหันมาทางแพทริค “ส่วนนี่เพื่อนร่วมงานในคณะที่ฉันสอน แจ็ค สแปร์โรว์นั่นชื่อสตีฟ มนุษย์หมาป่าเมแกน ส่วนแวมไพร์นี่เจสัน”
“สวัสดีครับ”
แพทริคจับมือกับทุกคนด้วยอุ้งมือแมวนุ่มๆ นั่นจนทั้งสามหัวเราะ เล่นเอาแมวยักษ์หน้าขึ้นสี
“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จัก” เจสันตอบรับ “ได้ยินพวกนักศึกษาซุบซิบกันว่าแฟนของอาจารย์เซบาสเตียนหล่อมาก พอเจอตัวจริงถึงได้เข้าใจ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“หล่อที่ไหน” ผมว่า เหลือบมองแพทริคที่ยืนข้างกัน “น่ารักมากกว่า”
“น่ารักจริงๆ” เมแกนพยักหน้ารับ
ผมตวัดตามองเขา คลี่ยิ้มเย็น
“ของฉัน”
“หวงจนออกนอกหน้าเชียว” สตีฟแซวยิ้มๆ เขาสบตาผม “ไม่น่าเชื่อว่านายจะเป็นคนแบบนี้ เมื่อก่อนฉันไม่กล้าเข้าใกล้เพราะนายน่ากลัว พอมารู้จักกันจริงๆ มันต่างจากที่คิดเลยแฮะ”
“ช่วงก่อนเจอแมวน่ะ” ผมไหวไหล่ “พอเจอแมวแล้วนิสัยก็ดีขึ้น”
“เขาว่ากันว่าการเลี้ยงสัตว์ทำให้จิตใจอ่อนโยน” เจสันหัวเราะ เขามองผมอย่างรู้ทัน “ท่าจะจริง”
“แล้วนี่น้องแมว เอ๊ย แพทริคอายุเท่าไหร่ครับ ผมถามได้ไหม” เมแกนชวนแพทริคคุย คงกลัวว่าเขาจะอึดอัด แต่แววตาที่มองเจ้าแมวยักษ์ของผมไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่
“ยี่สิบสี่ครับ ใกล้จะยี่สิบห้าแล้ว”
“เด็กจัง งั้นเรียกฉันว่าพี่เมแกนก็ได้นะ”
“หืม จะดีเหรอครับ”
“ดีสิ คนกันเอง” เมแกนยิ้มหวาน ผมหรี่ตามองเขา ขยับเข้าโอบเอวแพทริคเอาไว้ เจ้าแมวยักษ์หันมองผม ดวงตาสีฟ้าใสงุนงง
โดนหยอดยังไม่รู้ตัวอีก
“ฉันไม่อนุญาตให้เรียก” ผมว่า ยิ้มเย็นใส่เมแกน “เขาเรียกฉันได้คนเดียว”
“โอเคๆ ไม่ต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นเลยนะ”
“นายรนหาที่เองเมแกน” สตีฟหัวเราะหึๆ
“ทำใจเถอะ ตอนนี้ไม่ทันแล้วล่ะ” เจสันว่า เขามองหน้าผมยิ้มๆ “เสียดาย ที่จริงน่ะ ฉันสนใจนายมาตั้งนานแล้วล่ะเซบาสเตียน”
“ก็พอรู้” ผมตอบหน้าตาย เขาดูแปลกใจ
“ดูออกงั้นเหรอ”
“สายตานายมันน่ารำคาญ” ผมกระตุกยิ้ม “มองอยู่ได้ ใครจะไม่รู้ตัว”
“คนมองนายเยอะแยะ”
“อันนั้นฉันก็รู้”
“เซ็บครับ” จู่ๆ แพทริคก็กระตุกชายเสื้อผม “ผมรู้สึกปวดท้องนิดหน่อย ช่วยพาไปห้องน้ำได้ไหมครับ”
ผมขมวดคิ้ว สายตาของแพทริคกับน้ำเสียงไม่ได้ดูเจ็บปวดอะไรสักนิด แววตาขวางๆ ด้วยซ้ำไป แต่สุดท้ายผมก็เล่นตามเกมเขา เอ่ยปากขอตัวกับเพื่อนๆ แล้วพาแมวยักษ์แยกตัวออกมา
ปึง!
“ปิดแรงแบบนั้น ระวังประตูจะพังนะ” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ไม่สะทกสะท้านแม้จะถูกดันเข้ามาในห้องน้ำเดียวกับแพทริค และถูกเขากักตัวเอาไว้
“เจสันชอบคุณ” เขาเบะปาก
“เมแกนก็ชอบนาย”
“ไม่เหมือนกัน”
“ยังไง?” ผมเลิกคิ้ว ยิ้มยั่วอีกฝ่าย เวลาเห็นแพทริคหึงแล้วมันมีความสุขแปลกๆ
“เมแกนแค่หยอดผมเล่นๆ แต่เจสันชอบคุณมาก่อนหน้านั้น” แพทริคขมวดคิ้ว คำรามฮึมฮัมในลำคอ เขาหลุบตามองเสื้อที่ผมใส่ “แล้วเนี่ย จะปลดกระดุมทำไมตั้งสองเม็ด รู้ไหมว่าใครมองมาบ้าง เห็นผมไม่พูดหน่อยคุณจะทำอะไรก็ได้เหรอ”
“แค่กระดุมเสื้อ” ผมหัวเราะเบาๆ “ทีนายใส่โชกเกอร์เซ็กซี่แบบนั้นฉันยังไม่ว่าอะไร”
“โชกเกอร์นี่คุณใส่ให้ผมไม่ใช่หรือไง”
ผมหลุดหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าเหลืออดของแพทริค เขาตลกชะมัด และผมเองก็นิสัยเสียน่าดูที่ชอบปั่นหัวเขาเล่นแบบนี้
“หัวเราะเข้าไปนะคุณ” แพทริคหรี่ตาลง “คิดว่าผมเด็กกว่าแล้วจะไม่กล้าลงโทษคุณเหรอ”
“จะทำอะไรล่ะ”
“เดี๋ยวก็รู้”
เขากระซิบชิดใบหูผม เบียดตัวเข้ามาใกล้ ผมยืนพิงกำแพงห้องน้ำนิ่ง ไม่คิดหนี อยากรู้เหมือนกันว่าแพทริคจะทำยังไงต่อไป เขาจ้องหน้าผม ปลายนิ้วลากผ่านลงมาถึงแผ่นอก กระดุมเสื้อเชิ้ตด้านในผมถูกปลด เขาแหวกสาบเสื้อผมออก กระตุกยิ้มร้ายแล้ววางอุ้งมือแมวนุ่มๆ ลงบนนั้นก่อนเริ่มนวดหน้าอกผมเบาๆ
“อืม...คราวนี้เป็นแมวนวดเหรอ” ผมกระซิบถาม ยื่นมือเกาะเอวเขาเอาไว้ แพทริคออกแรงนวดหนักมือกว่าเดิมจนผมต้องเม้มปากเอาไว้ “ทำไมชอบนวดนมฉันจังเลย หื้ม?”
“คุณรู้ไหมว่าทำไมแมวชอบนวด”
“ท...ทำไมล่ะ” เสียงผมสั่น เพราะแพทริคทั้งนวดทั้งสะกิดหัวนมผมจนมันเสียววาบไปหมด
“เพราะตอนแมวยังเด็ก เวลาดูดนมแม่แมว การนวดแบบนี้…” เขาออกแรงนวดเฟ้นและขย้ำบีบหน้าอกผมแรงๆ ประกอบคำอธิบาย “มันเป็นการกระตุ้นจุกนมของแม่แมวให้ผลิตน้ำนมออกมาเยอะๆ ไงครับ”
“อะ ฮะๆๆ” ผมหัวเราะออกมา เสียงกระท่อนกระแท่น “เด็กดี ถึงนายนวดมันจนช้ำก็ไม่มีน้ำนมให้นายหรอกนะ”
“จริงเหรอครับ” เขายิ้มร้าย “ต้องลองพิสูจน์ก่อนนะ”
แพทริคว่าพลางครอบริมฝีปากลงมา เขาดูดดุนหน้าอกผมพร้อมขย้ำเฟ้นไม่อ้อมแรง ปลายลิ้นซุกซนตวัดแยงละเลงรัวจนผมหลังแทบไม่ติดผนัง ผมสอดมือจิกเส้นผมเขา ระบายลมหายใจหนักๆ ออกมา เชิดหน้ามองเพดานห้องน้ำในขณะที่แอ่นอกให้แมวยักษ์ดูดจนหัวนมแดงก่ำ
ปลายนิ้วผมสะกิดโดนหูแมวที่เขาสวม มันนุ่มฟูจนเผลอออกแรงกำไว้ รู้ตัวอีกทีมันก็ยับคามือ
“อะ อะ แพท...เสียวไป”
“ไม่มีน้ำนมจริงๆ ด้วย” แพทริคพึมพำ ตวัดลิ้นเลียเบาๆ ส่งท้ายจนผมตัวสั่น เขาผละออก เงยหน้าสบตาผม รอยยิ้มร้ายๆ ไม่เหมือนแพทริคที่ไร้เดียงสาเวลาอยู่กับคนอื่นสักนิด “หิวนมจังเลยครับเซ็บ”
“ก็บอกแล้วไง” ผมว่าเสียงหอบ หน้าอกยังรู้สึกอยู่ทั้งที่แพทริคไม่ได้สัมผัสมันแล้ว “ว่าเต้าบนน่ะไม่มีน้ำนมหรอก”
“แล้วถ้าเต้าล่าง…”
เขาลากเสียง หรี่ตาและลดตัวลง ปลายนิ้วสาละวนกับซิปกางเกงผมโดยไม่ละสายตาจากกัน ผมโอบศีรษะเขาไว้ ออกแรงดันให้มาแนบชิด กระซิบเสียงพร่า
“ถ้าตรงนี้น่ะ มีให้นายกินจนอิ่มเลยล่ะเด็กดี”
จากนั้นแมวยักษ์ก็โอบรับมันไว้เต็มโพลงปาก ขยับหัวเข้าออกสร้างความสุขสมให้ผมจนแทบตาพร่า ผมปิดปากตัวเอง กลั้นเสียงร้องเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้าห้องน้ำ แต่ในขณะเดียวกันสะโพกกลับเด้งรับไม่หยุด ผมหลุบตาลง มองแพทริคที่กลืนกินผมไว้ มันกระทุ้งเต็มข้างแก้มเขาจนเห็นเป็นรูปร่าง ผมแตะใบหน้าเขาไว้ สัมผัสของตัวเองผ่านผิวแก้มอีกฝ่าย
เสียงกดชักโครกดังจากห้องข้างๆ จากนั้นเป็นเสียงเปิดประตูและเสียงล้างมือที่อ่างล้างหน้า ก่อนเสียงฝีเท้าจะเดินห่างออกไป แพทริคเร่งความเร็ว ผมปลดปล่อยเต็มปากเขาจนมันเลอะออกมาข้างนอก
เขากลืนมันลงไป
ผมหอบหายใจ คว้าทิชชู่ในห้องน้ำมาเช็ดทำความสะอาดตัวเองและใช้นิ้วปาดคราบที่เลอะมุมปากแพทริคทิ้งไป ริมฝีปากอิ่มเผยอค้าง แพทริคเลียนิ้วผมเบาๆ สีหน้าเว้าวอน ผมหลุบตาลงต่ำ ตรงนั้นของแมวยักษ์ตั้งชันจนดันเนื้อผ้าขึ้นมา
“อึดอัดไหมเด็กดี”
“ช่วยผมได้ไหมครับ”
“อยากให้ช่วยแบบไหนล่ะ” ผมถาม เห็นแพทริคตาเป็นประกายวาว
“คุณหันหลังได้ไหมครับ”
ความปรารถนาเขาลุกโชน ผมหันหลัง สองแขนเท้ากำแพงห้องน้ำ แพทริคโน้มตัวทาบทับลงมา กางเกงผมหล่นกองกับพื้น จากนั้นเขาก็เติมเต็มผมในวินาทีต่อมา พวกเรากลั้นเสียงเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อมีคนเข้ามาในนี้ ทั้งกลัวจะมีคนจับได้และตื่นเต้นที่ได้หลบซ่อน
“อะ อึก!”
“ชู่ เบาๆ ครับ” เขากระซิบเสียงพร่าข้างใบหู กระแทกเน้นเข้ามาทั้งที่บอกให้ผมเบาเสียง “อยากให้ห้องแรกเขารู้เหรอครับว่าเราทำอะไรกัน”
แหงล่ะว่าไม่
แต่ถ้าแพทริคยังกระแทกย้ำอยู่แบบนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทนได้อีกสักเท่าไหร่...
Matthew & Jasper
แฟรงเกนสไตน์ตัวร้ายกับคุณชายโจ๊กเกอร์
[Matthew]แจสเปอร์ไม่ชอบงานเลี้ยงวุ่นวาย ผมรู้ รู้ดีที่สุด และรู้ด้วยว่าถ้าผมบังคับ ยังไงซะเขาก็ต้องยอมตามมาด้วยอยู่ดี ตำแหน่งเลขาของเขาไม่สามารถปฏิเสธได้เมื่อผมเอาคำว่างานมาอ้าง
แต่คิดอีกทีผมไม่อยากให้เขามาด้วยแล้ว
“แจสเปอร์ คอเสื้อจะเปิดกว้างไปถึงไหน”
“หนักหัวนายหรือไง”
“ฉันพูดกับนายดีๆ นะ” ผมยิ้ม ตาเขม็งจ้องคอเสื้อคนที่แต่งเป็นแฟรงเกนสไตน์ที่ปลดกระดุมจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน “แต่งตัวบ้าอะไรของนาย ไร้รสนิยมสุดๆ”
“ของนายดีนักเหรอไง”
“อย่างน้อยก็ไม่ขาดเป็นรูทั่วตัวแบบนายแล้วกัน”
ผมส่ายหัว มันเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสามเม็ดบนจนเห็นแผ่นอกวับๆ แวมๆ ตัวเสื้อถูกกรีดขาดเป็นรูแหว่งๆ สวมทับด้วยแจ็คเก็ตหนังอีกชั้น กางเกงยีนส์สีซีดขาดเข่ากับรองเท้าผ้าใบมอมๆ
“โจ๊กเกอร์เนี่ยนะ สิ้นคิดมาก” เขาแค่นเสียงใส่ ใบหน้าที่แต่งเอฟเฟคเป็นรอยเย็บบากฉายแววดูแคลนชุดที่ผมใส่ “ตั้งแต่เดินเข้างานมาก็เจอโจ๊กเกอร์เป็นสิบๆ คนแล้วมั้ง”
“แฟรงเกนสไตน์ก็ใช่จะมีนายคนเดียว”
“แต่ไม่ซ้ำเท่านาย”
“โอเคๆ ไม่เถียงแล้วก็ได้” ผมยกมือยอมแพ้ เหล่ตามองเสื้อเจ้าปัญหาที่เขาใส่อีกครั้ง “อย่างน้อยก็ติดกระดุมอีกสักเม็ดเถอะ ปลดขนาดนี้นายไม่ถอดทั้งแผงเลยล่ะ”
“ก็คิดอยู่”
“แจสเปอร์” ผมกดเสียงเรียกชื่อเขา “นายก็รู้ว่าที่ฉันพูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง”
“ก็รู้” เขายักไหล่ แสร้งหยิบขนมที่บริกรถือถาดผ่านมาเข้าปาก ดวงตาหรี่จ้องผม “แต่แล้วไง เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันนี่?”
“ฉันว่าฉันบอกแล้วนะ ว่าฉันจีบนายอยู่”
“แล้วติดหรือยังล่ะ?” เขาเลิกคิ้ว เหยียดยิ้มใส่ “ก็ไม่ เพราะฉะนั้นอย่าให้มากเกินไปแมท นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครบังคับ”
ผมหรี่ตามองเขา แจสเปอร์ก็ยังคงเป็นแจสเปอร์ เป็นไอ้ตัวร้ายที่ชอบท้าทายขีดความอดทนของผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่ได้ตอบโต้กลับ รู้ดีว่าแจสเปอร์พูดถูก สถานะพวกเราตอนนี้คือคนคุย ผมจีบเขา แต่แจสเปอร์ยังไม่ตอบตกลง ผมอยากหวงเขา แต่ผมไม่มีสิทธิ์มากขนาดนั้น
“สวัสดีค่ะคุณแมทธิว”
“สวัสดีครับลิซ่า” ผมยิ้ม จับมือทักทายกับลูกสาวบริษัทคู่ค้าของบริษัทผม “คุณเป็นมาเลฟิเซนต์ที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย”
“ปากหวานจังค่ะ” เธอหัวเราะ “คุณก็เป็นโจ๊กเกอร์ที่เท่ที่สุดเหมือนกัน”
“มันแน่นอนอยู่แล้วนี่ครับ”
ผมแกล้งไม่ถ่อมตัว ลิซ่าเลยหลุดหัวเราะหนักกว่าเดิม เธอเหลือบมองแจสเปอร์ที่ยืนเงียบอยู่ข้างผม เป็นฝ่ายยื่นมือให้จนแจสเปอร์ต้องจับมือตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“สวัสดีค่ะ ฉันลิซ่า”
“แจสเปอร์ครับ”
“จะเป็นการรบกวนไหมคะ” ลิซ่ายิ้มหวาน “ถ้าฉันอยากเชิญคุณไปกับฉันหน่อย เพื่อนฉันสนใจคุณแต่ไม่กล้าเข้าหาคุณน่ะค่ะ”
“คนไหนครับ” แจสเปอร์ถามยิ้มๆ ลิซ่าชี้ไปทางกลุ่มเพื่อนเธอ ก่อนที่แจสเปอร์จะหันมาทางผม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้ายกาจแล้วหันกลับ “ได้สิครับ คุณลิซ่าอุตส่าห์มาเชิญทั้งที ผมไม่กล้าปฏิเสธหรอก”
“งั้นฉันขอยืมตัวมือขวาคนเก่งของคุณสักครู่นะคะแมท”
ผมยิ้มรับ แม้ในใจจะคุกรุ่น มองตามหลังแจสเปอร์ที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองกันสักนิด ผมเผลอกัดฟันกรอด อยากพุ่งไปคว้าข้อมืออีกคนดึงกลับมายืนอยู่ข้างตัวเองเหมือนเดิม เขาเป็นเลขา เป็นผู้ช่วยฝีมือดีที่รู้ใจผมที่สุด แจสเปอร์คือคนของผม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่คิดแบบนั้นสักนิด
ผมมองแจสเปอร์พูดคุยกับกลุ่มสาวๆ ตรงนั้น หงุดหงิดจนเผลอทุบโต๊ะระบายอารมณ์
เพล้ง!
“เวรเอ๊ย!”
ผมสบถ ก้มลงเก็บเศษแก้วที่ตกแตกจากฝีมือตัวเอง แต่เหมือนสติจะไม่อยู่กับตัวเท่าไหร่ ผมเผลอแตะเข้าที่ด้านคมของมันจนได้เลือด บริกรที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบวิ่งมาเคลียร์พื้นที่ ผมลุกขึ้น ถอนใจเมื่อเห็นปลายนิ้วตัวเองเลือดไหลเป็นสาย ผมกำลังจะเอ่ยปากขอผ้าจากบริกร แต่จู่ๆ ก็ถูกดึงมือไป จากนั้นผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดก็ถูกกดซับที่แผล
“ไม่อยู่ด้วยแป๊บเดียวทำไมต้องหาเรื่องเจ็บตัวด้วย”
“...”
“เรียกร้องความสนใจหรือไงเจ้านาย” แจสเปอร์แค่นเสียงประชด เขาสบตาผมนิ่ง “ไม่ต้องมายิ้ม มันไม่ได้ผล ที่ฉันกลับมาเพราะมันเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลเจ้านายอย่างนาย”
“แค่นายกลับมาก็เกินพอแล้ว”
แจสเปอร์สบตาผม เขาหรี่ตาลง ถอนใจแผ่วเบา พันผ้าเช็ดหน้ากับนิ้วผมไว้แล้วเดินหายไปครู่หนึ่งก่อนกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล
“ตามมา เดี๋ยวทำแผลให้”
จริงๆ แล้วแจสเปอร์น่ะ...ใจดีกับผมจะตาย
“ไปทำยังไงให้แก้วแตก” เขาถามในขณะทำแผลให้ผม พวกเรานั่งอยู่ตรงบันไดหนีไฟ ไม่รู้ทำไมมานั่งตรงนี้ แต่แจสเปอร์บอกมันเงียบดี ผมเลยไม่ขัดใจเขา
“เผลอทุบโต๊ะแรงไปหน่อย”
“ทุบทำไม”
“เพราะหงุดหงิด”
“หงุดหงิดใคร”
“หงุดหงิดนาย” ผมตอบ สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกแสบแผล แจสเปอร์เงยหน้าขึ้น เราสบตากัน “เพราะฉันดูเหมือนชอบนายอยู่ฝ่ายเดียว แต่นายไม่รู้สึกอะไรกับฉันเลย”
“ไร้สาระ”
“ฉันไม่ใช่คนมีสาระอยู่แล้ว” ผมหลุบตาจ้องมือแจสเปอร์ที่กำลังใส่ยาทำแผลให้ผม “เบาๆ หน่อย แสบนะนั่น…”
“แสบที่ไหน”
“แผลสิ”
“นึกว่าแสบที่ใจ” แจสเปอร์หัวเราะเบาๆ ผมกลอกตา
“ถ้าที่ใจน่ะไม่แสบหรอก ชาหมดแล้ว”
“อย่าตัดพ้อฉันน่า” แจสเปอร์แกะพาสเตอร์และปิดลงบนแผลผม เขาเงยหน้าขึ้นมา “คนอย่างนายไม่เหมาะจะมาตัดพ้อใครหรอกนะ กระดิกนิ้วทีเดียวสาวๆ ก็แทบวิ่งเข้าหา”
“ฉันแค่ต้องการนาย ถ้ากระดิกนิ้วทีเดียวนายจะเข้าหาไหมล่ะ”
“นายดูจริงจังกว่าที่ฉันคิด”
“หรือที่ผ่านมานายคิดว่าฉันแกล้งเล่น” ผมเลิกคิ้ว สบตาเขานิ่ง “ฉันจริงจังแจสเปอร์ แค่เรื่องของนายนั่นแหละ อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมานายไม่ชัดเจนกับฉันสักทีเพราะไม่มั่นใจ?”
“ก็ไม่เชิง”
“ต้องทำยังไงนายถึงจะไว้ใจฉัน?”
ผมถาม แต่แจสเปอร์ไม่ตอบ เขาแค่ยักไหล่แล้วเงียบไป ผมหงุดหงิดนิดหน่อย คิดว่าตัวเองก็แสดงออกชัดเจนมากพอแล้ว ชัดกว่านี้ก็คงขอแต่งงานพาไปจดทะเบียนแล้วล่ะ
ผมขยับเข้าไปใกล้เขา แจสเปอร์จ้องหน้าผมนิ่ง ไม่หลบไปไหน ผมกดจูบลงบนริมฝีปากเขาเบาๆ เป็นการหยั่งเชิง แจสเปอร์ถอนใจ เขาประคองใบหน้าผมไว้ เป็นฝ่ายบดจูบลงมา
เราจูบกันมาก็หลายครั้ง
และทุกครั้งมันส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจผมตลอด
มันไม่ใช่ความชอบผิวเผิน ตอนนี้ผมรู้ใจตัวเองดี เหลือแค่ใจของแจสเปอร์ที่ไม่รู้จะตรงกับผมไหม บอกตามตรง กรณีของแม่และพ่อทำให้ผมกังวล พวกเขารักกันแม้ไม่ใช่โซลเมตกัน ผมกลัวว่าแม้กระทั่งคำว่าโซลเมตก็รั้งแจสเปอร์เอาไว้ไม่ได้
ผมผละออก กดจูบลงบนลำคอเขา ขบเม้มสร้างรอยจนแจสเปอร์สะดุ้ง มือผมป่ายไปตามสาบเสื้อ ดึงมันออกและจูบลงบนหน้าอกเขา ตำแหน่งเหนือหัวใจที่เต้นรัวนั่น ไม่รู้มันเต้นเพราะผมหรือเปล่า เม้มประทับตราจองโดยที่แจสเปอร์ไม่มีท่าทีจะต่อต้านหรือผลักไส
“นายเป็นของฉัน”
“ฉันยังไม่ได้เป็นของนาย อย่านิสัยเสีย”
“ไม่ นายเป็นของฉัน” ผมย้ำเสียงเข้ม เหยียดยิ้มสบตาแจสเปอร์ที่มองมา “นายพูดถูก ฉันมันนิสัยเสีย ถูกตามใจจนเคยตัว อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันต้องได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน”
“ไม่กลัวฉันเกลียดนายหรือไง”
“อย่างน้อยนายก็เกลียดฉัน” ผมยังคงยิ้ม “ดีกว่าไม่รู้สึกอะไรด้วยเลยไม่ใช่หรือไง”
“งี่เง่าน่ะแมท” เขาส่ายหัว สีหน้าเหนื่อยใจ
“ยอมรับ ฉันมันงี่เง่า” ผมยักไหล่ “ติดกระดุมซะ ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นรอย”
“ไม่ล่ะ”
“นายหมายความว่าไง” ผมขมวดคิ้ว
“ก็เห็นไป จะได้รู้ว่าฉันมีคนของตัวเองแล้ว นายน่าจะพอใจ” แจสเปอร์หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ เขาสบตาผม แววตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจจนน่าจับมาฟาดสักที
“ร้ายนักนะ”
“นายชอบแบบนี้ไม่ใช่หรือไง”
“เพราะเป็นนายเลยชอบต่างหากล่ะ”
แจสเปอร์เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนหัวเราะออกมา เขาลุกขึ้น โคลงหัวไปทางประตูที่ปิดอยู่
“กลับเข้างานเถอะ”
“...”
“อยากโชว์รอยให้คนอื่นเห็นแทบแย่แล้ว”
ผมเหยียดยิ้ม
เซบาสเตียนเคยบอกว่าผมร้าย แต่เหมือนจะมีคนร้ายกว่าผมอยู่หนึ่งคน
ผมลุกขึ้น กระซิบชิดใบหูเขา
“อยากโชว์ว่านายเป็นคนของฉันแล้วเหมือนกันแจสเปอร์”
______________________
จริงๆ อยากเขียนโทนใสๆ ดอกไม้บาน กลายเป็นอะไรพอร์นๆ แบบนี้ได้ไงไม่รู้ แต่พยายามจำกัดเรทแล้วค่ะ ไม่ให้เยอะไป จริงๆ ตอนแรกว่าจะเขียนแค่แพทเซ็บ แต่คิดอีกที เขียนของคู่กัดแมทแจสด้วยเลยดีกว่า สองคู่สองอารมณ์ และโพสิชั่นปริศนา 5555555 ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายจริงๆ แล้วค่ะ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาโดยตลอดนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจ มีค่าสำหรับเรามากๆ ค่ะ นิยายที่เขียนเพื่อฮีลตัวเองในวันที่ชีวิตประสาทแดก ดีใจที่มันให้ความสุขกับทุกคนได้นะคะ รักมากมาย แล้วเจอกันเรื่องหน้าค่ะ