- 1 -
ผมไม่เคยออกไปไหน สิ่งที่ผมเคยเห็นมีเพียงผนังสีขาวสี่ด้าน ห้องนอนที่เป็นเหมือนกรงขัง..
ผมชื่อลู่ ผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าความสงบเงียบ มันเป็นชื่อที่คุณแม่ตั้งให้ผมก่อนที่จะตาย
ผมจำหน้าแม่ไม่ได้ ผมจำได้แต่ว่าแม่มีตาสีเขียว เพราะเคยเห็นจากรูปถ่ายแค่ครั้งเดียว ดวงตาผมเหมือนกับแม่ และนั่นทำให้ผมต้องถูกแยกออกมาอยู่คนเดียว
คุณนายใหญ่ตระกูลลู่ไม่ชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่ ผมโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูของแม่นมคนไทย ผมจำชื่อเธอไม่ได้เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าจะชื่อแม้น หรือ แม่อะไรซักอย่างนี่แหละ แต่ผมขอเรียกเธอว่าแม้นแล้วกัน
หลังจากแม้นต้องกลับเมืองไทยไป ผมก็ต้องอยู่คนเดียว กินข้าวคนเดียว เรียนหนังสือคนเดียว ครูสอนภาษาผมเป็นคนไทยเหมือนกัน ครูชื่อว่าครูปิ่น เป็นผู้หญิงสาวใจดี แต่เธอก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะหลังจากที่คุณนายใหญ่จับได้ครูปิ่นแอบไปค้างคืนกับคุณพ่อ คุณนายใหญ่ก็ไ่ล่เธอออกจากบ้าน
และหลังจากที่ครูปิ่นจากไปได้ไม่นาน ก็มีซินแสมาทักคุณพ่อว่า ผมจะเป็นคนนำพาความล่มจมมาสู่ตระกูลลู่ คุณพ่อสั่งไล่ผมออกจากบ้านใหญ่ทันที และไม่เพียงไล่ออกจากบ้านเท่านั้น ท่านสั่งให้ผมเปลี่ยนนามสกุล ไปใช้นามสกุลของตระกูลรอง นั้นคือตระกูลอี้ ดังนั้น ตั้งแต่ตอนนั้นมาผมก็ชื่อว่า อี้ ผิงอัน อี้ผิง ที่อยู่อย่างสงบแต่เดียวดาย
ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำใจของคุณพ่อ หรือว่าเกิดจากคำทักทำนายของซินแส คุณพ่อส่งผมมาอยู่ที่เมืองไทย ท่านให้ผมอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่สีขาว ห้องที่ผมพักเป็นห้องที่กินพื้นที่ทั่วชั้นสอง
กรงขังขนาดใหญ่..
ผมไม่ได้ออกไปไหนเลยนับตั้งแต่นั้น
คุณพ่อส่งคนมาคอยดูแลผมอยู่สี่ห้าคน พวกเขามีหน้าที่คอยส่งข้าวส่งน้ำ ดูแลและทำความสะอาดห้องพัก
เหมือนเป็นแม่บ้าน..
แต่ความจริงแล้ว.. พวกเขามีหน้าที่เฝ้าผมไม่ให้ออกไปไหน
พวกเขาบอกผมว่านายท่านมีคำสั่งไม่เท้าผมแตะพื้น
ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจ ถ้าผมเท้าไม่แตะพื้นผมจะเดินได้อย่างไร
แต่พวกเขาก็ไขความกระจ่างให้ว่า
เท้าไม่แตะพื้น... คือการที่ผมต้องอยู่ชั้นสองของบ้านไปตลอดชีวิต
ผมย้ายมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ตอนเจ็ดขวบ
ตอนที่ผมย้ายมาผมก็ไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้เสียใจหรือรู้สึกเหงา มันก็เหมือนกับการแค่ย้ายที่อยู่เท่านั้น เพราะต่อให้ผมอยู่ในตระกูลใหญ่ ผมก็อยู่บ้านหลังเล็กคนเดียวอยู่ดี
อยู่อย่างเดียวดาย..
แต่การอยู่ในบ้านชั้นสองก็มีข้อดี ผมสามารถมองออกไปที่นอกหน้าต่าง แอบดูทางหลังผ้าม่าน เพื่อมองดูเด็กคนไทยวิ่งเล่นกัน
พวกเขาเล่นที่สวนที่ติดกับบ้านผมทุกวัน ผมเองก็เคยคิดว่าอยากไปเล่น แต่เพราะผมลงจากชั้นสองไม่ได้ ผมเลยได้แต่มอง
ผมมองพวกเขาเล่นกันทุกวันจนไม่รู้ว่าผ่านมากี่ปี แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองสูงขึ้น เพราะตอนนี้ผมไม่ต้องเขย่งเท้าเพื่อเฝ้าดูเด็กๆคนไทยเล่นกันอีกแล้ว เพียงแค่มองจากหลังผ้าม่าน ผมก็เห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน
ผมจำเด็กผู้ชายคนหนึ่งได้ดี ตาเขาสีดำ ผมของเขาก็มีสีดำ มันไม่ได้ดำเหมือนอีกาในนิทาน แต่มันดำแปลกๆ ผมบอกไม่ถูกว่ามันเป็นแบบไหน แต่ผมชอบดูเขามาก เขาดูร่าเริงและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
ดูท่าเขาจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเสียด้วย เพราะผมเห็นเด็กคนอื่นๆยืนล้อมเขา และเชื่อฟังเขาตลอด
ผมเฝ้าดูเขาทุกวันไม่เว้นแม้แต่วันฝนที่พวกเขาไม่ได้ออกมาเล่น
ผมอยากรอ เพื่อว่าจะมีใครออกมา และอยากรอ เพื่อว่าเด็กคนนั้นจะมาเอาลูกบอลที่ลืมทิ้งไว้ในสนาม
และความหวังของผมก็เป็นจริง เด็กผู้ชายคนนั้นเดินมาที่สนามทั้งที่ไม่มีร่ม เขาหันซ้ายหันขวาเหมือนเขากำลังหาอะไรบางอย่าง
ไม่นานเขาก็ปีนรั้วเข้ามา
ปีนเข้ามาในบ้านผม..
ผมเห็นเขาปีนต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าต่าง ไม่นานเขาก็ปีนเข้ามาเคาะที่หน้าต่างเบาๆ ผมใจเต้น ผมมองดูเขาตลอด ถึงจะรู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่ได้หนีเข้าไปซุกตัวที่เตียง
ก๊อก ก๊อก
" เฮ้ เปิดหน่อย เรารู้นะว่านายอยู่ในนั้น เราเปียกฝน ขอเข้าไปหน่อยสิ"
เสียงของเขาดังขึ้น ผมใจเต้นแรงกว่าเดิม ผมเพิ่งเคยได้ยินเสียงเขา เสียงใสๆของเด็กๆ เสียงของคนอื่นที่ผมไม่ได้ยินมานานมากแล้ว
ผมกลัวจนมือสั่นแต่ก็ยอมเปิดหน้าออก ผมเห็นเขายิ้มมาให้ผมก่อนที่จะมุดตัวเข้ามา
" บรือ.. หนาวชะมัด นายมีผ้าเช็ดตัวไหม ขอเสื้อผ้าด้วยก็ดี"
เด็กคนนั้นพูดกับผม ผมยืนนิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะอยู่ใกล้ผมขนาดนี้ เหมือนความฝันเลย ผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว
" นาย... เอ้อ อะ ธะ เธอ มีผ้าให้เราไหม เรา น หนาวน่ะ ขอแต่ผ้าเช็ดตัวก็ได้ ไม่ต้องเอาเสื้อมาให้เราหรอก"
เด็กคนนั้นพูกตะกุกตะกักแล้วหน้าแดง แต่พอผมยื่นมือเข้าไปแตะหน้า เขาก็สะบัดหน้าออก ทำไมกัน ผมแค่อยากวัดไข้ให้เขาเอง
" ระ เราไม่เป็นไร แต่คงจะเป็นแน่ถ้าเธอไม่หาผ้ามาให้เราเช็ดตัว"
เด็กคนนั้นหน้าแดงแล้วชี้มือชี้ไม้มั่วไปหมด ผมยิ้มออกมา และนั่นทำให้เขานิ่งค้างนานขึ้น
" ธ เธอชื่ออะไร เราชื่อโต้ง เธอ.. เธอพูดได้รึเปล่า เรายังไม่เห็นได้ยินเสียงเธอพูดซักคำ"
ผมฟังโต้งพูดรู้เรื่อง เพราะครูกับแม่บ้านของผมเป็นคนไทย แต่ผมพูดไทยไม่ค่อยชัด แต่ฟังเข้าใจหมด
" โต้ง " เขาบอกซ้ำแล้วหลบสายตา ผมยังคงยิ้มกว้าง ผม.. กำลังจะมีเพื่อน
" ผิงอัน เราชื่อ อี้ ผิงอัน"
ผมพูดด้วยสำเนียงแปลกๆ มันไม่เหมือนกับเสียงโต้ง แต่มันก็เป็นภาษาไทย
โต้งทวนคำก่อนพูดชื่อผมซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ผมหัวเราะแล้วเรียกชื่อโต้งบ้าง เราเอาแต่เรียกชื่อกันไปมา
จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตู
" คุณหนู มีอะไรรึเปล่า ทำไมผมเหมือนได้ยินเสียงคนอื่น"
ผมรีบผลักโต้งให้ออกไปจากห้อง พวกคนดูแลไม่เคยเข้ามานอกจากตอนทำความสะอาด แต่ผมไม่อยากเสี่ยง คราวก่อนแค่พวกเขาจับได้ว่าผมแอบเลี้ยงนกจากเศษข้าวที่เหลือ พวกเขายังไล่นกพวกนั้น แล้วนี่เด็กผู้ชาย ถ้าใครมาเห็นโต้งต้องแย่แน่
" เราจะมาใหม่นะ อย่าล็อคหน้าต่าง แล้วเราจะมาหาเธอทุกวัน"
โต้งบอกแล้วกระโดดไปที่ต้นไม้
ผมปิดหน้าต่างแต่ไม่ได้ลงกลอน
ผมเดินน้ำตาไหลไปร้องไห้ที่เตียง
ผมไม่อยากให้เขาไป แม้จะทำได้แค่เพียงเรียกชื่อกัน แต่ผมก็ไม่อยากเห็นเขาเดินจากไป
โต้งมาหาผมทุกวันตามสัญญา เขามาช้าบ้าวเร็วบ้างตามแต่สะดวก แต่ก็มาทุกวัน บางวันเขาก็มีของฝากมาฝากผม บางวันเป็นดอกไม้ บางวันเป็นของกิน แต่วันนี้เป็นดอกไม้สีแดง ดอกกุหลาบ
" วันนี้วันวาเลนไทน์น่ะ ผิงอันรู้จักไหม"
โต้งเริ่มชินแล้วกับการที่ผมไม่รู้อะไรในโลกภายนอก เพราะตั้งแต่ผมมาที่เมืองไทย ผมก็ไม่ได้ออกไปไหน ผมไม่มีหนังสืออ่านเพิ่มเติมนอกจากเล่มที่เอาติดตัวมา และหนังสือที่ว่าก็เป็นแค่นิทานก่อนนอน
" เรียกเราว่าพี่สิ เราแก่กว่าโต้ง อย่างน้อยก็ตั้งสามสี่ปี"
ผมกับเขาเคยเถียงกันเรื่องนี้แล้ว โต้งบอกว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข แต่สำหรับผมที่เกินในครอบครัวคนจีน ลำดับอาวุโสสำคัญมาก
" เรียกเราพี่เฉยๆก็ได้ ถ้าโต้งไม่อยากเรียกเราว่าพี่ผิงอัน"
โต้งมักหน้าแดงอยู่บ่อยๆเวลาผมเรียกชื่อตัวเอง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ผมเคยถามเขาแล้ว แต่เขาไม่ตอบ
" ก็ได้ๆ พี่ผิงอัน แต่เราเรียกแค่ครั้งนี้นะ ต่อไปเราจะเรียกพี่เฉยๆ"
โต้งบอกอย่างประนีประนอม หลังจากเรียกผมว่าพี่ เขาก็ซักเรื่องวันวาเลนไทน์อีก
ผมบอกเขาไปว่าไม่รู้จัก และโต้งก็อธิบายให้ผมฟังเหมือนทุกครั้งที่ผมไม่รู้คำตอบ
" มันเป็นวันที่เรามอบดอกกุหลาบให้คนที่เราชอบล่ะ อย่างวันนี้โต้งก็ได้มาหลายดอก แต่โต้งเอามาให้แค่ผิงอัน เอ๊ย พี่คนเดียวนะ โต้งไม่ได้ให้คนอื่น"
โต้งบอกแล้วหน้าแดงหลบตา
ผมยกดอกกุหลาบขึ้นมาดม มันดูช้ำไปหน่อย แต่ก็สวยมาก
" แต่พี่ไม่มีอะไรให้โต้งนะ พี่ไม่ได้ออกไปไหน อาหารก็เก็บไว้ให้โต้งไม่ได้ ขอโทษนะ"
ผมบอกอย่างเสียใจ
ผมเองก็อยากตอบแทนโต้งบ้างที่เอาของมาให้ผมบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่มีอะไรจะให้โต้งได้ สมบัติบางเดียวของผมคือหนังสือนิทาน..
จริงสิ
ผมวิ่งไปหยิบหนังสือนิทานออกมาจากชั้น ผมหยิบหนังสือเรื่องเจ้าหญิงนิทราขึ้นมา
มันเป็นภาษาจีน
แต่ไม่เป็นไร เพราะผมอยากให้โต้งดูรูปต่างหาก
" พี่ไม่มีกุหลาบจะให้โต้ง แต่พี่ให้หนังสือกับโต้งได้นะ นี่ไง.. หน้านี้มีดอกกุหลาบเต็มไปหมด พี่ให้โต้งนะ"
ผมบอกแล้วยิ้มให้โต้งที่เกาหัวรับหนังสือนิทานแบบเขินๆ ความจริงหนังสือเล่นนี้ก็สภาพไม่น่าดูนัก เพราะผมเปิดอ่านหลายครั้ง แต่ไม่เป็นไร ผมอยากให้โต้งรับน้ำใจของผมไว้
" หมายถึง.. พี่ก็ชอบผม?"
โต้งบอกแล้วยิ้มมุมปาก เขาดูโตกว่าวัยมาก ผมว่ามันน่าจะซักสองปีแล้วมั้งที่เขามาหาผมทุกวัน และตอนนี้เขาดูแก่แดดกว่าทุกครั้ง
" พี่ชอบโต้ง พี่มีแต่โต้งคนเดียว"
ผมยิ้มบอก ก่อนที่จะเอ่ยเสียงเศร้าในตอนท้าย
ผมไม่เคยมีใคร คนเดียวที่ผมสามารถคุยด้วยได้คือโต้ง
" ซักวันผมจะมารับพี่นะ ผมจะพาพี่ไปจากห้องแบบนี้ ผมจะพาพี่ไปเดินบนหญ้า จะพาพี่ไปปีนต้นไม้ จะให้พี่จะชิมน้ำทะเล จะสอนพี่ว่ายน้ำ พี่ต้องสัญญานะว่าจะรอผมมารับ รอให้ผมโตกว่านี้ แล้วผมจะมารับพี่ไปเอง"
โต้งประคองหน้าผมแล้วพูดออกมาเสียงจริงจัง แม้ว่ามันจะเป็นสัญญาเด็กๆ แต่สำหรับผมและโต้ง มันคือคำสาบาน
" เราสัญญาแล้วนะว่าจะมารับพี่ ห้ามทิ้งพี่ไปอย่างคุณแม่นะ"
ผมเลือกที่จะพูดถึงคุณแม่ เพราะแม่ผมจากไปทั้งที่ยังรักผม ต่างจากพ่อ ที่ทิ้งผมไปเพราะเห็นผมเป็นตัวทำลายล้างวงศ์ตระกูล
" งั้น.. งั้นพี่ให้ผมจูบได้ไหม แบบว่า! จูบแบบแทนคำสัญญาน่ะ เหมือน.. เหมือนกรีดเลือดสาบานไง แต่.. แต่โต้งกลัวเลือด เพราะงั้น.."
ผมจูบโต้งไป
ผมเคยเห็นในนิทานแล้วที่เจ้าชายเอาปากประกบกับเจ้าหญิงเพื่อที่จะให้เจ้าหญิงฟื้นขึ้นมา
โต้งหน้าแดงกว่าทุกที แต่พอผมจะเอาปากออก เขาก็กดต้นคอผมไว้
" ดะ เดี๋ยว.. ขออีกที.."
โต้งบอกแล้วเป็นคนก้มหน้ามาแทน เราเอาปากประกบกันนานมาก หัวใจผมเต้นแรง มันดังจนโต้งหัวเราะออกมา
" โอ๊ย หัวใจพี่เต้นแรงชะมัด เหมือนหัวใจผมเลย"
โต้งบอกแล้วจับมือผมไปจับหัวใจโต้ง มันเต้นแรงจริงๆด้วย เหมือนหัวใจของผมเลย
วันนั้นโต้งอยู่ดึกกว่าทุกวัน ขนาดเลยเวลาสองทุ่มที่ผมต้องปิดไฟนอนแล้ว โต้งก็ยังอยู่กับผม โต้งจับมือผมไว้จนผมหลับ
และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกที โต้งก็ไม่อยู่แล้ว เหลือแต่ดอกกุหลาบที่โต้งมอบให้ วางอยู่บนหนังสือเรื่องราพันเซลเท่านั้น
เจ้าหญิงผมทอง..
เจ้าหญิงผมทองที่จะรอวันที่เจ้าชายมาช่วย
หลายปีผ่านไปแล้ว โต้งยังคงมาหาผมบ่อยๆ อาจมีบ้างที่หายไปนานหลายวัน เพราะตอนนี้โต้งโตมากขึ้นแล้ว และมีหน้าที่หลายอย่างให้ทำ ทำให้โต้งไม่สามารถมาหาผมได้ทุกวันเหมือนเมื่อก่อน
" วันนี้ผมเอาหนังสือมาฝาก ผมจะสอนพี่อ่านกับเขียนภาษาไทยนะ"
ตอนนี้โต้งโตขึ้นมามาก ความคิดความอ่านก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เมื่อก่อนโต้งจะแค่นั่งคุยหรือนั่งเล่น แต่ตอนนี้ โต้งเริ่มสอนหนังสือผมแล้ว ทั้งสอนอ่านและเขียนภาษาไทย มีบ้างที่สอนบวกเลข แต่โต้งชอบสอนภาษาไทยมากกว่า
" พี่น่าจะสอนภาษาจีนให้ผมบ้างนะ ผมจะได้พูดกับพี่รู้เรื่องไง"
โต้งรู้แล้วว่าผมเป็นลูกคนจีน ไม่ใช่เพราะดูจากชื่อหรือภาษาที่ผมเผลอพูด แต่ผมเป็นเพราะผมเล่าให้ฟัง
" พี่สอนเขียนไม่ได้นะ พี่ลืมไปหมดแล้ว แต่พี่สอนโต้งพูดได้ โต้งจะเรียนไหม"
โต้งกัดปากแน่นก่อนเงยหน้ามองผม โต้งมักทำแบบนี้บ่อยๆเวลาเห็นว่าผมน่าสงสาร แต่ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารนะ เพราะตอนนี้ผมมีโต้งแล้ว
" อย่ากัดปากสิ พี่ไม่เป็นไรหรอก เอางี้นะ เราสอนภาษาไทยให้พี่ แล้วพี่จะออกเสียงเป็นภาษาจีนให้เราเอาไหม"
โต้งพยักหน้ารับ เหมือนเขาจะยังอารมณ์ไม่ดี และทุกครั้งถ้าเขาอารมณ์ไม่ดีผมจะจูบเขา แล้วเขาจะยิ้มอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
" พี่อย่าจูบผมบ่อยสิ เดี๋ยวผม..."
" เดี๋ยวอะไรเหรอ"
โต้งไม่พูดอะไรต่อ โต้งแค่จ้องตาผมแล้วถอนหายใจก่อนเปลี่ยนเรื่องและเริ่มสอนภาษาไทยให้ผมแทน
หลายปีผ่านไปแบบนี้ พวกคนดูแลไม่เข้ามาในห้องผมแล้ว คงเป็นเพราะผมไม่หนี พวกเขาเลยเข้ามาทำความสะอาดแค่อาทิตย์ละครั้ง ส่วนอาหาร พวกเขาจะส่งมาให้ที่ช่องทางประตู ถ้าผมทานเสร็จก็แค่ส่งถาดออกไปทางช่องประตูเหมือนเดิม
วันนี้เราเรียนทั้งภาษาไทยและภาษาจีนจนดึก มีบางคำที่ผมหาคำออกเสียงไม่ได้ เพราะตอนที่ผมออกมาจากเมืองจีน ผมแค่เจ็ดขวบ และนี่ก็ผ่านไปนานมากแล้ว พอไม่ได้ใช้ ผมเองก็ลืมไปเหมือนกัน
" ตอนนี้โต้งอายุเท่าไหร่แล้ว"
" โหย พี่อ่ะ ถามเรื่องอายุอีกแล้ว บอกแล้วไงง่าอายุเป็นแค่ตัวเลข"
" พี่แค่อยากรู้ ถ้านับตามดอกกุหลาบที่โต้งให้พี่ทุกปีก็สามดอก แต่พี่จำไม่ได้ว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนโต้งอายุกี่ปี เพราะก่อนหน้านั้นพี่ไม่ได้นับเวลา"
" ...15 ตอนนี้ผมอายุ 15 และพี่อายุ 19 พอพี่อายุ 20 ผมจะพาพี่ไปอยู่กับผม เพราะพี่บรรลุนิติภาวะแล้ว"
โต้งพูดศัพท์แปลกๆที่ผมไม่เข้าใจ พอเห็นผมงง โต้งก็อธิบายให้ผมฟังว่า มันหมายความว่าผมจะเป็นอิสระแล้ว
" พี่ไม่อยากออกไปไหนหรอก แค่โต้งมาหาพี่บ้างก็พอแล้ว พี่ไม่เหงาหรอกนะ เพราะพี่มีโต้งให้พี่คอยทุกวัน"
โต้งกัดปากอีกแล้ว แต่คราวนี้ผมยังไม่ทันได้จูบเขา เขาก็โน้มหน้าเข้ามาจูบ ก่อนคร่อมผมไว้ทั้งตัว
" อย่าพูดแบบนั้น ผมจะพาพี่ออกไป ผมสัญญาแล้ว"
โต้งดูดุกว่าทุกครั้ง เสียงของเขาฟังห้วน ตาสีดำของโต้งดูวาววับจนน่ากลัว ผมไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ออกมา จนกระทั่งโต้งซับน้ำตาให้
" ผมขอโทษ แต่ผมอยากพาพี่ไปจริงๆนะ ผมอยากดูแลพี่ ตอนนี้ผมก็เริ่มทำงานแล้ว อีกหน่อยถ้าผมทำงานเยอะขึ้น ผมก็จะเลี้ยงดูพี่ได้ แล้วถ้าพี่ไม่รังเกียจ ผมจะเช่าบ้านหลังเล็กๆให้พี่อยู่ แล้วผมจะอยู่กับพี่ทุกวัน"
โต้งบอกด้วยสีหน้าจริงจังจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเด็กอายุ 15 แต่ผมก็ไม่รู้ เด็กคนอื่นอาจเป็นแบบโต้งก็ได้ เพียงแค่ที่ผมไม่เคยเห็นเพราะมีแต่โต้งเท่านั้นที่เข้ามาหา
" ตามใจโต้งแล้วกัน แต่พี่ไม่สัญญานะว่าจะไปกับโต้งได้รึเปล่า พี่ต้องอยู่ที่นี่ตามที่คุณพ่อสั่ง"
โต้งกัดปากอีกครั้ง แต่คราวนี้โต้งไม่ได้จูบหรือรอให้ผมจูบ โต้งแค่สอนหนังสือผมต่อ
คืนนี้โต้งนอนที่ห้อง ช่วงหลังมานี่โต้งจะมาค้างบ่อยขึ้น แต่ก็จะออกไปตอนก่อนเช้า
โต้งไม่ได้มาค้างทุกครั้งที่อยู่ดึก แต่เขาจะนอนค้างตอนที่ตัวเองไม่สบายใจ หรือ ผมไม่สบายใจ..
" เดินดีๆนะโต้ง เวลาปีนต้นไม้ก็ระวังด้วย"
ผมบอกส่งโต้งในตอนเช้า โต้งยังคงปีนเข้ามาผมผ่านทางต้นไม้ และกำแพงข้างบ้าน โต้งเดินมาหาผมทุกครั้ง เขาบอกว่าเอารถมาไม่ได้ เพราะเสียงมันจะดังแล้วคนที่เฝ้าจะสงสัย
" ตอนนี้ผมเพิ่งขึ้นมอปลาย ผมคงมาหาพี่ไม่ได้บ่อยๆ ผมต้องเรียนพิเศษกับทำงานด้วย พี่อยู่คนเดียวได้นะ"
" พี่อยู่ได้ แต่ถ้าโต้งเหนื่อยก็ไม่ต้องมาก็ได้นะ ไว้ว่างๆค่อยมาหาพี่ ตอนนี้พี่มีหนังสือคัดไทยที่โต้งเอามาให้แล้ว พี่ไม่เบื่อหรอก"
โต้งมองหน้าผมก่อนก้มลงมาจูบ เขามักจูบผมทุกครั้งก่อนลา
และผม...
แอบร้องไห้ทุกครั้ง ตอนที่เห็นเขาเดินจากไป
หลายวันผ่านไป โต้งไม่ได้มาหาผมบ่อยเหมือนอย่างที่โต้งบอกไว้ แต่ผมก็ไม่เหงา ผมคัดตัวหนังสือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และตัวเลข รอโต้งทุกวัน ตอนนี้ลายมือผมสวยมากแล้ว โต้งบอกว่าลายมือผมเหมือนหงส์ เป็นไก่เขี่ยท่ีดูเหมือนหงส์น่ะ
คืนนี้โต้งมาหาผม พร้อมของฝาก
" อะไรน่ะโต้ง"
" มือถือ ไว้ใช้คุยกันตอนที่ผมไม่อยู่ ขอโทษนะที่ผมหายไปนาน พอดีผมต้องรีบเก็บเงินซื้อมือถือ มันเป็นเครื่อมือสองนะ ของผมก็มีเหมือนกัน ผมเติมเงินกับชาร์ตแบตให้พี่แล้ว ผมจะสอนพี่ใช้นะ"
โต้งบอกและสอนผมใช้สิ่งที่เรียกว่ามือถือ มันเหมือนเป็นกล่องสี่เหลี่ยม แต่พอกดปุ่ม ผมก็สามารถได้ยินเสียงโต้งได้
" กดปุ่มรับตรงนี้ ตอนว่างก็กดอีกปุ่ม ถ้าจะโทรก็กดเบอร์ล่าสุด ผมใส่ชื่อผมไว้แล้ว พี่ลองโทรดูนะ"
ผมทำตามที่โต้งบอก กดเบอร์และกดเลขตามที่โต้งสั่ง ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงโต้งออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยม
" เสียงไม่ค่อยเหมือนโต้งเลย เสียงโต้งข้างนอกฟังดูดีกว่า"
ผมบอกออกไปหลังวางสาย โต้งหัวเราะกับคำพูดผม เขาสอนผมชาร์ตแบต สอนวิธีเล่นเกมส์ในเครื่อง สอนผมอีกหลายอย่างจนผมแทบจำไม่หมด
" พอแล้วโต้ง พี่แค่ใช้รับสาย และโทรหาเราก็พอ มาดูพี่คัดลายมีดีกว่า ตอนนี้พี่ไม่ได้เป็นไก่เขี่ยแล้วนะ"
โต้งหัวเราะกับการเปลี่ยนเรื่องของของผม เขาเดินไปที่โต๊ะหนังสือ ผมหยิบหนังสือที่ซ่อนไว้มาให้โต้งดู โต้งชมผมด้วยว่า ลายมือผมดีขึ้นมาก
" เริ่มเป็นหงส์ของจริงแล้ว ไว้คราวหน้าผมเอาหนังสือบวกเลขมาให้พี่นะ"
" พี่ไม่ชอบบวกเลข ไม่ได้ใช้ พี่ไม่รู้จะเอาไปบวกอะไร นอกจากนับวันรอโต้ง"
รอยยิ้มของโต้งหายไปแล้ว ผมไม่น่าพูดอะไรออกไปเลย
" ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกครับ แต่บวกเลขน่ะดีนะ ช่วยพัฒนาสมอง"
" นี่โต้งจะหาว่าพี่โง่? "
" เปล่านะครับ ผมแค่อยากให้พี่มีอะไรทำ ผมไม่ได้.."
" พี่ล้อเล่นน่ะโต้ง ถ้าโต้งอยากให้พี่ทำอะไร พี่ก็จะทำ เอาหนังสือบวกเลขก็ได้ แต่อย่าเอายากเกินนะ พี่กลัวทำผิด"
โต้งยิ้มให้ผมแล้ว โต้งแกล้งบ่นหาว่าผมขี้แกล้ง แต่ผมว่าโต้งต่างหากที่ชอบแกล้ง โต้งชอบแอบหอมแก้มผมทุกครั้งเวลาผมเผลอ
" พี่นี่หอมเหมือนขนมผิงเลย ไว้วันหลังผมจะเอามาให้พี่ชิมนะ พอดีผมไม่ค่อยชอบของหวาน ผมเลยลืมไป"
ช่วงหลังโต้งไม่ค่อยได้เอาขนมมาฝากผมเท่าไหร่ เขาบอกว่ามันไม่ค่อยมีประโยชน์ ถ้าเขาเอาของกินมาฝาก จะเป็นผลไม้มากกว่า
" ตอนนี้มะม่วงกำลังออก พี่ชอบกินใช่ไหม ไว้มันสุกแล้วผมจะเอามาให้พี่นะ"
บางทีผมก็รู้เวลาจากผลไม้ที่โต้งเอามาฝาก ถ้ามีมะม่วงจะเป็นหน้าร้อน ถ้ามีสตอเบอร์รี่ จะเป็นหน้าหนาว
" ผมไปก่อนนะพี่ ตอนนี้ผมต้องควบสองกะ เพราะผมขอยืมเงินเขามาซื้อมือถือก่อน"
" ถ้าลำบากก็ไม่ต้องก็ได้ ไหนจะหนังสือที่โต้งเอามาให้พี่อีก พี่ไม่อยากให้โต้งเหนื่อยมาก"
โต้งไม่ได้ตอบอะไรผม เขาแค่จูบ และปีนหน้าต่างออกไป
และผม..
แอบร้องไห้อีกครั้ง..
ตืด... ตืด...
เสียงมือถือ
โต้งตั้งสั่นไว้เพราะกลัวคนดูแลได้ยิน
ผมกดรับ ตามที่โต้งสอน
" ฝันดีนะครับ รีบนอนได้แล้ว"
สรุปแล้วคืนนั้นผมนอนดึก เพราะกว่าโต้งจะยอมวางสาย ก็เป็นตอนที่โต้งบ่นว่าเงินจะหมด เลยต้องวางสายไปก่อน
ผมกอด "มือถือ" แล้วเข้านอน ตอนนี้ผมไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว
พอมีมือถือ โต้งก็มาหาผมน้อยลง แต่โต้งก็โทรมาหาผมทุกวัน โทรมาแค่ครั้งละห้านาที โต้งบอกว่าค่ามือถือแพง
แต่พอผมบอกเขาว่าไม่ต้องโทรมาหาทุกวัน เขาก็ดื้อจนต้องมาหาผมเอง
" ผมอยากโทรมาหาพี่ทุกวันนี่ ผมคิดถึงพี่นะ แต่ช่วงนี้ผมต้องทำงานหนัก เรียนหนักด้วย เลยไม่ค่อยได้มาหาพี่"
" ถ้าเหนื่อยก็ลดงานลงดีไหม พี่อยากให้โต้งตั้งใจเรียน เรื่องเงินน่ะไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก"
โต้งอ้าปากเหมือนจะเถียง แต่เขาก็เปลี่ยนใจ เขายื่นขนมผิง กับขนมกลีบดอกลำดวนมาให้ เขาบอกว่าขนมสองอย่างนี้ หอมเหมือนผม
" อร่อยไหม พอดีผมเห็นมันขายคู่กัน ตอนแรกผมนึกว่าพี่เหมาะกับขนมผิง แต่พอเห็นแบบนี้ พี่น่าจะเป็นขนมกลีบดอกลำดวนมากกว่า"
ผมเองก็คิดแบบนั้น กลีบดอกลำดวนจะหอมหวานและนิ่มมากกว่า แต่ขนมผิงก็แข็ง เวลากินแล้วก็กรอบๆดี
" โต้งทานไหม พี่ยังไม่เห็นโต้งชิมเลย"
โต้งส่ายหัวแล้วบอกว่าไม่ชอบทานของหวาน แต่เขาก็มองผมกิน ก่อนก้มตัวมาดมที่ข้างแก้ม แล้วเลียขนมที่ติดเลอะปากผม
" ผมชิมแล้ว อร่อยดี.."
โต้งบอกแล้วใช้ลิ้นเลียปาก ผมไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตาผมเป็นยังไง แต่ผมรู้สึกว่าหน้าร้อนมาก ผมก้มหน้าตั้งก้มตากินขนมจนหมด ในขณะที่โต้งเอาแต่มองและยิ้ม
คืนนี้โต้งค้างกับผม โต้งบอกว่าแลกกะแล้ว ผมไม่เข้าใจว่ากะคืออะไร รู้แต่เวลามันเป็นเวลาที่โต่งต้องไปทำงาน แต่พอผมถาม โต้งก็บอกผมว่า เป็นเวลาที่ทำให้โต้งได้เงินมาเพื่อเก็บไว้เช่าบ้าน
" โต้งสูงเท่าไหร่แล้ว ทำไมโต้งดูตัวใหญ่ขึ้นมากจัง"
ผมถามโต้งตอนที่นอนกอดกันบนเตียง
โต้งดูตัวใหญ่ขึ้นมาก เมื่อก่อนตอนกอดกัน โต้งแค่สูง
แต่ตอนนี้ โต้งทั้งสูงทั้งใหญ่ เวลากอดผมที เหมือนผมตัวเล็กมาก
" สูงซักร้อยหกห้ามั้ง ทำไมเหรอ"
" พี่ว่าเราดูตัวใหญ่ขึ้นเยอะ ทั้งสูงทั้งใหญ่ เวลากอดพี่ที พี่อึดอัด"
โต้งขอโทษขอโพยที่กอดผมแรง ความจริงมันก็ไม่ได้อึดอัดมาก แต่มันหนักมากกว่า
" พี่อยากตัวใหญ่แบบโต้งบ้าง โต้งทำอะไรถึงได้สูง"
" ผมเล่นบาสน่ะ ตอนนี้ผมไม่ค่อยได้เล่นบอลแล้ว เพราะจะได้เป็นตัวแทนนักกีฬา ได้เงินด้วยนะ พอเป็นตัวแทนก็จะได้ทุน ไม่ต้องออกค่าเรียนเอง เอาเงินค่าเทอมมาเป็นเงินเก็บได้"
ผมไม่ถามโต้งว่าบาสเป็นกีฬาแบบไหน เพราะผมคงนึกภาพไม่ออก แต่โต้งก็เหมือนรู้ เขาอธิบายให้ผมฟังว่า มันเป็นกีฬาที่ต้องวิ่งและต้องกระโดด ห้ามถือลูกบาสวิ่งไปวิ่งมา
ผมฟังโต้งเล่าจนหลับ ตอนนี่ผมกำลังจะหลับสนิท ผมได้ยินโต้งบอกว่า
" แล้วผมจะพาพี่ไปเล่นบาสนะ"
ผมได้ยินแค่นั้น แล้วก็หลับไป
ตอนเช้าโต้งออกไปตั้งแต่หัวรุ่ง โต้งจูบผมเหมือนทุกครั้งก่อนไป คราวนี้ผมไม่ได้ร้องไห้ เพราะพอโต้งออกไป โต้งก็โทรมาหาผมทันที
" ผมลืมบอกไปว่า เอาหนังสือเลขมาให้แล้ว พี่อย่าลืมทำนะ แล้วผมจะมาตรวจ"
โต้งบอกแค่นั้นแล้ววางสายไป
ผมเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะ ผมเห็นหนังสือตัวเลข พร้อมกับสร้อมข้อมือ มันมีข้อความเขียนสั้นๆว่า
" เอาไว้ใส่ตอนที่คิดถึงผมนะ"
โต้งรู้ว่าผมใส่เครื่องประดับไม่ได้ เพราะผมกลัวคนดูแลเห็น แต่เขาก็ยังส่งมา
สร้อยข้อมือที่โต้งเอามาให้เป็นสร้อยเชือกที่มีหินสีเขียวก้อนกลมมัดอยู่ มันไม่ใช่หยก แต่เป็นหินที่มีสีคล้ายหยก
" สวยเหมือนตาของพี่"
นั่นคือข้อความในส่วนที่เหลือ
ผมเอาสร้อยไปเก็บในกล่องไม้ ในนั้นมีของที่โต้งเคยให้มาหลายอย่าง รวมถึงดอกกุหลาบที่โต้งเอามาให้ทุกปี
" ขอบใจนะโต้ง"
ผมบอกแล้วปิดฝากล่อง ก่อนซ่อนเอาไว้ตามเดิม
>> To Be Continue <<