สะบายดี ครั้งที่ 10: Shut up and…ความจริงแล้ว แพลนเที่ยวของผมต่อไปคือการไปทัวร์หลวงพระบาง แต่เพราะปั้นรักมันเมาแอ๋ ตื่นมาก็บ่นปวดหัวไม่เลิก ผมเลยต้องเปลี่ยนแผนด้วยการอยู่วังเวียงอีกวันเพื่อให้มันได้นอนพักก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันว่าจะไปไหน
พอบอกให้มันนอน มันก็นอนจริงๆ นอนทั้งวัน ที่เหลือก็ชี้นิ้วสั่งผมประหนึ่งผมเป็นขี้ข้ามัน
“ยูไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้หน่อย” มันพูดขณะนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง
เออ ตอนนี้มันขึ้นมานอนบนเตียงกับผมละ ต้นเหตุมาจากการที่ผมเอามันมานอนบนเตียงตอนเมาเมื่อคืนนี้ มันเลยยึดเตียงไปเป็นที่เรียบร้อย
“เอาไปทำไม” ผมที่นั่งอยู่ปลายเตียงหันไปถาม
มันเลิกคิ้วสูงทันที “เอ้า ก็จะได้ไปอาบน้ำ”
“ผ้าเช็ดตัวก็แขวนอยู่ที่ราวหน้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ เดินไปหยิบก็เข้าห้องน้ำไปเลยก็ได้นี่”
“ขี้เกียจ” คราวนี้มันว่าสั้นๆ ทำสีหน้ากวนโอ๊ยส่งมาให้ผม
ผมล่ะอยากจะด่ามันเหลือเกินว่ามึงก็ขี้เกียจเกิ๊น!
แต่พอมันพูดตามมาอีกประโยค...
“อยากให้ยูหยิบมาให้”
โห เหมือนอ้อนอะ แต่หน้าตาโคตรกวน แล้วแทนที่ผมจะปฏิเสธหรือแกล้งทำเฉยไป ดันลุกขึ้นไปหยิบมาให้มันโดยดีด้วยนะ
โยนผ้าเช็ดตัวในมือให้มันรับ ก่อนจะว่า
“ขี้เกียจขนาดนี้ ต้องให้พี่อุ้มไปอาบน้ำด้วยไหม”
“อยากทำ?”
พอมันถามมาอย่างนี้ ผมก็ยกยิ้มน้อยๆ หัวเราะในลำคอเบาๆ แถมยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ปั้นรักก็สวนคืนมา
“เอ้า หื่นไปอีก ดูๆ”
แค่ยิ้ม! สาบานว่าแค่ยิ้มจริงๆ ไม่ได้คิดอะไรหื่นอย่างที่ปั้นรักว่าเลยแม้แต่นิดเดียว!
ผมหุบยิ้มเลย แต่เป็นการเกร็งหน้าที่เมื่อยมากเพราะสุดท้ายก็ต้องหลุดหัวเราะอยู่ดีเมื่อปั้นรักพูดลอยๆ
“ไม่ได้แอ้มไอร้อก! ขาอ่อนก็ไม่ได้เห็น”
พูดออกมานี่คงลืมไปแล้วสินะว่าก่อนหน้านั้นมันเคยดึงกางเกงตัวเองลงจนผมเห็นอะไรต่อมิอะไรไปหมดแล้วน่ะ
ผมไม่พูดอะไร ได้แต่โบกมือไล่ให้มัน
“ไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้ออกไปเดินเล่นบ้าง อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้”
ปั้นรักบ่นอะไรออกมาอีกสองสามประโยค แต่ผมไม่ได้สนใจแล้วเพราะจู่ๆ เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น พอหยิบมาดูก็เห็นว่าเป็นจอมแก่นที่ส่งข้อความมา
จอมแก่น น้องที่ทำตัวเหมือนแม่คนที่สอง: พี่ดื้อว่างไหม โทรคุยได้หรือเปล่า
จู่ๆ ผมก็สังหรณ์ใจอะไรแปลกๆ ขึ้นมา ถ้าไม่มีเรื่องด่วนหรือเรื่องร้าย จอมแก่นจะไม่ค่อยโทรหาผมสักเท่าไหร่นัก แต่นี่มัน...
ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาว่ามีเรื่องอะไร ผมก็กดโทรกลับหาจอมแก่นแล้ว ไม่นานนัก จอมแก่นก็รับสาย ผมกรอกเสียงลงไปทันที
“ว่าไง”
ในใจขอให้ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับพ่อแม่หรือคนในครอบครัว ซึ่งก็ใช่จริงๆ เมื่อจอมแก่นสวนกลับมา
‘พี่เหนือกับธารทะเลาะกันน่ะ’
ผมระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้โล่งใจอย่างเต็มที่เมื่อได้ยินชื่อผู้ชายอีกคนที่ผม...ยังคงรัก
“คนเป็นแฟนกัน มันก็ต้องทะเลาะกันเป็นธรรมดาอยู่แล้วนี่” ผมบอก แม้ว่าในใจจะไม่ค่อยชอบใจไอ้ธารใจสักเท่าไหร่ที่มันทะเลาะกับแสงเหนือ เดาได้เลยว่าต้องเป็นเพราะความเอาแต่ใจของมันแน่ที่เป็นต้นเหตุ
‘มันก็ใช่แหละพี่ดื้อ แต่ครั้งนี้มันแบบ...แรงน่ะ’ จอมแก่นว่าด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
ผมสัมผัสได้นะว่ามันก็ไม่อยากจะบอกผมเรื่องนี้หรอก อย่างน้อยถ้าไอ้แสบรู้ มันต้องสั่งน้องให้ห้ามพูดเรื่องแสงเหนือกับผมอย่างแน่นอนเพราะมันรู้ดีว่าผมกำลังจะตัดใจ
ทว่ามันคงจะเป็นเรื่องรุนแรงจริงๆ จอมแก่นถึงได้ตัดสินใจมาบอกอย่างนี้
‘ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดไหมเพราะมันไม่เกี่ยวกับพี่ดื้อ แต่ผมว่าพี่ดื้อควรจะรู้ไว้’
“ตกลงแล้วสองคนนั้นทะเลาะกันเรื่อง?” ผมถามตรงประเด็น
จอมแก่นเงียบไปครู่ มีเสียงพ่นลมหายใจออกมาให้ได้ยินเล็กน้อยก่อนที่มันจะยอมเปิดปาก
‘พี่เหนือ...จะไม่อยู่แล้วนะพี่’
ฟังดูไม่ดีเลย เหมือนกับว่าเหนือจะเป็นอะไรไปอย่างนั้นแหละ
“ไปไหน”
แต่เอาจริงๆ ในใจผมคิดว่าเขาอาจจะเลิกกับไอ้ธารใจนะ แต่ทว่า...
‘พี่เหนือกำลังจะไปเรียนต่อที่อเมริกา’
ฟังแล้วผมก็นิ่งไป
เพราะเหตุผลนี้เลยทำให้ไอ้ธารใจมันชวนทะเลาะใหญ่โตล่ะสินะ ก็ไม่แปลกใจหรอก คนรักจะไปอยู่ไกลๆ ทั้งที มันก็ต้องเป็นห่วงกันบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาทะเลาะกันหนักจนจอมแก่นต้องโทรมาบอกผมนี่นา
“เรื่องแค่นี้เองเหรอ” ได้สติ ผมก็พูดออกมาอีกที
‘อือ ธารไม่อยากให้พี่เหนือไป’ จอมแก่นว่า
ผมรู้ ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่อยากให้ไป แต่ผมก็โตพอที่จะแยกแยะอะไรได้ ทว่ากับธารใจมันไม่ใช่ เด็กนั่นมันคงกลัวจะสูญเสีย บวกกับนิสัยเอาแต่ใจของตัวเองเป็นทุนเดิม ผมเดาได้เลยว่ามันต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้แสงเหนือไปจากมันแน่
‘ตอนนี้พี่เหนือกับธารทะเลาะกันหนักเลย พี่เหนือหนีออกจากบ้านของธารไปไหนก็ไม่รู้ ยังหาตัวไม่เจอ ธารเพิ่งโทรมาถามหาพี่เหนือกับผมเมื่อกี้เพราะคิดว่าพี่เหนือมาบ้านเรา ตอนนี้กำลังโทรถามเพื่อนคนอื่นๆ อยู่’ จอมแก่นว่ามาอีก
ผมพอจะเดาออกเลยว่าแสงเหนือหนักใจขนาดไหนถึงขนาดต้องหนีไปตั้งหลักก่อน ฟังแล้วก็หงุดหงิดไอ้ธารขึ้นมา ถ้าแสงเหนือคบกับผม ผมรับรองเลยว่าจะไม่มีวันทำให้เขาต้องลำบากใจอย่างนี้แน่
...ไม่มีวันเลย
‘ผมก็โทรมาบอกแค่นี้แหละ เผื่อพี่ดื้อกลับมาไทยแล้วอยากจะรู้ว่าพี่เหนือหายไปไหน’
จอมแก่นทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ประเด็นของมันคือไม่ได้จะบอกผมว่าทั้งคู่ทะเลาะกัน แต่จะบอกว่าแสงเหนือจะไปจากผมต่างหาก
ไปจากผมมากขึ้นทุกที... ไกลจนเอื้อมมือไปคว้าไว้ไม่ได้
ผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะรั้งเขาไว้ เป็นเสมือนดาวเคราะห์นอกวงโคจรของเขา เรียกว่าเป็นเพื่อนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมก็เป็นแค่... พี่ชายของนักเรียนที่เขามาฝึกสอน
ผมกดวางสาย ถอนหายใจออกมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงโดยลืมไปสนิทว่าระหว่างการคุยกับจอมแก่นนั้น มีสายตาของปั้นรักจับจ้องอยู่ตลอด
“แฟนเก่ายูโทรมาเหรอ” แล้วมันก็ถามออกมา
ผมหันไปหาพลางส่ายหน้า “น้องชายน่ะ”
“มีพี่น้องด้วย?” ปั้นรักทำหน้าตกใจ
ผมยิ้มออกมาน้อยๆ “อือ”
“ไม่น่าเชื่อว่ามีคนอยากเป็นพี่น้องกับยูด้วย”
มันเลือกไม่ได้หรือเปล่าวะว่าอยากหรือไม่อยากน่ะ
“ไหนเอารูปมาดูดิ๊”
พูดจบก็กระตือรือร้นขึ้นมาเฉยเลย แถมยังขอดูรูปจอมแก่นอีกต่างหาก ผมก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไร เปิดรูปของจอมแก่นให้ดูเสียอย่างนั้น
“หมอนี่ชื่อจอมแก่น เป็นน้องชายคนเล็ก”
“หน้าตาไม่เห็นเหมือนยู” ปั้นรักมองแล้วก็ว่า
ก็แน่สิ ไอ้จอมแก่นมันน่ารักนี่ ใครจะมาดูเถื่อนๆ เหมือนผม
“จริงๆ มีพี่ชายอีกคนนะ ชื่อจอมแสบ ไอ้นี่น่าจะหน้าตาคล้ายกันหน่อย เถื่อนเหมือนกัน”
ว่าแล้วผมก็เปิดรูปของไอ้แสบให้ดู ปั้นรักมองแล้วขมวดคิ้วมุ่น
“เถื่อนแท้หลาว”
มันทั้งสัก ทั้งเจาะเต็มตัวไปหมดเลยนี่ พอถามว่ามันทำบ้าอะไรกับตัวเองเยอะแยะ มันก็บอกว่า...
“แฟชันน่ะ” อันนี้ผมตอบปั้นรัก
“แต่ก็ไม่เหมือนยูอยู่ดี”
ปั้นรักว่า ทำเอาผมเลิกคิ้วสูง
“จริงอะ ใครๆ ก็บอกว่าพี่หน้าตาคล้ายมันนะ”
“พี่ชายยูหล่อกว่า” มันพูดเนิบๆ ก่อนจ้องหน้าผม “หน้าตายูเหมือนแพะภูเขา”
คราวนี้ผมถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดัง
คงเพราะไว้เคราล่ะสินะ
ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อมันเอามีมาดึงเคราอ่อนๆ ที่ปลายคางผมอย่างถือวิสาสะ
“นึกว่าตัวเองเป็นอนันดาแม่นบ่ โว้ย อนันดาอีหยัง แพะภูเขาชัดๆ”
ผมคว้ามือมันออก ว่าอย่างรวดเร็ว
“ถ้าปั้นไม่ชอบ อยากให้พี่โกนไหมล่ะ”
“เออ โกนดิ ไว้ทำบ้าอะไร ถ้าจะไว้ก็ตัดแต่งให้เข้าทรงหน่อยเถอะ อันนี้เหมือนขี้เกียจโกน”
มันพูดถูก ปล่อยยาวนี่ไม่ใช่อะไรอะ ขี้เกียจล้วนๆ แต่ถ้ายอมรับไปตามตรงก็ไม่สนุกสิ ผมเลยแกล้งบอกมันไป
“ถ้าอยากให้พี่โกน ก็...ทีนึง”
“ทีนึงอะไร” ปั้นรักมองผมอย่างไม่ไว้ใจทันที
ได้ที ผมก็หันแก้มข้างหนึ่งให้
“หอมแก้มพี่ทีนึง”
เพียะ!
มันฟาดฝ่ามือใส่หน้าผมทันทีอย่างไม่แรงนัก ผมหันไป กำลังจะโวยวาย มันก็ดึงผ้าห่มมาครอบหัวผมเอาไว้ ตามด้วยคว้าหมอนมาฟาดอีกหลายที ก่อนที่มันจะรีบทิ้งตัวลงจากเตียง
“ทะลึ่งบ้อง”
ผมดึงผ้าห่มออก และก่อนที่มันจะวิ่งปรู๊ดหนีเข้าห้องน้ำ ผมก็แอบเห็นสีหน้าของมันตอนพูดประโยคนั้นก่อน
สีหน้าแบบนั้น... หูกับคอแดงอย่างนั้น... เขินล่ะสินะ
เสียงประตูปิดดังปังตามมาให้ได้ยิน พร้อมกับร่างของปั้นรักที่หายเข้าไป ผมมองตามแล้วก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง หลายวันมานี่ ผมหัวเราะเพราะปั้นรักหลายครั้งแล้วนะ แถมครั้งนี้มันยังทำให้ผมเผลอลืมเรื่องของแสงเหนือไปหมดอีกต่างหาก
ปั้นรักนี่มัน...น่ารักจริงๆ นะ
ถึงจะบอกว่าผมลืมเรื่องของแสงเหนือไปสนิท แต่มันก็แค่ช่วงนั้นเท่านั้นแหละ เพราะหลังจากที่ไปตระเวนเดินเล่น หาอะไรกินและกลับมายังห้องพัก ผมก็อดคิดถึงเรื่องเขาอีกไม่ได้ ความรู้สึกของผมอย่างเดียวในตอนนี้คือเป็นห่วงความรู้สึกของแสงเหนือมากกว่าสิ่งอื่นใด ไม่ได้มีความรู้สึกอยากให้แสงเหนือกับไอ้ธารใจเลิกกันเลยสักนิด เพราะผมรู้ว่าถ้ามันลงเอยอย่างนั้น คนที่จะต้องเจ็บปวดก็จะคือแสงเหนือ ซึ่งผมไม่ต้องการให้เขาตกอยู่ในสภาพนั้น
แต่อย่างที่บอกว่าเพื่อนก็ไม่ได้เป็น ผมเป็นแค่ใครบางคนสำหรับเขาจึงทำอะไรไม่ได้ ต่อให้อยากปลอบแค่ไหนก็ทำได้เพียงนั่งมองเบอร์โทรศัพท์ของเขาที่บันทึกไว้ในเครื่อง คิดกับตัวเองอยู่หลายต่อหลายครั้งว่าควรจะโทรไปดีไหม จนเดินออกจากห้องมานั่งเล่นในสวนเล็กๆ ของทางเกสต์เฮ้าส์
ทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งได้ก็จ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างเอาเป็นเอาตาย
เป็นห่วงจริงๆ นะ ป่านนี้ไอ้ธารใจจะเจอตัวแสงเหนือหรือยังก็ไม่รู้...
ชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆ ผมก็หน้ามืดขึ้นมา เกือบจะกดโทรออกหาเขาไปแล้ว ถ้าเกิดว่าหูไม่ได้ยินเสียงใครบางคนเดินมาทางนี้ ผมก็คงกดโทรออกไปเรียบร้อย
ผมมองไปตามเสียงฝีเท้าที่ย้ำลงบนก้อนหิน พอเห็นว่าเป็นใครก็เหยียดตัวนั่งหลังตรง
“มานั่งทำตัวเป็นพระเอก MV อยู่ได้ พรุ่งนี้ต้องออกเช้าไม่ใช่หรือไง” เดินมาถึงก็พูดเลย
แน่นอนว่าปั้นรักหมายถึงพรุ่งนี้ต้องขึ้นรถรอบเช้าไปหลวงพระบางน่ะ ผมไม่ได้ตอบอะไร ขยับที่ให้ปั้นรักนั่งข้างๆ ก่อนที่มันจะพูดขึ้นมาอีก
“อย่าบอกนะว่ามานั่งบริจาคเลือดให้ยุงแบบนี้เพราะคิดจะโทรหาแฟนเก่ายู?”
มันคงเห็นผมถือโทรศัพท์ไว้ในมือน่ะ ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เลยได้แต่พยักหน้ารับ
“แต่เหนือไม่ใช่แฟนเก่าพี่หรอกนะ แค่คนที่พี่จีบแล้วจีบไม่ติด” แก้ตัวให้แสงเหนือหน่อย ไม่อยากให้ปั้นรักเรียกเขาว่าแฟนเก่าผมอย่างโน้นอย่างนี้
“จะอะไรก็เอาเถอะ ไม่ได้เกี่ยวกับไอ”
ผมยิ้มให้มัน ไม่พูดอะไรออกมาอีก ปล่อยให้มันพูดอยู่คนเดียว
“แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับยูด้วย”
คราวนี้ผมมองหน้ามันเป็นเชิงถามว่ามันหมายความว่ายังไง ปั้นรักเองก็มองหน้าผมอยู่เช่นกัน
“คนที่หักอกยูน่ะ ก็เหมือนก้อนหินนั่นแหละ”
มันว่า ก่อนจะยื่นมือไปคว้าก้อนหินเล็กๆ บนพื้นมาใส่มือผมเอาไว้ จากนั้นก็บีบมือผมเล็กน้อยให้กำก้อนหินนั้น
“ถ้ายูยังเข้าไปยุ่ง มันก็เหมือนกำก้อนหินเอาไว้ ยิ่งยุ่งมากเท่าไหร่ก็จะต้องกำมากขึ้น คนเจ็บก็จะมีแต่อยู่ แต่ก้อนหินมันไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ถ้ายูปล่อย...”
จากนั้นก็แกะนิ้วผมออก ปล่อยให้ก้อนหินก้อนนั้นร่วงหล่นจากฝ่ามือ
“ยูก็จะไม่เจ็บ” มันว่าต่อ
ผมมองหน้าปั้นรัก เข้าใจความหมายที่มันจะสื่อ ซึ่งก็จริงอย่างที่มันว่า ถ้าผมยังเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับแสงเหนือ คนที่จะเจ็บก็มีแค่ผมเท่านั้น ส่วนแสงเหนือจะไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะเขาเลือกไปแล้วว่าจะรักใคร ต่อให้ผมทำดีด้วยแค่ไหน มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ถึงสุดท้ายแสงเหนือกับไอ้ธารใจจะเลิกกัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหันมารักผม อันนั้นผมรู้ดี แต่ที่มานั่งซึมกะทือคิดไม่ตกอยู่อย่างนี้ก็อย่างที่บอก... ผมแค่เป็นห่วงเขา
“ยูก็เลือกเอาแล้วกันว่าอยากจะกำหรือจะปล่อย”
พอมันพูดมาอย่างนี้อีก ผมที่เงียบอยู่นานเลยได้โอกาสปริปากพูดบ้าง
“จริงๆ แล้วพี่อยากจะกำเอาไว้ พี่อยากรั้งเหนือไว้กับพี่ให้นานที่สุด”
ปั้นรักย่นคิ้วทันที
“วุ้ย อุตส่าห์ออกมาปลอบใจแล้วยังจะรั้นอีก ยูนี่มัน...”
“แต่ดูเหมือนว่าถ้าปล่อยไปจะดีกว่า ไม่งั้นการมาลาวจะเสียเปล่า”
ผมไม่ปล่อยให้มันพูดจบก็สวนขึ้นมาก่อน ปั้นรักชะงัก ไอ้ที่ทำท่าเหมือนจะด่าผมเหมือนกี้ก็เงียบไป ปั้นหน้าให้เป็นสีหน้าปกติแทน
“เออ คิดได้ก็ดี”
แถมยังเอามือมาตบบ่าผมปุๆ เหมือนเป็นการปลอบใจ ผมมองมันแล้วหัวเราะน้อยๆ
“เปลี่ยนจากตบไหล่ปลอบเป็นกอดปลอบได้ไหม เผื่อจะรู้สึกดีกว่า”
แกล้งถามไปแบบไม่ได้คาดหวัง กะว่าจะแกล้งให้มันหงุดหงิดเพื่อให้ตัวเองอารมณ์ดีขึ้นเฉยๆ ทว่าผิดคาดมากๆ เพราะปั้นรักเม้มปาก พยักหน้ารัวๆ
“ได้ มาสิ แต่แค่ครั้งเดียวนะ”
มาสิบ้าอะไร ผมไม่ได้ขยับเลยสักนิด มีแต่มันที่โผเข้ากอดผม พลันลูบหัวลูบหลังมั่วไปหมด
“it’s ok. Everything will be alright. (ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง)”
ผมแปลได้ ประโยคนี้มันกำลังปลอบใจผม แต่ว่านะไอ้ปั้น ท่าทางของมึงเหมือนกอดหมามากอะ ยีหัวผม ตบหลังเป็นพัลวัน ผมหัวเราะกับท่าทางนั้น ก่อนจะจับไหล่มันแล้วผละออกมาเล็กน้อย
“ปั้น...”
ผละออกมาได้ก็เรียก ปั้นรักมองหน้าผม เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
ไม่รู้ทำไมพอผมเห็นสีหน้านั้นแล้วก็รู้สึกว่ามันน่ารักโคตรๆ เลย มันน่ารักในความคิดของผมตั้งแต่ที่ผมแกล้งมันจนเขินหนีเข้าห้องน้ำไปเมื่อบ่ายแล้ว ก่อนจะอดใจไม่ไหว ถลาเข้าไปหาและ...
จุ๊บ...
จูบไปที่ริมฝีปากทีหนึ่งเต็มๆ
ถอยออกมาได้ก็ยิ้มให้ เขินนิดหน่อยกับการกระทำของตัวเอง ในขณะที่ปั้นรักนิ่งค้าง ตัวแข็งเป็นหิน มองผมด้วยดวงตาเบิกโตอยู่ครู่หนึ่งจนผมต้องโบกมือไหวๆ ตรงหน้ามันพร้อมเรียก
“ปั้น... โอเคไหม”
ตอนนี้เองที่มันได้สติ ส่ายหน้าช้าๆ
เดี๋ยวๆ มึงจะมาช็อกเพราะถูกกูจูบแค่นิดเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ
ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำท่าปกติได้หรอกนะ เพราะปั้นรักมันไม่ได้เป็นเกย์ การถูกเกย์อย่างผมจูบแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ มันคงจะเหวอหนักพอตัว ยิ่งมันแสดงออกชัดเจนหลายต่อหลายครั้งว่าขนลุกกับผมด้วยแล้ว ผมก็รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดขึ้นมา
“คือ...เมื่อกี้นี้น่ะ พี่ขอ...”
ทว่าพอผมจะขอโทษ มันก็ดันพูดสวนขึ้นมา
“อีก”
ผมชะงัก เลิกคิ้วสูง
“หืม?”
“อีกทีซิ”
เอ้าไอ้ปั้น ที่มึงเงียบไปนี่คือติดใจเหรอ
“เอาจริง?” ผมแกล้งถาม
ปั้นรักเม้มริมฝีปาก มองหน้าผมแล้วพยักหน้ารับ
ยอมรับว่าผมก็ลังเลนะ กลัวจูบไปแล้วโดนมันกัด แต่พอมองไปที่ริมฝีปากสีสวยตรงหน้า ผมก็อดใจไม่ไหวขึ้นมา ขยับตัวเข้าไปใกล้มันจนหน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันเพียงคืบ
“อย่ากัดนะ” กระซิบบอกมันไว้ก่อน เผื่อมันเล่นแง่ ก่อนที่จะทาบทับริมฝีปากของตัวเองลงไป
ลมหายใจของเขาสัมผัสกันชั่วขณะหนึ่ง ผมแค่จูบเบาๆ แล้วก็ผละออกมาโดยไม่คิดจะทำอะไรเกินเลย หากแต่พอผละออกมาปุ๊บ ปั้นรักที่ยังคงนิ่งค้างอยู่ก็มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา ผมกำลังจะถามเลยว่าเป็นอะไร แต่มันก็ดันพูดขึ้นมาก่อน
“Again (อีกที)”
ยังไม่ทันจะได้ตอบรับใดๆ มันทั้งสิ้น มันก็โผเข้ามาหาผมแล้ว โผอย่างเดียวไม่ว่า จูบผมเป็นทีเรียบร้อย กลายเป็นว่าผมนี่แหละที่ตกใจกับการกระทำของมันจนต้องรีบดันตัวมันออก
“เดี๋ยวปั้น เดี๋ยวๆ พี่ว่าเรา...”
“Just shut up and kiss me (หุบปากแล้วจูบไอเถอะน่า)”
พูดยังไม่ทันจบ มันก็ส่งเสียงจึ๊จ๊ะในลำคอมาให้ได้ยิน พร้อมกับประโยคภาษาอังกฤษที่ผมดันฉลาดแปลได้ทุกคำขึ้นมาในตอนนี้
พอมันว่ามาอย่างนี้ ผมก็เลยนั่งนิ่งๆ ปล่อยให้มันจูบไป มันคงอยากจะลองของใหม่ แต่ครั้งนี้ผมไม่ปล่อยให้มันจูบแค่เอาริมฝีปากสัมผัสกันหรอก พอมันประทับริมฝีปากลงมา ผมก็คว้าหัวมันไว้หมับ จากนั้นก็ดูดกลืนกลีบปากนุ่มเป็นเชิงบังคับให้แยกออกจากกัน ก่อนจะแทรกปลายลิ้นเข้าไปตักตวงความหอมหวานอยู่ครู่หนึ่ง
ที่น่าตกใจก็คือ... ปั้นรักก็ตอบสนองการรุกล้ำของผมเช่นกัน
ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่ามันเริ่มรุกผมละ ดันปลายลิ้นตัวเองเข้ามาในปากผมเสียอย่างนั้น อะไรไม่ว่า...มือ
มือมึงจะล้วงเข้ามาในเสื้อกูทำไม!
รู้สึกตัวอีกที มือของไอ้บ้าตรงหน้าก็วางแหมะอยู่บนหน้าท้องใต้เสื้อผมละ พอกำลังจะหาจังหวะถอนจูบออกมาเตือนมัน นิ้วแม่งก็ไต่ไปสะกิดหัวนม
ไอ้ปั้น! มึงจะรุกกูไม่ได้นะ!
ผมดันมันออกห่างทันที ก่อนจะรีบร้องเรียกสติ
“ปั้น เดี๋ยว...”
ปั้นรักทำหน้าหงุดหงิด มองผมคล้ายกับว่าจะโวยวาย ผมไม่ปล่อยให้มันพูด รีบโพล่งออกไปก่อน
“พี่ว่าที่นี่ยุงเยอะ กลับขึ้นห้องดีกว่า”
ไม่บอกมันหรอกว่าที่ผมรีบดันมันออกเพราะกลัวมันรุกเลยเถิด ขณะที่ปั้นรักเองก็เริ่มตั้งสติได้ในตอนนี้ว่าเมื่อกี้ทำอะไรลงไป เท่านั้นหน้ามันก็แดงแปร๊ดขึ้นมา แดงแบบแดงอะ เห็นชัดเจนมาก
กลายเป็นว่าจากที่ผมตกใจ ตอนนี้สนุกขึ้นมาเฉยเลย อยากจะแกล้งมันก็เลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้ กระซิบบอกข้างหู
“ที่ห้องมีเตียงด้วย ไปนอนสบายๆ ให้พี่จัดการดีกว่าเนอะ”
เท่านั้นแหละ ปั้นรักก็ดันหน้าผมออกเต็มแรง แล้วลุกพรวด
“พูดบ้าอะไร ใครมันจะไปทำอะไรกับยูวะ!”
แล้วก็จ้ำอ้าวหนีอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมนั่งมองตาม แต่มันเดินไปไม่กี่ก้าว มันก็หันมาตะโกนใส่อีก
“แล้วก็โกนหนวดด้วย กินเข้าไปหลายเส้นแล้วเนี่ย!”
สิ้นเสียงก็วิ่งกลับห้องไปทันที ปล่อยให้ผมนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวขณะที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เริ่มมีปฏิกิริยาแปลกๆ กับการกระทำของปั้นรักเมื่อครู่นี้ขึ้นมา
ใจเต้นแรง...
ไอ้ปั้นรักมันเล่นซนจนหัวใจผมเต้นไม่เป็นปกติเลยเนี่ย
--------------------------
ช้าไปหน่อยแต่ก็มานะ ตอนนี้พี่ดื้อน่ารัก ได้ทีหยอกบักปั้นใหญ่เลยนะ 555
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยนะคะ เดี๋ยวมาต่อค่ะ
ใครยังไม่ได้จอง ยังเปิดจองอยู่นะคะ ปิดจองสิ้นเดือนนี้ ไปจองได้ที่นี่เน้อ
http://rakkunpublishing.lnwshop.com/p/6