บทที่ 23
กลับฝั่งกันเถอะ
หมวดทิน หรือ ร้อยตำรวจตรีทินกร ชัยกระจ่างวุฒิ เป็นตำรวจหนุ่มไฟแรง อนาคตไกล มีความสามารถ ตอนที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจใหม่ ๆ ญาติพี่น้องต่างชื่นในความเก่งกาจ หมอดูหลายสำนักต่างก็ทายทักกันว่า อนาคตของหมวดช่างสดใส มีแววได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ (ปัจจุบัน คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ)
หมวดทินได้คะแนนตลอดหลักสูตรสูงเป็นอันดับต้น ทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติล้วนมีผลการทดสอบสูงโดดเด่นหาคนเทียบยาก จึงถูกเสธ.หลายต่อหลายท่านทาบทามให้ไปเป็นลูกน้อง เพราะทั้งไหวพริบที่ไม่มีใครเทียบ ประกอบกับฝีมือยิงปืนที่แม่นราวกับจับวาง เขาจึงได้ทำงานในกรมแต่แรกเริ่มโดยไม่ต้องออกไปวนอยู่ตามสถานีตำรวจนครบาลหรือภูธรเฉกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น
แต่คนเราย่อมมีข้อเสียเคียงคู่กับข้อดีเป็นปกติ หมวดทินมีสันดานแย่ที่แก้ไม่ตก ไม่ว่าเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ที่สนิท หรือพ่อแม่จะทักท้วงตักเตือนแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคิดจะปรับปรุงตัว นั่นก็คือ ความเจ้าชู้
แรกอาจดูเป็นสิ่งธรรมดาของโลก สำหรับตำรวจหนุ่ม หน้าตาดี อนาคตไกล ที่ย่อมมีเสน่ห์ติดตรึงใจสาวสวยหลายต่อหลายคน หมวดทินบริหารเสน่ห์ตามประสาวัยรุ่น หนักข้อเข้าแม้แต่เมียเก็บของผู้ใหญ่หลายคนเขาก็ไม่เว้น เพื่อนฝูงต่างทัดทานว่า มันอันตราย เป็นแมงเม่าอย่าบินเข้าใกล้ไฟจนเกินตัว ถ้าอยู่ห่างกองไฟก็จะให้ความอบอุ่นแก่เรา แต่ถ้าเลือกโฉบบินเข้าไปแล้ว ท้ายสุดแม้แต่ชีวีก็อาจจะมอดม้วยกลางกองไฟนั้น เขากลับเถียงเพื่อนว่า ถ้าไม่เสี่ยง ใยเล่าจะคุ้มค่า ชีวิตต้องตื่นเต้นท้าทายกันบ้าง แถมเปลวไฟอันร้อนแรงก็แวววาวสวยงามจนเขาต้องยอมเสี่ยง
แล้วหมวดทินก็ได้ตื่นเต้นสมใจอยาก เขาถูกเด้งจากการทำงานที่กรมตำรวจ ทั้งที่เพิ่งเริ่มงานได้ไม่ถึงหนึ่งปี ฉากหน้าคือเขาได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นที่กล่าวขวัญไปทั้งรุ่นเพราะได้ติดยศเป็นร้อยตำรวจโท นำหน้ารุ่นพี่หลายรุ่นด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วเขาถูกดองเค็มค้างอยู่ที่ตำแหน่งร้อยตำรวจโทเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ มากไปกว่านี้ยังต้องโอนย้ายไปที่จังหวัดชายแดนใต้ เดชะบุญที่หลังจากผู้มีอำนาจเริ่มสงบนิ่งใจเย็นขึ้นบ้าง หมวดทินจึงถูกปรานีให้ย้ายไปที่จังหวัดตราด บ้านเกิดของตนเอง
เสือไม่เคยทิ้งลาย หมวดทินก็เช่นกัน ก็ยังเจ้าชู้ประตูดิน หลีสาวไปเรื่อย ไม่ว่าพ่อแม่จะพูดเช่นไร เขาก็ทำหูทวนลม รับปากขอไปทีทุกรอบ
วันหนึ่งตำรวจทั้งจังหวัดสนธิกำลังกับทหารบุกจับกุมผู้ค้าไม้รายใหญ่ที่ลอบตัดไม้ในอุทยานแห่งชาติเกาะช้าง วันนั้นเขาได้พบกับสตรีงามท่านหนึ่งที่มาราชการบนเกาะช้าง แน่นอนว่าความหล่อล้ำของหมวดทินเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจหนักหนาว่า สิ่งมีชีวิตใดที่เป็นอิตถีเพศก็มิอาจจะต้านทานได้ เขาเดินเกมส์ตามปกติแต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด เธอชื่อว่า ธาริณี
ธาริณี เป็นคนตราดแต่กำเนิด แต่กลับถูกฟูมฟักโดยญาติสนิทที่กรุงเทพฯ เธอจึงเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ ไม่ยอมคน แต่ก็แฝงไปด้วยคติความเชื่อโบราณ ๆ จำพวกรักนวลสงวนตัว
กลายเป็นว่าความแปลกประหลาดอันลงตัวของเธอดันมัดใจทินกรเสียอยู่มัด เขาเลิกเจ้าชู้ไปได้หลายปีเชียวหละ ตามจีบเธอนานจนเวลาล่วงเลยไปหลายขวบปี เพื่อนหลายคนต่างโจษจันว่าในที่สุดทินกรก็ถอดเขี้ยวเล็บแปลงร่างเป็นเสือแสนเชื่อง
ทินกรเทียวไปเทียวมาทำดีกับธาริณีจนในที่สุดเธอก็ใจอ่อน แล้วทั้งสองก็มีลูกชายคนแรกปลายปีเดียวกับที่เขาสองคนฉลองมงคลสมรสที่เกาะช้าง สถานที่แรกที่พวกเขาพบกัน
เขาตั้งชื่อลูกชายคนแรกว่า “ทัพกรณ์”“ดีมากทัพ ยิ่งแม่นเหมือนพ่อเลย”
เป็นธรรมดาในวันเสาร์อาทิตย์ที่ทินกรจะพาลูกชายเขาสวนยางพาราของแม่ยาย เพื่อสอนลูกชายคนเดียวยิงปืน เขารู้สึกภูมิใจที่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เพราะอายุเพียงแค่ไม่กี่ขวบลูกชายก็ยิงปืนได้แม่นมากพอแล้ว อันที่จริงเขาเลี้ยงลูกชายให้หัดจับปืนก่อนไถรถเด็กเล่นด้วยซ้ำ
“คราวนี้ พ่อจะสอนเรื่องปืนประเภทต่าง ๆ ดีมั้ย”
ลูกชายยิ้มอย่างดีใจ และดูตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อผู้เป็นพ่อลูบหัวด้วยความเอ็นดู
“เด็กดี จำไว้นะ ว่าปืนพกแบบนี้มีกระสุนเพียงแค่ไม่กี่นัด ถ้าคนร้ายคิดจะทำร้ายลูก ก็พยายามล่อให้มันยิงกระสุนให้หมด จากนั้นปืนก็เป็นแค่เศษเหล็ก”
ลูกชายขานตอบด้วยความเข้าใจ ธาริณีบ่นกับเขาเสมอว่า ลูกควรจับปากกาก่อนจับปืนสิ แต่ทำอย่างไรได้เล่า ก็ปากกามันไม่ตื่นเต้นเท่ากับกระบอกปืนนี่นา
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
“ปืนก็เป็นแค่เศษเหล็ก ได้ยินมั้ยตาม ปืนก็แค่เศษเหล็ก”
ผมยังจำคำพูดของพ่อได้ดี แต่ราวกับว่าคู่สนทนาไม่ค่อยได้ใส่ใจฟังผมมากนัก มันใจลอยหลายต่อหลายครั้งจนผมเริ่มหวั่นว่าตามอาจตกอยู่ในอันตราย
จากที่ผมคำนวณในใจ อีกเพียงไม่กี่นัดเท่านั้น มันก็จะยิงกระสุนหมด หลังจากนั้นเราก็สามารถเข้าปะทะกับมันได้โดยตรง แต่ดวงผมไม่ได้ดีแบบที่คาด แถมยังทำให้เพื่อนต้องมาลำบากไปกับผม เลือดมหาศาลที่ไหลรดตามทางยิ่งทำให้ผมหวั่นกลัว
อย่าหลับนะมึง อย่าหลับเด็ดขาด“ทิ้งกู...”
มันพร่ำเพ้อพูดสองคำนี้มานานหลายนาที ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนเทปที่เปิดหน้าเดิม ใจผมปวดร้าวไปหมด ทำไมต้องทำเพื่อกูขนาดนี้วะตาม ทำไมวะ ? ถ้าผมผ่าใจออกได้ ก็อยากจะเข้าไปกดลบชื่อพี่ปริ๊นซ์ออกแล้วยัดชื่อ
ตาม ใส่เข้าไปแทนที่เสียเหลือเกิน แต่มันก็เป็นแค่สิ่งที่เราจินตนาการ ท้ายที่สุดผมก็ฝืนใจตัวเองไม่ได้อยู่ดี
คนบางคนต่อให้ดีแค่ไหน แต่สถานที่ที่เหมาะสมกับเขาก็อาจเป็นได้แค่เพื่อน ต่างจากอีกคนที่ต่อให้เราพบความจริงว่าเขาเลวหรือผิดพลาดเพียงใด แต่ใจที่ทุ่มรักไปจนสิ้น ก็ไม่อาจถอดถอนคืนมาได้อีก
เหมือนสวรรค์เข้าข้าง พวกเราเดินย้อนกลับมาจนถึงบังกะโลของตามี เพียงไม่กี่ก้าวผมจะพ้นชายป่า แต่เพื่อนรักของผมน่ะสิ ร่างกายมันไม่สามารถฝืนรับอะไรได้อีกแล้ว เรากลิ้งล้มไปด้วยกัน ถ้าคุณคิดว่าแค่นั้นผมดวงตกอาภัพโชคแล้ว เปล่าเลย ยังมีอะไรที่อับโชคมากกว่านั้นอีก คือ ไอ้พี่โจรที่ไล่ล่าเข้าถึงตัวพวกผมอย่างพอดิบพอดี
ถ้าเป็นในหนังไทยที่ผมดู เสียงไซเรนต้องดังลั่นไปทั้งบริเวณ แสงไฟจากหน้ารถตำรวจต้องส่องจับไปที่ตัวคนร้าย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หลายนายควรกรูมาช่วยพวกผมแล้ว แต่ความเป็นจริงก็คือ ผมกำลังถูกเตะอัดที่ชายโครงซ้ำแล้วซ้ำอีก การเตะไม่ได้หนักหน่วงมาก ราวกับมันตั้งใจให้ผมทรมานช้า ๆ มากกว่าจะทำให้ผมตายภายในทีเดียว สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ อดทน ปกป้องไอ้ตามไว้ มันต้องปลอดภัยก่อน สำหรับตัวผมเองนั้น ค่อยคิดทีหลังแล้วกัน
“ผมขอเถอะ จะเอาเงินเอาตัวผมก็ได้”
“กูจะอ้วก”
เพื่อนด่าผมเสมอว่า ต้องตั้งสติ เวลาประหม่ากลัวทีไร ผมจะพูดไม่รู้เรื่องเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ราวกับสมองผมเตลิดจนไม่สามารถเรียบเรียบทุกอย่างได้ดีมากนัก
“ผมขอร้อง”
ผมหันหน้าเอี้ยวหัวไปเผชิญกับมัน แต่ตัวผมยังคร่อมบังร่างของตามไว้
“สายไปแล้ว”
ปลายกระบอกเหล็กจ่อมาที่เรา เมื่อพิจารณาให้ดี มันจ่อตรงไปที่หัวของตาม ไม่ใช่ผม...
ไม่ได้การแล้ว สายตาของผมจ้องนิ้วในโกร่งไก นับจังหวะในหัวแล้วผมก็กระโจนใส่มันทันที เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก่อนที่นิ้วจะประทับกดสุด เสียงปืนดังลั่นแต่กระสุนลอยขึ้นฟ้า เราชุลมุนชุลเกแย่งปืนกระบอกนั้นกันสักพัก
ผมโดนอัดเข่าจากการคลุกวงในกับมัน ร่างกายอันปวกเปียกของผมล้มลงใกล้กับร่างท่วมเลือดของเพื่อนที่หายใจอยู่รวยริน แล้วสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงก็เกิด ตัวมันถูกเตะลอยไปไกล ไม่พอ มันถูกกระหน่ำซ้ำอีกรอบจากเท้าใครสักคนที่ว่องไว ซ้ำอีกรอบ ซ้ำอีกรอบ ใครบางคนกำลังเข้ามากอดผม เสียงสะอื้นไห้
“ไม่เป็นไรนะลูก ตาอยู่ข้าง ๆ แล้ว ไม่เป็นไรนะทัพ”
ตาอันโรยราของผมยังจับจ้องไปที่โจรชั่วที่กำลังทำท่าจะลุกขึ้น ซึ่งสุดท้ายได้เพียงคิด เพราะมันถูกเตะฟาดอีกรอบจากฝีมือของนักมวยสมัครเล่น ผู้คว้าเหรียญทองในกีฬาเฟรชชีเกมส์ รูมเมตคณะนิติศาสตร์ของผมเอง
“เหี้ย พวกมึงไม่เป็นอะไรนะ”
หน้าพี เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็น
-------------------------------------------------------------
ผมตื่นมาในเช้าวันนั้นเอง วันจันทร์อันวุ่นวายของเมืองกรุง ทว่าผมยังอยู่เกาะกูด ร่างกายอันช้ำบวมระบมไปทั้งร่างเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์เมื่อคืน หน้าพียังเป็นสิ่งแรกที่ผมเห็นเหมือนกับสิ่งสุดท้ายก่อนหมดสติ มันกำลังยืนยิ้มยิงฟันขาวอวดผม สีหน้าดูดีใจสุดขีด
“ตื่นแล้วเหรอไอ้เหี้ย”นั่นคือคำทักทายที่มอบให้คนเจ็บปางตายเหรอไงวะ
น้ำเกลือที่ไหลเข้าร่างผมอีกครั้งในรอบไม่ถึงหนึ่งปี คงทำให้ผมอ้วนไปอีกหลายกิโลเชียวแหละ
“ตื่นแล้วเหรอ
เด็กดี”
เสียงอันคุ้นเคย
“เห้ย พ่อจ๋า”
“เออ” มืออันแข็งกร้าน แต่ละมุนนุ่มอ่อนโยนเสมอเมื่อลูบหัวผม “ทำได้ดีมาก”
“ครับ...?”
“พีเขาเล่าให้พ่อฟังหมดแล้ว ถ้าลูกไม่ทำแบบนี้ ไอ้หมอเพื่อนเราคงตายไปแล้ว”
พ่อบุ้ยปากไปยังเตียงข้างผม คนที่ถูกกล่าวถึงนอนนิ่งสงบไม่ไหวติง ราวกับว่าพีรู้ว่าผมจะถามอะไร มันจึงชิงเล่าก่อน
“ผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี ให้เลือดแล้ว ไม่ต้องห่วงมึง แค่ยังไม่ฟื้น”
“พ่อ... พ่อมาได้ไงอะ?”
“อืม” พีกับพ่อมองหน้ากัน ผิดสังเกตเกินไปแล้ว “ทำไมครับ.... เกิดอะไรขึ้น....?” ผมถามย้ำอีกรอบ แต่ทั้งสองคนก็ยังจ้องหน้ากันไปมาด้วยความสับสนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“แม่แกเขาอยากมานะ แต่ติดเรื่องผู้ว่าฯ”
“พ่ออย่ามาเปลี่ยนเรื่อง”
“มึงใจเย็น ๆ นอนก่อนมั้ย เดี๋ยวกูไปตามหมอ”
พีพยายามดันผมที่ใช้แรงทั้งหมดถีบตัวเองขึ้นนั่งให้กลับไปนอน
“พอทั้งคู่ เล่ามา”
ไม่มีใครห้ามผมได้ ผมต้องรู้ความจริงทั้งหมดเดี๋ยวนี้ตอนนี้ และผมนั่งพร้อมรอคำตอบจากทั้งคู่แล้ว
“เออ”
ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน
“งั้นพีเล่า พ่อไปนั่ง” ผมจัดแจงตำแหน่งให้ทั้งสองคน พ่อลากเก้าอี้มานั่ง พร้อมพึมพำอะไรบางอย่างทำนองว่า
ขี้สั่งเหมือนแม่มันเล้ย ไอ้เด็กคนนี้ พีซึ่งถูกผมจ้องอย่างไม่วางตาจึงได้แต่เพียงส่ายหัวก่อนอ้าปากเล่าเรื่องทั้งหมด
“สรุปว่า ตำรวจคนนั้นตายแล้ว”
หน้าผมซีดเผือดไปหมด ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์
“อืม ทำใจดี ๆ นะเพื่อน”
“เขาตายในหน้าที่นะลูก อย่างน้อยถ้าเขาไม่ยิงโต้ตอบถ่วงเวลาให้ ลูกและเพื่อนคงไม่สามารถหนีเข้าไปในป่า ป่านนี้ลูก ๆ ก็อาจตายกันไปแล้ว”
“แต่ถ้าผมกับเพื่อนไม่ตะโกนเรียกพวกเขา คนร้ายก็คงไม่ยิงเขาจนตาย” ผมช็อคกับการสูญเสียที่ผมเป็นคนก่อ ถ้าเพียงผมห้ามตามไม่ให้ตะโกนในตอนนั้นได้สำเร็จ “ผมควรจะห้ามมันไม่ให้ตะโกน”
“ก็เป็นจริงแบบที่พ่อสันนิษฐาน ว่าลูกคงไม่ได้ตะโกน..... แต่ช่างเถอะลูก เราแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว มันเกิดขึ้นไปแล้ว เข้าใจมั้ย....?”
คำพูดของพ่อสะกิดใจผม ใช่เพียงเรื่องเดียวที่ไหนกันเล่าที่ทำให้ผมติดอยู่กับความผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้
“ต้องเดินหน้าต่อไป” พ่อจับมือผมราวกับท่านต้องการส่งผ่านกำลังใจมาให้แก่ผม “คืนนี้งานศพคืนแรก พ่อว่าจะไปหน่อย”
“ผมไปด้วยพ่อ”
“มึงอะนอนเลย”
“ไม่ กูจะไป” ตวาดพีเสร็จ ผมก็หันไปมองพ่อด้วยสายตาอ้อนวอน “นะ พ่อจ๋า ทัพอยากไป แล้วทัพก็อยากไปแทนเพื่อนด้วย”
ตามยังนอนสงบนิ่ง เมื่อมันตื่นคงจะเสียใจมากเป็นแน่
“เอ้า ไปก็ไป ดีเว้ย เด็กดีมากลูกหมวดทิน” มือหนักของพ่อบีบที่ไหล่ ความอบอุ่นแผ่ซ่านมาที่ตัวผมราวกับเป็นน้ำอำมฤตแห่งกำลังใจอีกครั้ง “แต่ต้องไปเกาะช้างนะลูก ไหวแน่นะ วัดที่เกาะกูดศาลาเต็มหมด จัดงานไม่ได้น่ะ”
“ไหวครับ... แค่ไหนก็ไหว”
แค่คิดถึงความโคลงเคลงบนเรือด่วนที่แล่นจากเกาะกูดไปเกาะช้าง แผลตรงชายโครงผมก็พร้อมใจกับส่งความร้อนประท้วงล่วงหน้าแล้ว
“งั้นเดี๋ยวกูไปตามหมอให้นะ”
พีเดินจากไป ทิ้งให้ผมอยู่กับพ่อเพียงลำพัง
“เพื่อนดีนะลูก”
“ครับ”
“ดีแล้ว พ่อไม่มีอะไรต้องห่วง”
“พ่อ ทัพเพื่อนเยอะนะ”
การส่ายหัวของพ่อ ย้ำชัดว่าท่านไม่เชื่อคำโกหกของผม
“พ่อรู้มาตลอดนะทัพ ว่าลูกไม่มีเพื่อนที่โรงเรียน รู้ว่าลูกกดดัน พ่ออยากปลอบลูก อยากคุยกับลูกนะ แต่พ่อไม่กล้า พ่อขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับว่าพ่อเป็นสาเหตุหนึ่ง ไม่สิ สาเหตุหลักเลยที่นำลูกมาเจอเรื่องแบบนี้”
เลือดคาวปริ่มไหลในปากจากฟันที่กัดลึกบนริมฝีปาก น้ำตาเริ่มคลอหน่วย ทำได้เพียงเช็ดออกไป เพราะอยากจะเข้มแข็งเสมอต่อหน้าชายคนนี้
“ไม่ครับ ไม่ใช่”
“พ่อขอโทษนะลูก”
“ไม่ใช่หรอกพ่อ ช่างมัน”
“พ่อดีใจนะ ที่ลูกโตมาได้ดีขนาดนี้ ทั้งที่พ่อกับแม่” พอกันที ร้องไห้ไปเลยแล้วกัน ไม่ต้องกลั้นอะไรไว้อีกแล้ว “ไม่เอาสิ ไม่ร้องนะ โอ้ ๆ เด็กดี”
ผมสะบัดพ่อที่พยายามกอดและยีหัวผม ก็แค่อยากสลัดความเขินอาย เพราะสุดท้ายผมก็ปล่อยตัวเองให้อยู่ในวงแขนของท่าน โดนลูบหลังพร้อมกับฟังคำกระซิบของท่านอย่างตั้งใจ
“พ่อภูมิใจในตัวลูกนะ...
ไม่ว่าลูกจะเลือกอะไรก็ตาม”
ขนที่หลังผมลุกชัน ทำไมผมรู้สึกว่าท่านไม่ได้สื่อแค่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่ท่านกำลังบอกเป็นนัยถึงเรื่องอื่นที่ผ่านมาด้วย
-------------------------------------------------------------
ธงไตรรงค์คลุมทับบนโลงศพของคุณตำรวจที่สละชีพในหน้าที่ ญาติจากต่างจังหวัดกำลังเดินทางมา ผมและพ่อจึงทำหน้าที่เป็นญาติให้กับผู้เสียชีวิตแทนไปก่อน
“พรุ่งนี้ผู้ว่าฯ เป็นเจ้าภาพ แกอาจจะได้เจอกับแม่แกนะ”
“ครับพ่อ”
ชามใส่อาหารของว่างหลังสวดที่ซ้อนอยู่ในถาดถูกวางไว้หลังครัว กะละมังน้ำหลายใบวางเรียงราย
“พ่อไปนั่งพักเหอะ ผมล้างเองได้ ไม่กี่สิบใบเอง”
คืนแรก มีเพียงเพื่อนตำรวจไม่กี่คนเท่านั้นที่มาร่วมงาน
“ไหวแน่นะ?”
“ไหวครับ...”
ผมยิ้มรับให้กับสีหน้าห่วงกังวลของท่าน
“คืนนี้จะกลับไปนอนที่โรงพยาบาลเกาะกูดจริง ๆ เหรอลูก...?”
ตูดที่กำลังหย่อนนั่งบนเก้าอี้ตัวน้อยประจำแท่นล้างจานจึงลอยค้างเติ่ง สายตาของผมมองย้อนกลับด้วยความสงสัย
“ทำไมอะพ่อ ไม่อยากทิ้งตามกับพีไว้อะ”
“พ่อกลัวแกเหนื่อย”
“ไม่เป็นหรอกนะพ่อ ผมบอกตาแล้วให้เอาเรือมารับ รถก็มี คนร้ายก็โดนจับไปแล้ว”
“แต่แผลแกยังไม่หายนะไอ้ทัพ”
“แค่แผลขีดข่วน ฟกช้ำเท่านั้น” ผมหย่อนตูดลงนั่ง “ล้างจานก่อนละกันนะครับ”
ตัดบทดีกว่าจะโต้เถียงกับพ่อจ๋า เถียงไปอย่างไรก็ไม่ชนะ ทำได้เพียงดื้อแพ่งเท่านั้น
แต่ทำไมผมกลับรู้สึกถึงความเคลือบแคลงสงสัยบางอย่างในตัวของพ่อ หรือพ่อจะสงสัยเรื่องที่ผมกลับมาตราดกะทันหัน หรือพ่อจะสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างผมกับตาม หรือว่าพีจะเผลอเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับพี่ปริ๊นซ์ ออกไป
เรื่องที่ผมเป็นเกย์ ไม่เคยหลุดรอดให้ใครในจังหวัดตราดรู้ ยกเว้นบอส ไม่มีใครสักคนที่ระแคะระคายเรื่องนี้ ผมเรียนรักษาดินแดนเฉกเช่นเพื่อนผู้ชายคนอื่นในรุ่น และโดยส่วนตัว ผมไม่ชอบการตุ้งติ้ง แต่งหญิง หรืออะไรหวาน ๆ แบบที่หญิงสาวชอบกัน ดังนั้นไม่ควรที่จะมีใครสงสัยในตัวผม แต่สายสัมพันธ์พ่อลูกมันบอกให้ผมกริ่งเกรงต่อสายตากระหายรู้ของพ่อ
ความไม่รู้คละความระแวงสงสัยจึงหอบเดินทางกลับเกาะกูดมากับผมด้วย ร่างอันอ่อนล้าของผมล้มตัวลงบนเตียงคนไข้ข้าง ๆ เตียงตาม
“สรุปว่า หมอเขายังให้มึงนอนที่โรง’บาล?”
“เออ กูยังไม่ได้ออก แค่ขอออกไปทำธุระชั่วคราว เขายังต้องตรวจอาการกูอยู่”
“เปลี่ยนชุดสักนิดมั้ย ถ้างั้นอะ”
ผมดูชุดดำในตัวที่ยืมจากคุณหมอ ล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจที่จะนอนทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำ แม้แต่เปลื้องผ้าออกเปลี่ยนเป็นอีกชุด ก็ไม่อยากจะทำ
“ไม่เอาอะ ขี้เกียจแล้ว”
ผ้าห่มพิมพ์ลาย โรงพยาบาลเกาะกูด ถูกพาดห่มคลุมทับถึงต้นคอของผม รูมเมตเพื่อนยากของผมเดินส่ายหัวไปปิดไฟด้วยความไม่พอใจ เสียงล้มตัวลงนอนบนเตียงของญาติเฝ้าไข้ดังขึ้นมาชั่วครู่แล้วเงียบลง ผมรู้สึกแย่ที่ทำให้เพื่อนรักเคืองใจ พีมันรีบเคลียร์งานทุกอย่างแล้วพุ่งตรงมาที่เกาะกูดแทบจะในทันที วันนั้นมันรอผมกับตามที่ห้องอาหาร กะเซอร์ไพรซ์พวกเราเต็มที่ แต่ก็ดันเกิดเรื่องเสียก่อน
“มึง... กูกลัวพ่อรู้เรื่องที่กูเป็นเกย์”
ความเงียบที่น่าอึดอัดถูกทำลาย
“อืม”
คำตอบของพี่ลอยข้ามเตียงของตามที่กั้นกลาง
“พี อย่าโกรธกูสิ กูขอโทษ”
“ไม่ได้โกรธ”
“จริงเหรอ”
“เออ จริง”
“กูให้มึงตอบใหม่”
“
เออ กูโกรธ” นั่นปะไร “โกรธที่มึงพาตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้ โกรธที่มึงทำอะไรโง่ ๆ แล้วไอ้คนที่เรียนหมอก็ทำเรื่องโง่กว่าอีก จบหมอจริงเปล่าวะสัด โกรธที่แม่งไม่คิดจะบอกกูสักคำ อยากทำอะไรก็ทำกันเอง กูไม่ใช่เพื่อนหรือไงวะ”
“กูขอโทษ”
“สรุปมึงกับพี่ปริ๊นซ์เกิดเรื่องเหี้ยไร เล่ามาเลยนะ”
“ได้” ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พีที่นิ่งเงียบฟัง “ก็ตามนั้นแหละ”
“ไอ้สัดพี่ปริ๊นซ์”
เสียงต่อยหมัดลมลอยกระทบหูผม
“ช่างเหอะ จิตใจกูเยียวยาตัวเองแล้ว ถ้าตามมันฟื้นแล้วโอเค กูจะกลับฝั่ง กลับ กทม. ไปทำงานแล้วหล่ะ”
“ไอ้เหี้ยปริ๊นซ์แม่ง” เสียงดังอึกทึกเล็กน้อย แว่วเป็นเสียงเหมือนหมัดแหวกอากาศอีกครั้งสองครั้ง ก่อนเงียบหายไป “กูเจอหน้าจะต่อยมันซะที เหี้ย ไม่น่าเลยกู กูไม่น่าชวนมันเลย”
“ชวนอะไรวะมึง”
“รอก่อน รอตามฟื้นก่อน”
“อืม”
“แต่กูถามจริง”
“ทำไมวะมึง...”
“ใหญ่มั้ยวะของพี่ปริ๊นซ์น่ะ?”
“ไอ้เหี้ยพี” เราสองคนหัวเราะพร้อมกัน “กูรักมึงก็ตรงนี้แหละ” สิ้นเสียงพีตอบกลับมาว่า กูก็รักมึงนะทัพ ผมก็พูดต่อ “มึงอย่าไปโกรธพี่เขาเลย เขาคงขาดสติจริง ๆ แหละ พอกูมานั่งทบทวนให้ดี กูก็ผิดนะที่ทิ้งเขาไว้ที่ร้านอย่างนั้น กูควรจะถามเขาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงต้องตัดสินใจอย่างนั้น มันต้องมีเหตุผลซ่อนอยู่เสมอ”
ผมหลับตาแล้วคิดถึงการกระทำอันแสนสะเพร่าของผม ถ้าเพียงแต่ผมคิดให้ถี่ถ้วนรอบคอบกว่านี้ หลายต่อหลายคนอาจไม่ต้องมาลำบากหรือแม้กระทั่งตาย
“กูก็คิดว่ามีเหตุผลนะ แต่ไม่ว่าจะเหตุผลเหี้ยอะไร มึงจะเจออะไรที่เลวร้ายเพียงใด ก็ไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างกระทำเรื่องเหี้ย ๆ กับคนอื่นได้นะเว้ย มันไม่ใช่อะ.... แต่ตอนที่กูไปช่วยเรื่องคดี จากการประเมินเงินที่พี่เขาหาได้ ยังไงก็พอที่จะผ่อนจ่ายหนี้ตามสัญญาฉบับใหม่ได้อย่างสบาย แค่แปลกใจว่าทำไมต้องคิดสั้นเอาตัวเองเข้าแลกขนาดนั้น เท่านั้นแหละ”
“นั่นสินะ”
ตาผมปิดสนิท พร้อมปล่อยกายจมสู่ห้วงนิทรา
“มึง พ่อมึงอะ เค้นกูไม่หยุด ยังกับสอบปากคำกู”
“...............”
“เขาถามกูว่า ทำไมตามต้องเสียสละตัวเองเพื่อมึงขนาดนั้น” ผมหยุดหายใจ ทำไมซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้นะ “ไม่ต้องห่วงนะ กูโกหกไปแล้วว่าเราสนิทกันมาก ซึ่งถ้าพูดตามจริงก็ไม่ได้โกหกนะ แค่บอกไม่หมด มึงโอเคนะ”
“กูโอเค”
“มึง”
“ครับ”
“กูกลัวตามไม่ฟื้นหวะ”
“ไอ้บ้าพี ฟื้นสิ”
“มึง”
ผมไม่ชอบเลย ที่พีไม่ตลกเฮฮาแบบเมื่อก่อน บรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ไม่ใช่พีที่ผมรู้จักแม้แต่น้อย
“กูสงสารมันหวะ ถ้ามันตื่นขึ้นมารู้ว่าตัวเองทำให้คนคนหนึ่งต้องตายไป มันจะทำใจได้เหรอวะ...?” ร่างตามที่นอนทอดอยู่เตียงข้าง ๆ เต็มชัดในแววตาของผม “เห็นมันเถื่อน ๆ ชอบเล่นมุกกาก ๆ มันเป็นคนเซนซิทีฟมากเลยนะ ไม่ได้อยากจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับมันหรอกนะ มันร้องไห้เรื่องมึงตลอดเลยตั้งแต่ที่มันรู้ว่ามึงคบกับพี่ปริ๊นซ์”
มีแต่เสียงจักจั่นจากเบื้องนอกที่ดังคลอเท่านั้น
“มันอาจจะจำไม่ได้ว่ามันโทรหากู แต่มีช่วงหนึ่งที่มันเมาแทบทุกคืน แล้วก็โทรมาร้องไห้บ่นเรื่องมึงให้กูฟัง มันบอกมันลืมมึงไม่ได้ มันทำไม่ได้ ก่อนวางก็จะขอให้กูสัญญาจะไม่บอกใคร แล้วมันก็พูดกับตัวเองว่า กูทำใจได้แล้ว กูจะหาแฟนใหม่ กูมีแฟนแล้วอะไรของมันนี่แหละ กูไม่รู้หรอกนะว่าเหี้ยอะไรทำให้มันฝังใจกับมึงขนาดนั้น พอกับที่กูก็ไม่รู้ว่าพี่ปริ๊นซ์มันมีดีอะไรที่ทำให้มึงหลงหัวปักหัวปำ แล้วไม่ต้องห่วงนะ กูจะไม่ละลาบละล้วงเรื่องนั้น แต่...”
“............”
“แต่คือ......”
“พูดมาเถอะพี”
“มึงใจดีกับมันบ้างได้มั้ย กูรู้ว่ามึงเป็นคนแบบนี้มาตลอด มึงเปลี่ยนไปสำหรับมันอะทัพ นับแต่ทริปสงขลาที่มันสารภาพรักกับมึง มึงก็เปลี่ยนไป ปกติมึงเย็นชา แต่ตาของมึงยังมีแววใสว่าใส่ใจ กับตามไม่ใช่ มึงเมินเฉย เหมือนมึงกลัวอะไรตลอดเวลา”
“กูกลัวนะพี”
“กลัวจะหลงรักมันเหรอวะ”
“ใช่เวลาตลกมั้ยพี”
“อ้าว กูเห็นเครียด”
“สัด”
“ฮ่า ๆ หรือกลัวเจ็บ ของตามใหญ่นะมึง มึงก็รู้ กูเคยอาบน้ำกับมัน เห็นหมดอะ”
“สัดพี”
“โอเค ๆ ฮ่า ๆ ว่ามาเพื่อน”
“มิตรภาพมั่นคงมากกว่าความรักนะ” อะห้า เสียงตอบจากพี เร่งเร้าให้ผมที่ทิ้งช่วยเล่า ดำเนินเรื่องต่อ “กูไม่อยากเสียมันไป”
“อืม นั่นสินะ กูนอนละ”
“อืม” เสียงพลิกตัวจากพีเป็นสัญญาณยืนยัน “เออ มึง เรื่องตำรวจที่เสีย เราปิดตามไว้ก่อนดีมั้ย”
“ตามนั้นเลยเพื่อน”
“ทัพ”
ผมที่กำลังเคลิ้มสะดุ้งตอบอะไรสักอย่างไป
“มึงใจดีกับมันได้มั้ย...”
“ยังไง”
“แกล้งหลอกว่ารักมันก็ได้ กูขอ”
“............”
“อย่างน้อยก็แค่ช่วงนี้ ไม่รู้มันเครียดเรื่องอะไรอยู่ แต่กูเชื่อว่ามี” ผมนึกถึงเรื่องหยก “กูอยากให้มันเล่าออกมาเอง ถ้ามึงทำได้แล้วไม่ฝืนใจจนเกินไป ใจดีกับมันหน่อยนะ”
ไม่มีคำตอบใดจากผม และพีก็ไม่ได้คิดที่จะคาดคั้นคำตอบจากผม เราสองคนแค่เงียบใส่กันแล้วปล่อยให้จักจั่นขับกล่อมเราเข้าสู่ห้วงนิทรา
-------------------------------------------------------------
“อาการคุณทัพกรณ์ดีขึ้นแล้วนะครับ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ก็กินยาตามที่หมอสั่ง อย่าออกแรงมาก พยายามพูดให้ช้า ๆ หน่อยนะครับ จะดีต่อแผลมากกว่า จะได้ไม่กระเทือน ปอดทำงานไม่หนักเท่าด้วยนะครับ อาจดูรำคาญติดขัดไปบ้างช่วงแรก พยายามเข้านะครับ สำหรับค่าใช้จ่ายติดต่อฝ่ายการเงินได้เลย”
ผมยกมือไหว้คุณหมอที่เดินจากไป หันไปยิ้มให้เพื่อนยากที่ยังนอนไม่ได้สติ ลูบเหม่งมันไปหนึ่งที
“กูเคยเฝ้าไข้มันมาแล้วครั้งหนึ่ง เผลอไม่นานก็เฝ้าอีกแล้ว ภาวนาให้เป็นครั้งสุดท้ายนะ”
“เออ ครั้งแรกของกูเลยห่า แล้วนี่มึงจะไปแต่เช้าเลยเหรอวะ”
“อืม ไปรับญาติของคุณตำรวจมาที่วัดน่ะ กูอยากไปขอขมาเขาด้วยตัวเองด้วย”
ผ้าเย็นถูกยื่นมาให้ผมที่ยักคิ้วกลับด้วยความสงสัย
“เอ้า เผื่อโดนตบหน้าไง เอาไว้เช็ด”
“พ่องสิ แช่งกู”
แล้วก็มีแต่เสียงหัวเราะอันสดใสของพีที่ดังกังวานไปทั้งโรงพยาบาล
“มีอะไรโทรหากูล่ะ เอ้า” ผมยื่นโทรศัพท์มือถือของไอ้ตามที่ฝากตามีหยิบมาส่งให้พี “ฝากชาร์จด้วย เผื่อมันตื่น จะได้โทรหาที่บ้าน แล้ววันนี้มึงจะมางานศพด้วยจริงเหรอ”
“มึงดูชุดกู” มันพรีเซนท์ชุดดำซึ่งผมไม่เข้าใจพวกทนายเลย ทำไมถึงต้องพกชุดดำพร้อมไปงานศพไว้ในกระเป๋าทุกครั้ง
“พร้อมขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวเย็น ๆ เจอกัน”
-------------------------------------------------------------
(ต่อข้างล่างฮะ)