C h a p t e r 0 3งานวันที่สองผ่านไปไวกว่าใจคิด ทีมงานเก็บของกันหมด เหลือเพียงผมที่เอ้อระเหยลอยชาย มองนายแบบหนุ่มที่ยังง่วนกับโทรศัพท์เหมือนเมื่อวานสักพัก ได้ยินเสียงลอดมาว่าตีกับคุณเมธัส เจ้าของร้านอาหารอีกแล้ว
"ไง พี่ธาม กลับกับผมอีกเปล่า วันนี้ฝนไม่น่าตกนะ"
เจ้าของชื่อละสายตาจากโทรศัพท์ มองหน้าผมครู่หนึ่งแล้วเมินหนี หยิบหลุยส์วิคตองค์ใบใหญ่ขึ้นสะพายพาดบ่า "โอ๊ะ โชคดีจังนะครับที่เมื่อวานไม่ได้เอาใบนี้มา ห้ามโดนน้ำใช่ไหม"
"ก็เอาใส่เสื้อผ้ามาคืนคุณไงครับถึงต้องพกมาด้วย ขอบคุณที่ชวนแต่เดี๋ยวหม่อนก็มาแล้ว"
"อ้อ อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นผมนั่งเป็นเพื่อนก่อนนะ"
"คุณกลับไปเถอะ"
"ได้ไง" เดินตามไปติดๆ เห็นสีหน้าไม่ชอบใจของอีกฝ่ายแล้วนึกสนุก "เกิดแฟนคุณไม่มารับก็ลำบากแย่เลยสิ"
แกล้งแซวเล่นไม่คิดว่าจะถูกขึงตามองคาดโทษขนาดนี้ "แซค รู้ไหม คุณเป็นผู้ชายที่ดูดีมากเลยนะถ้าไม่ขยับปาก"
"นี่ชมผมหรือเปล่า"
"มองโลกบวกดีครับ"
ผมยิ้มเมื่อถูกมองด้วยหางตา "พี่ธามไม่ชอบผมเหรอ"
"เปล่า"
"ก็นี่ไง ทำท่าแบบนี้ ทำไมเราไม่ผูกมิตรกันไว้ล่ะครับ"
"ถามจริงนะคุณตากล้อง" คราวนี้คู่สนทนาหันมามองเต็มตา ท่าทางเขาเหมือนคุณชายขี้หงุดหงิดมากกว่านายแบบ "คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่"
"ผมเหรอ อยากเป็นเพื่อนพี่ธามไง" ยักคิ้วให้สองทีก่อนเสียงบีบแตรสั้นๆจะดังขึ้น เจ้าของเมอร์เซเดสสีขาวไข่มุกลดกระจกลง คุณเมธัสสวมแว่นตากันแดดสีชา เมื่อเห็นว่ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วยก็ลงมาทักทาย
"คุณแชค"
"แซคครับ"
"อ้อ ใช่ ขอโทษที เสียมารยาทเลย ยังไม่กลับเหรอครับ"
"ใกล้แล้วครับ นั่งคุยเป็นเพื่อนพี่ธาม คุณเมธัสมาไวไปนะครับ ผมยังไม่ทันตีซี้พี่ธามเลย"
"อ้าว ซะงั้น เรียกว่าพี่หม่อนเหมือนไอ้ธามก็ได้นะ"
"กูไม่ได้ให้มันเรียกว่าพี่"
"เฮ้ย อะไร คนทำงานด้วยกันสนิทกันไว้ก็ดีนี่ น้องแซคอย่าไปถือสามันนะ ไอ้เวรนี้มนุษย์สัมพันธ์ไม่ค่อยดี แต่จริงๆมันใจดีนะ"
"มาช้าแล้วยังจะพูดมากอีก กูไปรอบนรถนะ ร้อน"
นิธานล้วงมือเข้ากระเป๋า เดินเฉียดไหล่ชนผมเพื่อกลับไปที่รถ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกต แต่พอยืนใกล้ๆ กันถึงได้รู้ว่าพี่หม่อนตัวเล็กกว่าพี่ธามค่อนข้างเยอะ และแน่นอนว่าเล็กกว่าผมด้วย ถ้ายืนเทียบๆ กัน ผมกับพี่ธามส่วนสูงใกล้เคียงมาก ผมหนากว่า บวมเบียร์ ไม่ค่อยออกกำลังกายด้วย ทำไงได้
"เกเรหน่อยนะหมอนั่น"
คู่สนทนาหัวเราะแห้ง เห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปาก คุณเมธัสหน้าเหมือนคุณสมพิศ ผู้เป็นมารดา ดูแล้วเจียดไปทางผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย "เพิ่งได้มีโอกาสเจอใกล้ๆ พี่หม่อนหน้าเหมือนคุณหญิงมากนะครับ"
"ใครๆ ก็บอกน่ะ แล้วแซคกลับยังไง"
"ผมแว้นมา" บุ้ยปากไปทางที่รถจอด พี่หม่อนพยักหน้ารับรู้ "งั้นเดี๋ยวผมกลับก่อนนะครับ"
"มีธุระอะไรต่อไหม ไปกินข้าวด้วยกันก่อนสิ"
"เป็นเกียรติอย่างสูงเลยครับ แต่ผมว่า..."
"ไปเถอะน่า พรุ่งนี้วันเกิดพี่ ขึ้นรถไปด้วยกันแหละ เดี๋ยวมาส่ง"
ลังเลใจครู่หนึ่งแต่เห็นคนหน้าหงิกในรถก็นึกสนุก เลยตอบตกลงในที่สุด
ร้านอาหารที่พี่หม่อนพามาห่างจากร้านกาแฟของตัวเองประมาณสิบกิโล ถ้ารู้แต่แรกผมขี่มอ’ไซค์มาน่าจะสะดวกกว่า ขากลับไม่ต้องไปรอรถติดกว่าจะวนเข้าไปในร้าน แต่เห็นตุ๊กตาหน้ารถคุณเมธัสหน้างอตลอดทางก็เป็นเรื่องที่ชี้ชวนให้ผมคิดว่าติดเมอร์เซเดสคันโก้มาก็ไม่เลว
“ไม่เอาน่า ธาม ยิ้มหน่อยไม่ได้หรือไง”
พี่หม่อนกระเซ้าเมื่อเรามาถึงโต๊ะที่จองไว้ ร้านที่ว่าอยู่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง มองเห็นวิวทางด่วนและรับลมโชย บรรยากาศโรแมนติก มีดนตรีสดเล่นคลอ อาหารถูกสั่งเตรียมไว้ก่อนแล้ว เพิ่มเติมอีกนิดหน่อยเมื่อมีผมมาด้วยแต่ไม่นานก็พร้อมเสิร์ฟ นิธานยังนั่งหน้านิ่ง ไม่หือไม่อือเหมือนเก่า
“พรุ่งนี้วันเกิดกูนะเว้ย”
“มึงควรจะมากับกูแค่สองคน”
“เอาอีกแล้ว” คุณหม่อนดูเป็นคนใจเย็นกว่าที่คิด เขาหัวเราะ แต่ไม่ให้ความสนใจเพื่อนสนิท “อย่าคิดมากนะแซค พี่อยากให้เรามา”
“ผมไม่ได้คิดอะไร”/“อย่างมันจะไปคิดอะไร”
สองประโยคดังพร้อมกัน หนึ่งเป็นของผมแน่ละ ส่วนอีกหนึ่งก็ไม่ต้องสงสัย คนหน้าบูดหน้าบึ้งฝั่งตรงข้ามไง จะใครล่ะ “พรุ่งนี้ติดเลี้ยงที่บ้านน่ะ วันนี้เลยนัดกินกับธามก่อน ทุกปีก็แบบนี้แหละ”
รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยเหมือนเป็นส่วนเกิน บางทีความสัมพันธ์ของสองคนนี้ก็ชวนให้คิดแปลกๆ ติดตรงที่พี่ธามก็ไม่ได้ดูใส่ใจพี่หม่อนนัก พี่หม่อนเองก็ด้วย ถ้ากิ๊กกันอยู่ก็ไม่น่าลากผมมา จะบอกว่าเป็นคู่รักฮาร์ดคอร์ ยั่วให้หึงแล้วขึ้นคร่อมก็ดูไม่ใช่
“ลองทานนี่ดู” พี่หม่อนตักให้ คนข้างๆ จ้องตาเขม็ง ผมรับยำแซลม่อนมาทานต่อ เนื้อนุ่มชุ่มลิ้น อร่อยจนต้องพยักหน้าเห็นด้วย คนยื่นให้ยิ้มตาปิด ขณะที่นิธานถอนหายใจอย่างไม่ถูกใจนัก ผมเหลือบมองทั้งสองคน ไม่รู้ว่าพี่หม่อนรู้ตัวไหม แต่ทุกครั้งที่เจ้าตัวพยายามทำอะไรให้ผมคนข้างๆ จะยิ่งทำสีหน้าเบื่อหน่ายมากเป็นสองเท่า
“จริงๆ ร้านนั่นเป็นของธามด้วยนะ”เขาพูดขึ้น หลังจากอาหารหมด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่อยู่บนโต๊ะแทนที่ แต่เจ้าของวันเกิดไม่คิดจะแตะ คงเพราะห่วงที่ต้องขับรถด้วยเลยดื่มแต่น้ำอัดลม พี่ธามยกค็อกเทลขึ้นจิบ ทอดสายตามองออกไปไกล หาจุดโฟกัสไม่ได้
“หุ้นกันเหรอครับ”
“ใช่ แต่ธามมันไม่อยากให้คนรู้มากน่ะ” พี่หม่อนขยิบตาใบ้ คนถูกพูดถึงเท้าแขนกับระเบียง ราวกับหลุดไปอีกโลก ไม่ยอมกลับเข้าร่วมบทสนทนาโดยง่าย นั่นอาจเป็นวิธีการต่อต้านอย่างหนึ่งของคนอายุ 30 ไม่สิ นั่นแหละ เพราะถ้าเป็นผม โดนเพื่อนสนิทจงใจกลั่นแกล้งแบบนี้คงหนีกลับบ้านไปแล้ว แต่เมธัสไม่สน เขายังละเลียดกินอาหารและแบ่งปันให้ผมด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ผิดกับคนข้างๆ โดยสิ้นเชิง
“เป็นคนดังนี่นะครับ แต่จะว่าไปพี่หม่อนคนก็รู้จักเยอะเหมือนกันนะ”
“ไม่เหมือนกัน พวกไฮโซไฮซ้อในแวดวงมิตรสหายของฉันคงไม่มีใครอยากมานั่งเฝ้าที่ร้านเพื่อเจอฉันหรอก แต่แฟนคลับธามน่ะไม่แน่”
“ไม่ชอบให้คนมาวุ่นวายสินะครับ”
“ก็อย่างที่เห็น”
“นิสัยดูไม่น่าทำงานวงการบันเทิงได้เลย” ผมหัวเราะ คู่สนทนาก็เช่นกัน เขาทำงานได้ดี นั่นไม่เกี่ยง แต่การที่ไม่ชอบมีแฟนคลับเป็นของตัวเองนั่นมันใช่คุณสมบัติของดาราเสียที่ไหน
“นอกจากหน้ากับหุ่นก็ไม่มีอะไรดีแล้วล่ะ” มีคนนินทาเพื่อนระยะเผาขน แต่เจ้าของขนก็ไม่สะทกสะท้าน ผมยกเบียร์ขึ้นดื่ม บรรยากาศที่นี่ดีจริงๆ ดนตรีเพราะ เบียร์หอม คนก็น่ามอง
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เจ้าของวันเกิดกระแอมไอเมื่อผมเผลอจ้องหน้าพี่ธามจนเสียมารยาทนั่นแหละ
“ชอบเหรอ” ผมหัวเราะ ไม่ได้ตอบอะไร จะพูดยังไงดีล่ะ ไม่เคยลองกับผู้ชายเหมือนกัน ถามว่าชอบหรือเปล่าเลยตอบไม่ได้ ผู้ชายเป็นเพศที่อยากรู้อยากลอง ตอนมัธยมชายล้วนเพื่อนผมก็มีอะไรกันในโรงเรียนบ่อยๆ จบมาก็แต่งงานมีครอบครัวถมเถไป “จีบยากนะ แต่ถ้าชอบจะช่วย”
“โธ่ พี่หม่อน” ถูกพูดถึงขนาดนี้เจ้าตัวยังนิ่งเฉยอยู่ได้ เหม่อไปโลกไหนแล้วไม่รู้ “อย่าเลยครับเสียงานเปล่าๆ”
“ลองก็ไม่เสียหายนี่ ฉันน่ะ อยากหาแฟนให้มันเป็นตัวเป็นตนจะแย่ จะได้ไม่ต้องมีข่าวลือว่าเป็นคู่ขากันอีก” ประโยคหลังกลายเป็นกระซิบกระซาบ ผมมองเสี้ยวหน้าของนายแบบดัง สักพักพี่หม่อนก็ลุกปลีกตัวออกให้ผมนั่งอยู่กับเพื่อนตัวเองเพียงลำพัง นิธานเพิ่งรู้สึกตัวหลังจากเพื่อนหายไปครู่หนึ่ง หันหน้ากลับมาหาผมที่กำลังจ้องตาหวานแล้วทำปากคว่ำเข้าไปใหญ่
“หม่อนล่ะ”
“เข้าห้องน้ำครับ”
“มองอะไร”
“หาเรื่องผมอีกแล้ว” หัวเราะพลางยกเบียร์ขึ้นมาจิบ ถามว่าชอบหรือเปล่า ไม่รู้สิ ผมไม่เคยนอนกับผู้ชาย ไม่แม้กระทั่งอยากรู้อยากลองในวัยเด็ก แต่เพราะเป็นนิธานความกระตือรือร้นเลย แต่ถ้าถามว่าสนใจไหมก็สนใจ สนใจมากทีเดียว นางแบบหยิ่งผมก็เจอมาเยอะ แต่นี่ไม่ถึงกับหยิ่ง ไม่ใช่ไม่หือไม่อือไปเสียทุกอย่าง แต่คล้ายพยายามสร้างเกราะกำบังตัวเองออกจากคนภายนอก จะว่าไปนอกจากเมธัสแล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านิธานจะสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ ไม่แปลกเลยที่จะมีข่าวลือแปลกๆ อย่างที่พี่หม่อนว่า
“พี่ธามไม่มีแฟนแน่เลยอะ”
“แล้ว?”
“เสียดายของน่ะครับ” ยักคิ้วให้ แต่อีกฝ่ายยังเมินเฉย ราวกับเป็นคนมีสองอารมณ์ หนึ่งคือนิ่ง อีกหนึ่งคืออารมณ์บูด “ทั้งๆ ที่น่าจะมีคนชอบเยอะนะครับ อายุเท่านี้แล้ว ไม่คิดจะมองหาใครไว้คู่ใจสักคนสองคนเหรอ”
เขาจิบเครื่องดื่มในมือ มองผมกลับอย่างพิจารณา เจอสายตาแบบนี้เข้าก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ไม่อยากยอมรับว่าเขิน แต่แม่ง ผมเขินฉิบหาย
“นี่สนใจจะจีบฉันอยู่หรือเปล่า”
สรรพนามเริ่มเปลี่ยน คล้ายกับผมเข้าไปใกล้อีกระดับ ยกมือขึ้นเกาหูแก้เก้อ โคลงหัวไปมา “ที่จริงผมมีกฎของตัวเองหนึ่งข้อคือไม่ยุ่งกับลูกค้า”
“แต่ครั้งนี้?”
“พี่ธามมม” อดไม่ได้ที่จะลากเสียงยาว ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายถูกต้อนกลับ เกิดมา 25 ปี เป็นฝ่ายวิ่งไล่ตลอด ไม่รู้สิ ตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังถูกอีกฝ่ายดักทางได้ยังไงอย่างงั้น “โอเค ผมสนใจพี่”
“ก็แค่นั้น”
“อ้าว ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอครับ”
“จำเป็นด้วยหรือไง” ประโยคเย็นชาสุดๆ เขาทอดสายตาออกไปด้านนอกทั้งๆ ที่เราคุยกันอยู่ โอเค เขาไม่น่าจะอยากรักษามารยาทกับผมเท่าไหร่ เรื่องนั้นพอเข้าใจได้ "สุดท้ายก็เหมือนเดิม"
“ไม่หวั่นไหวสักนิดเลยเหรอคุณ”
ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม ไม่มีความยี่หระ มีความถือดีอยู่ในนั้น ผมใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม อาจเพราะมีความเป็นผู้ชายเหมือนกันเลยเปิดอกพูดกันตรงๆ แบบนี้ ผมสนใจก็บอกสนใจ อีกฝ่ายชอบผู้ชายด้วยกันหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่แคร์ทำไม มันก็แค่เซ็กซ์ที่ผมต้องการ ความรู้สึกอะไรนั่นช่างมันเถอะ ไร้สาระ
“พี่ธามเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่า”
ตาคมปรายกลับมามองเพียงเสี้ยววินาทีก่อนเมินกลับไปใหม่ ผมไม่ได้คำตอบ แน่ล่ะ คำถามอาจจะโจ่งแจ้งไปนิด แต่ผมอยากรู้ว่าถ้าลองชวนขึ้นเตียงตัวเองจะมีโอกาสมากแค่ไหน
“เพิ่งรู้ว่านายเป็นเสือไบ”
“ผมก็อยากจะลองเป็นเสือไบกับพี่นี่แหละ”
เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนอธิบายความเป็นตัวเองเพิ่มเติม “อย่ายุ่งกับฉันดีกว่า”
“เป็นคำโฆษณาที่น่าตื่นเต้นมากเลยครับ”
“นิสัยชอบเอาชนะล่ะสิ”
“ชอบล่าแต้ม” ผมยักยิ้ม ยังไม่ทันชวนคุยเพิ่มพี่หม่อนก็กลับมาพร้อมใบเสร็จ
“เช็คบิลเลยนะ ป๊าตามว่ะ”
“เออ” เพื่อนสนิทยกดื่มจนหมดแก้วแล้วยื่นบัตรเครดิตให้ โอเค วันนี้พี่ธามเลี้ยงข้าวผม ไม่ใช่เจ้าของวันเกิดที่ชวนมา รู้สึกแปลกๆ แต่ช่างมันเถอะ ได้ทำความรู้จักเพิ่มอีกนิดก็ดีแล้ว
“แซคหน้าแดงน่ะ”
“ครับ คงเพราะเบียร์”
พี่หม่อนชะโงกตัวมาวางมือบนหน้าผากแล้วขมวดคิ้วฉับ “ไม่สบายหรือเปล่า”
“อ้อ” นึกขึ้นได้ว่ามีไข้ตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ทำงานจนลืมป่วยไปเลย “นิดหน่อยครับ เมื่อวานโดนฝน”
“เฮ้ย งั้นพี่ไม่ปล่อยให้กลับคนเดียวนะ เดี๋ยวไปส่งที่บ้าน พรุ่งนี้ให้ไอ้ธามไปรับ เมื่อตอนบ่ายน้องหนูมึงมาส่งแล้วนี่ ไอ้นี่ก็แปลกนะแซค เอารถเข้าอู่ เขามีรถสำรองให้ใช้ก็ไม่ใช้ ใช้เพื่อนมารับมาส่งอยู่นั่น"
“อะไรมึง” คนโดนโยนภาระค้อนขวัก ผมถึงกับหลุดขำ
“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมกลับเองได้”
“ไม่ได้ เมื่อวานก็โดนฝนเพราะไปส่งไอ้ธามมันไม่ใช่เหรอ อย่าดื้อน่าแซค เดี๋ยวงานพี่ไม่เสร็จ”
เอาเรื่องงานมาอ้างแบบนี้จะปฏิเสธยังไงได้ ผมจำยอม ส่วนคนข้างๆ ชักสีหน้าไม่ชอบใจอีกแล้ว “รู้สึกจะห่วงมันเกินนายจ้างนะ”
คุณหม่อนหัวเราะ เอาข้อศอกกระทุ้งเพื่อนสนิท “อย่าไปฟังมันเลย ปะ รีบกลับเถอะ เราจะได้พักผ่อน”
บุญเหลือทำท่าตื่นเต้นดีใจเมื่อแสงไฟจากเมอร์เซเดสสาดเข้ารั้วบ้าน ผมลงจากรถ คุณหม่อนก็เช่นกัน รถจอดเทียบหน้ารั้วบ้านเช่าหลังติดกันที่ว่างเปล่า โกลเด้นท์ผสมหมุนตัววนไป ดีใจเป็นสองเท่าตัวเมื่อเห็นว่าใครลงมา
“ใจเย็น ใจเย็นมึง”
พูดกับหมาขณะไขประตูรั้ว ไฟจากรถยังส่องรำไรให้เห็นลูกกุญแจที่เสียบถูกบ้างผิดบ้างเพราะหมาเอาแต่วิ่งกระโจนใส่ คนมาส่งหัวเราะชอบใจ ทำเสียงจิ๊จ๊ะล่นกับบุญเหลือไปด้วย
“ไอ้ธามมันชอบหมา เดี๋ยวไปตามมันลงมาดีกว่า”
“ได้เลยครับ ถ้าไม่รีบอยู่เล่นด้วยกันก่อนก็ได้นะ” เชิญด้วยความเต็มใจ บ้านรกหน่อย แต่ไม่เป็นไรผมไม่ถือ ไขกุญแจได้คนบนรถเมื่อครู่ก็ลงมาพอดี ผมจับปลอกคอบุญเหลือไว้ไม่ให้มันวิ่งกระโจนเข้าหาคนแปลกหน้า เป็นมิตรเกินพอดีแบบนี้ตลอด
“เข้ามาก่อนเลยครับ เดี๋ยวหลุดไปนอกบ้าน”
“ปกติไม่ให้มันออกเหรอ”
“พาไปวิ่งตอนเช้าๆ น่ะครับ แต่ไม่ให้ออกไปเที่ยวเล่นเอง บุญเหลือมันซน เดี๋ยวไปทำต้นไม้บ้านอื่นเสียหาย ของผมนี่ยังเละเลย พี่หม่อนผมรบกวนปิดประตูด้วยนะครับ”
คุณเมธัสทำตามเก้ๆ กังๆ เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีผมก็ปล่อยสุนัขตัวเองวิ่งไปฉอเลาะคนมาใหม่ ไขประตูบ้านเปิดไฟข้างหน้าจนสว่างโร่ เหลือบมองผ่านทางหน้าต่างเห็นแววตาสุกใสของใครบางคนแล้วก็ยิ้มไปด้วย
“ชื่ออะไร”
“บุญเหลือครับ” ตอบกลับ คุณหม่อนละสายตาจากบุญเหลือไปที่ชั้นไม้วางประดับกระบองเพชรที่เลี้ยงไว้กับบรรดาต้นไม้แขวน ปลูกลงดินไม่ได้ครับ ไอ้เหลือตะกุยตายมาหลายต้นแล้ว
“แซคชอบปลูกต้นไม้เหรอ”
“ว่างน่ะครับ มีอยู่วันหนึ่งไม่รู้จะทำอะไรเลยออกไปเดินจตุจักร รู้ตัวอีกทีก็ต้องหาที่วาง พวกชั้นไม้นี่ต่อเองทั้งนั้น พี่หม่อนเอาไปเลี้ยงสักต้นไหม ผมแบ่งให้”
“เฮ้ย ไม่เป็นไรๆ พี่มือร้อนน่ะ ปลูกอะไรก็ตายหมด” หัวเราะกลั้วคำตอบ หลิ่วตาให้มองคนที่นั่งยองๆ ลูบหัวบุญเหลือกับหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยวแล้วขยิบตาให้
“เหลือมันเป็นหมาข้างบ้านน่ะครับ เด็กนักศึกษาเอามันมาเลี้ยง พอเลิกกันก็ทิ้งไว้ ผมกับน้องที่ทำงานปีนรั้วบ้านช่วยกันพาออกมา สุดท้ายก็ต้องรับเลี้ยงต่อ”
“บุญยังเหลือจริงๆ สินะ”
“น่ารักใช่ไหมล่ะครับ เป็นพันธุ์ผสมแท้ๆ”
“อืม” เขาว่าเผลอหลุดยิ้มเมื่อไอ้หมาจอมฉอเลาะยกเท้าขึ้นสวัสดี
“มาเล่นบ่อยๆ ก็ได้นะพี่"
รอยยิ้มสดใสเปลี่ยนไปเป็นยิ้มยวน แฝงความเจ้าเล่ห์นิดๆ เขาเงยหน้าขึ้น สบตาผมจังๆแล้วหัวเราะหึ
หมายความว่าไงฟระ?
“โอเค งั้นไว้ธามค่อยมาเล่นกับไอ้เหลือวันหลังดีกว่า พี่ว่าแซคควรจะพักผ่อนนะ พรุ่งนี้เก้าโมงธามมารับน้องด้วยแล้วกัน โอเคนะ”
คนได้รับคำสั่งทำหน้าลำบากใจจนเพื่อนสนิทต้องเอ่ยซ้ำ “จะได้แวะมาหาบุญเหลือไง”
ท้ายที่สุด พี่ธามก็พยักหน้าตกลง
เสียงเครื่องยนต์ห่างออกไปแล้ว ผมยืนรอหน้ารั้วบ้านจนแสงจากไฟท้ายหายลับไปที่หัวโค้งค่อยกลับเข้าบ้าน บุญเหลือครางหงิงในลำคอ นอกจากผมกับไอ้เดี่ยวก็ไม่ค่อยมีใครเล่นด้วยสักเท่าไหร่ โอเค นานๆ ทีพี่จิ๊บกับเจเรมี่มาบ้าง แต่เจเรมี่ไม่ได้ชอบหมา หมายถึงไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ชอบ ประมาณว่าถ้าไอ้เหลือมาอ้อนก็ลูบหัวหนึ่งทีแล้วเมินเฉยตามนิสัย ส่วนพี่จิ๊บก็คล้ายกัน เล่นบ้าง แต่ไม่สนใจ ไม่ใช่พวกที่เห็นแล้วจะกระโจนเข้าใส่หมาเหมือนที่พี่ธามทำ
ผมเดินกลับเข้าบ้าน ล็อกกุญแจ รื้อยาในกล่องเก็บยาสามัญประจำบ้านมากินแล้วค่อยเปิดคอมพิวเตอร์ ถ่ายโอนข้อมูลจากกล้องลงเครื่อง หันมาเล่นกับไอ้เหลือเป็นพัก เสียงไลน์ดังขัดจังหวะ เวลาแบบนี้จะมีสักกี่คนเชียวที่ทักมา
Jib: ได้ข่าวว่าป่วย?
Zac: ข่าวไวมากพี่
Jib: ไวพอๆ กับที่มีคนมาบอกฉันว่าแกไปก้อร่อก้อติกธามนั่นแหละ ยังไง
Zac: ไปกันใหญ่แล้ว เมื่อวานคุณหม่อนไม่มา ผมเลยไปส่ง แล้วเปียกฝนเลยยืมชุด แค่นั้น
Jib: แค่นั้น?
Zac: จะให้มีอะไรอีกล่ะคร้าบ
Jib: อย่าให้ฉันรู้ทีหลังนะ ตากล้องดีๆ เสียไปหลายคนแล้วเพราะไปยุ่งกับแบบ
Zac: คนนี้ผู้ชายปะวะเจ๊
Jib: ก็เพราะเป็นผู้ชายน่ะสิถึงกลัวแกมาค้นพบตัวเองอะไรเอาตอนนี้
Jib: ปกติเคยไปรับไปส่งนางแบบด้วยเหรอ ไม่เคยได้ยิน
Zac: ขืนทำก็หน้าหม้อเลยดิ
Zac: ไม่มีอะไรจริงๆ พี่จิ๊บ
Jib: ไม่มีก็ดี ทำงานมานานก็รู้ใช่ไหมว่าพวกนี้เขามีคนจองตัวอยู่แล้ว อย่าไปยุ่งกับของคนอื่น พี่ไม่อยากให้แกเสียอนาคตเพราะเรื่องพรรค์นี้
ผมอ่านข้อความนั้นค้าง เป็นช่วงจังหวะที่นึกถึงพี่หม่อน แต่ก็นึกถึงประโยคที่ชวนฝันว่าจะช่วยจีบอีกฝ่าย ดูสนิทกันขนาดนั้นถ้าพี่ธามมีเสี่ยหรือซ้อเลี้ยงเหมือนคนในวงการคนอื่นๆ ก็น่าจะเตือนกันสักหน่อยนี่หว่า เปิดทางให้ขนาดนั้นไม่น่ามีมั้ง
Jib: เงียบ
Zac: ครับๆ รับทราบครับท่านหัวหน้า
รับปากไว้ก่อน อนาคตเป็นไงก็อีกเรื่อง ใช่ว่าจะเข้าไปวอแวแล้วพี่ธามอยากเล่นด้วยเสียเมื่อไหร่ อะไรยากกับชีวิตผมก็บายเหมือนกัน โอเค นั่นดีกรีนายแบบ แต่ยังไงก็เป็นนายอยู่ดี ยอมรับแบบชั่วๆ เลยว่าอยากลอง แต่ต้องลองกับคนนี้เท่านั้น ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยจะรักษามาตรฐานชายไทยที่ฟันมากสุดก็กะเทยในผับไว้ได้ก็แล้วกัน
Jib: งานเป็นไง
Zac: กำลังจะเช็กรูปเลยพี่ แต่ดูคร่าวๆ ที่สตูแล้วโอเคนะ ไม่ติดว่าลงนิตยสารจบหลังกล้องได้เยอะเลย
Jib: ก็ดี กินยานอนไปก่อนก็ได้ ยังพอมีเวลา
Zac: ใจดีจัง
Jib: กลัวแกตายก่อนงานเสร็จ
Jib: ฉันไปนอนละ
Zac: ฝันดีพี่ ไว้เจอกัน
จบบทสนทนาไปแค่นั้น นั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วกดภาพถ่ายขึ้นมาดูทีละภาพ ใบหน้าขาว รูปร่างดี เป็นหนึ่งในเอเชียผิวขาวเหลืองไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับ สมัยนี้เน้นคนผิวแทนมากกว่า แต่ก็อีกแหละครับ หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง มองมุมไหนก็หล่อ ไม่เหมือนนายแบบคนก่อนๆ ที่เคยถ่ายให้ เลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆ เปิดโปรแกรมแต่งภาพขึ้นมาจัดการกับงานตัวเอง งานที่นี่เป็น one stop service all by myself ถ่ายเอง เลือกรูปเอง แต่งรูปเอง มีอะไรค่อยส่งต่อไปให้พี่จิ๊บแสกนอีกรอบ ถ้าไม่ผ่านค่อยมานั่งดูด้วยกัน ชอบตรงนี้ เพราะดูเป็นงานของเราเต็มที่ ไม่กีดกันทางความคิด แต่ต้องตรงกับบรีฟก็เท่านั้น ในที่นี้หมายถึงถ้าเจ้าของงานไม่เปลี่ยนใจภายหลัง
ไล่แต่งรูปมาเรื่อยๆ กระทั่งหยุดที่ภาพหนึ่ง ไม่ตรงคอนเซปต์ แต่เป็นภาพที่ดี ผมเท้าคาง มองแน่นิ่งเหมือนโดนมนต์สะกด เหตุผลที่ใครคนหนึ่งชอบดอกไม้ ชอบท้องฟ้า ชอบทะเลคืออะไรนะ ผมไม่รู้หรอก หมายถึงเหตุผลจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่ปั้นแต่งมาสร้างคุณค่าให้มัน
ชอบก็คือชอบ แค่นั้น ถูกไหม
ผมยิ้มค้าง เหมือนคนตกในภวังค์
นานเท่าไหร่แล้วที่หัวใจไม่ได้เต้นแรง
TBC
ตอนที่ 3 มาแล้วค่ะ รอบนี้คุณหม่อนมีบทบาทเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย ฮรี่ กระซิบบอกนิดนึง ตัวละครเรื่องนี้เปิดตัวใหม่ทุกคนเลยค่ะ ไม่ได้โยงมาจากเรื่องไหนเน่อ ให้เดากันเล่นๆว่าใครรุกใครรับ ใครคุมใครตาม อิอิ ค่อนข้างท้าทายค่ะ ไม่ค่อยได้เขียนแนวนี้
ตอนนี้มีพล็อตให้เจเรมี่ด้วย แต่ว่าเพิ่งเปิดอีกเรื่องไปกับ afterday (หลังม่าน | behind the scene) กับเรื่องนี้ก็ยังเขียนไม่จบ ต้องหักห้ามใจตัวเองขั้นสูงมากกกก
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ ในส่วนของคำผิดที่ท้วงมาแก้แล้วค่ะ ขอบคุณที่ช่วยเตือนน้า
เจอกันพุธหน้าค่ะ
รักกก