สะบายดี ครั้งที่ 17: สะบายดีจอมดื้อ[1]
บอกกับตัวเองว่าจะกลับมารักตัวเอง แต่ทำจริงๆ มันง่ายอย่างที่คิดเสียที่ไหน ผมก็ยังคิดถึงปั้นรักอยู่ ความรู้สึกดีๆ ต่างๆ ที่มีให้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
ใช่ ผมยังรักมัน...ยังรักมาก คงจะลืมไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน
เพราะรู้อย่างนั้น ผมก็เลยพยายามที่จะทำให้ตัวเองไม่ว่าง ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่งาน พอร้านนมของตัวเองปิดก็ไปช่วยงานที่ร้านเหล้าของไอ้แสบต่อ กลับมาถึงบ้านก็พยายามนอนให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดอะไร แต่ก็เหมือนจะไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่นักเพราะทุกครั้งที่ผมหลับตา ภาพใบหน้าของปั้นรักก็โผล่มาหลอกหลอนเสียจนนอนหลับไม่เคยสนิทสักวัน ตอนกลางวันเลยจะมีสภาพโทรมไม่ต่างจากซอมบี้
ส่วนปั้นรัก... หลังจากที่ผมกลับมาไทย ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ติดต่อมานะ มันพยายามทั้งโทรหาและส่งข้อความมาตลอด ตอนแรกผมก็รับสายด้วยไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ของใคร แต่พอรู้ว่าเป็นมัน ผมก็เลือกที่จะตัดสาย ก่อนจะตัดการติดต่อด้วยการเปลี่ยนเบอร์ใหม่ด้วยรู้ว่ามันคงเอาเบอร์ผมมาจากข้อมูลลูกค้าที่จองเกสต์เฮ้าส์ พอติดต่อผมด้วยการโทรและส่งข้อความไม่ได้ มันก็เปลี่ยนมาส่งอีเมลแทน ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เคยเปิดเข้าไปอ่านเลยแม้แต่น้อย
อย่างที่บอก...ผมกำลังตัดใจ
แต่เหมือนมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด ด้วยอาการผมไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย รังแต่จะแย่มากขึ้นไปอีก ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็เป็นอันต้องเหม่อลอย และอาการนั้นมันก็ต่อเนื่องมาเป็นหลายอาทิตย์ ทำเอาพี่กับน้องของผมชักทนไม่ไหว ถึงขนาดต้องออกปากด่า พร้อมยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามอย่างอดไม่ได้
“มึงเลิกซึมกระทือเดี๋ยวนี้เลยไอ้ดื้อ ไป รีบไปเก็บเสื้อผ้า กูจะพาไปหาพ่อกับแม่ที่เชียงใหม่”
เดินเข้ามาในห้องผมได้ ไอ้แสบก็ออกปากสั่งแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาผมที่นอนเหม่อมองเพดานอยู่เหลือบไปมองมันทันใด
“ไปหาทำไมวะ”
“กูก็จะไปฟ้องแม่ว่ามีคนหักอกน้องกูน่ะสิ”
ไอ้แสบว่าด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
ผมจ้องมันนิ่งไปครู่ รู้อยู่ว่ามันเป็นห่วงผม การที่ผมมีเวลาว่างทีไรก็เอาแต่เหม่อลอยมันไม่ใช่เรื่องดีเลย คงจะทำให้มันเป็นห่วงมากพอสมควรถึงได้พยายามที่จะช่วยให้ผมผ่อนคลายด้วยการพาออกไปข้างนอกอย่างนี้ แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ...ทำไมต้องเป็นที่บ้านพ่อกับแม่
“กูไม่อยากไป”
ผมตอบกลับทันที ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอหน้าพ่อกับแม่นะ อยากเจออยู่นั่นแหละ แต่ไม่อยากให้พวกท่านรู้ว่าผมอกหักมาอีกแล้ว เพราะทุกครั้งที่ผมตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ พ่อกับแม่ก็จะประคบประหงม เอาใจผมราวกับเป็นเด็กเล็กๆ ทุกที ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกผิดเลยไม่อยากให้พวกท่านรู้
ทว่าไอ้แสบไม่สนเลยสักนิด เห็นผมปฏิเสธ มันก็ยกมือขึ้นกอดอก
“ถึงมึงไม่อยากไปก็ต้องไป เพราะกูกับไอ้แก่นตกลงกันแล้วว่าจะไป”
ผมย่นคิ้วทันควัน
“พวกมึงอยากไปก็ไปกันเองสิ กูอยู่เฝ้าบ้านก็ได้”
“ได้อะไรล่ะ ถ้าเกิดพวกกูไม่อยู่ขึ้นมาแล้วมึงฆ่าตัวตายคาบ้าน พวกกูจะทำยังไง ไอ้แก่นมันกลัวผี มึงก็รู้”
ไอ้แสบอ้างอะไรไปเรื่อยเปื่อย แถมยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่างหาก ถึงผมจะอกหักรักคุดมา แต่ก็ไม่ได้ทนความเจ็บปวดไม่ไหวถึงขนาดคิดสั้นอย่างนั้น ที่สำคัญ...ไอ้แก่นมันก็ไม่ได้...
“ผมไม่ได้กลัวผีสักหน่อย”
จอมแก่นที่โผล่เข้ามาในห้องพร้อมตะกร้าเสื้อผ้าของผมที่เพิ่งเก็บมาจากหลังบ้านโพล่งแทรกขึ้นมา
นั่นแหละที่ผมจะบอก ไอ้จอมแก่นมันไม่ได้กลัวผี
“มึงก็กลัวสักหน่อยก็ได้ เผื่อพี่มึงเป็นห่วงว่าน้องจะกลัว มันจะได้ไม่คิดสั้น” ไอ้แสบหันไปมองน้องชายคนเล็กพร้อมกับบอกเหตุผลไร้สาระออกมา
จอมแก่นส่ายหน้าด้วยระอา ก่อนจะเอาตะกร้าเสื้อผ้าในมือไปวางไว้หน้าตู้เสื้อผ้าของผม
“อันนี้เสื้อผ้าใหม่นะพี่ดื้อ ผมซักให้แล้ว พับเอาเองนะ”
สั่งเป็นแม่โดยไม่สนใจไอ้แสบที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างหลังอีกเลย ขณะที่ผมตอบรับเสียงเบา
“อือ”
จอมแก่นทำท่าจะออกจากห้องไป แต่ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยร้องถามไอ้แสบขึ้น
“แล้วพี่แสบบอกพี่ดื้อหรือยังว่าเสาร์ - อาทิตย์นี้จะไปบ้านสวนของพ่อกับแม่”
“บอกแล้ว มันไม่ยอมไปอยู่เนี่ย มึงชวนพี่มึงเองเลยไหม”
ฟังแล้วก็รู้เลยว่าไอ้สองพี่น้องคู่นี้มันวางแผนกันมาก่อน ไม่ได้เป็นแผนของไอ้แสบคนเดียว ก็อยากจะขอบใจพวกมันอยู่หรอกนะที่เป็นห่วงผม แต่ผมไม่มีอารมณ์จะไปไหนทั้งนั้น
“กูไม่ไป ไม่ต้องชวน”
ผมสวนกลับทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครคะยั้นคะยอให้ไปด้วย ทำเอาจอมแก่นจ้องหน้าผมเขม็ง
“ทำไมถึงไม่ไปอะ พี่ดื้อไม่ได้เจอพ่อกับแม่มาหลายเดือนแล้วนะ”
“กูไม่มีอารมณ์ไปเที่ยว” ผมว่า
“ก็ไม่ได้บอกให้ไปเที่ยว แต่ให้ไปพักผ่อน”
กลายเป็นจอมแก่นบ้างแล้วที่บังคับผมกลายๆ แต่ผมก็ตอบไปแบบเดิมอีก
“กูไม่อยากไป กูอยากพักที่นี่”
คราวนี้จอมแก่นชักสีหน้า
“ตอนพักใจจากพี่เหนือยังถ่อไปถึงลาวได้ ทีตอนนี้ชวนไปพักผ่อนที่บ้านตัวเองแท้ๆ กลับไปไม่ได้ พ่อกับแม่รู้คงน้อยใจตาย”
พูดอีกก็ถูกอีก หลังจากที่ผมเรียนจบ ป.ตรี ผมก็มาอยู่ที่พิษณุโลกกับไอ้แสบที่ดันอินดี้บ้าบออะไรก็ไม่รู้ อยากจะมาเปิดร้านเหล้าที่บ้านเกิดของพ่อ ในขณะที่พ่อกับแม่ทำธุรกิจสวนผลไม้อยู่ที่เชียงใหม่ ส่วนจอมแก่น พอรู้ว่าพี่ๆ ย้ายมาที่นี่กันหมดก็ดันอยากตามมาอีก ด้วยมันติดผมกับไอ้แสบมากพอสมควร พวกเราก็เลยได้มาอยู่บ้านเก่าของพ่อซึ่งย่าได้ให้ไว้ก่อนตาย ปกติแล้วเราจะกลับไปที่บ้านเดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง แต่เดือนนี้ยังไม่ได้กลับไปสักครั้ง มีหวังป่านนี้พ่อกับแม่คงรอแย่แล้ว
แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น ผมก็...
“กูอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวเงียบๆ ว่ะ พวกมึงไปกันเถอะ ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยว่าไว้กูจะกลับไปหาวันหลัง”
...ไม่อยากไปอยู่ดี
จอมแก่นถอนหายใจออกมา หันมองหน้าไอ้แสบ ขณะที่ไอ้แสบส่ายหน้าช้าๆ
“เรื่องของมึงแล้วกัน”
เหมือนไอ้แสบจะถอดใจแล้ว ยกเว้นจอมแก่นที่ไม่ยอมง่ายๆ
“เรื่องของพี่ดื้ออะไรล่ะ ไม่รู้แหละ ยังไงก็ต้องไป เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าด้วย ผมอุตส่าห์ซักมาให้แล้ว ยังไงก็ต้องไป”
“นี่มึงเป็นน้องหรือแม่กูกันแน่เนี่ยไอ้แก่น”
จอมแก่นไม่สนใจผมแล้ว สั่งเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ไอ้แสบพูดทิ้งท้าย
“ตัดสินใจเอาเองแล้วกันไอ้ดื้อ กูไม่ได้บังคับ แต่มึงต้องไป”
สิ้นเสียงก็เดินตามจอมแก่นออกไป
ไม่บังคับก็เหมือนบังคับแหละวะ
ผมถอนหายใจ เหนื่อยหน่ายกับความเป็นห่วงของพวกมันเสียเหลือเกิน พลันนอนนิ่งๆ อย่างนั้นอีกสักครู่หนึ่ง ก่อนจะดันตัวขึ้นนั่ง ลุกจากเตียงไปจัดการคุ้ยเสื้อผ้าออกมาเตรียมพับ การทำให้ตัวเองไม่ว่างคือสิ่งที่ทำให้ผมพอจะลืมปั้นรักได้บ้างในเวลานี้ หากแต่การพับผ้าดูท่าจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่เมื่อจู่ๆ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นเสื้อยืดสีดำตัวหนึ่ง ไม่รู้อะไรดลใจให้หยิบมันขึ้นมา สะบัดๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็คลี่ออก ก่อนจะชะงักไปทันทีที่เห็นลายเสื้อ
เสื้อจอมดื้อของปั้นรัก... มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย
ดูท่าทางน่าจะติดกระเป๋าผมมาจากตอนที่ไปเที่ยวกัน แต่มันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่ผมคิดถึงปั้นรักขึ้นมามากเสียจนแขนและขาสั่นไหวขึ้นมาน้อยๆ ยิ่งนึกถึงภาพเก่าๆ ที่เคยมีความสุขด้วยกัน ความอดทนในการข่มอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของผมที่พยายามกักเก็บมาหลายวันก็พังทลายลงทันที
น้ำตามากมายไหลอาบใบหน้า ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น ผมกอดเสื้อตัวนั้นไว้แน่น ซุกใบหน้าลง สูดดมกลิ่นของมันด้วยหวังว่าจะยังมีกลิ่นของปั้นรักหลงเรืออยู่
ปากครางเรียกเจ้าของเสื้อออกมาเสียงแผ่ว
“ปั้น... พี่คิดถึง”
คิดถึง...
คิดถึงมากจริงๆ...
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะปล่อยให้ความอัดอั้นนั้นถูกระบายออกมาด้วยการร้องไห้เท่านั้น
ผมต้องทำยังไงถึงจะลืมมันได้สักที...
จากตอนแรกที่คิดว่าอยากอยู่ที่บ้านหลังนี้เงียบๆ คนเดียว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนผมอยู่ในห้องคนเดียว มันทำให้ผมรู้เลยว่าขืนผมอยู่คนเดียว ผมจะต้องคิดฟุ้งซ่านอย่างรุนแรงแน่ๆ พอตั้งสติได้ ผมเลยเดินลงมาบอกพี่กับน้องของตัวเองว่าจะกลับบ้านด้วย ไม่กี่วันให้หลัง ผมก็มาโผล่หัวอยู่ที่เชียงใหม่ตามแผนการของไอ้แสบกับจอมแก่นจนได้
จริงๆ การกลับมาบ้านมันก็ไม่ได้แย่ และการที่พ่อแม่รู้ว่าผมอกหักมาอีกแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่เช่นกัน ถึงพ่อกับแม่จะโอ๋ราวกับผมเป็นเด็กเล็กๆ แต่มันก็ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นได้ไม่น้อย
ในเวลาที่คนอื่นไม่รักเรา ก็ยังมีครอบครัวนี่แหละที่รักเรา
คนอื่น... ผมไม่อยากคิดเลยว่ามันเป็นคำที่ใช้เรียกปั้นรักในตอนนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ผมพยายามไม่คิดถึงเรื่องของมันนะ
ครอบครัวผมก็ให้ความช่วยเหลือให้ผมหยุดคิดถึงอดีตแฟนเป็นอย่างดี ด้วยการพาไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย เริ่มตั้งแต่ช่วยแม่ทำกับข้าว ช่วยพ่อคุมคนงานในสวนเก็บผลไม้ ไปเจอหน้าเพื่อนเก่าๆ ที่ยังอยู่ในเชียงใหม่ พอตกกลางคืน ไอ้แสบก็พาไปเที่ยวผับที่เพิ่งเปิดใหม่ในย่านใจกลางเมือง
ผมไม่ได้อยากมาหรอก แต่ก็มา อย่างที่บอกว่าต้องการทำตัวเองให้ไม่ว่างเพื่อให้ลืมปั้นรัก ทว่าดูท่าจะเสียการเปล่า ต่อให้ผับนี้ใหญ่หรือคนเยอะ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแยะ เปิดเพลงมันส์น่าเต้นแค่ไหน ผมก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ดื่มบ้าง คุยกับเพื่อนๆ ของไอ้แสบที่มาร่วมก๊วนด้วยบ้างเป็นพักๆ
ดื่มไปก็ดูไอ้แสบคุยสรวลเสเฮฮากับเพื่อนๆ มันไปเพลินๆ ก่อนจะขอตัวแยกไปเข้าห้องน้ำ จัดการทำธุระของตัวเองเสร็จ ผมก็น่าจะเดินกลับมาที่โต๊ะตามปกติ แต่ทว่าระหว่างเดินอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีใครบางคนคว้าแขนผมเอาไว้ พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นมือของผู้หญิงคนหนึ่ง
...ผู้หญิงชาวต่างชาติเสียด้วย
แสงไฟสลัวทำให้ผมมองเห็นหน้าเธอไม่ชัดนัก แต่พอเสียงของเธอดังมาให้ได้ยิน ผมก็เอะใจขึ้นมาทันที
“Hey, You are Pun’s friend, right? Did you remember me? (เฮ้ คุณเป็นเพื่อนปั้นใช่ไหม จำฉันได้หรือเปล่า)”
บอกตรงๆ ว่าผมแปลไม่ได้หรอก เสียงรอบข้างดัง แถมเธอยังพูดเร็ว แต่เพราะได้ยินชื่อของใครบางคน เท่านั้นก็ทำให้ผมขมวดคิ้วเป็นปมทันที
“ยู...” ผมเอ่ยออกมา พลางเพ่งมองหน้าเธอ ก่อนจะใจหายวาบ “ลูซี่...”
ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนั้น ผมว่าผมจำหน้าเธอได้รางๆ นะ ขณะที่เธอพยักหน้ารับเร็วๆ
“Yes, I am! (ใช่ ฉันเอง!)”
ว่าพลางยิ้มร่า ขณะที่ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ แต่จะถามออกไปก็เรียงประโยคไม่ถูกอีก ส่วนลูซี่ก็ว่าสวนมาเร็วๆ
“What a coincidence! I never think to meet you again. Don’t you live here? (บังเอิญอะไรอย่างนี้! ฉันไม่คิดเลยว่าจะเจอคุณอีก บ้านอยู่นี่เหรอ?)”
แม่ง...แปลไม่ได้เลย
“It’s very nice to meet you. I wanna talk to you about Pun. (ดีจังที่ได้เจอ อยากจะคุยกับคุณเรื่องปั้นพอดี)”
“เอ่อ...”
ผมเงอะงะไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอะไร รู้อย่างเดียวว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องปั้นรัก อันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องฟังเธอก็ได้ เพราะผมคิดจะตัดใจจากมันอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ผมยังตัดใจไม่ได้ พอได้ยินอย่างนั้นก็เกิดอยากรู้ขึ้นมา ทว่าการสื่อสารภาษาอังกฤษของผมติดลบเป็นอย่างมาก จึงทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนคนนึงของไอ้แสบที่มาเที่ยวด้วยกันพูดภาษาอังกฤษได้ ผมเลยรีบบอกกับลูซี่
“โอเค เดี๋ยวๆ เว็ตก่อน...เอ่อ...คัมๆ ฟอลโลว์มี”
ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ มาก แต่ลูซี่น่าจะเข้าไปเพราะทันทีที่ผมพูดจบ เธอก็ยอมเดินตามผมกลับมาที่โต๊ะ ผมรีบบอกความต้องการของตัวเองให้เพื่อนไอ้แสบรู้ ก่อนที่เขาจะตกปากรับคำให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ผมทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับลูซี่ ก่อนที่จะอธิบายให้ไอ้แสบเข้าใจด้วยเวลาอันรวดเร็วว่าลูซี่เป็นใคร พอเสร็จสิ้น เธอก็เริ่มเอ่ยปาก ในขณะที่เพื่อนของไอ้แสบคอยแปลให้ เริ่มจากเรื่องที่เธอมาโผล่ที่เชียงใหม่ เธอบอกว่าหลังจากที่ผมกลับมาไทย เธอกับปั้นรักก็ทะเลาะกันอย่างหนักถึงขั้นเลิกกันจริงจัง เพราะปัญหาที่เกิดระหว่างพวกเขามันรุนแรงเสียจนกลับไปต่อไม่ติดอีกแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องการแต่งงานก็เป็นอันยกเลิกด้วย เธอเลยตัดสินใจเดินทางมาหาเพื่อนที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นระหว่างรอกำหนดกลับไปอเมริกา
ดูเธอเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรนะเพราะใบหน้ายังมีรอยยิ้ม แต่ผมสัมผัสได้ว่าลูซี่เองก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน เธอย้ำหลายต่อหลายครั้งว่าไม่อยากเลิกกับปั้นรัก แล้วก็บอกกับปั้นรักไปแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับบอกว่ารักผม นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เธออยากจะคุยกับผมเช่นกัน
จะอะไรก็ช่าง มันไม่ใช่ปัญหาของผม ที่ผมอยากรู้ก็คือ...ทั้งคู่ทะเลาะอะไรกันต่างหาก คำพูดของลูซี่ก็เหมือนที่ปั้นรักบอกนั่นแหละ แต่มันยังกำกวม ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทั้งสองคนมีเรื่องอะไรถึงทะเลาะกันหนักหนาอย่างนี้ ถึงจะไม่ใช่เรื่องของผม ทว่าผมก็อยากรู้ เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับผม
...เกี่ยวเนื่องกับหัวใจของผม
“พี่ถามให้หน่อยได้ไหมว่าลูซี่กับปั้นทะเลาะกันเรื่องอะไรแน่ ปั้นถึงขอเลิกอย่างนี้”
เพื่อนไอ้แสบจัดการแปลให้เสร็จสรรพ ลูซี่เม้มริมฝีปากไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา แล้วจากนั้นเพื่อนไอ้แสบก็แปลให้ผม
“เธอบอกว่าเธอท้อง”
ผมใจหายวาบไปอีกระลอก
“ท้อง...ลูกของปั้นเหรอ”
ผมคิดลบกับปั้นรักไปเลย ถ้าจะเลิกกับผู้หญิงคนนี้เพราะผม ผมจะโกรธและเกลียดมันจริงๆ แล้วนะ
แต่ผมกลับคิดผิดเพราะเมื่อเพื่อนไอ้แสบหันไปถามอีกที คำตอบกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด
“กับคนอื่น”
“หมายความว่าไงที่ว่าท้องกับคนอื่น” ผมขมวดคิ้วมุ่น แต่เชื่อไหมว่าในใจกลับโล่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
พอถามไปอย่างนั้น ลูซี่ก็เล่าออกมาอย่างหมดเปลือก
“เธอบอกว่าตอนนั้นที่ทะเลาะกับปั้น เป็นเพราะว่าเขาจับได้ว่าเธอนอนกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งในกลุ่มของปั้น ปั้นก็เลยรับไม่ได้ หนีหน้าเธอ เธอตามง้อ แต่ปั้นขอเวลาคิดทบทวนก่อนว่าจะเอายังไงต่อ ทีนี้เวลามันผ่านมาหลายเดือน ปั้นก็ไม่ให้คำตอบสักที งานแต่งงานก็ใกล้เข้ามา เธอก็เลยไปตามหา จากนั้นก็รู้ว่าปั้นหนีไปอยู่ที่ลาว พอมาตามตัวเจอที่ลาว ปั้นก็สรุปว่าอยากเลิกกับเธอ เธอเสนอว่าจะเอาเด็กออกเพื่อไม่ให้ปั้นเลิก แต่สุดท้ายก็รั้งเขาไว้ไม่ได้”
เป็นการเล่าเรื่องที่สรุปได้กระชับ แต่ผมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะยินดีเลยนะ ทว่าผมกลับโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ปั้นรักไม่ได้เป็นฝ่ายนอกใจลูซี่ก่อน ถึงจะมาคบกับผมซ้อน มันก็ยังถือว่าเป็นการคบกันในขณะที่ทั้งคู่มีระยะห่างระหว่างกัน
สรุปแล้วผมไม่ใช่มือที่สามใช่ไหม?
โล่งใจเสียจนหลุดแสดงสีหน้าออกมา ก่อนที่ลูซี่จะเล่าออกมาอีก โดยมีเพื่อนไอ้แสบแปลให้อย่างรู้งาน
“แล้วเธอก็บอกว่าพอมาคิดทบทวนดีๆ แล้ว การเลิกกับปั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะจริงๆ เธอก็คงจะไม่ได้รักเขาเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้านอกใจไปนอนกับเพื่อนเขาอย่างนั้น ที่ไม่อยากเลิกในตอนแรกเป็นเพราะความผูกพัน แบบว่าคบกันมานานอะไรแบบนี้ จริงๆ แล้ว คนที่เธออยากใช้ชีวิตด้วยคือเพื่อนของปั้นที่เคยนอนด้วยต่างหาก” แปลมาถึงตอนนี้ คนแปลก็มีสีหน้ายุ่งเหยิงขึ้นมา ก่อนจะหันมามองหน้าผม “อารมณ์ประมาณว่ายัยนี่กับเพื่อนของปั้นแอบกินกันมานานแล้ว แต่เพิ่งถูกจับได้ครั้งหลังสุดว่ะ”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก เข้าใจได้ทันที ก่อนจะอดคิดไม่ได้ว่าปั้นรักจะรู้สึกยังไงตอนที่รู้ว่าแฟนที่ตัวเองคบหามาหลายปีกับเพื่อนสนิทแอบแทงข้างหลังอย่างนั้น มันคงช็อกมากเลยทีเดียวถึงได้หนีข้ามน้ำข้ามทะเลมาพักใจอย่างนี้ พลันโทษความงี่เง่าของตัวเองที่ไม่ยอมใจเย็นฟังปั้นรักอธิบายให้จบ
ถ้ามันพูดเรื่องนี้...
ถ้าบอกอย่างนี้ตั้งแต่แรก...
ผมก็คงไม่หนีมันมาอย่างนี้หรอก
ผมไม่โทษว่าเป็นความผิดของปั้นรักนะ โทษว่าเป็นเพราะความบ้าบอของตัวเองเต็มประตูเลย
“แล้วมีเท่านี้เหรอที่ลูซี่อยากบอก”
เพื่อนไอ้แสบหันไปถามให้ ลูซี่ว่าพลางมองหน้าผม ก่อนจะได้รับคำแปล
“เธอบอกว่าใช่ แล้วก็อยากจะฝากให้มึงดูแลปั้นให้ที ถึงเธอกับปั้นจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แต่เธอก็เป็นห่วงปั้นในฐานะคนที่รู้จักกันมานาน เธอรู้ว่าปั้นรักมึง แล้วมึงก็รักปั้น เลยอยากจะฝากให้ดูแลหน่อย”
ผมพยักหน้ารับ หลังจากนั้นลูซี่ก็คุยอะไรต่ออีกนิดหน่อย ตบท้ายว่าเพื่อนที่เธอมาหาที่นี่ก็คือเพื่อนของปั้นรักที่เธอนอกใจมานอนด้วยนั่นแหละ หมอนั่นมาเที่ยวไทยรอบทสรุปเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับปั้นรัก ก่อนที่จะแยกไปเมื่อถึงเวลาอันสมควร ผมก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าลูซี่จะเป็นยังไง หรือไปที่ไหนกับใครต่อ ในตอนนี้ผมมีแค่ความคิดเดียวเท่านั้น
อยากบินไปหาปั้นรักที่ลาวเดี๋ยวนี้!
คิดได้เท่านั้น ผมก็เรียกไอ้แสบทันที
“ไอ้แสบ! ไปส่งกูหน่อย”
ไอ้แสบที่กำลังกระดกขวดเบียร์ดื่มอยู่มองหน้าผม
“ไปส่งไหน”
“สนามบิน กูจะไปหาปั้นที่ลาว”
ไอ้แสบถึงกับเบ้หน้า ก่อนจะรีบคว้าแขนผมเอาไว้เมื่อเห็นผมผุดลุกขึ้นอย่างร้อนรน
“มึงจะไปทำบ้าอะไรตอนนี้ ดูเวลาด้วย แล้วมึงเตรียมตัวอะไรไว้ซะที่ไหน ทำอะไรอย่าหุนหันสิวะ”
“แต่กูอยากคุยกับปั้น” ผมบอก
ไอ้แสบถอนหายใจออกมาอย่างระอา
“ถ้าผมอยากจะคุย มึงก็โทรไปหาสิวะ”
“กูไม่มีเบอร์ เปลี่ยนเบอร์ใหม่แล้ว เบอร์ที่ปั้นใช้โทรมามันหายไปหมดแล้ว”
“แม่มันทำเกสต์เฮ้าส์ไม่ใช่เหรอ มึงก็โทรไปสิ”
“เออว่ะ”
พอผมครางตอบรับออกมาอย่างนั้น ไอ้แสบก็ด่าผมว่าโง่ออกมาชุดใหญ่ ทว่าผมไม่สนใจอะไรแล้ว นอกจากเสิร์ชหาเบอร์ของเกสต์เฮ้าส์แล้วต่อสายตรงไปทันที ทว่าก็ต้องผิดหวัง เพราะทันทีที่ได้คุยกับคุณแอน ผมก็ได้รับคำตอบว่า...ปั้นรักหายตัวไปไหนก็ไม่รู้
หายไปแบบไม่บอกไม่กล่าวตั้งแต่หลายวันก่อน ตอนแรกคุณแอนคิดว่ากลับอเมริกา แต่พอโทรถามกับทางพ่อของมันที่นั่นก็ได้คำตอบว่าไม่ได้กลับ พอโทรไปตามหากับเพื่อนฝูง ก็ไม่มีใครเจอปั้นรักสักคน ตอนนี้เลยตามหาตัวกันอยู่
ผมได้ยินอย่างนั้นก็เป็นห่วงขึ้นมาเสียจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ จากที่ถูกไอ้แสบปรามไว้ว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนี้อยากจะบินตรงไปลาวอีกแล้ว
ไม่ต้องบินก็ได้ นั่งรถทัวร์หรืออะไรก็ตาม ผมยอมหมด ขอให้ได้เจอกับปั้นรักเท่านั้น ทว่าพอผมพูดออกไปอีก ไอ้แสบก็ตบหัวผมดังป้าบ พร้อมกับดุออกมา
“มึงเลิกกระสับกระส่ายสักที ถึงมึงจะไปตอนนี้ก็ใช่ว่าจะตามหาแฟนมึงเจอสักหน่อย กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนแล้วค่อยไปก็ยังไม่สายหรอกเว้ย”