The Rabbit in The Moon - END
คำโบราณที่เคยกล่าวกันไว้ว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอดูท่าจะเป็นเรื่องจริง
ลมหนาวแรกของปีกำลังเริ่มพัดเข้ามาในหมู่บ้านอีกครั้ง อีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีนี้แล้ว และนั่นก็หมายความว่าใกล้ถึงเวลาที่คานินก็จะต้องจากหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อกลับไปยังวิหารเทพ
คืนหนึ่งในหน้าหนาวที่หิมะแรกของปีร่วงหล่น คานินและลูอากำลังยืนมองหิมะที่กำลังตกลงมาริมหน้าต่างบานหนึ่งภายในศาลเทพเจ้า
แขนแกร่งโอบกอดลูอาเอาไว้จากด้านหลังเพื่อส่งผ่านความร้อนแก่คนตัวเล็กที่เริ่มสั่นจากอากาศที่หนาวเย็นขึ้น ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ทำให้ลูอาทำให้ลูอาชะงักไปสักใหญ่
คำถามที่ลูอากำลังกลัวและหลีกเลี่ยงที่จะนึกถึงมาตลอดในช่วงหลังมานี้
"ลูอา ถ้าถึงวันที่ข้าต้องกลับไปยังวิหารเทพ เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่"
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าคานินต้องกลับไปยังวิหารเทพเมื่อถึงเวลา แม้จะรู้ว่ายังไงคานินก็ต้องการพาตนเองกลับไปด้วย และแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าตนเองก็ต้องการจะอยู่กับคานินเช่นกัน แต่เรื่องของบิดาก็เป็นสิ่งที่ทำให้ลูอาเป็นกังวลและยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไรในตอนนี้
เนื่องจากครอบครัวที่มีกันเพียงแค่สองคนพ่อลูก ลูอาจึงกลัวว่าหลังจากนี้หากไม่มีตนเองแล้วท่านพ่อจะอยู่อย่างไร ในเวลาที่ท่านเจ็บป่วยใครจะเป็นคนดูแล เพราะชาวบ้านไม่เคยมาสนใจครอบครัวของลูอาสักครั้ง
เมื่อไม่อาจให้คำตอบต่อสิ่งที่คานินเอ่ยถามออกมาได้ ลูอาจึงปล่อยให้ความเงียบเป็นการตอบคำถามและก็ดูเหมือนว่าคานินจะเข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดีจึงไม่ได้คาดคั้นอะไรให้ลูอาลำบากใจมากขึ้น
1 เดือนก่อนสิ้นปีในช่วงสายของวันคานินกับลูอามาช่วยชาวบ้านตัดฟืนที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อประกอบพิธีขอบคุณเทพเจ้าที่จะถูกจัดขึ้นในวันสิ้นปี ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังนั่งพักกันอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่คานินก็พูดบางอย่างขึ้น
"เมื่อใดที่ลมหนาวในคืนสุดท้ายผ่านพ้น ตัวข้าก็คงต้องกลับวิหารเทพเช่นกัน" คานินจับมือข้างหนึ่งของลูอามาแนบแก้มของตนเองไว้ แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยเสียงที่อ่อนโยน "เจ้ารู้ใช่หรือไม่ลูอาว่าข้าจะไม่มีวันบังคับเจ้าหรือแม้แต่โกรธเคืองเจ้า แม้ว่าเจ้าจะตัดสินใจเช่นไร"
ดูเหมือนว่าคานินจะพอรู้ว่าลูอามีคำตอบอยู่ภายในใจมาสักพักแล้วจึงได้เอ่ยคำพูดเช่นนี้และนั่นก็ทำให้น้ำตาของลูอาเริ่มไหลออกมาหลังจากที่ได้ฟังประโยคเหล่านั้น
เรียวแขนเล็กโอบกอดไปที่ต้นคอแกร่งก่อนจะกระซิบถ้อยคำแสนหวาน
"ขอบคุณนะคานิน ข้ารักท่านนะ ข้ารักท่านมาก"
แล้วคานินก็โอบกอดลูอาเอาไว้ในอ้อมแขนพลางกดจูบลงบนขมับข้างขวาเพื่อปลอบโยน
"ข้าก็รักเจ้าเหลือเกิน พระจันทร์ดวงน้อยของข้า"
ยิ่งเมื่อคิดได้ว่าเวลาที่แสนสั้นนี้ใกล้จะหมดลงเท่าไหร่ ลูอาก็ยิ่งกอดคานินแน่นขึ้นเท่านั้นเพื่อพยายามถ่ายทอดความรู้สึกที่มีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะได้
ลูอาได้แต่หวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงทุกอย่างจะไม่ได้เลวร้ายเกินนัก
7 วันสุดท้ายก่อนสิ้นปีเย็นวันหนึ่งหลังจากชาวบ้านช่วยกันเตรียมสถานที่สำหรับเทศกาลบวงสรวงเทพเจ้าไปแล้วบางส่วน ได้มีประกาศให้เรียกทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านของผู้อาวุโสสูงสุด ทั้งลูอาและคานินต่างได้รับเชิญมาในเย็นวันนั้นทั้งคู่
เมื่อคานินและลูอามาถึง ท่านผู้อาวุโอท่านหนึ่งก็ได้เรียกให้ทั้งคู่มายืนด้านหน้า นั่นจึงทำให้ลูอาเห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าและก้มหน้าอยู่บนพื้น
"เจ้าจงพูดออกมาอีกครั้งว่าเมื่อวันก่อนเจ้าได้เห็นสิ่งใดมา"
หลังจากเสียงทรงอำนาจจากผู้อาวุโอสูงสุดจบลง หญิงสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่ก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น จากนั้นจึงเริ่มพูดด้วยประโยคที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจนักเนื่องจากการตื่นกลัว
"ขะ ข้า ข้าเห็น วันนั้นที่กระท่อม ข้าลืมของไว้หลังจากตกแต่งสถานที่เสร็จ ข้าจึงกลับขึ้นไปที่นั่นอีกครั้ง ในตอนที่ข้ากำลังจะกลับออกมา ข้าได้ยินเสียงคนคุยกัน แล้วข้าก็เห็น..."
หญิงสาวหยุดเล่าเพียงชั่วครู่เพื่อหันหน้ามาทางคานินกับลูอาที่ยืนอยู่ ก่อนจะพูด
"ข้าเห็นสองคนชั่วช้านั่นยืนกอดจูบกันอยู่ภายในกระท่อมหลังนั้น"
นอกจากคำพูด หญิงสาวผู้นั้นยังชี้มาทางคานินและลูอาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด จนทำให้ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบต่างพากันส่งเสียงร้องตกใจกับเรื่องที่ได้ฟังและจับจ้องมายังทั้งสองทันที
ลูอาเริ่มมีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่คานินยังคงยืนนิ่งไม่ได้ทุกข์ร้อนกับสายตาของใครหลายคนที่ส่งมาให้
"จริงดังเช่นที่หญิงสาวผู้นี้พูดหรือไม่" ผู้อาวุโอสูงสุดหันหน้ามาทางคานินและลูอาเพื่อขอคำตอบ
แล้วคำตอบสั้น ๆ ก็ถูกเอ่ยขึ้นจากปากของคานินด้วยเสียงที่หนักแน่น
"เป็นเรื่องจริง"
เมื่อชาวบ้านได้ฟังคำตอบก็ส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตกใจอีกครั้ง หลาย ๆ คนเริ่มส่งสายตาดูหมิ่นชิงชังมาให้ทั้งสอง บางคนก็เริ่มด่าทอ จนผู้อาวุโอสูงสุดต้องใช้สายตาปรามชาวบ้านให้อยู่ในความสงบ ก่อนจะพูดกับคานินและลูอาอีกครั้ง
"เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำลงไปเป็นสิ่งที่ไม่สมควร พวกเจ้าได้กระทำผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้"
คานินไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่กลับโอบกอดลูอาที่ยืนตัวสั่นเข้ามาเพื่อปลอบประโลมอีกฝ่าย จากนั้นจึงเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้แสดงท่าทีเกรงกลัวหรือสำนึกผิดต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
"ไม่สมควรเช่นไร พวกข้าสองคนแค่รักกัน สิ่งใดกันเล่าที่พวกเจ้าเห็นว่าพวกข้ากระทำผิด"
"สามหาวยิ่งนัก!!! พวกเจ้าทำผิดถึงเพียงนี้ยังไม่รู้จักสำนึกอีกหรือ"
ผู้อาวุโอสูงสุดขึ้นเสียงด้วยความฉุนเฉียวหลังจากได้ฟังคำพูดของคานิน ยิ่งได้เห็นท่าทีที่ไร้ซึ่งความละลายนั้นก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจ เมื่อเห็นดังนั้นจึงหันไปออกคำสั่งกับชาวบ้านแทนที่จะสนทนาต่อให้เสียเวลาเปล่า
"จับคนโฉดชั่วคู่นี้ไปขัง หลังจากนี้ข้าจะลงโทษพวกมันให้เข็ดหลาบกับสิ่งที่พวกมันได้กระทำการลบหลู่ต่อท่านเทพ"
ชาวบ้านหลายคนพากันกรูเข้ามาจับลูอาและคานินให้แยกออกจากกัน แม้ทั้งคู่จะพยายามหลบหนีการจับกุมของชาวบ้านแต่ด้วยกำลังคนที่มาก สุดท้ายก็ไม่อาจหลบหนีไปได้
"หยุดนะ พวกท่านกำลังจะทำอะไรข้า ปล่อยข้านะ คานิน คานิน ปล่อยข้าาา!!! "
ลูอาที่ถูกจับกดลงพื้นพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นเพื่อเข้าไปช่วยคานินที่กำลังถูกรุมทำร้าย แต่ก็ไม่อาจสู้แรงพวกชาวบ้านได้ จึงทำได้เพียงร้องขอความเมตตาจากทุกคนอย่างน่าเวทนา
"หยุดนะ พวกท่านอย่าทำร้ายคานิน ได้โปรดอย่าทำร้ายคานิน"
5 วัน 5 คืนที่ถูกขังผู้อาวุโสสูงสุดมีคำสั่งให้ขังคานินกับลูอาแยกกันคนละที่ ในคืนแรกลูอาลองส่งเสียงเรียกหาคานินออกไป ในใจก็แอบหวังว่าถ้าคานินได้ยิน คานินอาจจะหายตัวมาอยู่ตรงหน้าหรือส่งเสียงตอบกลับมาให้ตนเองคลายความกังวลลงบ้าง แต่ก็ไม่เคยเป็นดังที่หวังไว้
แม้จะผ่านไปหลายคืนแล้วลูอาก็ยังคงพยายามส่งเสียงเรียกคานินซ้ำอยู่อย่างนั้น ถึงจะไม่มีวี่แววของคานินเลยสักครั้ง
ในตอนค่ำของคืนวันที่ 5 ลูอาถูกลากออกมาจากสถานที่คุมขังและถูกพามายังหน้าบ้านของผู้อาวุโอสูงสุดอีกครั้ง สถานที่ที่เคยเป็นลานกว้างโล่ง ๆ ก่อนหน้าถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่สำหรับลงโทษคานินและลูอาในค่ำคืนนี้
ลูอาถูกจับมัดไว้กับเสาไม้ต้นไม่ใหญ่ที่อยู่ใกล้กับบริเวณหน้าบ้าน ส่วนด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลนักมีเสาไม้ต้นที่ใหญ่กว่าอีกต้นหนึ่งตั้งอยู่ โดยที่รอบเสาไม้ต้นนั้นถูกสุมไปด้วยฟืนหลายท่อนที่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงกองใหญ่
เมื่อลูอาสังเกตเห็นคานินที่ดูสะบักสะบอมกว่าตนเองหลายเท่าถูกมัดมือ มัดขาและลำตัว ให้ติดอยู่บนเสาต้นนั้น ลูอาก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจและพยายามดิ้นรนให้หลุดจากเชือกที่มัดตนเองไว้
"คานิน!!! พวกท่าน นี่พวกท่านกำลังจะทำอะไรคานิน"
ไม่มีชาวบ้านคนไหนสนใจคำพูดของลูอาที่เอ่ยถามออกมา ทุกคนต่างให้ความสนใจกับคานินที่กำลังจะถูกลงโทษ บางคนก็เริ่มขว้างปาสิ่งของใส่คานินที่ไร้หนทางหลบหนี
"ปล่อยคานินนะ พวกท่านอย่าทำเช่นนั้น เอาข้าไปแทนก็ได้ ปล่อยคานินลงมาเถิด ได้โปรด"
ลูอาที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยคานินได้ พยายามส่งเสียงอ้อนวอนออกไปอย่างสุดความสามารถ
เมื่อถึงเวลาสำหรับการลงโทษ ผู้อาวุโสสูงสุดก็ได้มายืนอยู่ตรงกลางลานกว้างระหว่างคานินกับลูอา พร้อมกับประกาศให้ชาวบ้านได้รับรู้ถึงความผิดของผู้ที่จะได้รับโทษในค่ำคืนนี้
"บรรพบุรุษสร้างมาให้ชายหนุ่มคู่กับหญิงสาว แต่พวกเจ้าทั้งสองกลับทำผิดจารีตประเพณี พวกเจ้าเป็นชายทั้งคู่แต่กลับบอกว่ามีใจต่อกัน แค่นี้ก็ถือเป็นความผิดใหญ่หลวงแล้ว
อีกทั้งพวกเจ้าทั้งคู่ยังเป็นคนของท่านเทพ แต่ยังกล้าลักลอบมีความสัมพันธ์ต่อกันภายในศาลเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ ซ้ำพวกเจ้ายังไม่ละอายต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป
บาปที่พวกเจ้าได้ก่อไว้ยิ่งยากเกินจะให้อภัย พวกเจ้าจะต้องได้รับการลงโทษที่กล้าลบหลู่ท่านเทพถึงเพียงนี้"
ผู้อาวุโสสูงสุดหยุดพูดเพื่อมองหน้าของคานินที่ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวแม้กระทั่งในเวลาเช่นนี้ ก่อนจะพูดต่อ
"หากเจ้าสำนึกผิดหรือมีสิ่งใดจะพูดก็ให้รีบพูดมา ก่อนที่ข้าจะสังเวยชีวิตของเจ้าให้แก่ท่านเทพเพื่อขอขมาต่อความผิดใหญ่หลวงในครั้งนี้"
"ความรักของข้าที่มีให้ลูอามิใช่สิ่งผิด หากจะมีสิ่งใดผิดก็คงมีเพียงจิตใจที่มืดบอดของพวกเจ้า" คานินที่ยังคงมีท่าทีเรียบเฉยตอบออกมาโดยมิได้หวั่นเกรงแม้จะรู้ว่าตนเองกำลังจะถูกลงโทษเช่นไร
"เจ้านี่มันยโสยิ่งนัก จะตายอยู่แล้วยังจะอวดเก่ง" ผู้อาวุโสสูงสุดพูดขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะหันมาสั่งชาวบ้าน "จัดการมันซะ ข้าจะดูสิว่ามันจะอวดเก่งได้สักเท่าไหร่กัน"
เมื่อแสงไฟตรงหน้าเริ่มสว่างขึ้นผู้อาวุโสสูงสุดจึงหันหลังกลับมาแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าของลูอา
"ส่วนเจ้า ข้าจะให้เจ้าได้เห็นคนที่เจ้าบอกว่ารักถูกไฟเผาให้ตายลงต่อหน้าต่อตาเพื่อชดใช้ความผิดในครั้งนี้ จงสำนึกถึงสิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปซะ ก่อนที่เจ้าจะถูกลงโทษเป็นรายต่อไป"
ตอนนี้หูของลูอาไม่อาจรับรู้อะไรได้อีกแล้วแม้ว่าใครพูดอะไรออกมาก็ตาม ตากลมที่มีน้ำตาคลออยู่ก็มองเห็นเพียงแค่คานินที่เริ่มจะถูกเปลวไฟลามเข้าไปใกล้ ริมฝีปากแห้งผากก็พร่ำตะโกนร้องเรียกชื่อของคานินอยู่อย่างนั้น
แม้เปลวไฟจะเริ่มลามไปตามร่างกายของคานินทีละส่วนแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้ยินเสียงร้องใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อยคานินยังคงนิ่งสงบอยู่บนเสาไม้ที่กำลังไหม้ไฟต้นนั้น
ต่างจากลูอาที่พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีไปกับการดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกมัด แม้เชือกที่รัดไว้จะบาดผิวขาวจนเลือดไหลเป็นทางยาว ลูอาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับภาพตรงหน้า
และก่อนที่ไฟจะลุกโชนไปทั่วทั้งร่างของคานิน สายตาที่เต็มไปด้วยความรักก็ถูกส่งมาให้กับลูอาก่อนที่ประโยคสุดท้ายจะถูกเอ่ยขึ้น
"ข้ารักเจ้า"
"ม่ายยย!!! คานิน อย่าจากข้าไป คานิน ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปเช่นนี้"
"คานินนน!!! "
ลูอาที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายตะโกนขึ้นอย่างคนเสียสติกับภาพที่ได้เห็น สุดท้ายเมื่อไม่อาจทนต่อความเสียใจจากการสูญเสียอีกต่อไปได้ร่างบางจึงทรุดลงและร่วงไปกองอยู่บนพื้นทันที
"นำตัวมันไปขัง พรุ่งนี้ข้าจะลงโทษมันเป็นรายต่อไป" เสียงของผู้อาวุโสสูงสุดสั่งชาวบ้านให้จัดการกับร่างอันไร้สติของลูอาที่แน่นิ่งไปแล้ว
"หยุดก่อน ท่านผู้อาวุโสสูงสุด"
ระหว่างที่ชาวบ้านกำลังช่วยกันยกร่างของลูอาก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น จากนั้นชายกลางคนผู้หนึ่งจึงเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดเพื่อพูดเรื่องบางอย่าง
"ในฐานะที่ข้าเป็นบิดาที่ไม่ได้เรื่องจนทำให้บุตรชายของข้าต้องเป็นเช่นนี้ ข้าขอเป็นคนลงมือจบชีวิตของบุตรชายของข้าได้หรือไม่ ได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้เป็นผู้ชดใช้บาปในครั้งนี้ด้วยตัวของข้าเองด้วยเถิด"
ชายผู้นั้นก้มลงขอร้องด้วยความอ้อนวอน ผู้อาวุโสสูงสุดจึงหันหน้าไปยังผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เพื่อขอคำปรึกษา หลังจากพูดคุยกันสักพัก ต่างฝ่ายต่างลงความเห็นตรงกันว่า เมื่อเป็นความประสงค์จากผู้เป็นบิดาที่จะจัดการกับบุตรชายด้วยตนเองก็เห็นสมควรตามนั้น จึงตอบตกลงตามคำขอ
คืนสิ้นปี...ลูอาที่ยังทำใจไม่ได้กับการจากไปอย่างกะทันหันของคานินยังคงนอนร้องไห้อยู่ภายในห้องที่ถูกคุมขัง ลูอาไม่ได้คาดคิดไว้สักนิดว่าตอนจบจะออกมาเป็นเช่นนี้
แม้ลูอาจะพยายามเรียกหาคานินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คานินก็ไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะในความเป็นจริงหรือแม้แต่ความฝัน
สิ่งที่ลูอากำลังหวาดกลัวมากที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองกำลังจะตาย แต่เป็นเรื่องที่หากจบชีวิตลงไปแล้วจะยังมีโอกาสได้เจอกับคานินอีกหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ลูอาไม่อาจคาดเดาได้
'ขอแค่ได้พบคานินอีกสักครั้งก็ยังดี'
เสียงก็อกแก็กที่ดังขึ้นจากหน้าประตูห้องคุมขังเรียกความสนใจให้ลูอาหลุดจากภวังค์ของตนเอง ร่างที่ซูบผอมลงรีบคลานไปยังหน้าประตูด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้
'หวังว่าจะเป็นคานิน'
แม้ความหวังที่มีจะลิบหลี่ แต่ลูอาก็ยังหวังว่าจะได้เจอคานินสักครั้งก่อนที่ตนเองจะต้องจบชีวิตลง
"ลูอา"
เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยพร้อมกับภาพที่ปรากฏขึ้นในสายตา ก็ทำให้ลูอาต้องผิดหวังซ้ำอีกครั้ง
"ท่านพ่อ" ลูอาเรียกบุคคลที่กำลังนั่งลงบนพื้นหน้าประตูห้องคุมขังด้วยเสียงแผ่ว
ผู้เป็นบิดามองมาด้วยความเสียใจเมื่อเห็นครอบครัวเพียงคนเดียวของตนเองอยู่ในสภาพเช่นนี้
"ลูอา เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" เสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความห่วงใยดังเช่นทุกครั้ง
"ข้าไม่เป็นอะไรเลยท่านพ่อ ข้ายังสบายดี" ลูอาฝืนยิ้มและพยายามตอบให้บิดาคลายความกังวล
แขนทั้งสองข้างที่มีรอยเหี่ยวย่นเอื้อมเข้ามาภายในห้องคุมขังเพื่อกอดลูกชายสุดที่รักอย่างรู้สึกผิด
"ข้าขอโทษ ข้าเสียใจเหลือเกิน เพราะข้าเป็นคนอ่อนแอ ข้าจึงไม่สามารถปกป้องเจ้าได้เลยสักครั้ง ตั้งแต่ในวันที่เจ้าเกิดหรือแม้กระทั่งวันนี้"
"ท่านพ่อได้โปรดอย่าโทษตัวเองเช่นนั้น มันไม่ใช่ความผิดของท่านเลย" ลูอาพยายามพูดปลอบบิดาไม่ให้รู้สึกผิด "ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยถือโทษท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย"
อ้อมกอดจากผู้เป็นบิดากระชับร่างของบุตรชายให้แน่นขึ้นก่อนจะถอยออกจากห้องขังออกไปเล็กน้อย นั่นจึงทำให้ลูอาได้เห็นว่าด้านข้างของบิดามีกาน้ำและถ้วยใบเล็กถูกวางเอาไว้ แล้วประโยคที่ออกมาจากปากของผู้เป็นบิดาก็ไขข้อข้องใจถึงของสิ่งนั้น
"ความจริงในวันนี้ที่ข้ามา ... ก็เพื่อมาส่งเจ้าด้วยตัวของข้าเอง"
ยิ่งเมื่อได้เห็นสายตาที่แสนเจ็บปวดของบิดาในตอนนี้ ลูอาก็รู้ชัดเจนในทันทีว่าเวลาของตนคงใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว ลูอาจึงพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลเพื่อพูดคำสั่งเสียกับบิดาของตนเป็นครั้งสุดท้าย
"ท่านพ่อได้โปรดอย่าโทษตัวเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมิใช่ความผิดของท่าน แต่เพราะข้าทำตัวเองทั้งสิ้น"
"ข้าหวังว่าท่านดูแลตัวเองให้ดี เพราะข้าไม่สามารถที่จะอยู่ดูแลท่านได้อีกแล้ว"
"ชีวิตของข้าช่างสั้นนัก จึงไม่มีโอกาสได้ตอบแทนคุณของท่านในชาตินี้ได้ หากชาติใดเราได้พบกันอีก ข้าจะขอตอบแทนให้ท่านในตอนนั้น"
"ท่านพ่อ ช่วยมีชีวิตที่เหลืออยู่แทนข้าด้วย ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายของข้า"
ผู้เป็นบิดาไม่ได้ตอบรับคำขอ ท่านทำเพียงยกมือกร้านขึ้นลูบใบหน้าขาวที่ซูบลงของลูกชายพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้ จากนั้นจึงหยิบสิ่งที่เตรียมมาวางไว้ตรงหน้าห้องขัง จากนั้นจึงค่อย ๆ เทน้ำสีใสลงในถ้วยใบเล็กอย่างเชื่องช้าเพื่อต่อเวลาให้พูดคุยในสิ่งที่ต้องการกับบุตรชายได้นานขึ้น
"มีคนบอกกับข้าว่า เมื่อจิบสิ่งที่อยู่ในถ้วยนี้เพียงนิดเดียวก็จะทำให้จากโลกนี้ไปได้ จากไปโดยไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึกทรมาน เพียงหลับไปเฉย ๆ และจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก"
"คนผู้นั้นบอกข้าว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยเจ้าจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ได้"
"เขาให้คำมั่นกับข้าว่าจะปกป้องเจ้าแทนข้านับจากนี้ แต่ตัวข้าเองก็ต้องเสียสละเช่นกัน"
ลูอาเพิ่งสังเกตเห็นว่าบิดาไม่ได้ส่งถ้วยใบนั้นเข้ามาให้ตนเองอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับยกขึ้นเข้าใกล้ริมฝีปากของตัวท่านเองแทน พอเห็นเช่นนั้นลูอาก็เข้าใจทันทีว่าบิดาของตนกำลังจะทำอะไร
"ท่านพ่อ ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้"
"ลูอา หากในครั้งนี้ข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีก ข้าก็ไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จึงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น"
ลูอาพยายามร้องห้ามบิดาพร้อมกับเอื้อมมือไปหาหมายจะห้ามในการกระทำของท่าน แต่ดูเหมือนบิดาจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงถอยหลังออกไปจากห้องขังจนพ้นระยะมือที่ยื่นออกมา
ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตามองหน้าลูกชายสุดที่รักไม่วางตา ก่อนที่เสียงของแหบพร่าจะดังขึ้นอีกครั้ง
"แม้วิญญาณของข้าจะไม่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้อีกต่อไปแล้ว แต่ข้าจะยังคงมีชีวิตอยู่ภายในใจของเจ้าเสมอ"
"สักวันเราจะได้พบกันอีกครั้ง ข้าจะไปรอเจ้าอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น"
มือทั้งสองข้างยกถ้วยขึ้นดื่มจนหมดหลังจากกล่าวลาบุตรชายของตนเรียบร้อย
ถ้วยใบเล็กถูกปล่อยให้ร่วงหล่นจากมือกร้าน ร่างของชายวัยกลางคนค่อย ๆ ทิ้งตัวลงบนพื้นเยียบเย็น รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะค่อย ๆ ปิดลง
"ท่านพ่อ !!! "
ลูอาร้องตะโกนพร้อมกับพยายามเอื้อมมือไปยังร่างของบิดาที่นอนแน่นิ่งไป มือบางคว้าได้เพียงข้อมือข้างซ้ายของบิดาเท่านั้น แรงน้อยนิดพยายามลากร่างที่ใหญ่โตกว่าเข้ามาใกล้ตนเองให้ได้มากที่สุด
"ช่วยด้วย มีใครอยู่ไหม ข้างนอก มีใครได้ยินข้าไหม"
"ใครก็ได้ ได้โปรดช่วยท่านพ่อของข้าด้วย"
เสียงตะโกนดังก้องภายในสถานที่คุมขัง แต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์
สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีใครคอยเฝ้า ซ้ำยังอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนของชาวบ้าน แม้ลูอาจะส่งเสียงร้องดังแค่ไหนก็ไม่มีใครสักคนที่ได้ยินเสียงนั้น
ลูอาที่ไม่สามารถกอดร่างไร้วิญญาณของบิดาเอาไว้ได้อย่างที่ต้องการทำได้เพียงกุมมือของท่านเอาไว้ น้ำตามากมายไหลออกมาอย่างมิอาจกลั้น พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ปานจะขาดใจ
'ทำไมคนที่ข้ารักถึงต้องทิ้งข้าไปกันหมด ทั้งท่านพ่อ ทั้งคานิน'
แล้วทันใดนั้นเอง สายตาของลูอาก็เหลือบไปเห็นกาน้ำกับถ้วยเปล่าที่บิดานำมา มันถูกวางทิ้งไว้อยู่ไม่ไกลจากร่างของบิดานัก
'เมื่อจิบสิ่งที่อยู่ในถ้วยนี้เพียงนิดเดียวก็จะทำให้จากโลกนี้ไปได้'
คำพูดของท่านพ่อที่บอกไว้ก่อนจากไปดังขึ้น มือบางจึงรีบเอื้อมไปหยิบกาน้ำใบนั้นขึ้นมาเพื่อสำรวจ
'ขอเพียงให้ในกายังมีสิ่งที่บิดาดื่มเข้าไปหลงเหลืออยู่บ้าง แม้สักนิดเดียวก็เพียงพอ'
และไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ยังมีน้ำหลงเหลืออยู่ในกาใบนั้นและมากพอที่ลูอาจะดื่มมันเข้าไปได้
"ท่านพ่อ ข้าจะไม่รอเวลาไหนทั้งนั้น ข้าจะขอตามท่านไปในตอนนี้"
มือขาวยกกาน้ำขึ้นแล้วเทสิ่งที่เหลืออยู่ลงไปในปากของตนเองจนหมด ก่อนจะโยนทิ้งไปภายในห้องขังอย่างไม่สนใจ
ลูอาทิ้งกายลงนอนเคียงข้างกับบิดาโดยนำมือของท่านมากุมเอาไว้แนบอก ในใจก็นึกถึงบุคคลที่จากไปก่อนหน้า
'ข้าไม่รู้จะได้พบท่านอีกหรือไม่ แต่ข้าขอให้ท่านได้รู้'
'ข้ารักท่าน คานิน'
ก่อนที่สติที่เหลืออยู่น้อยนิดจะดับลง สายตาที่ใกล้จะปิดกลับได้เห็นปลายเท้าของใครบางคนที่ข้างนอกห้องขัง เมื่อมองไล่ขึ้นไปจึงพบว่าเป็นบุคคลที่ตนเองคิดถึงมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาปรากฏกายขึ้น
"คะ คานิน เป็นท่านจริง ๆ ใช่หรือไม่ ... ขะ ข้า ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ ... ทะ ท่าน มารับข้าใช่หรือไม่"
ลูอาที่อยากจะลุกขึ้นไปหาอีกฝ่ายด้วยความดีใจ ทำได้เพียงส่งเสียงแผ่วออกไปอย่างกระท่อนกระแท่น
ดวงตาคู่สีเหลืองทองมองมายังลูอาด้วยสายตาเช่นเดียวกับครั้งสุดท้ายที่ได้เห็น แล้วเสียงแหบทุ้มที่ลูอาคุ้นเคยก็ดังขึ้น
"วันนี้ข้ามาเพื่อทวงคำตอบที่เคยถามเจ้าลูอา"
ลูอาเข้าใจในความหมายของคำพูดนั้นทันที คำถามเดียวที่คานินเคยถามเอาไว้ และเป็นคำถามที่ลูอาไม่เคยให้คำตอบออกไปสักครั้ง
ร่างของคานินสลายไปแล้วมาปรากฏกายอยู่ภายในห้องคุมขัง จากนั้นจึงคุกเข่าลงใกล้กับตำแหน่งที่ลูอานอนอยู่ คำถามเดิมถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้งในวันนี้ พร้อมกับมือแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า
"ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปยังวิหารเทพแล้ว เจ้าจะกลับไปกับข้าได้หรือไม่"
ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่ลูอาจะต้องให้คำตอบกับคานินเสียที
**************************************************
มีบทส่งท้ายต่อด้านล่างนะคะ