#ข้าง...ข้าง...ใจ 3#
เบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ขึ้นชื่อผู้โทร แถมยังไม่คุ้นตาอีกต่างหากทำเอาเจ้าของเครื่องย่นคิ้วเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ เสียงบ่นพึมพำที่ดังขึ้นแค่เพียงแผ่วเบาเหมือนรำพึงกับตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจกดรับเพราะน้องสาวฝาแฝดตัวดีที่กำลังนั่งเขียนรายงานเริ่มตวัดตามองมา...ตาเขียวปั๊ด!!
"สวัสดีครับ...!!?"
"เอ่อ..!! โทษนะครับ นั่นใช่น้องเอิงเด็กศิลป์รึปล่าครับ" เจ้าของโทรศัพท์ยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันหนักเข้าไปอีก ทั้งเสียงทุ้มที่ไม่คุ้นหูนั่นอีก แต่ความสุภาพที่ได้ยินนี่ซิ ถ้าเจ้าของเบอร์นี้เป็นผู้หญิงล่ะก็คงได้ใจละลายกันไปข้าง...ว่าแต่...ทำไมรู้ว่านี่เบอร์ใครวะ!!
"ใช่ครับ..ผมเอิง..แล้วคุณเป็นใครล่ะครับ..?" คำถามยิงตรงแบบไม่มีอ้อมค้อม ทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากปลายสาย นึกเคืองนิดๆว่าไอ้บ้าที่โทรมาคงจะเป็นโรคจิตที่ไหน หรือไม่ก็เพื่อนสมัยมัธยมที่ชอบโทรมาแกล้ง
"เราเจอกันที่โรงพยาบาลไงครับ ที่สั่งข้าวให้วันนั้น..." เจ้าของเสียงนุ่มดูเหมือนจะเว้นจังหวะให้ทางนี้คิดตาม
โรงพยาบาลที่เพิ่งไปมาเร็วๆนี้...ก็...ไปเยี่ยมไอ้วายุ ถ้าจะเป็นคนแปลกหน้าซักคนก็คงจะเป็นใครไม่ได้ นอกจากคุณหมอห้องข้างๆ ที่เข้าไปขอยืมอุปกรณ์ในการกินอยู่มื้อกลางวัน คุณหมอที่ติดจะใจดี ยิ้มง่าย และติดจะหัวเราะเก่งอีกด้วย ที่ลืมไม่ได้ก็คือเป็นผู้อุปการะอาหารกลางวันแก่น้องๆผู้หิวโหยทั้งสามคน
"อ้อ...!! คุณหมอเพื่อนพี่ตุลนั่นเอง มีอะไรรึเปล่าครับ หรือว่า...โทรมาทวงค่าข้าว!!?" แกล้งแซวแบบทีเล่นทีจริงไปแบบนั้นเอง แล้วก็เผลอยิ้มตามจนได้ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากปลายสาย
"ไม่ใช่ครับ!! คือพี่เจอสมุดสเก็ตช์ภาพน่ะ คิดว่าน่าจะมีใครลืมเอาไว้หรือเปล่า?" สมุดสเก็ตช์ภาพนั่นเอง..ว่าแล้วเชียวว่ามันหายไปไหน พอไปมหาลัยก็นึกว่าลืมไว้ที่บ้าน พอมาถึงบ้านก็คิดว่าลืมไว้ในรถเป็นแบบนี้หลายครั้งจนขี้เกียจจะหา ที่แท้ก็ดันไปลืมไว้ที่โรงพยาบาลนั่นเอง...ถึงว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอซักที
"แล้ว...คุณหมอรู้ได้ยังไงว่าเป็นของผมล่ะครับ ไปกันตั้งสามคน" เจ้าของสมุดเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมถึงถามออกไปแบบนั้น แค่อยากรู้ล่ะมั้ง
"ของเรา..ใช่ที่มีลายเซ็นขึ้นต้นด้วยตัวเอตัวใหญ่ๆรึเปล่าล่ะ..?" ใช่จริงๆนั่นแหละ ตัวเอในลายเซ็นมาจากอักษรตัวแรกในชื่อภาษาอังกฤษที่แม่ตั้งให้ว่า'อริญชย์' ส่วนแฝดน้องที่เป็นผู้หญิงชื่อว่า'ไอริณ'จะได้คล้องจองกัน
"ใช่ครับ..คงเป็นของผมเอง รบกวนฝากไว้ก่อนได้ไหมครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะแวะไปเอา" แม้ว่าจะไม่ได้มีงานสำคัญอะไรอยู่ในนั้น แต่มันก็เหมือนมีคุณค่าทางใจมากกว่า สมุดวาดภาพอันแรกที่ตัวเองร่างลายดินสอลงไป เหมือนเป็นทั้งความทรงจำและเก็บเอาไว้เปิดดูพัฒนาการของตัวเองในยามที่คิดอะไรไม่ออก
"บ้านเราอยู่แถวไหนล่ะ เผื่อไม่ไกลจะได้แวะไปเลย กลัวว่าแม่บ้านที่เค้ามาทำความสะอาดห้องจะไม่รู้น่ะ" ไอ้คุณหมอนี่ก็แปลก...คนไม่รู้จักกันจะมาถามหาบ้านคนแปลกหน้าทำไมวะ แค่สมุดวาดภาพของเด็กศิลป์เล่มเดียว เก็บไว้ในรถก็ได้นี่หว่า...หรือจะคิดไม่ซื่อ!!
เจ้าของสมุดสะบัดหัวไปมาเพื่อสลัดความคิดเพี้ยนๆของตัวเองออกไปจากหัว นึกภาพคุณหมอที่ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว เงินเดือนก็แสนแพงจะมาคิดอะไรกับเด็ก แถมเป็นผู้ชายด้วยกันอีกต่างหาก...'ถ้าจะบ้า!!' ด่าตัวเองในใจไปสองสามคำ ก่อนที่จะตัดสินใจบอกชื่อหมู่บ้านของตัวเอง...แต่แค่ชื่อหมู่บ้านนะ
"หมู่บ้านน้องเอิงอยู่ก่อนถึงบ้านพี่อีกนะ แวะเอาไปให้ตอนนี้เลยจะสะดวกไหมครับ" ใจร้อนซะด้วยนะคุณหมอคนนี้ แต่พอได้ยินคำถามก็เลยตวัดสายตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังบ้าน '2 ทุ่มครึ่ง' ยังไม่ดึกหรอกมั้งที่จะปั่นจักรยานออกไปรับลมที่หน้าหมู่บ้านซักหน่อย
"ได้ครับ..งั้นผมจะไปรอที่หน้าหมู่บ้าน ถึงแล้วโทรหาผมด้วยเลยนะครับ" อีกฝ่ายรับคำก่อนจะกดวางหูไป ปล่อยให้ทางนี้ยืนมองโทรศัพท์อีกซักพัก กำลังสับสนอยู่ว่าทำไมถึงได้ตกปากรับคำกับคนแปลกหน้าได้ง่ายดายขนาดนี้
"จะไปไหนอ่ะเอิง!!" เสียงน้องสาวตะโกนถามตอนที่ได้ยินเสียงขยับรถจักรยาน..หูมันดีจริงวุ้ย
"ไปหน้าหมู่บ้านแป๊บเดียว" เอิงตะโกนบอกน้องสาว ก่อนจะเตรียมพร้อมควบจักรยานคันเก่งออกไปนอกบ้าน คงไม่เร็วไปหรอกมั้ง คิดซะว่าไปปั่นจักยานรับลมและออกกำลังกายไปด้วย..แต่ยังไม่ทันจะได้พ้นประตูบ้าน
"ขากลับซื้อเกี๊ยวน้ำมาฝากเอยด้วย อย่าลืมนะ!!" เวรกรรม!! สั่งแต่ปากจริงๆไอ้น้องคนนี้ สั่งเสร็จแล้วก็วิ่งเข้าบ้าน เห็นพี่มันเป็นเซลล์แมนรึไงจิกหัวใช้ได้ใช้ดี
.
.
.
หมอขิมขับรถพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยอย่างคนอารมณ์ดีเกินพิกัด นี่ขนาดได้ยินแค่เสียงยังไม่ได้เห็นหน้าเจ้าตัวอีกเลยตั้งแต่วันนั้น..ก็อดตื่นเต้นไม่ได้..รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นตอนมีรักครั้งแรก ใจมันเต้นแรงร้อนรนอยากจะเห็นหน้า แถมยังเผลอพูดปดออกไปอีก...ที่ว่าบ้านอยู่แถวนี้อะไรนั่น ที่จริงคอนโดอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่ประจำการอยู่ไม่เกิน 5 แยกไฟแดงด้วยซ้ำ
กว่าจะแหวกฝูงรถติดออกมาถึงหมู่บ้านเขตชานเมืองได้ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง ไอ้คนใจร้อนสุดๆอย่างหมอขิมแทบจะเปิดระบบกางปีกออก แล้วบินข้ามมาให้ถึงที่หมายตั้งแต่ 20 นาทีแรก..แต่ก็ติดอยู่อย่างเดียว...ไอ้ระบบพิเศษที่ว่ามันไม่มีนะซิ!! ถึงต้องนั่งทนขับรถด้วยความเร็วไม่ถึง 60 กม/ชม. จนรถมาจอดสนิทอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านที่ต้องการจนได้
"น้องเอิงครับ พี่อยู่หน้าหมู่บ้านแล้ว...." พอกดโทรศัพท์โทรออกยังไม่ทันจะได้นัดแนะเวลา ใครบางคนที่กำลังปั่นจักรยานอยู่บนถนนในหมู่บ้านก็โบกไม้โบกมือให้ เจ้าของสมุดที่ทำให้ต้องถ่อมาถึงที่นี่กำลังปั่นจักรยานเข้ามาใกล้ พอเห็นหน้าชัดๆถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวเหงื่อโชกไปทั้งตัว เส้นผมที่เจ้าตัวมักจะรวบไว้ข้างหลังอยู่เสมอตอนนี้ปล่อยตามสบาย แถมกลุ่มผมที่อยู่ข้างใบหน้าดูเหมือนจะเปียกเกาะข้างแก้มที่ขึ้นสีชัดน่ามอง....แค่นี้ก็ใจเต้นแรงซะแล้วไอ้ขิม
ชายเอิงเผลอเหลือบมองคุณหมอเต็มตา ตอนที่ปั่นจักยานเข้ามาจอดตรงหน้า วันนี้ไม่ได้สวมเสื้อคลุมสีขาวเหมือนวันก่อน ไม่ได้ผูกเนคไท กระดุมคอก็ปลดออกแบบสบายๆ พอๆกับแขนเสื้อที่พับขึ้นไปครึ่งแขน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความดูดีลดลงไปเลยซักนิด กลับดูน่ามองในแบบที่แตกต่างออกไป
"รถติดเหรอครับ ผมกำลังจะเข้าไปอาบน้ำแล้วค่อยออกมาอีกรอบ.." คนที่ปั่นจักรยานมาร่วมชั่วโมงบ่นพึมพำทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของคุณหมอตรงหน้าก็ตาม แต่ด้วยความเหนื่อยก็เลยบ่นไปงั้น อย่างน้อยก็เบนความสนใจของตัวเองได้ล่ะ
"โทษทีครับน้องเอิง รถติดอย่างที่ว่านั่นแหละ เรียกว่าคลานมาเลยดีกว่า.." น้ำเสียงตอนท้ายฟังดูคล้ายจะหงุดหงิดอยู่ในที ชายเอิงเหลือบมองคุณหมอตรงหน้าที่ยังคงยืนมองมาก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
"เอ่อ...แล้วไหนสมุดของผมล่ะครับ..?" เพราะมัวแต่มองหน้าอีกฝ่ายเพลิน ดันลืมจุดประสงค์ที่แท้จริง แต่..ถ้ายื่นสมุดให้ไปแล้ว..ทุกอย่างจะต้องสิ้นสุดในคืนนี้ไหมล่ะ..?
"นี่ครับ..สมุดของน้องเอิง..." แค่คิดล่วงหน้าไป ว่าหลังจากยื่นตัวประกันไปให้แล้วทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เจ้าสมุดวาดภาพเล่มเล็กที่นั่งเปิดดูมาหลายรอบก็เหมือนจะหนักอึ้งจนแทบจะยกไม่ขึ้นซะอย่างงั้น
"ขอบคุณครับ" เจ้าตัวฉีกยิ้มให้ตอนที่ยื่นมือออกมารับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเพราะทางนี้ไม่ยอมปล่อย เลยกลายเป็นว่ายืนยื้อสมุดเจ้าปัญหากันอยู่อย่างงั้น
จนในที่สุดแล้วฝ่ายที่ต้องปล่อยก็คือหมอขิม เพราะของไม่ใช่ของตนจะยื้อเอาไว้ก็กลัวจะตอบคำถามแววตาช่างสงสัยที่มองมาไม่ได้ แม้ว่าเจ้าตัวจะขมวดคิ้วตอนที่จ้องมาแต่ก็ยังได้ยินเสียงขอบคุณอีกครั้ง คุณหมอตัวโตลอบถอนหายใจกับตัวเองรู้สึกหมดแรงต่างจากตอนที่ขับรถออกมาจากโรงพยาบาลโดยสิ้นเชิง จะหวังอะไรไปมากว่าคำขอบคุณล่ะ... เจ้าของสมุดภาพก็กำลังทำท่าจะปั่นจักรยานกลับเข้าหมู่บ้าน
"คุณหมอ....รีบกลับรึเปล่าครับ" เสียงใสคุณหูที่ทักมาจากข้างหลังตอนที่กำลังจะเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ ทำให้หมอขิมหันขวับกลับมามองอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าระบบอัตโนมัติ
"ก็...ไม่รีบเท่าไหร่ครับ บ้านอยู่แค่นี้เอง" พอให้ใจชื้นขึ้นมาบ้างซักเล็กน้อย
"ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันไหม เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง"
ไอ้เอิงคนนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงต้องปั่นจักรยานกลับมา เพราะคิดได้ว่าลืมซื้อของที่น้องสั่ง หรือเพราะทนเห็นแผ่นหลังเหงาหงอยเดินคอตกกลับขึ้นรถไปแบบนั้นไม่ได้กันแน่ ไม่ทันจะได้คำตอบให้กับตัวเองปากมันก็ดันไวกว่า..เอ่ยถามออกไปซะแล้ว...ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมเมื่อกี้ รอยยิ้มทั้งแววตาของคุณหมอที่ทำราวกับว่าดีใจนักหนา..กับแค่เรื่องเลี้ยงบะหมี่รถเข็นซักชามเนี่ยนะ!!
ภาพของคุณหมอที่กำลังนั่งคีบเส้นบะหมี่กับลูกชิ้นเข้าปากได้อย่างไม่เคอะเขิน ดูแปลกในสายตาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างมาก...ร้านบะหมี่ข้างทางหน้าหมู่บ้านกับเจ้าของรถหรูที่จอดอยู่ตรงนั้นดูยังไงก็ไม่น่าจะเข้ากันได้ แล้วก็เหมือนจะรู้ตัวเมื่อคนที่กำลังถูกจ้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาพอดีตอนที่เจ้ามือมื้อนี้กำลังอมลูกชิ้นลูกใหญ่อยู่ในปากจนแก้มตุ่ย
“เส้นบะหมี่ติดอยู่บนหน้าพี่เหรอครับน้องเอิง” เพิ่งจะมารู้สึกตัวตอนที่โดนยิงคำถามเข้าใส่ ไอ้คุณชายก็เลยต้องแกล้งทำเป็นเคี้ยวของกินในปากแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ...เผลอไปจ้องคนอื่นเค้าแบบนั้น กลัวจะโดนโกรธเอาน่ะซิ
“เปล่าครับ” หมอขิมคลี่ยิ้มกับตัวเองอย่างคนอารมณ์ดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้เกือบจะใจฝ่อห่อเหี่ยวไปแล้ว อุตส่าห์มาถึงที่แล้วจะให้ถอยทัพกลับไปโดยไม่ได้อะไรเลย..คงไม่ได้แล้ว
“เอ่อ..!! ถ้าหลังจากวันนี้ไปแล้ว พี่จะโทรหาน้องเอิงบ้าง...จะได้ไหมครับ..?” คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาคีบบะหมี่เข้าปากตัวเองเงยหน้าขึ้นมาทำตาโตมีของกินที่ยัดเข้าไปเต็มปาก....ทำเอาคนมองทางนี้อยากจะเอื้อมมือไปปัดผมที่ตกลงมาปิดใบหน้าให้ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการบุกประชิดตัวจนเกินไป เกิดอีกฝ่ายตั้งรับไม่ทันอาจจะวิ่งหนีห่างออกไปได้ ในใจก็รอลุ้นฟังคำตอบ..
“ก็...ก็ได้อยู่หรอกครับ แต่คุณหมอจะโทรมาหาผมทำไมล่ะ” ต้องมีตลอดซินะ...ต้องคอยหาเหตุผลมาตอบคนตรงหน้าเสมอ หมอขิมกลืนรอยยิ้มยินดีของตัวเองลงไปได้อย่างแนบเนียน
“เรื่องคุยน่ะ...คงต้องเอาไว้โทรหา ถึงจะคิดออก...” คำตอบที่ได้ยินทำเอาคนฟังขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างแปลกใจ ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง
“มีงี้ด้วยแฮะ” จะให้ทำไงในเมื่อเอ่ยปากอนุญาตไปก่อนหน้านั้นแล้ว...แม้ว่าจะหวั่น ๆ ในใจแปลก ๆ แต่ถ้ากลับคำพูดตอนนี้ก็ไม่ใช่ไอ้ชายเอิงคนนี้แล้วครับท่าน
“เอาเป็นว่า..น้องเอิงรับปากพี่แล้วนะครับ หึๆๆ” หมอขิมแกล้งทำเป็นไม่สนใจคำบ่นพึมพำ ยึดเอาคำอนุญาตในตอนแรกเข้าตัวไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้น...ค่อยวางแผนการที่ละเล็กทีละน้อยอีกทีไงล่ะ...หึ หึ
==========================
หลังจากที่เลือดออกตามไรฟัน ตามไอ้หมีไวไวกันไปแล้ว
เลยพาทุกคนย้อนรอยกลับมาดู
ว่าเหตุอันใดคุณหมอจอมเนียนถึงได้ไปอยู่ข้าง ๆ ชายเอิงได้
แล้วค่อยปีนขึ้นไปบนหลังคารถ เกาะติดสถานการณ์ตามไปดูไอ้หมีเข้าป่า กร๊ากกกกกก
อัพเช้าบ้างบ่ายบ้างเอาให้มึนกันไป คึคึ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านมากมาย