Chapter 50 : ระหองระแหงเด็กหนุ่มวางคนที่เมาหลับไม่รู้เรื่องลงบนเตียงแล้วห่มผ้าให้ ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ คนขับรถตู้ก็มาเคาะประตูเรียก
“คุณพิงค์ครับ ผมกลับไปที่งานก่อนนะครับ”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิพี่! จะรีบไปไหน!” เจ้าของชื่อเรียกถลาไปเปิดประตูห้องออก
“คุณขวัญโทรมาบอกว่าให้คุณพิงค์อยู่ดูแลคุณวินครับ บอกเพื่อนๆ คุณแล้ว ทุกคนโอเค”
“จะดีเหรอพี่”
“อย่าปล่อยคนเมาอยู่คนเดียวเลยครับ เดี๋ยวคุณวินเกิดหิวน้ำ หรือจะเข้าห้องน้ำ ลุกขึ้นมาเซล้มหัวร้างข้างแตกล่ะแย่เลย”
“อ่า นั่นสินะครับ งั้นผมฝากขอโทษทุกคนด้วย”
หลังจากคนขับรถตู้กลับไปที่งานเลี้ยงแล้ว ภูพิงค์ก็เดินไปเข้าห้องน้ำ หยิบผ้าขนหนูมาชุบน้ำเย็นๆ บิดหมาด แล้วเดินกลับมาที่เตียง จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดตามกรอบหน้าและลำคอของทันตแพทย์หนุ่มให้
แต่เมื่อมองชุดสูทที่อีกฝ่ายใส่อยู่แล้วก็เกรงว่าจะอึดอัด เขาจึงช่วยถอดเนกไทและเสื้อสูทออก ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อลงให้สองสามเม็ด เผยให้เห็นเกียร์สีทองที่เขาเคยคล้องให้ ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมาได้เล็กน้อย
ภูพิงค์จับเกียร์สีทองนั้นขึ้นมาดู แล้ววางลงไปที่เดิม จากนั้นจึงละสายตาจากเกียร์ไปที่ผิวกายเบื้องหลัง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เขาใช้ปลายนิ้วไล้ไปบนผิวเนื้อที่อยู่ระหว่างสาปเสื้อเชิ้ตทั้งสองข้าง
“อือ”
พอคนที่หลับอยู่ขยับตัว เด็กหนุ่มก็รีบชักมือกลับ แล้วยกมือขึ้นกุมหัวใจ
โอย ใจกูหนอ
เขานั่งรอจนกระทั่งอีกฝ่ายนิ่งไป แล้วจึงเอื้อมมือไปไล้แก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปแต้มจูบบนแก้มอย่างแผ่วเบา
เมื่อรวินท์ยังนอนนิ่ง ภูพิงค์จึงเคลื่อนริมฝีปากจากพวงแก้มไปที่กลีบปากสีสดอย่างเชื่องช้า เขาใช้ฝ่ามือประคองใบหน้าทันตแพทย์หนุ่มไว้ กลิ่นแอลกอฮอล์จากลมหายใจอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกเหมือนจะเมาไปด้วย เด็กหนุ่มสอดลิ้นเข้าไปในช่องว่างระหว่างกลีบปาก แตะลิ้นนุ่มเบาๆ แล้วควานวนอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือลากไล้จากปลายคาง ผ่านลำคอ ลงไปยังแผ่นอก
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เป็นผลให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก เขารีบลุกขึ้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย หัวใจเต้นโครมครามราวกับกลองใหญ่ที่ถูกตีรัว
“ไอ้พิงค์ มึงไม่ต้องกลับมานะ เดี๋ยวทางนี้พวกกูจัดการเอง”
“สัส! รู้แล้วโว้ย จะโทรมาทำไมตอนนี้วะ!”
คนที่ปลายสายชะงัก “แน่ะ เกรี้ยวกราด กูขัดจังหวะสำคัญเหรอวะ”
“เปล่า! กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”
“โวะ มีคนร้อนตัวว่ะ” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ “งั้นไม่กวนละ จะทำไรก็รีบทำละกัน”
ใบหน้าของภูพิงค์เปลี่ยนเป็นสีแดง โชคดีของเขาที่ไม่มีใครเห็น พอคนที่ปลายสายกดวางสายไป เด็กหนุ่มก็หันไปมองคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เขายืนจ้องอยู่แบบนั้น กลืนน้ำลายอึกแล้วอึกเล่า ก่อนจะสาวเท้าไปคว้าผ้าเช็ดตัว วิ่งเข้าห้องอาบน้ำไป
เสียงลมหายใจหอบกระเส่าถูกกลบไปด้วยเสียงน้ำที่ร่วงหล่นลงมาจากฝักบัว มือข้างหนึ่งยันกำแพงไว้ มืออีกข้างปรนเปรอส่วนที่มันแข็งขึงกลางร่าง
เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด พอหลับตาลงก็นึกไปถึงเมื่อครั้งที่อยู่ในอ่างจากุซซีด้วยกัน ผิวกายอุ่นๆ ที่เสียดสี และเสียงหอบหายใจของพี่วิน ทำให้เขาร้อนผ่าวไปทั้งร่าง
แต่ใช้มือของตัวเองไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเหมือนตอนพี่วินทำให้เลยแม่ง
ภูพิงค์ยืนมองของเหลวในฝ่ามือค่อยๆ เจือจางไปกับสายน้ำ พลางเผยอริมฝีปากหอบ ก่อนจะทุบลงบนผนังห้องน้ำอย่างแรง
“กูจะเอายังไงกับชีวิตดีวะ! อกจะแตกแล้วโว้ย!”
เด็กหนุ่มยืนให้น้ำรดศีรษะต่อไปอีกพักใหญ่ เขาจึงปิดน้ำ คว้าผ้าเช็ดตัวมาซับตามเนื้อตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ยืนถอนหายใจหนักๆ อีกสองสามรอบ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องน้ำไป
รวินท์ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง คนอ่อนวัยกว่าจึงนั่งลงบนเตียงข้างกันแล้วเอนหลังพิงหมอน เขาหันไปมองทันตแพทย์หนุ่มเป็นระยะๆ จับมือมากุมไว้ ไม่นานก็หลับไป
ในตอนสายของวันใหม่ หกหนุ่มไปกินมื้อเช้าร่วมกับคู่สามีภรรยาหมาดๆ ก่อนจะบอกลากัน
เมื่อทุกคนเดินกลับไปที่รถ สาโรจน์เดินไปพร้อมกับเด็กหนุ่มทั้งห้าคน เพื่อเปิดโอกาสให้รวินท์ได้หยุดคุยกับขวัญข้าวเล็กน้อยก่อนจากกัน
ขวัญข้าวจับมือทันตแพทย์หนุ่มไว้แล้วกระตุกเบาๆ “รักษาตัวดีๆ นะวิน อย่าไปเมาหลับที่ไหนเหมือนเมื่อวานอีกล่ะ”
รวินท์ยกมือขึ้นลูบท้ายทอย “ขอโทษนะ เมื่อวานผมแย่มากเลยใช่มั้ย”
“ไม่หรอก เอาไว้จะส่งรูปให้ดู” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “เดินทางดีๆ ถึงแล้วก็เมสเสจมาบอกขวัญด้วยนะ”
“ครับๆ” ทันตแพทย์หนุ่มแตะมือลงบนท้องของเธอ ก้มลงจูบเบาๆ บนท้องนั้น แล้วยิ้มบาง “เป็นครอบครัวสมบูรณ์แล้ว มีความสุขมากๆ ขอให้น้องแข็งแรงนะ รักษาสุขภาพด้วย อย่าโหมงานหนักล่ะ”
หญิงสาวยิ้มกว้าง หากแววตาสั่นไหว มีน้ำตารื้นขึ้นมาเอ่อคลอ “ขอบคุณ... ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง โชคดีนะวิน”
“ขวัญก็เหมือนกัน” รวินท์ยกมือขึ้นลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน “จะเป็นแม่คนแล้วนะ อย่าขี้แยสิ”
“แล้วมาเยี่ยมกันบ้าง” เธอพูดเสียงสั่น
“ชัวร์ ถ้าปวดฟันก็นึกถึงผมบ้างนะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะพลางบีบมือเธอเบาๆ
“ขวัญรักวินเสมอนะ ตอนนี้ก็ยังรัก วินเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุด”
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา ความรักของขวัญ ผมจะเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี และจะนึกถึงมันเสมอ” รวินท์ปล่อยมือจากเธอช้าๆ แล้วดึงเธอเข้ามาสวมกอด “ผมไปนะ”
ขวัญข้าวเม้มปากแน่น น้ำตาไหลออกมาช้าๆ เธอพูดไม่ออกจึงแค่พยักหน้าแล้วรีบเบี่ยงตัวหลบ
รวินท์ยกมือขึ้นลูบศีรษะเธออีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหาสาโรจน์ เขาจับมืออีกฝ่ายเขย่า แล้วสวมกอด “ขอบคุณที่เชิญผมมางาน ได้มาเป็นพยานรัก ส่งขวัญให้ก้าวไปมีชีวิตครอบครัว เป็นเกียรติของผมจริงๆ”
สาโรจน์ยิ้มบาง “ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณวิน เมื่อวานขวัญมีความสุขมาก เดินทางกลับดีๆ นะครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มเดินไปยังรถที่จอดอยู่ พอประตูรถเลื่อนเปิดออก เขาก็เลิกคิ้วขึ้น เนื่องจากทุกคนในรถมองมาที่เขาด้วยสายตาแปลกๆ ยกเว้นภูพิงค์ที่หันมองไปทางอื่น
แซนดี้สะอื้นเบาๆ “เหมือนฉากรักที่พระรองต้องตัดใจจากนางเอกเลยพี่หมอ”
“ใช่ ซีนดราม่าโคตรๆ” ซันพูดเสียงอ่อย
ดิวพูดสมทบขณะที่ขิงพยักหน้าหงึกๆ “อย่างกับดูซีรีส์เกาหลีอยู่ยังไงยังงั้น”
“พวกคุณจะบ้าเรอะ” รวินท์ส่ายหน้าขณะก้าวขึ้นไปนั่งข้างภูพิงค์ หากเมื่อรถเคลื่อนไปแล้ว ภายในรถก็ยังคงเงียบกริบกันอยู่ เขาจึงพูดขึ้น “ขวัญเป็นแฟนเก่าผมก็จริง แต่ตอนนี้เขาเป็นเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนที่คบหากันมาหลายปีเท่านั้น เพราะงั้นงานนี้ไม่มีพระเอกพระรองหรอกนะ”
ภูพิงค์หันกลับมาสบสายตาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมองออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง
ท่าทีเย็นชาของเด็กหนุ่มส่งผลให้รวินท์ถอนใจออกมาหนักๆ ถ้าลองทุกคนในรถทักเขาขนาดนี้ ภูพิงค์ก็คงไม่พอใจการกระทำของเขาอีกแล้วแน่ๆ เขาค่อยๆ ขยับมือไปกุมมือเด็กหนุ่ม
ทว่าภูพิงค์ดึงมือตนเองออก เขากอดอกไว้แล้วนั่งนิ่งไปตลอดทาง
ถูกโกรธอีกแล้ว รวินท์ทอดถอนใจยาว ตั้งแต่เช้ามาพวกเขาก็ยังไม่ได้คุยกันเลย ยังไม่ได้เคลียร์กันเรื่องเมื่อวานวันนี้ก็มีเรื่องใหม่อีกแล้ว
เขาไม่เข้าใจเด็กหนุ่มเลย ทำเหมือนรักกัน คอยดูแลกัน หึงหวงสารพัด แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่ยอมให้ความสัมพันธ์คืบหน้า
คำพูดของภูพิงค์เมื่อวานยังคงชัดเจนอยู่ในใจ
รับไม่ได้ ทำใจไม่ได้ ไม่แฟร์ เอาแต่ได้ คิดอย่างไรก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย ไม่ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มก็พูดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา...ในแง่ที่ไม่ดีนัก
ก็นะ หลงรักผู้ชายด้วยกัน มันก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะคิดแบบนี้
เมื่อนึกย้อนกลับไป ภูพิงค์ปิดเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นความลับกับที่บ้าน มีท่าทีแปลกไปหลังจากที่พวกเขาทำเรื่องอย่างว่าด้วยกันครั้งแรก ขนาดว่าแค่สัมผัส ไม่ได้มองเห็น...
รวินท์แค่นหัวเราะในลำคอ เขาคงทำบาปไว้มากมายจริงๆ กรรมถึงได้ตามสนองเขาแบบนี้ คนอย่างเขา คงไม่มีวันมีความสุขในเรื่องความรักหรอก
จะถอยออกไปก็ลังเล เพราะเขารักภูพิงค์ไปทั้งใจแล้ว
เวลานี้ก็ได้แต่หวังว่าความรักของเขาจะไม่เป็นการเห็นแก่ตัวเท่านั้น
ทันตแพทย์หนุ่มนั่งเหม่อ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงคนขับรถตู้เรียกชื่อตน
“คุณวินครับ จะถึงเชียงใหม่แล้ว แวะกินมื้อเที่ยงมั้ยครับ หรือจะยาวเลย”
รวินท์หันมองไปภายในรถ พวกเด็กหนุ่มดูเหมือนจะหลับกันอยู่ อีกอย่าง คงไม่มีใครอยากอยู่ในบรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ต่อไปอีกแม้เพียงนาทีเดียว “ตรงไปเชียงใหม่เลยครับ”
เมื่อไปถึงเชียงใหม่ รถตู้จอดที่หน้าบ้านเช่าแล้วทุกคนจึงทยอยกันลงจากรถ รวินท์ลงมาบอกลา ก่อนที่รถตู้จะพาเขาไปส่งที่หอพักแพทย์ในเมืองลำพูน
“ขอบคุณทุกคนมากนะ”
“ไม่เป็นไรพี่ นิดหน่อยๆ แต่อย่าลืมเรื่องเสื้อคณะผมนา” ซันพูดกลั้วหัวเราะ
“ไม่ลืมๆ”
พอทุกคนเดินเข้าบ้านไปแล้วก็เหลือภูพิงค์กับรวินท์ตามลำพัง เด็กหนุ่มสะพายเป้อยู่บนไหล่ ยืนหันหน้าเข้าหากัน หากไม่ยอมสบสายตาด้วย
รวินท์ใช้ปลายนิ้วไล้หลังมือของคนอ่อนวัยกว่า “ผมไปนะ”
“อือ”
ทันตแพทย์หนุ่มหลุุบตาลงต่ำ “ถ้าอยู่กับผมแล้วลำบากใจ เราห่างกันสักพักก็ได้”
ภูพิงค์เลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”
“ผมทำให้คุณอึดอัด ถ้าไม่เต็มใจ ก็อย่าฝืนเลย”
“พี่วิน! มันไม่ใช่...” จะว่าไม่ใช่ก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะระยะหลังมาที่ ระหว่างพวกเขามีแต่ความอึดอัด มีแต่เรื่องไม่เข้าใจกัน เด็กหนุ่มยืนอ้ำอึ้ง
ขณะที่ประสานสายตากับคนอ่อนวัยกว่า แววตาของรวินท์สั่นไหว ฉาบไว้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ
“คุณวินครับ เร่งนิดนึงคร้าบ ผมหิวแล้ว เดี๋ยวไปส่งคุณวินแล้วต้องบึ่งกลับเชียงรายอีก”
“เดี๋ยวผมไปส่งพี่เอง” เด็กหนุ่มก้าวไปจะบอกกับคนขับรถ แต่รวินท์รั้งมือเขาไว้
“ไม่ต้องหรอก ผมไปล่ะ”
“พี่วิน... งั้นผมไปด้วย รอเดี๋ยว”
“พิงค์ ผมบอกว่าไม่ต้องไง!” รวินท์พูดเสียงดุ “คุณอยู่ที่นี่แหละ”
ภูพิงค์หยุดกึก ชาวาบไปทั้งร่าง เขาเพิ่งเคยถูกพี่วินดุเป็นครั้งแรก “....”
“ไว้คุยกัน” ทันตแพทย์หนุ่มปล่อยมือจากคนอ่อนวัยกว่า แล้วก้าวขึ้นรถไป เขาหันกลับมาโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มที่ดูเศร้า
คนอ่อนวัยกว่ายืนตัวแข็งทื่อจนกระทั่งรถตู้ลับสายตาไป ตั้งแต่เขารู้จักพี่วินมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะถูกพี่วินโกรธจนขึ้นเสียงใส่ ดูท่าครั้งนี้เขาจะงี่เง่าใส่พี่วินมากเกินไป
“โธ่เว้ย!”
“เตรียมง้อชุดใหญ่เลยมึงอะ”
เด็กหนุ่มหันขวับไปทางต้นเสียง “อีแซนดี้”
“ไม่รู้ที่พี่หมอได้ยินเมื่อวานเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า แต่กูว่าที่พี่หมอเมา ส่วนนึงก็น่าจะเพราะกลุ้มใจเรื่องที่มึงพูดเมื่อวาน”
ภูพิงค์ขมวดคิ้ว พลางเม้มปาก เขานึกย้อนไปถึงตอนที่พี่วินเมา อีกฝ่ายเรียกชื่อเขา มือขยุ้มเสื้อไว้แน่น เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้น “...มึงว่ากูตามไปง้อพี่วินดีมั้ยวะ”
“ไม่รู้ว่ะ แต่ถ้าตามไปตอนนี้ กูว่ามีสิทธิ์มากว่าพี่หมอจะไม่ให้มึงขึ้นห้อง ลองโทรไปแย้บๆ ดูก่อนมะ รอให้พี่หมอถึงห้องก่อน”
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว “อือ”
หลังจากรถตู้แล่นออกไปชั่วครู่ รวินท์ยังคงหันมองไปทางด้านหลังเป็นพักๆ จนกระทั่งรถตู้เลี้ยวออกจากซอยไป เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วทอดถอนใจ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทันตแพทย์หนุ่มหยิบขึ้นมาดูก่อนจะกดรับสาย “ครับพี่สิงหา”
“วินอยู่ไหนน่ะ”
“กำลังกลับลำพูนครับ”
“เอ้อ... คือพี่ต้องไปออกหน่วยอาทิตย์หน้า วินจำได้ใช่มั้ย ที่ประชุมคราวนั้น”
“จำได้ ทำไมเหรอพี่”
“เมื่อวันอังคารที่แล้วพ่อพี่มาเยี่ยมที่ลำพูน จริงๆ จะกลับตั้งแต่วันเสาร์แล้ว แต่เป็นไข้หวัดใหญ่ซะก่อน เลยต้องนอนโรงบาลสักพัก มันฉุกเฉินมาก พี่หาคนแทนไม่ได้จริงๆ วินพอจะไปสลับกับพี่ได้มั้ย ของวินไปเดือนหน้านี่ เดี๋ยวพี่อยู่เวรแทนวินให้ด้วย นะ ได้มั้ย”
“ได้สิครับ เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวพี่ส่งกำหนดการให้ผมทีนะ เดินทางพรุ่งนี้ใช่มั้ย”
“ใช่ รอแป๊บนะ เดี๋ยวพี่เมลไปให้ ขอบใจมาก”
พอคุยโทรศัพท์เสร็จ รวินท์ก็เปิดอีเมลดู โครงการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่นี้เป็นของโรงพยาบาลในจังหวัดลำพูน เพื่อดูแลรักษาสุขภาพช่องปากให้ประชาชนด้อยโอกาสในเขตท้องถิ่นทุรกันดารของจังหวัด ทันตแพทย์ในแต่ละโรงพยาบาลของจังหวัดจะมารวมตัวกัน ผลัดกันไปออกหน่วยตามเขตต่างๆ ซึ่งอันที่จริงไปทำฟันจริงๆ น่ะก็แค่สองสามวัน แล้วแต่ว่าคนไข้เยอะมากแค่ไหน แต่ต้องเผื่อวันที่เหลือไว้สำหรับการเดินทางและทำกิจกรรมด้วย
ทันตแพทย์หนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในรถ เมื่อไปออกหน่วย อาทิตย์หน้าเขาก็คงจะยุ่งน่าดู แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านมากนัก เวลาที่ต้องอยู่ห่างกับภูพิงค์จะได้ดูสั้นลงไปด้วย
เมื่อกลับถึงหอพัก รวินท์ก็รีบไปเก็บเสื้อผ้า เอาเสื้อผ้าที่จะซักไปฝากนายแพทย์ข้างห้องไว้ให้ป้าผู้ดูแล เพราะพรุ่งนี้เขาต้องออกแต่เช้าตรู่ แต่พอดีอีกฝ่ายเพิ่งกลับมาจากบ้านที่ต่างจังหวัด หอบของกินมาด้วยมากมาย พวกเขาจึงนั่งกินมื้อค่ำด้วยกันและพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย
พอกลับมาที่ห้อง ทันตแพทย์หนุ่มก็ตรงไปอาบน้ำ เตรียมตัวเข้านอน โดยที่ลืมเช็กโทรศัพท์มือถือไปเสียสนิท
ภูพิงค์นั่งกุมขมับอยู่ในห้องนั่งเล่นกับเพื่อนๆ เขาโทรศัพท์ไปหารวินท์นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทว่าอีกฝ่ายไม่รับสาย
“พี่วินต้องโกรธกูมากแน่ๆ”
สี่หนุ่มหันมองหน้ากัน ไม่รู้จะปลอบเพื่อนรักว่าอย่างไรดี จะว่าไอ้พิงค์มันทำตัวงี่เง่าก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะแค่ต้องไปเป็นกุลีในงานแต่งงานแฟนเก่าของพี่หมอนี่ พวกเขาก็คิดว่ามันใจเด็ดมากแล้ว แถมยังต้องไปเห็นภาพแฟนตัวเองอาลัยอาวรณ์กับแฟนเก่าอีก
“ใจเย็นเว้ยไอ้พิงค์”
“กูไปลำพูนดีกว่า” เด็กหนุ่มลุกขึ้นพรวด ก่อนจะถูกเพื่อนรั้งไว้
“สัส พรุ่งนี้มีเรียนเช้า คาบจารย์สิงห์จอมโหดด้วย ห้ามโดดห้ามสายห้ามตายนะมึง รอไปพรุ่งนี้หลังเลิกเรียนดีกว่ามั้ยวะ อย่างน้อยให้เวลาพี่หมอใจเย็นลงหน่อย ตอนนี้มึงก็จัดการกับตัวมึงไปก่อน จะคุยกับพี่เขาอะไรยังไง”
ภูพิงค์ถอนหายใจเฮือกๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพยายามโทรศัพท์ไปหาทันตแพทย์หนุ่มจนเกือบเที่ยงคืน ก่อนจะจำใจเข้านอน
เช้าวันใหม่ ทันทีที่ตื่นขึ้นมาเด็กหนุ่มก็คว้าโทรศัพท์มือถือมาดู ลองโทรไปหาอีกฝ่ายอีกหลายรอบ หากก็ได้ผลเช่นเดิม เป็นผลให้ความกลัวในหัวใจเพิ่มมากขึ้น เขาพยายามโทรทุกครั้งที่มีเวลาพัก หมั่นส่งข้อความเป็นเป็นร้อย บอกกับทันตแพทย์หนุ่มว่าหลังเลิกเรียนจะรีบไปหา ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมา
“ไอ้พิงค์ใจเย็น” ซันตบไหล่เพื่อนเบาๆ “เดี๋ยวไปหาพี่หมอ ก็ไปง้อกันให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้มีอะไรค้างคาใจอีกล่ะ”
ภูพิงค์ยกมือขึ้นกุมใบหน้า “ถ้าพี่วินยังยอมคุยกับกูอยู่ล่ะก็นะ จะโดนทิ้งแล้วก็ไม่รู้”
“บ้าน่ะ คนรักกันเขาไม่ทิ้งกันง่ายๆ หรอกเว้ย อีกอย่างพี่หมอเป็นผู้ใหญ่แล้ว พูดด้วยเหตุผลพี่เขาก็รับฟังน่ะ”
“กูจะพยายาม”
พอถึงเวลาเลิกเรียน เด็กหนุ่มก็ขับรถไปลำพูนทันที
เมื่อไปถึง เห็นรถของทันตแพทย์หนุ่มจอดอยู่ในที่จอดเดิมของมันก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เขาเดินไปปักหลักยืนรออีกฝ่ายที่โต๊ะม้าหินข้างใต้ตึกหอพัก ทว่าเลยเวลาเลิกงานไปสักพักแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่เฝ้ารอ
หรือพี่วินจะมีเวร เดินไปดูที่แผนกดีมั้ยวะ
ขณะที่กำลังคิดหนักอยู่นั้น ป้าทั้งสามที่ดูแลหอพักก็เดินออกมาจากในตึกพอดี “อ้าว พิงค์ใช่มั้ยน่ะ มาหาหมอวินเหรอลูก”
“อะ ครับ พี่วินกลับมารึยังครับ”
“วันนี้หมอวินไม่กลับหรอกลูก หมอไปออกหน่วย ไม่รู้กลับวันไหน”
“ออกหน่วย?”
“ไปทำฟันต่างอำเภอน่ะ ไปที่กันดารๆ หน่อย”
“ไม่เห็นพี่วินเคยพูดถึงเลย” ภูพิงค์ตัดพ้อ
“เห็นว่าฉุกเฉินจ้ะ”
“ไปที่กันดารมากเลยเหรอครับ”
“อือ เห็นหมอๆ เขาเล่าว่าบางทีก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วย ถ้ามีก็ติดๆ ดับๆ น่ะ”
“อ่อ... ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า พลางถอนหายใจ เมื่อป้าๆ เดินจากไปแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งที่เดิม
ทำไมพี่วินไปไหนไม่บอกกันเลยวะ ทำให้เขาเป็นห่วง
“ถ้าอยู่กับผมแล้วลำบากใจ ห่างกันสักพักก็ได้”คำพูดของรวินท์แล่นแวบเข้ามาในความคิด “หรือว่า...”
ภูพิงค์ใจหายวูบ หรือว่าพี่วินคิดจะทำอย่างที่พูดตอนนั้น! เพราะเขาทำให้พี่วินลำบากใจ เพราะเขามัวแต่กลัวเสียซิง ไอ้พิงค์เอ๊ย!
เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไล่ดู จำใจต้องโทรศัพท์ไปหาคนที่ไม่ค่อยอยากจะขอความช่วยเหลือสักเท่าไหร่
เสียงโทรศัพท์ดังอยู่สองสามครั้ง คนที่ปลายสายก็กดรับสาย
“โอ้โห ใครโทรมาเนี่ย รู้สึกเหมือนผีหลอก ว่าไงน้อง”
“หวัดดีครับพี่เต้ จะออกจากโรงบาลยัง”
“ใกล้แล้วล่ะ เหลือตรวจร่างกายอีกที แต่ผมว่า... คุณไม่ได้โทรมาหาผมเพื่อถามเรื่องผมล่ะมั้ง” เตชิตพูดกลั้วหัวเราะ
ภูพิงค์อ้ำอึ้ง แล้วถามเสียงอ่อย“พี่เต้ได้คุยกับพี่วินบ้างเปล่าวะ”
“คุยดิ คุยเมื่อเช้า เมื่อสาย เมื่อบ่ายก็เพิ่งคุย”
ชัดเลย! พี่วินเลี่ยงไม่รับโทรศัพท์ ไม่คุยกับเขา!
“ถามทำไมวะ”
“เปล่าพี่ ไม่มีไร แค่นี้แหละ ไม่กวนละ”
“เดี๋ยวดิ๊ คุยกันก่อน”
“ผมไม่มีอะไรจะคุยอะ”
“ไรวะ ผมอุตส่าห์ลุกขึ้นมารับโทรศัพท์คุณนะเว้ย”
“เออ ซึ้งๆ ขอบคุณครับ”
“โทรหาวินไม่ได้เหรอ”
ภูพิงค์สะอึก พูดไม่ออก “.....”
“เลิกกันแล้วใช่ปะ”
“ยังโว้ย! ไอ้พี่เต้อย่าหาเรื่องสิวะ!”
“โห อุตส่าห์ดีใจ ไม่เป็นไรๆ ยังไม่เลิก แต่ก็ใกล้แล้วใช่มะ”
“ผมว่าพี่นอนโรงบาลต่อไปอีกนานๆ เลยเหอะ!”
“ไม่อะ คิดถึงวิน อยากกลับลำพูนแล้ว”
เด็กหนุ่มหงุดหงิดจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม อยากจะเถียง อยากจะด่า แต่คำพูดมันจุกอยู่ในลำคอ มือกำโทรศัพท์มือถือกำแน่นจนเกร็งไปทั้งท่อนแขน
พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต่อปากต่อคำ เตชิตก็ยิ้มกริ่ม อยากหัวเราะดังๆ แต่ก็เริ่มจะสงสารเด็กหนุ่มนิดหน่อย “ทะเลาะกันเหรอวะ”
“เปล่า” ภูพิงค์ตอบเสียงเบา
“อย่าลืมที่ผมเคยพูดไว้นะ ถ้าคุณทำให้มันเสียใจ ผมจะไปแย่งมันมาจากคุณ แค่นี้แหละ ไม่คุยด้วยแล้ว” เตชิตกดวางสาย โยนโทรศัพท์ไว้บนหลังตู้ข้างเตียงคนไข้ แล้วยกแขนขึ้นหนุนศีรษะ
อย่างน้อยเขาก็ต้องขอบใจพิงค์ล่ะนะ ที่ทำให้รู้ว่าไอ้วินไม่รับโทรศัพท์ใครเลยเหมือนกัน ไอ้เขาก็กำลังกลุ้มใจอยู่เลย นึกว่าทำอะไรผิดอีกหรือเปล่า เขาพยายามโทรอยู่หลายครั้ง ติดบ้างไม่ติดบ้าง แต่ทุกครั้งที่ติดมันก็ไม่ยอมรับสาย
เตชิตนอนไปสักพักก็ลุกขึ้น หยิบโทรศัพท์มากดโทรออกไปใหม่ “หวัดดีครับพี่สิงหา”
“ว่าไงเต้ หายดีรึยังเนี่ย จะกลับลำพูนเมื่อไหร่”
“เหลือตรวจร่างกายอีกครั้งพี่ แต่คิดว่าอาทิตย์หน้าน่าจะกลับได้ละครับ เออ พี่สิงหา ไอ้วินมันไปไหนครับ มันไม่รับโทรศัพท์เลยอะ”
“อ๋อ มันไปออกหน่วยแทนพี่ มันคงยุ่งมาก แล้วที่นั่นก็สัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยดีน่ะ”
“อ่อ เข้าใจแล้วครับ แล้วมันจะกลับเมื่อไหร่อะพี่”
“ตามกำหนดการกลับวันศุกร์ แต่ถ้าคนไข้เยอะมาก อาจจะเป็นวันเสาร์นะ ถ้าเต้กลับมาอาทิตย์หน้าก็จะได้อยู่พร้อมหน้ากันสักที”
“ครับ ขอโทษที่ทำให้ทุกคนลำบากนะครับ”
“ไม่ลำบากหรอก ทุกคนก็เป็นห่วงน่ะ ยังไงเต้ก็โทรมาบอกอีกทีนะ พี่จะได้เตรียมฉลองต้อนรับ”
เตชิตหัวเราะ “ขอบคุณครับพี่ เดี๋ยวผลตรวจร่างกายออกผมจะรีบโทรบอกเลย” เมื่อวางสายไปแล้วเขาก็กดหาเบอร์โทรศัพท์ของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ทว่าก่อนจะกดโทรออกไปก็เปลี่ยนใจ เขาโยนโทรศัพท์มือถือลงบนหลังตู้ที่เดิม แล้วเอนตัวลงนอน
“ปัญหาใครก็แก้เอาเองก็ละกันวะ”
ฝ่ายรวินท์นั้น สาเหตุที่ไม่รับโทรศัพท์ใครๆ ก็เพราะเขาต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เพื่อให้พร้อมออกเดินทางตอนตีห้า พอตื่นมาอะไรก็ฉุกละหุกไปหมด ง่วงก็ง่วง แค่จะหอบเป้วิ่งไปให้ทันจุดนัดก็ลำบากแล้ว โทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้ชาร์จ แบตเหลือขีดเดียวอีกต่างหาก เขาคว้าพาวเวอร์แบงค์มาทัน กะว่าเดี๋ยวจะค่อยชาร์จตอนที่อยู่บนรถ
หากอะไรๆ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ด้วยความเป๋อของรวินท์ เขาไปรอที่จุดนัดผิดที่ ต้องโทรถามวิ่งหาจุดนัดกันวุ่นวาย สรุปว่าเขาทำให้ทันตแพทย์ทุกคนเดินทางช้าไปด้วยยี่สิบนาทีได้ ทว่าเพราะสภาพที่เหงื่อโซมกาย หอบแฮกๆ เป็นหมาหอบแดด ทำให้เขาไม่โดนต่อว่า แต่โดนหัวเราะใส่แทน
พอได้ขึ้นนั่งในรถ พูดคุยกับทันตแพทย์คนอื่นๆ เล็กน้อย ตัวเขาก็หลับเป็นตาย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนพักรถกินมื้อเที่ยง จากนั้นก็ต้องไปเปลี่ยนรถเพื่อให้เหมาะสมสำหรับการเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านทุรกันดาร
พวกทันตแพทย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องจะไปพักรวมกันที่ที่พักซึ่งทางหมู่บ้านจัดไว้ให้ แล้วจะออกเดินทางไปให้บริการทำฟันในวันถัดไป
ทว่าคราวนี้เมื่อรวินท์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาชาร์จ ที่พักของเขาก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เสียแล้ว
บ้านพักของทันตแพทย์เป็นบ้านไม้เก่าๆ สองหลัง แบ่งฝั่งชายหญิงกัน มีทันตแพทย์มาจากหลายๆ โรงพยาบาลรวมกันเป็นจำนวนเก้าคน พวกเขาต้องนอนบนฟูกปูนอน ห้องอาบน้ำแยกออกไปต่างหาก อากาศเย็นเพราะอยู่บนที่สูง
หลังจากการประชุมและกินมื้อเย็นกันแล้ว เหล่าทันตแพทย์ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนใหญ่ก็กลับห้องไปนอนเอาแรง ส่วนรวินท์ไปเดินเล่นกับทันตแพทย์อีกสามคน พวกเขาอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน และแน่นอนว่าเคยได้ยินเรื่องราวของรวินท์มาก่อน
“ไม่น่าเชื่อว่าผมจะได้มีโอกาสมาออกหน่วยกับทันตแพทย์คนดังด้วย”
“พี่ก็พูดเว่อร์ ผมไม่ใช่ประทัดนะครับ” รวินท์ส่ายหน้าไปมา “ว่าแต่... โทรศัพท์พี่ใช้ได้มั้ย”
“ไม่ได้ ไม่มีสัญญาณเลย แต่มันมีจุดรับสัญญาณได้อยู่นะ ต้องให้คนขับรถพาไป หรือไม่ก็ต้องเดินขึ้นเขาไปอีกน่ะ”
“โห... งั้นไม่เป็นไรครับ”
สี่หนุ่มเดินดูทิวทัศน์รอบๆ บ้านที่พักอย่างใจเย็น พวกเขาถูกล้อมไปด้วยภูเขามากมาย สีเขียวเย็นตา เมื่อท้องฟ้ามืดลงอากาศก็เย็นลงอีก และยังเกิดหมอกปกคลุมไปทั่ว
“พรุ่งนี้เช้าต้องมีทะเลหมอกแน่ คงได้เห็นแวบๆ ก่อนออกเดินทาง” ทันตแพทย์ซึ่งอายุมากที่สุดในสี่คนเอ่ยขึ้น
รวินท์ทอดสายตามองออกไป ทะเลหมอกงั้นหรือ ทำให้เขานึกถึงเมื่อครั้งที่ไปดอยอินทนนท์กับภูพิงค์เลย
คิดถึง... เขาคิดถึงช่วงเวลาที่พวกเขามีความสุขด้วยกัน
“เฮ้อ” ทันตแพทย์หนุ่มถอนหายใจหนักๆ
แค่วันเดียวที่ไม่ได้คุยกัน เขาก็ย่ำแย่เสียแล้ว นี่น่ะหรือคนที่ปากดีบอกให้ห่างกันสักพัก ถ้าหากเด็กหนุ่มเอาจริงขึ้นมา เขาคงแย่แน่
“คิดถึงแฟนเหรอวิน”
เจ้าของชื่อสะดุ้ง “ทำไมเหรอพี่”
“ทำหน้าเศร้าซะขนาดนั้น ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพรุ่งนี้จะยุ่งจนไม่มีเวลาเงยหน้า ไม่มีเวลาคิดถึงใครเลยล่ะ”
“โห พี่พูดซะผมปวดหลังปวดคอรอเลย” รวินท์ยิ้มแห้ง พวกเขาเดินเล่นกันจนท้องฟ้ามืดเกือบสนิทจึงกลับไปที่บ้านพักกัน
*TBC*หมอเต้รีเทิร์นแร้ววว จะมาเป็นกาวประสานใจให้หมอวินกับน้องพิงค์ล่ะน้าาา /อย่าเพิ่งสาบแช่งหมอออ 55555
ตอนหน้าหายดราม่าแล้วค่ะ อดทนกันอีกนิดนะคะ ให้น้องพิงค์ได้แก้ตัวก่อน อิอิ
ขอบคุณคนอ่านทุกคน คืนนี้นอนหลับฝันดีนะคะ