แวะมาแปะตอนที่ 4 ค่ะ ^^
หนุ่มหน้าใหม่มาอีกรายแล้วจ้ะ เชิญเลือกสรรกันได้เลยค่ะ หุๆ ------------------------------------------------------
Miracle Café /4
พอลงมาชั้นล่างทั้งสองก็เห็นชานนออกมาจากห้องพอดี และพอพูดคุยสอบถามกันเรื่องอาหารเช้า ผู้ดูแลประจำบ้านพัก ก็บอกให้ทั้งคู่ไปนั่งรอหรือเดินเล่นตามอัธยาศัย แล้วเขาจะทำอาหารเช้าให้ทานเอง
“เซอร์วิสดีเกินไปจริง ๆ ไม่รู้ว่าพอถึงวันเปิดร้าน พวกเราต้องทำอะไรกันบ้างนะ นายคิดว่ายังไงล่ะโย”
กวินหันมาถามคนที่นั่งรอข้าง ๆ เขา วาโยยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบไปตามตรง
“ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าเขาให้ทำอะไรก็คงต้องทำนั่นล่ะ ไหน ๆ ก็เซ็นสัญญามาแล้วนี่ แถมฉันยัง...”
วาโยหยุดชะงักคำพูดแล้วมีสีหน้าลังเลว่าจะบอกไปดีไหม
“ยังอะไร”
กวินถามสวนกลับทันที แต่พอเห็นสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายเขาก็รีบบอกตามมา
“ง่า...ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอโทษนะที่ฉันเสียมารยาทน่ะ”
วาโยพอเห็นอีกฝ่ายขอโทษเขาก็รู้สึกไม่ดี แล้วจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กวินฟัง พอฟังแล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น
“ลำบากแย่เลยนะนาย...หักไปเสียเดือนละแปดสิบเปอร์เซ็นต์นี่แทบจะไม่เหลือกินเลย...เอ แต่เอาจริง ๆ แล้วกินฟรี อยู่ฟรีแบบนี้ ก็คงพออยู่ได้ล่ะ ... อ้อ! ถ้าไม่โดนหักเงินเดือนซ้ำเพราะทำผิดกฎร้านล่ะก็นะ”
ท้ายประโยคกวินนึกถึงบทลงโทษในข้อสัญญา ที่จะใช้การหักเงินจากเงินเดือนเมื่อทำผิดพลาด ซึ่งก็ลงรายละเอียดไว้พอควร จนเขาคิดว่าถ้าทำผิดมันเสียทุกข้อที่มีระบุไว้ คงได้ทำงานฟรีแทนในแต่ละเดือนเป็นแน่
“ยังไงฉันก็จะพยายามนั่นล่ะ อีกอย่างก็เพื่อต้องการตอบแทนคุณปวีร์เขาด้วย เพราะนอกจากเขาจะไม่เร่งรัดให้ฉันใช้หนี้แล้ว เขายังหางานให้ทำแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นป่านนี้ฉันก็ไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหนมาใช้เขาเลยด้วยซ้ำ”
กวินมองเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของเขาอย่างนึกชื่นชม ก่อนจะชะงักเมื่อได้กลิ่นหอม ๆ โชยเข้ามาใกล้ตัว
“เสร็จแล้วครับอาหารเช้าง่าย ๆ พอทานได้ไหมครับ หรืออยากทานอะไรเพิ่มเติมก็ระบุได้นะครับ เดี๋ยวผมทำเพิ่มให้”
ผู้ดูแลบ้านพักมาพร้อมกับสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาสองจาน ที่ใส่ทั้งเส้นเนื้อและผักมาเต็มที่ ทั้งสองคนซึ่งกำลังหิวกลืนน้ำลายลงคอ พวกเขากล่าวขอบคุณอีกฝ่าย และพอได้ชิมคำแรก กวินก็โพล่งขึ้นทันที
“อร่อยชะมัด! อร่อยจริง ๆ นะครับ ฝีมือคุณนี่เป็นพ่อครัวได้เลยนะครับเนี่ย!”
ชานนยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวขอบคุณสำหรับคำชม ส่วนทางด้านวาโยเองก็รู้สึกไม่แตกต่างกัน
“อร่อยดีครับ เผ็ดกำลังดีไม่จัดจ้านไปนัก เนื้อนี่ก็นุ่มเคี้ยวง่าย ส่วนผักก็หวานกรอบอร่อย เข้ากันกับเส้นมากเลยครับ”
วาโยเอ่ยชมตามมา ทำให้คนฟังหันไปมองแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ ดีใจนะครับที่ถูกปาก พอดีผมตั้งใจจะไปซื้อกับข้าวมาตุนไว้ในตอนสาย ๆ ตอนเช้านี้ก็เลยทำที่พอมีไปก่อนน่ะครับ”
ทั้งสองคนรู้สึกทึ่งในตัวของผู้ดูแลบ้านพักยิ่งนัก และพอรู้ว่าวัตถุดิบมีจำกัด ก็ยิ่งชื่นชมฝีมือทำอาหารของชานนเข้าไปอีก
“สำหรับอาหารของที่นี่ ถ้าเป็นวันทำงาน พนักงานทุกคนจะทานร่วมกันที่บ้านพักในตอนเช้า มื้อกลางวันจะทานที่ร้านในช่วงพักของแต่ละคน และหลังจากร้านปิด ก็จะทานมื้อเย็นพร้อมกันที่ร้านเลยน่ะครับ”
ชานนอธิบายให้ทั้งคู่ฟังในระหว่างที่ทั้งสองกำลังทานอาหารกันอยู่ กวินและวาโยพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ แล้วก็ต้องอึ้งตามมาเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดต่อ
“สำหรับคู่มือพนักงานของร้าน ทางคุณปวีร์กำลังสั่งพิมพ์อยู่ และคาดว่าน่าจะพิมพ์เสร็จก่อนร้านเปิดสักสองสามวัน ในนั้นจะมีกฎ กติกา และระเบียบต่าง ๆ ในการทำงาน ตลอดจนกระทั่งการใช้ชีวิตในบ้านพักหลังนี้อย่างละเอียด รวมไปถึงวิธีการได้โบนัส และบทลงโทษต่าง ๆ เอาไว้ให้ศึกษากันด้วยนะครับ”
กวินและวาโยมองตากันปริบ ๆ แต่ก็ต่างหันไปพยักหน้ารับรู้กับอีกฝ่ายตามเดิม และเป็นกวินที่พูดขึ้นมาก่อน
“เข้าท่าดีเหมือนกันนะครับ เหมือนเป็นบทสรุปประกอบการเล่นเกมยังไงยังงั้นเลย”
ชานนมองคนพูดยิ้ม ๆ แล้วทำท่านึก
“เกมหรือครับ...จะว่าไป ‘ไอ้นั่น’ มันก็คล้ายกับการเล่นเกมจริง ๆ ด้วยนั่นล่ะครับ”
“ไอ้นั่น?”
ทั้งวาโยและกวินย้อนถามแทบจะพร้อมกัน ชานนหันมายิ้มน้อย ๆ แล้วบอกกับทั้งคู่
“ไว้พอถึงวันทำงานก็รู้เองล่ะครับ...”
คำตอบที่ทำเอาคนฟังต้องทำตาปริบ ๆ อีกรอบ แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีท่าทางจะบอกอะไรเพิ่มเติม ทั้งคู่ก็ต้องยอมแพ้ และต่างก็อาสาล้างจานชามเก็บให้ โดยไม่สนคำพูดของชานนที่ว่านั่นมันเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลบ้านพัก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นการตอบแทนสำหรับมื้อเช้าที่แสนอร่อย ถ้าคุณกังวลล่ะก็ พวกผมขอค่าตอบแทนเป็นอาหารกลางวัน แบบเต็มฝีมือแทนก็แล้วกัน”
กวินบอกกับชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มกว้างจริงใจ เช่นเดียวกับวาโยที่มีรอยยิ้มให้เขาด้วยเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
ชานนตอบรับคำยิ้ม ๆ รู้สึกชื่นชอบในตัวสมาชิกทั้งสองมากยิ่งขึ้น ไม่เสียแรงที่ปวีร์นั้นคัดมาเองกับมือของอีกฝ่าย
“งั้นผมขอตัวไปซื้อกับข้าวสำหรับวันนี้ก่อนนะครับ เพราะสมาชิกที่เหลืออีกสามคนโทรมาบอกว่า จะย้ายเข้ามาในวันนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมาช่วงไหน ยังไงถ้าผมไม่อยู่ก็ฝากพวกคุณช่วยดูด้วยนะครับ...”
ชานนบอกกับทั้งสองพร้อมกับฝากกุญแจห้องเบอร์หนึ่งและสองไว้ที่ทั้งคู่ ซึ่งกวินและวาโยก็รับมาด้วยความเต็มใจ จากนั้นพอชานนออกไปซื้อกับข้าวแล้ว ทั้งสองคนจึงเลือกมานั่งเล่นที่ชุดโต๊ะรับแขกด้านนอกบ้านพัก ซึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เพราะยังเป็นเวลาเช้า ลมพัดเย็นสบาย และแดดไม่ค่อยแรงนัก
“เพื่อนร่วมงานอีกสามคนจะเป็นคนยังไงบ้างนะ นายพอจะรู้บ้างไหม”
กวินชวนวาโยคุย ซึ่งอีกฝ่ายก็สั่นศีรษะปฏิเสธ
“ไม่รู้เหมือนกัน ...แต่ก็หวังว่าคงจะทำงานเข้ากันได้ล่ะนะ”
กวินยักไหล่นิด ๆ ส่วนตัวแล้วเขาไม่ค่อยมีปัญหาในการปรับตัวกับคนอื่นอยู่แล้ว ยกเว้นก็เฉพาะประเภทที่เขาไม่ถูกชะตาจริง ๆ แต่คนประเภทนั้นชายหนุ่มก็ไม่ค่อยได้เจอบ่อยเท่าใดนัก
เสียงรถยนต์ที่เข้ามาจอดทำให้ชายหนุ่มทั้งสองซึ่งกำลังคุยกันหันไปมองยังต้นเสียงเป็นตาเดียว พวกเขาเห็นปวีร์เดินนำใครคนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมบางไม่แพ้วาโยเข้ามา แต่อีกฝ่ายนั้นตัวสูงกว่าวาโยเล็กน้อย แถมยังมีรูปหน้าที่สวยมาก ทว่ากลับดูค่อนข้างเย็นชานิ่งเฉย แม้กระทั่งยามที่ปวีร์นำเจ้าตัวมาพบกับพวกเขาก็ตาม
“สวัสดีวาโย กวิน ทั้งสองคนรู้จักทักทายกันดีแล้วสินะ”
ปวีร์เอ่ยถามชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้าเขา กวินและวาโยยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมพยักหน้า เห็นดังนั้นปวีร์จึงยิ้มตอบอย่างพึงพอใจ
“เข้ากันได้ก็ดีแล้ว...อ๊ะ จริงสิ นี่ก็เป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเธอเหมือนกัน เขาชื่อ การิน เป็นหลานชายของฉันเอง ฝากด้วยล่ะ แล้วถ้าหมอนี่อาละวาดอะไรก็จัดการได้ตามสบายเท่าที่บทลงโทษของพนักงานจะเอื้ออำนวยล่ะนะ ไม่ต้องกลัวว่าเป็นหลานฉันแล้วจะต้องดูแลประคบประหงมอะไรนักหรอก”
ปวีร์บอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร่าเริง แต่คนหน้าสวยที่อยู่ใกล้ ๆ กลับมีใบหน้าบึ้งตึงลง จนวาโยที่มองอยู่ลอบกลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยตัดบทเสียก่อน
“แล้วคุณการินอยู่ห้องไหนล่ะครับ เดี๋ยวผมจะได้เอากุญแจห้องให้ เพราะคุณชานนฝากกุญแจไว้ ส่วนตัวคุณชานนเองตอนนี้กำลังออกไปซื้อกับข้าวมาไว้สำหรับมื้อกลางวันและเย็นของวันนี้น่ะครับ”
การินหันมามองวาโยแล้วจ้องดูอีกฝ่ายที่อายุก็น่าจะไล่เลี่ยกับเขา แต่กลับพูดจาสุภาพด้วย แต่เมื่อชายหนุ่มสังเกตดูแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้คิดประจบประแจงเขาอย่างที่เข้าใจ การินจึงคลายใบหน้าบึ้งตึงลงแล้วเอ่ยตอบเรียบ ๆ
“ห้องไหนก็ได้ที่ไม่ต้องมีรูมเมท”
คนฟังชะงักก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ แล้วเหลือบไปมองปวีร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้ดีว่าวาโยคิดอะไรอยู่
“หมอนี่เขาไม่ค่อยชอบเข้าสังคมน่ะ เลยต้องจับมาฝึกงานแบบนี้นั่นล่ะ พ่อแม่เขาฝากเอาไว้ ...ส่วนห้องก็เอาห้องเบอร์ 2 ให้เขาก็ได้ แล้วถ้าอีกสองคนมาก็ให้ห้องเบอร์ 1 ไปแล้วกัน สองคนนั่นไม่ค่อยเรื่องมากเหมือนเด็กคนนี้เท่าไหร่นักหรอก”
วาโยฟังคนที่นินทาหลานซึ่ง ๆ หน้า แล้วกลืนน้ำลายลงคอ พลางเหลือบมองการินที่ดูเหมือนจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ
“อ้อ! อย่าลืมไปขนของที่ท้ายรถของฉันเองด้วยล่ะ แต่ถ้าจะให้ฉันช่วยขนล่ะก็ อย่าลืมจ่ายค่าตอบแทนมาด้วยแล้วกัน”
ปวีร์บอกกับหลานชายที่รับกุญแจห้องมาแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเดินกลับขึ้นไปพักบนห้องเลยเสียอย่างนั้น
“ถ้ายังไงผมช่วยขนให้ก็ได้นะครับ”
วาโยรีบอาสาเพราะเกรงว่าจะเกิดศึกระหว่างญาติด้วยกันเข้าให้เสียก่อน
“แค่ของตัวเองยังไม่มีปัญญาถือ แล้วจะทำงานเสิร์ฟไหวหรือ ดูท่าทางก็บอบบางเสียขนาดนั้น”
น้ำเสียงที่เปรยขึ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ทำให้วาโยหันกลับไปมอง คนพูดไม่ใช่ปวีร์แต่กลับเป็นกวินที่มองไปทางการินด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก
“เฮ้...กวินพูดแบบนั้นไม่ดีนะ”
วาโยเอ่ยเตือนอีกฝ่าย เพราะถึงการินจะไม่ใช่หลานชายของปวีร์ แต่การพูดใส่คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้ มันก็ออกจะเป็นการหาเรื่องกันเกินไป
“ฉันก็แค่พูดความจริง ...เขาจะมาทำงานร่วมกับพวกเราไม่ใช่หรือครับ แล้วถ้าไม่คิดสนใจใครเลย จะทำงานด้วยกันได้ยังไง”
กวินตอบวาโยแล้วหันไปย้อนถามปวีร์ ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไร ตรงกันข้ามกับอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ เพราะจากการที่พูดคุยสัมภาษณ์อีกฝ่ายไปบ้างแล้ว ก็พอทำให้เขาเข้าใจอุปนิสัยของคนตรงหน้าอยู่บ้าง เพราะกวินค่อนข้างจะเป็นคนที่เปิดเผยพอสมควร
“ก็ถูกของเธอ...แล้วเราจะว่ายังไงล่ะริน”
การินเม้มปากน้อย ๆ ด้วยความโกรธ ที่ต้องมาถูกคนไม่รู้จักต่อว่าแบบนี้ ทว่าเขาก็เถียงกลับไปไม่ออก เพราะสิ่งที่กวินพูดมาก็มีส่วนถูก ชายหนุ่มทำได้แค่ตวัดสายตาค้อนใส่แล้วเดินกระแทกเท้าไปถือกระเป๋าเสื้อผ้าหลังรถมาสะพายไหล่ แล้วแบกกล่องที่ใส่ข้าวของอื่น ๆ ที่เหลืออีกหนึ่งกล่องเดินไปอย่างทุลักทุเล เพราะกล่องนั่นค่อนข้างใหญ่ และกระเป๋าก็ใหญ่เทอะทะอยู่มาก
“ผมช่วยดีกว่า...ถือไปคนเดียวแบบนี้ไม่ไหวหรอก”
วาโยรีบเข้าไปช่วยเพราะเกรงว่าการินจะก้าวพลาดกลิ้งตกบันไดเสียก่อน
“ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันถือไหว... ขืนให้นายช่วย เดี๋ยวใครบางคนเขาจะบ่นตามมาได้อีก”
การินบอกเสียงห้วนและไม่ยอมให้วาโยช่วย ทางด้านปวีร์มองหลานชายและอีกคนอย่างสนใจ ส่วนกวินนั้นทำเสียงฮึในลำคอ แล้วเดินไปดึงกล่องในมือของการินมาถือเสียเอง และเพราะรูปร่างและส่วนสูงของชายหนุ่ม จึงทำให้ถือกล่องใบใหญ่นั่นได้อย่างไม่มีปัญหานัก
“นายทำอะไร!”
การินตวาดใส่อย่างหงุดหงิด แต่กวินนั้นสวนย้อนกลับไปในทันที
“ก็ช่วยถือไง ตัวนิดเดียวจะแบกไปทีเดียวยังไงไหว รู้หรอกว่าประชด แต่ทำอะไรให้มันรู้จักลิมิตตัวเองบ้างเถอะ!”
“นาย! หุบปากไปเลยนะ แล้วเอาของฉันคืนมาด้วย!”
การินตวาดด้วยความโมโห แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะโต้เถียงกันไปมากกว่านี้ เสียงหนึ่งก็ตะโกนดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“หยุดเถียงไร้สาระกันได้แล้ว!”
ทั้งสองคนเงียบกริบ แล้วหันมามองที่คนพูดด้วยสายตาอึ้ง ๆ
“ไม่รู้หรอกว่าหมั่นไส้อะไรกัน แต่พวกเราต้องทำงานด้วยกัน แล้วก็พักร่วมบ้านกันนับจากนี้ไป ถ้าไม่พอใจอะไรก็มานั่งคุยกันทีหลังให้รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ไปเก็บของให้เรียบร้อยก่อน มายืนทะเลาะกันตรงบันไดแบบนี้ พลาดพลั้งตกลงไปแล้วบาดเจ็บจะทำยังไง ไม่ใช่แค่ตัวเองต้องลำบาก พ่อแม่พี่น้องและคนอื่นที่ต้องคอยดูแลก็ลำบากด้วยไม่ใช่หรือไง!”
วาโยที่ตวาดออกไปยืดยาวพักหยุดหายใจ แล้วปั้นหน้าบึ้งจ้องทั้งคู่เขม็ง ทางด้านกวินกับการินหลังจากได้สติ ทั้งคู่ต่างก็หันมาสบตา จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ไล่เลี่ยกัน
“โอเค ๆ เลิกทะเลาะกันก็ได้... งั้นเดี๋ยวฉันช่วยถือกล่องนี่ไปส่งที่ห้องนายแล้วกัน”
กวินเอ่ยขึ้นก่อน ส่วนการินนั้นพยักหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณเบา ๆ ทำให้วาโยที่จ้องมองทั้งคู่อยู่ยิ้มออก ส่วนทางด้านปวีร์ที่จับตามองอยู่หลังจากนิ่งอึ้งไปสักพัก พอตั้งสติได้เจ้าตัวก็หันไปลอบหัวเราะอย่างถูกใจ แล้วพึมพำกับตัวเองตามมา
“ดีเยี่ยมกว่าที่คิดเสียอีกแฮะ...อย่างนี้ค่อยคุ้มค่ากับแจกันที่แตกไปหน่อย”
หลังจากเข้ามาในห้อง กวินและวาโยก็พบว่าการตกแต่งของห้องเบอร์สองนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากห้องพวกเขาเท่าใดนัก มีเพียงสีผนังห้องเท่านั้นที่แตกต่างออกไป ห้องของพวกเขาเป็นสีฟ้าอ่อน ส่วนห้องนี้ออกสีเขียวอ่อนสบายตา
“นอนคนเดียวเหงาแย่เลย ถ้าอยากได้เพื่อนคุยไปหาพวกผมที่ห้องเบอร์สามได้ทุกเมื่อนะครับ”
วาโยบอกกับการินพร้อมรอยยิ้มจริงใจไร้การเสแสร้ง ทำให้การินพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ
“อีกแล้วนะโย...อายุอานามหมอนี่ก็คงไม่ต่างจากพวกเรานักหรอก ทำไมนายถึงชอบพูดสุภาพกับคนอื่นนักนะ”
เสียงกวินที่แทรกขัดมาทำให้วาโยสะดุ้ง แต่คราวนี้คำพูดของกวินก็ตรงกับใจของการินพอดี ชายหนุ่มจึงไม่ได้แย้งอะไรออกไป
“ก็คนเพิ่งรู้จักกันจะให้ไปพูดจาสนิทสนมกับเขาได้ยังไง...ถ้าเขาไม่พอใจขึ้นมามันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ...ถ้าเจ้าตัวอนุญาตแล้วก็ไปอย่าง”
วาโยแก้ตัวและพยายามชี้แจงให้เห็นว่าเขานั้นแสดงออกอย่างคนปกติทั่วไป ไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด
“ถ้าอย่างนั้นก็พูดธรรมดาเถอะ ฉันไม่ถือหรอก”
การินเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ทำให้วาโยชะงักแล้วหันไปมองอย่างลังเล
“จะดีหรือครับ...ง่า...งั้นก็ได้”
วาโยรีบรับคำเพราะไม่เพียงแต่แววตาคมกริบคาดคั้นของการิน กวินเองก็ยังจ้องเขาเขม็งด้วยเช่นกัน
“หึ... นายนี่อะไรก็ดี เสียอย่างเดียวชอบเกรงใจไม่เข้าเรื่อง ...อ้อ! แต่เมื่อครู่นี้น่ากลัวมากเลยนะ ปกติหลุดโกรธแบบนั้นบ่อยหรือเปล่าน่ะ”
กวินที่เห็นว่าวาโยยอมพูดกับการินตามปกติเหมือนพูดกับตนแล้ว จึงชวนชายหนุ่มคุย ซึ่งเนื้อหาที่ชวนคุยก็ทำให้คนฟังยิ้มแห้ง ๆ พลางนึกบ่นตัวเองที่ดันเผลอโกรธจนหลุดตวาดทั้งสองเข้าให้แบบนั้น
“ก็นาน ๆ ที... ไม่ค่อยอยากเห็นใครทะเลาะกันต่อหน้า โดยเฉพาะยิ่งเป็นเพื่อนกันทั้งคู่ด้วยแล้วล่ะนะ”
วาโยบอกไปตามตรง ทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วต่างมีปฏิกิริยาตามมาหลังจากนั้น กวินหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ส่วนการินนั้นหลุดยิ้มน้อย ๆ
“นายนี่นิสัยแปลกดี แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยล่ะนะ”
กวินเอ่ยชมพร้อมยิ้มกว้างให้ แต่วาโยกลับมีสีหน้าทะแม่ง ๆ มองไปที่การินซึ่งอีกฝ่ายพอรู้สึกตัวว่าโดนจ้องเขาก็รีบหุบยิ้มแล้วปั้นหน้านิ่งเฉยต่อ
“งั้นพวกเราไปรอข้างล่างล่ะนะ ถ้านายจัดของเสร็จแล้วอยากลงมาแจมก็มาแล้วกัน เรายังต้องรอสมาชิกอีกสองคน ก่อนที่คุณคนดูแลจะกลับมาน่ะ”
กวินลุกขึ้นยืนแล้วหันไปบอกการิน ซึ่งอีกฝ่ายก็เงียบไปสักพักก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ สร้างความพึงพอใจให้คนชวนยิ่งนัก ส่วนวาโยมองทั้งสองที่ดูเหมือนจะดีกันได้แล้วก็รู้สึกโล่งอก เขาหันไปยิ้มแล้วกล่าวลาการินก่อนจะเดินตามเพื่อนร่วมห้องของตนไป
ทางด้านเจ้าของห้องเองนั้นก็เฝ้ามองคนทั้งคู่จนลับสายตา แล้วจึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เจ้าความเบื่อหน่ายและหงุดหงิดตั้งแต่เมื่อครั้งที่รู้ว่าจะต้องมาทำงานกับผู้เป็นอาเริ่มลดน้อยลงทีละนิด และเริ่มถูกแทนที่ด้วยความสนใจในบางสิ่ง จนทำให้เขาคิดว่า บางทีการมาฝึกงานในครั้งนี้ มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เคยคาดคิดเอาไว้ก็เป็นได้
… TBC…