ต่อค่ะ
ผมหนีกลับมาขึ้นรถม้ายกมือขึ้นจับหน้าอกรับรู้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่เต้นรัวเสียจนน่ากลัว เป็นหนึ่งแกเป็นผู้ชายแท้ๆ นะเว้ย แกจะมาเขินมาใจเต้นแรงแบบนี้ไม่ได้ สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง และใคร่ครวญถึงอาการแปลกๆ ของตัวเอง
“หึย เป็นเพราะท่านคนเดียวเลย” ต้นเหตุของอาการของเขา
.
คล้อยหลังกระต่ายตัวขาวที่กระโดดหนีไป ชินอ๋องยกยิ้มกว้างอย่างที่มิมีผู้ใดเคยเห็น ช่างเป็นกระต่ายน้อยที่น่าเอ็นดูยิ่ง ผิวแก้มนิ่มนั้นยังคงติดอยู่ในสัมผัส แววตากลมที่สบตาเขาอย่างไม่หวาดกลัวและซื่อตรงนั่นยิ่งตรงใจเขา กล่าวคือไม่มีทั้งบุรุษและสตรีกล้าสบตาเขาอย่างไม่หวั่นกลัว เจ้าตัวน้อยถึงขั้นมางอนง้อในใจยิ่งเกิดความรู้สึกเอ็นดู อารมณ์หงุดหงิดนั้นจางหายในพริบตา กระโดดขึ้นหลังม้าควบเยาะๆ ไปยังหัวขบวน
“เจ้าดูอารมณ์ดี”
“แล้วไม่ดีรึ” ผินหน้าไปมองสหายที่ควบม้ามาข้างๆ
“คงเป็นเพราะน้องข้าสินะ” เมื่อสหายพูดถึงกระต่าย มุมปากก็ยกยิ้มแต่มิไม่พูดตอบออกไปหากแต่เร่งควบม้านำเพื่อเป็นการตัดบท เมื่อเดินทางจนพลบค่ำก็ตั้งค่าย
“สลับเวรยามอย่าให้ขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อกำชับทหารเสร็จก็ทรงเดินไปยังกองไฟที่ตระกูลไป๋นั่งอยู่ก่อนแล้ว ก้าวไปนั่งข้างๆ กระต่ายที่สะดุ้งพร้อมกับก้มหน้าลบสายตาเขา
“มื้อนี้เจ้าทำอะไรรึ” เพียงแค่เอ่ยถามเจ้ากระต่ายก็สะดุ้งแล้วเอ่ยออกมาเสียงสั่นเบา
“อ่า ข้าทำข้าวต้มขอรับพี่เว่ย” อย่างน้อยหลิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้หลบเลี่ยง ทั้งยังคีบอาหารเผือแผ่มายังเขา เมื่อกินมื้อเย็นเรียบร้อยต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปพักผ่อน อวี้จิ้งจะเป็นผู้เฝ้ายามวันนี้ ส่วนตัวเขานั้นเมื่อไม่มีผู้ขัดขวางแล้วก็ก้าวไปยังรถม้าที่อยู่ไม่ไกลกัน
ก๊อกๆ
“ใครนะ”
“ข้าเองหลิงเอ๋อร์”
“อ่าพี่เว่ยท่านมีอะไรหรือขอรับ” เสียงกุกกักข้างในพอให้รู้ว่าคนข้างในนั้นขยับตัว
“พรุ่งนี้เจ้าอยากจะขี่ม้าหรือไม่”
“อ๊ะ ได้หรือขอรับ” น้ำเสียงดีใจนั้นทำให้เขาคิดไม่ผิดที่เดินมาเอ่ยชวน หากเจ้าสหายยังอยู่คงไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาใกล้รถม้าเป็นแน่
“ได้สิ ข้าจะสอนเจ้าเอง”
“ขอบคุณนะขอรับ” และต่างฝ่ายต่างเงียบงันจนกระทั่งเสียงหวานลอดจากรถม้า “ฝันดีนะขอรับพี่เว่ย” แล้วทุกอย่างในรถม้าก็เงียบลงปล่อยให้เขาผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านนอกเป็นฝ่ายนิ่งงันแทน อ่า ข้าอยากจับกระต่ายไปนอนกอดยามนอนเสียจริง
.
.
รุ่งเช้าร่างบางรีบตื่นนอนลุกไปทำธุระส่วนตัวแล้วค้นหาชุดที่ดูทะมัดทะแมงที่สุดในหีบโชคดีที่ยังมีชุดสีดำเมื่อแต่งตัวเสร็จผมก็ให้ซื่อจูช่วยรวบผมให้
“เหตุใดเจ้าแต่งตัวเยี่ยงนั้นเล่าน้องพี่”
“เอ่อ..คือว่าพี่เว่ยจะสอนข้าขี่ม้าขอรับ” มือเรียวกำแขนเสื้อแน่นเมื่อลงจากรถม้าก็เห็นพี่ใหญ่มายืนรออยู่แล้ว และเมื่อรู้ว่าน้องชายจะไปฝึกขี่ม้ากับผู้ใดคิ้วหนาก็ขมวดเป็นปมแน่น เจ้าสหายน่าตายของเขาไปนัดแนะกับน้องรักเขาตั้งแต่เมื่อใด
“เอาเถอะ หากเจ้านัดกันแล้วพี่ก็คงห้ามไม่ได้”
“ขอบคุณพี่ใหญ่มากขอรับ ไว้ข้าจะทำของหวานอร่อยๆ ให้ทานนะครับ” เพียงได้ยินว่าน้องรักจะทำขนมอาการหวงก็ดูจะลดลงระดับหนึ่ง
“ข้ารักพี่ใหญ่ที่สุดเลย” กระโดดเข้าไปกอดแขนถูไถใบหน้ากับต้นแขนใหญ่อย่างออดอ้อนแล้วค่อยพากันไปร่วมวงทานข้าวเช้าผมให้ซื่อจูขึ้นไปนั่งรถม้าส่วนผมก็ยืนอยู่ข้างชินอ๋อง โดยไม่ไกลนั้นม้าสีดำตัวใหญ่ถูกผูกอยู่
“นี่คือเฮ่ย (สีดำ) ของข้า”
“มันตัวใหญ่จัง” ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งดูสูงใหญ่ ผมเปลี่ยนความคิดได้ไหมกลับไปนั่งรถม้าเหมือนเดิมได้รึเปล่า พอเข้าไปใกล้เจ้าเฮ่ยก็พ่นลมหายใจเสียงดังท่าทางฮึดฮัดเล่นเอาผมกระโดดหลบหลังกว้าง
“ไม่เป็นไร เจ้าเฮ่ยเพียงแค่ทักทายเจ้า” ทักทายได้น่ากลัวมากเลยขอบอก
“มันจะไม่กัดหัวข้านะขอรับ” เสียงหัวเราะเบาๆ จากผู้เป็นกำบังนั้นทำให้แก้มเนียนขึ้นสีระเรื่อ เมื่อนึกได้ว่าตัวเองนั้นพูดอะไรออกไป
“มาเถอะเจ้าไปทำความรู้จักกับมันกัน” มือใหญ่เลื่อนมากุมมือเล็กอย่างแผ่วเบาหากแต่หนักแน่นในความรู้สึกว่า หากมีมือคู่นี้คอยกอบกุมอันตรายใดๆ ก็ไม่สามารถแผ่วพานเขาได้
“ค่อยๆ สัมผัสมัน” ผมค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้แล้วชูมือให้เฮ่ยดมแม้แรกจะพ่นลมหายใจใส่ผมก็ตามไม่นานก็ดูมีท่าทีอ่อนลง ผมลูบด้านหน้ามันด้วยความตื่นเต้น
.
.
ท่าทางดีอกดีใจเมื่อม้าของเขายอมให้กระต่ายน้อยสัมผัส รอยยิ้มกว้างถูกมอบให้เขาเพียงผู้เดียวช่างเป็นความรู้สึกที่ดียิ่ง
“มาเถอะพี่จะพาขึ้นม้า” ก่อนที่กระต่ายน้อยจะรู้ตัวมือใหญ่ก็จับเข้าที่เอวบางแล้วยกขึ้นทันที
“เหวออ”
พรึบ ร่างสูงเหยียบโกลนก่อนที่จะตวัดตัวขึ้นหลังม้าซ้อนหลังกระต่ายน้อยที่นั่งเกร็งตัวแข็งทื่อ
“ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว”
“ท่านทำบ้าอะไรพี่เว่ย ข้าตกใจแทบแย่”
“พี่ขอโทษเจ้า จับดีๆ” แม้จะโดนบ่นหากแต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังประดับด้วยรอยยิ้มบาง กระต่ายน้อยไม่รู้ตัวเลยว่าอยู่ใกล้ชิดกันเพียงไหน กลิ่นหอมจางจากกลุ่มผมนิ่มนั้นชวนให้สูดดมมิรู้เบื่อ เอวบางคอดที่เพียงแขนข้างเดียวก็โอบรอบ ยิ่งถูกกักในอ้อมแขนยิ่งทำให้กระต่ายน้อยดูตัวเล็ก แต่ก็เพราะยังเด็กอยู่
“นี่เรียกว่าบังเหียนไว้คอยบังคับม้า ส่วนที่พี่เหยียบอยู่นั้นคือโกลน หากเจ้าจะให้ม้าเดินเพียงกระทุ้งเบาๆ” เขาว่าพร้อมกับแสดงให้ดู เฮ่ยค่อยเดินออกไป เขาบังคับม้าคู่ใจให้เดินเข้าร่วมขบวน ท่ามกลางสายตาใคร่รู้ของเหล่าทหารหากแต่ไม่กล้ามองตรงๆ
“น้องข้าบอกว่าเจ้าจะสอนขี่ม้า นี่รึการขี่ม้าที่เจ้าสอน” บรรยากาศดีๆ นั้นถูตีกระเจิงเมื่อสหายเขาควบม้ามาใกล้
“ออกเดินทางได้” เลิกที่จะเมินเฉยต่อคำถามของสหายแต่สั่งการณ์ให้เคลื่อนพลทันที
“สูงจังเลยขอรับ”
“เดี๋ยวเจ้าก็ชิน อย่าเกร็งเยี่ยงนั้นมิเช่นนั้นเจ้าจะปวดเอวได้”
“ขอรับ”
ตุบ
แผ่นหลังเล็กเอนซบเขาทันที
“ดียิ่งขอรับ ข้าไม่ปวดหลังเลยขอรับ”
ไม่รู้ว่าการสอนขี่ม้าจะเป็นประโยชน์หรือการลงโทษตัวเองกันแน่
********************************************************
อยากจิแหมมมมยาวค่ะ คนเราก็หาเรื่องกินเต้าหู้กระต่ายไปเรื่อย
ขอบคุณที่ยังรอกันนะคะ ช่วงนี้เราวุ่นวายทั้งงานราชงานหลวงก็จะมาช้าหน่อย
แต่จะพยายามมาทุกอาทิตย์นะคะ
อ่านแล้วเป็นไงอย่าลืมบอกเรานะ กดถูกใจ คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
โอย……ย
…ข้าไม่อยากแต่ง…
…แต่ข้า อยากให้เจ้าแต่ง~ต่อเยอะๆ อ่ะ~ แค่นี้ไม่จุใจ
ช่ายยยย............ ข้า อยากให้เจ้าแต่ง~ต่อเยอะๆ อ่ะ~ แค่นี้ไม่จุใจ
เค้าก็อยากแต่งยาวๆแต่เวลาไม่เป็นใจเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ