ผมยืนนิ่งรอให้มันมาจัดการถอดสิ่งที่ควรถอด อีกฝ่ายกำลังสำรวจบางสิ่งบางอย่างบนใบหน้าที่ถูกปกปิด แม้เสี้ยววินาทีก็ไม่ควรเผลอ ข้อมือของมันถูกล็อคกะทันหัน กระบอกปืนร่วงหล่นลงพื้นด้วยความไว เสียงสบถด้วยความไม่พอใจจากฝั่งตรงข้ามดังพร้อมกับเสียงถีบยอดอกจากผม ไอ้เอกกระเด็นไกลออกไปหลายเมตร สันกรามบดขยี้อยู่ในปากแน่นพร้อมกับเลือดลมที่สูบฉีดไปทั่วร่างกาย กระเป๋าเป้ที่สะพายหลังปลดออกอย่างรำคาญ ปืนสั้นถูกทิ้งลงบนนั้นเช่นกัน เมื่อคนตรงหน้าเห็นว่าผมโยนทุกอย่างลงพื้นอย่างไม่ไยดี มันก็แสยะยิ้มด้วยใบหน้าพอใจทำอย่างกับว่านี่คือโอกาสแล้ว เราต่างพุ่งเข้าหากันปลดปล่อยสิ่งที่ตนเองมี มือขวาตั้งฉากสับเข้าที่ต้นคอของไอ้เอกเพื่อตัดกำลัง กำลังแรงมากจนเจ้าตัวขาอ่อนทรุดลง
“เฮือก!” คนตรงหน้ากัดฟันคำรามด้วยสายตาเคียดแค้น ผมกระชากหัวมันขึ้นเพื่อให้มันเงยหน้ามองมาที่ผมได้ถนัด รองเท้าหนังสำหรับเดินป่าพื้นหนามาตรฐานสั่งทำจากร้านดังในเทนเนสซีบดขยี้ลงที่น่องของไอ้เอกจนเสียงดัง
“กรอบ แกรบ~” ไม่รู้ว่าเสียงร้องของมันหรือเสียงกระดูกดังกว่ากันกันแน่
“อยากดูหน้า ‘หนู’ ไม่ใช่เหรอ” ผมถาม
“เอาเลย...” ผมท้าทาย ปล่อยมือออกจากศีรษะของมันให้เป็นอิสระ ไอ้เอกพยายามรวบรวมกำลังที่มีลุกขึ้นฮึดสู้อีกครั้ง ขาของมันไม่สมประกอบแล้ว ในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งนาทีมันกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากปล่อยให้หน้าตัวเองมีแต่เลือดเต็มคราบ ในทุก ๆ ครั้งที่มันลุกมันจะถูกซัด
“ตำรวจมา!” ใครสักคนตะโกนส่งข่าว ผู้คนแตกตื่น ไอ้เอกเหลอหลาหาทางออก
“พี่! หนีเร็ว!” อีกเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นดังลั่นมาทางด้านหลังของไอ้เอก ผมหันไปมองตาม ทันทีนั้นปืนจากคนแปลกหน้าก็จ่อเล็งมาทางผมเป็นเป้าหมายแรกเพื่อช่วยคนของตน สมุทรเตะข้อมือของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา กระบอกปืนกระเด็นสู่พื้น การต่อสู้ชุลมุนอีกครั้ง คนที่เฝ้าเล็งอยู่จึงเบี่ยงเป้าหมายไปเป็นสมุทรแทน ผมถีบไอ้เอกจนมันเสียท่าล้มลงแล้ววิ่งพุ่งตรงเข้าหาสมุทรที่กำลังจะก้มลงคว้าปืนที่ตกอยู่ เขาทำตามไปโดยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ผมเองก็เช่นกัน
ปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแก้ไขให้เป็นไปตามที่ต้องการไม่ได้ ตัวผมกับสมุทรกระแทกลงพื้นจนรู้สึกจุกไปทั่วร่าง มือของเขายังไม่ปล่อยปืนที่คว้าได้มา
“อย่า” ผมกระซิบปราม รู้ว่าเขาต้องการอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้นอนหลับได้หรอกหากได้ทำมันลงไป
ผมคว้าปืนออกจากสมุทรเพื่อบอกว่าปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของผม การที่เราล้มลงเช่นนี้ทำให้ได้เปรียบที่จะเล็งเป้าหมายให้แม่นยำแต่เสียเปรียบสำหรับปืนที่ยังไม่ได้ขึ้นลำ มือซ้ายที่ว่างอยู่นำขึ้นปิดตาสมุทร เขาว่าง่ายรู้สถานการณ์ ผมออกกำลังแขนขวาที่มีกระชากขึ้นลำปืนมือเดียวพร้อมเหนี่ยวไกออกไป เสียงปืนดังสนั่นทำให้คนที่ผมนอนทับตัวอยู่สะดุ้งโหยง ชายแปลกหน้าคนนั้นทรุดลง ผมลุกขึ้นนั่ง อีกนัดยิงให้เจ้าของปืนก่อนหน้าอย่างไม่รีรอก่อนนั่งมองไปยังไอ้เอกที่ไร้ความหวัง
ความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วขณะมีกลิ่นบางอย่างบนร่างกายผมผิดแปลก ทันทีที่รับรู้ได้ถึงความผิดแปลกที่เคยคุ้นเคยนี้จึงหันกลับไปมองคนข้าง ๆ ดวงตาของเจ้าตัวเบิกกว้างมองตามมาที่เสื้อของตนที่เปื้อนไปด้วยสีไม่พึงประสงค์
“คุณ..” สมุทรอุทานหน้าถอดสี
“เป็นไรไหม ?” ผมถาม เขาไม่ตอบ ใบหน้าเริ่มซีดเผือดอย่างกับโดนเองอย่างนั้น
“นายถูกยิง” สมุทรรายงานเสียงสั่นติดปลายหางจนสังเกตได้ ผมมองไปยังไอ้เอกที่พยายามอย่างทุลักทุเลที่จะลุกขึ้นเพื่อไปหยิบปืนของตนเองให้ได้
ฟิ้ววว!!! “อั๊ก!” เจ้าตัวร้องลั่นล้มลงหมดท่าอีกครั้ง แขนที่ถูกผมเหนี่ยวไกกระเด็นเหวี่ยงไปทางด้านหลัง เลือดสาดกระจายเห็นได้ชัดในความมืด ผมลุกขึ้นยืนแล้วตรงเข้าหา
“ฮื่อออ อึก” ไอ้เอกกัดฟันร้อง มือข้างที่ยังสบายดีอยู่จับแขนข้างที่ถูกยิงประคองไว้ เงยหน้าขึ้นมองผมช้า ๆ ด้วยสายตาที่แข็งกร้าว
“แม่นเนอะ” ผมทักชมตัวเอง
“หายหัวไปไหนหมดวะ
ช่วยกูด้วย!” มันตะโกน ผมจ่อปืนไปที่กกหูของมันจึงทำให้เจ้าตัวหุบปากนิ่งสนิทลงได้อย่างที่ต้องการ
“พ่อแม่มึงไม่ได้สอนเหรอว่าเวลาจะขอให้คนอื่นช่วยเหลืออะไรให้พูดเพราะ ๆ น่ะ” ผมกระซิบ นำหน้าขยับเข้าหา
“มึง.. มึงทำงานให้ใคร! มึงรู้ไหมว่ามึงกำลังเล่นอยู่กับใคร
ไอ้ระยำเอ๊ย! ไอ้สัส! แขนกู อึก” คำถามที่แทบตะคอกฟังดูตะกุกตะกักร้อนรนปนกวนส้นตีน ดูเหมือนมันจะงุนงงมากกว่าจะแค้นเคืองเสียอีก
“จะจ้างเหรอ ?” ผมถามกลับอย่างสงสัย
“ถามนายใหญ่ของพวกมึงให้กูหน่อยได้ไหมว่าจะจ้างกูรึเปล่า แต่...” ผมทิ้งช่วงลง กวาดตามอง
“แพงหน่อยนะ”
“ใช้ใจซื้อน่ะ ฮิ ๆ ๆ ๆ ๆ” ผมตบมุขตลกด้วยตัวเอง
“ไอ้สัส!” มันด่า ตาขาวเพิ่มพื้นที่กว้างออกจนเห็นชัดเจนในความมืด
“ฮึ!” ผมหัวเราะ เสียงรถตำรวจได้ยินชัดถนัดหูขึ้นเรื่อย ๆ เป็นนัยยะบอกว่าให้ผมรีบเสียที นิ้วมือเกี่ยวผ้าที่ปิดใบหน้าออกอย่างเนิบช้า ดวงตาของไอ้เอกเบิกกว้างทีละนิด
ผมจึงทำดวงตาแบบเดียวกันกับมันนั้นกลับไปให้ ปากเผยอ ลิ้นแสยะแลบออกมาทักทายเพื่อใหม่
“ไง ?” ผมทักทาย คิ้วเลิกขึ้นข้างหนึ่งโดยอัติโนมัติอย่างเคยชิน
“ครับ ผมไฟ เลิศประสงค์ ดูเหมือนจะรู้จักด้วย เป็นเกียรติจัง” ผมยิ้มกว้าง กระบอกปืนในมือสั่นระริก เหตุเพราะร่างกายที่กำลังจ่ออยู่มันสั่นแรงเกินไปจนสะเทือนมาถึงกัน
น่ารำคาญฉิบหาย“พูดซะใหม่ด้วย ฉันแค่มาที่นี่ก็เพื่อนายโดยเฉพาะ”
“อยากถามมานานแล้ว นายพอรู้เบอร์ช่างซ่อมประปาเก่ง ๆ บ้างไหม ? พอดี มีคนทำท่อประปาที่ตลาดฉันแตก เลยวุ่นกันไปหมด”
“มึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรวะ!?” ไอ้เอกตะคอก
“ค่าตัวนักมวยกู ห้าสิบล้าน เอามาวางให้กูตรงหน้าภายในสองนาที..มึงรอด” ผมเสนอ
“กูไม่ได้ทำ!” มันย้อนเสียงสั่น น้ำลายไหลออกมาพร้อมกับเลือดในปากที่บังคับไม่อยู่
“ได้..ถือว่าคนกันเอง ลดให้ เหลือสามสิบล้าน”
“หนึ่ง ค่าเสียหายที่ป้ามึงกับเด็กที่ส่งยาของนายมึงมาดิสเครดิตตลาดกู สอง ค่าน้ำใจที่กูยังให้ป้าที่แสนตอแหลหน้าด้านของมึงได้มีที่ทำมาหากินโดยที่กูไม่เอาอีนรกนั่นเข้าตาราง รู้ไหมว่ากูต้องใช้ความอดทนแค่ไหนที่ต้องมองความตอแหลซ้ำซากของป้ามึง สาม ค่ารักษาพยาบาลที่กูต้องจ่ายให้นักมวยของกูเอง อ้อ! นี่ยังไม่รวมค่าตัวกูอีกยี่สิบล้านที่ขึ้นชกแทนด้วยหรอกนะ” ผมแจงอย่างใจเย็น
“ฮึก!” ไอ้เอกสะอึก ปืนถูกเลื่อนอย่างเนิบช้าจากกกหูไปจ่อที่ริมฝีปากของเจ้าตัว
“แล้วก็...” ลิ้นที่แลบออกมาเกลี่ยไรฟันและริมฝีปากผมจนเปียกแฉะกว่าปกติ
“ค่ารักษาพยาบาลซิกแพคอันแสนสวยงามของกูที่คนของมึงทำตำหนิไว้ให้นี่ก็ด้วย” ผมฉีกยิ้ม
“บ้าจัง กูรู้หมดทุกอย่างเลย กร๊าก! มึงจะปรบมือหน่อยก็ได้นะ” ผมอ้าปากกว้างหัวเราะลั่น ไอ้เอกหายใจแรงตาแทบถลน ไม่รู้ว่านั่นโกรธหรืออะไรกันแน่
“แล้วไง มึงจะจัดการพวกกูงั้นเหรอ เฮอะ มึงนึกว่ามันง่ายขนาดนั้นเหรอวะ!” มันตะคอกใส่
“ใครฆ่าไอ้มงคล ?” ผมพูดเชิงถาม
“ชู่~ ..ใครกันนะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้พลางกระซิบกระซาบแผ่วเบาจนไอ้เอกได้สติ
“ปะ ปล่อยผมไปเถอะครับ คุณไฟ ผม..ไม่รู้เรื่อง นายผมสั่งให้ทำ ผมจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ผมจะไม่ทำอีกแล้ว” มันร้องขอ
“จากประสบการณ์ที่เลี้ยงดูน้องชายมา เมื่อไหร่ที่ได้ยินคำว่า
ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ แปลว่ามันจะทำว่ะ” ผมพ่นขำให้กับความจริง จ้องตาตามดวงตาและใบหน้าที่พยายามจะหลบหลีกการมองตอบจากผม
“คุณเอก มองหน้าผมสิ” ผมเอ่ยขออย่างสุภาพ ไอ้เอกทำตามที่ขออย่างว่าง่าย เรามองตากันเสี้ยววินาทีและปากของไอ้เอกกลับสั่นแรงขึ้นอีกครั้ง
“หน้ากูเหมือนพ่อมึงรึเปล่าครับ ?”“ไม่น่าถาม ก็กูหล่อ” ผมกลั้นหัวเราะให้กับมุขตัวเองอีกรอบ
“ไอ้.. ไอ้ มึงคิดว่ามึงจะรอดเหรอวะ สัส! ไอ้เหี้ยเอ๊ย!
เดี๋ยวมึงจะตายห่าเหมือนหมา!!”
“มึงนึกว่ามึงเป็นใคร ถุย!” มันสบถ ทุกอย่างเต็มไปด้วยหมดความอดทน พอได้ยินดังนั้นกระพุ้งแก้มก็ถูกลิ้นดุนนูนขึ้นจนจวนแทบจะทะลักออกมา
“เชิญมึงเป็นหมารุ่นพี่นำไปก่อนก็แล้วกัน” ผมขานรับข้อหาอย่างไม่ปฏิเสธ หางตาเห็นแขนของอีกฝ่ายที่ยังใช้งานได้อยู่ขยับเนิบช้า จังไรจริง ๆ
“ไม่ต้องห่วง กูจะช่วยเจ้านายมึงเอง แล้วก็งงไปหมด.. ว่าไอ้เหี้ยตัวไหนมันทำ” ผมพูด น้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบไม่คิดจะแสดงอารมณ์ใด ๆ นอกจากความหนักแน่นของความหมายที่ให้ได้ พวกมันไม่ควรเข้ามายุ่งวุ่นวายกับพื้นที่ของผมแต่แรกแล้ว ไม่ควรแตะต้องกันตั้งแต่แรก..
“ฮื้อ ๆ สัส!” ไอ้เอกฮึดฮัดพุ่งเข้าหาพร้อมกับมีดขนาดพกพาที่เสียบตรงเข้ามา เสียงหักข้อมือดังกราว
“กร๊อบ!” อย่างกับขนมทอดกรอบในเตาอบ เจ้าของร่างกายร้องลั่นป่าดังกว่าทุกครั้ง ปลายมีดเรียวแหลมหันกลับไปจ่ออยู่ที่หน้าท้องของเจ้าของเสียเอง ไอ้เอกที่นอนหงายมือออกแรงเกร็งสุดกำลังเพื่อสู้แรงผมที่พยายามกดมือของมันให้มันเสียบตัวเอง
“ขอร้องดูไหม ฉันชอบคนพูดเพราะอยู่นะ”
“ขอ ขอร้อง..ปะ อึก” อีกฝ่ายละสายตาจากปลายมีดขึ้นมองมา
“ได้..” ผมผลิยิ้มรับปาก
“สิทธิ์นี้จะเก็บไว้ให้ได้ใช้ชาติหน้า” หมดคำรับปาก อีกฝ่ายก็ฮึดฮัดโกรธขึ้นอีกครั้ง
“จำทุกอย่างของกูไว้ เจอกันใหม่
อย่าล้ำเส้น”
ฉึก !!!!! กระสุน 9 มม. เจาะเข้ากลางขมับหนึ่งนัดไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ทนสู้กับความเจ็บจากปลายมีด เพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันที่เห็นหน้าผมกับสมุทรแล้วจะต้องไม่มีชีวิตรอด เลือดกระเด็นสาดโดนใบหน้าผมจนเปื้อนเข้าหางตา ผมนั่งยองลง ร่างกายเริ่มเคลื่อนไหวลำบาก มือควานหาของที่ควร โทรศัพท์มือถือของไอ้เอกอยู่ในกระเป๋ากางเกงของมัน ผมหยิบออกมาและมองร่างตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง
“กูฟรีแลนซ์” ผมตอบ ตอบคำถามที่ไม่ได้ถูกให้คำตอบก่อนหน้า นำโทรศัพท์มือถือตบไปที่หน้าขาของเจ้าของเพื่อบอกลา ไอ้เด่นวิ่งมา มันตรงปรี่เข้ามาหาผมพร้อมช้อนแขนผมขึ้นพาดบ่าอย่างไม่รีรอ
“ได้ตัวนายแล้ว ถึงเรือภายในสามสิบวิ เปลี่ยน!” มันบอกเพื่อนร่วมทีมด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ
ผมหันตัวกลับไปก็พบสมุทรยืนเอนหลังพิงต้นไม้อยู่ ตาจับจ้องไปที่ทุก ๆ ร่างเบื้องหน้าคล้ายหมดแรงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พออีกฝ่ายได้สติ แววตาที่ว่างเปล่าก็มองมาที่ผมก่อนจะขาก้าวเดินไปก้มลงหยิบกระเป๋าเป้และปืนของผมอย่างไม่ลืมหน้าที่ตน ผมแตะมือลงที่แก้มอีกฝ่าย ฝ่ามือที่ไม่สะอาดทั้งข้างนอกและข้างในแนบไปกับโครงหน้านั้นก่อนผละออก ก่อนกระซิบบอก “ไปเถอะ” เรียกสติเขาให้กลับมา
คนที่ฝั่งแม่น้ำส่งสัญญาณนัดหมาย ผมกับไอ้เด่นกึ่งเดินกึ่งวิ่งถึงริมตลิ่ง พายุที่รออยู่บน Speed Boat เห็นผมสีหน้าของมันก็เปลี่ยนอารมณ์อย่างง่ายดาย เราไม่มีเวลาพูดกันแม้สักคำเดียว ไอ้เด่นออกแรงดึงเรือเข้าฝั่งให้ระยะสั้นที่สุดเพื่อให้ผมขึ้นได้ง่าย สมุทรนำกระเป๋าของผมสะพายหลังแล้วเข้ามาพยุงผมไว้แทน แอบสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเหลือบมองมาที่หน้าท้องของผมแทบตลอดเวลา
“โทษนะครับ” สมุทรเอ่ยปากขออนุญาต ผมไม่ตอบเพราะไม่เข้าใจว่าอยู่ ๆ พูดทำไม เขาก้มตัวลงออกแรงอุ้มผมขึ้นไม่รีรอ แม้มันจะค่อนข้างทุลักทุเลในการทรงตัวเพราะไม่ได้สะดวกเหมือนยืนอยู่บนพื้นดินและตัวผมก็ไม่ได้เล็กแบบมาตรฐานชายไทย แต่เขากลับยังสามารถยกตัวผมขึ้นได้
“อู้~ ถูกอุ้มด้วยแฮะ” ผมยิ้มกว้างแซว นำแขนขวากอดไหล่อีกฝ่ายเพื่อตอบรับการช่วยเหลือ ที่จริงการทำแบบนี้จะช่วยให้เขาทรงตัวได้ถนัดขึ้น
“ยังจะเล่นอีกนะครับ” สมุทรขมวดคิ้ว ทำท่าจะว่าปราบต่อแต่ก็หุบปากเงียบไปเฉย กลิ่นเลือดโชยเตะจมูกเราทั้งคู่คละคลุ้งไปหมด
“ปกติคนที่อุ้มฉันไหวมีแต่พี่ธานกับนักมวยรุ่นเดียวกันเท่านั้นนะ ปลื้มใจจัง” ผมบอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสมุทรที่เอาแต่พะวงมองอยู่ที่ท้อง เขาหันหน้ามาผมจึงยักคิ้วหยอกกวนให้ ลูกทีมวิ่งตามหลังมาไม่นาน พี่ธานเห็นสมุทรกำลังอุ้มผมจะขึ้นเรือ พี่เขาก็กระโดดขึ้นเรือไปก่อนเพื่อช่วยรับตัวผมขึ้นไปได้สะดวก เรือถูกดันออกจากฝั่งโดยไอ้เข้มและไอ้เด่นทันที พอปลอดภัยพ้นตลิ่งแล้วพวกมันจึงกระโจนขึ้นมา ขณะเดียวกันพายุก็เร่งเครื่องขับออกด้วยความเร็วที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ทุกคนปลอดภัยไหม” พี่ใหญ่ถาม ผมเอนหลังพิงเบาะ นั่งมองลูกน้องที่พยักหน้ายืนยันว่าตนปลอดภัย Speed Boat ขับท้าลมด้วยความเร็วจนแทบบินเหนือน้ำทำให้พวกเราลำบากที่จะขยับทำอะไรได้ดั่งใจ พี่ธานเปิดกล่องปฐมพยาบาลจัดการห้ามเลือดเบื้องต้นให้ผม สมุทรนำผ้าขาวมาเช็ดทำความสะอาดเลือดที่เปื้อนหน้าผมออกอย่างเบามือ
มือเขาสั่น ไม่รู้ว่ารู้ตัวรึเปล่า ผมมองลงไปยังเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดอย่างกับมีใครมาเปิดก๊อกน้ำที่ท้องเอาไว้ แผ่นหลังของน้องชายเริ่มพร่าเบลอ หึ..
เสียแผนไปหมด“พี่ทัพ” ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของผมที่สั่นเตือนโยนให้กับพี่ธานรับหน้าที่แทน
“ครับ พวกเราออกมาแล้ว” พี่ธานกดรับ น้ำเสียงทุ้มต่ำกดลงในลำคอ ฟังแล้วคล้ายปกติแต่กลับเห็นเส้นเลือดที่ต้นคอได้ชัดเจนว่าผู้พูดกำลังเดือดดาล
“เรารอแล้ว!” พี่ธานตะคอก มือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์อยู่ยังคงทำหน้าที่กดแผลของผมไว้ไม่ปล่อยคล้ายกับไม่อนุญาตให้ใครทำแทน
“ใจเย็นน่า” ผมพูด
“ไม่มีทีมของคุณโผล่หัวมาตามเวลาสักคน! คุณเข้าใจคำว่าสักคนไหม บัดซบเอ๊ย!” สิ้นเสียงตวาด นิ้วโป้งก็กดวางสายอย่างรุนแรงจนหน้าจอแทบทะลุ
“เปลืองน้ำลายฉิบหาย เลาะลิ้นพวกแม่งออกมาให้หมามันยังไม่กินเลย อืดอาดยืดยาดแล้วมาโทษคนอื่น ระยำ!” พี่ธานกัดฟันบ่นไม่ได้ศัพท์ ลมหายใจแรงดังฟึดฟัดนานทีจะได้เห็นพี่เขาหลุดเผยอะไรเช่นนี้ พายุหันกลับมาสบตาผมเป็นระยะ หน้ามันยังซื่อบื้อเหมือนเคย ผมจึงเผยยิ้มให้
“เปลี่ยนแผน...” ผมจับข้อมือพี่ธานเพื่อให้พี่เขาหยุดมาฟังผมอย่างตั้งใจก่อนจะเงียบลำดับความคิดครู่หนึ่ง
“พี่พาพายุกลับไปพร้อมไอ้หิน ให้ไอ้รุ่งขับคันของผมไปส่งพวกผมทิ้งไว้ที่สามแยกออกไปราชบุรี..ที่เดิม โทรบอกให้หงส์มารับผมที่นั่น” ผมสั่ง
“แต่ว่า..” พี่ธานอ้ำอึ้งด้วยสีหน้าจะไม่ยอมรับฟังให้ได้
“ผมไหว แค่เอาพายุกลับไปก่อน ห้ามให้ใครรู้ว่าผมอยู่กับหงส์” ผมพูด นำโทรศัพท์ของไอ้เอกยัดใส่มือพี่ธานด้วย “นี่ของไอ้เอก ผมว่าทีมของพี่ทัพมีหนอน พี่จัดการแล้วกัน” ผมสั่งคำสุดท้าย พี่ธานเป็นเพียงคนเดียวที่ผมไว้ใจว่าจะทำให้พายุปลอดภัยดีหากผมจะถูกจับผิดท้ายที่สุด
“ครับ” สันกรามของพี่เขากัดแน่นพร้อมผงกหัวรับปากโดยดี
“ไอ้เหี้ยนี่ ทำหน้าอย่างกับกูตายแล้ว” ผมตบหัวไอ้เด่นด้วยรำคาญลูกตากับสีหน้าท่าทางของมัน
“นายครับ..”
“เลือดไม่ยอมหยุดเลยพี่ใหญ่” มันหน้าเจื่อนหดลงหนักกว่าเดิม
“อยากเอาแบ่งไว้ทำเส้นเล็กน้ำตกบ้างไหมละ” ผมถาม ไอ้เด่นบ่นอิดออด “นายครับ” ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น จุดหมายปลายทางที่รถยนต์ของพวกเราจอดอยู่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเกือบสิบกิโล แน่นอนว่าการถูกยิงเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในแผน ระยะทางยาวเช่นนี้จึงยิ่งทำให้คนของผมร้อนใจได้ไม่น้อย
“พี่ธาน ผม..” สมุทรที่เงียบมานานอ้ำอึ้งทำท่าคล้ายจะเอ่ยบอกความจริง
“ถึงแล้ว” ผมพูดเข้าแทรกเพื่อหยุดความคิดของเขาเพียงเท่านี้ สมุทรจ้องหน้าพี่ธานและริมฝีปากก็หยุดขยับไป
“เคลียร์เรือ!” พายุตะโกนสั่ง ไอ้เด่นกระโดดขึ้นฝั่งพร้อมดึงเชือกเข้าหาฝั่งด้วยกำลังที่มี ส่วนไอ้เข้มเป็นฝ่ายเคลียร์ข้าวของสำคัญบนเรือ
“สมุทร ฟังนะ” มือที่เปื้อนเลือดของพี่ธานจับหน้าของสมุทรล็อกไปเพื่อให้มองพี่เขาตรง ๆ
“ผ้าสะอาดอยู่ในรถ รับน้ำหนักตัวให้คุณไฟนั่งแล้วกดแผลไว้ กดไว้ให้แน่น ถ้าผ้ารับไม่ไหวให้เปลี่ยนผืน เข้าใจไหม”
“ครับ” สมุทรพยักหน้า
“ฝากด้วยนะ” พี่ธานพูด
“ครับ พี่ไม่ต้องห่วง” สมุทรรับคำ ทั้งคู่ช่วยให้ผมขึ้นฝั่งได้ง่ายขึ้น ทางขึ้นลาดชันยิ่งกว่าก่อนหน้าจึงทำให้เป็นไปอย่างยากลำบากต่อทุกคน รถถูกสตาร์ทเครื่องรอไว้ก่อนแล้ว ไอ้รุ่งที่อยู่ประจำตำแหน่งคนขับรถต้องเปลี่ยนให้ไอ้เด่นที่เป็นคนเชี่ยวชำนาญทางลัดมากกว่ามาขับแทน ไอ้เข้มนั่งด้านหน้าข้างคนขับ ผม สมุทรและไอ้รุ่งนั่งเบาะหลังโดยผมต้องเอนตัวพิงสมุทรไว้ ไม่ใช่การนอนไปโดยราบ ผมมองพายุที่ยืนมองผมอยู่อย่างไม่ยอมขึ้นรถจนคันของเราขับออกมาลับตา ผมไม่คิดพูดใด ๆ กับมันสักคำเพราะไม่มีอะไรจะพูด ผมคิดว่ามันเองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน แม้สถานการณ์เช่นนี้เราจะห่างหายกันมานานและคงเป็นที่น่าแปลกใจแม้กระทั่งกับน้องชายและพี่ธานที่ผมถูกยิงทั้งที่เพิ่งเริ่มต้น แต่ผมก็ไม่คิดที่จะลาตายวันนี้หรอกนะครับ
“ไปเส้นราชบุรี เราจะไปเจอคุณหงส์ที่นั่น เสร็จจากนั้นรุ่งขับรถกลับไปเลยนะ ตามแผนเดิม” ไอ้เข้มสั่งงานแทนพี่ใหญ่
“ครับ” ไอ้รุ่งผงกหัวรับทราบ มันช้อนตามองมาที่ผมเป็นระยะอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ปลายเท้าของผมเทินอยู่บนตักของมันโดยมันนำแขนทั้งสองข้างกอดขาผมไว้ทั้งสองมือ พอมันสบตาผมมันก็หลบตาลงด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ
“เย็นนี้เวรใครไปรับไอ้ดิน มึงตามไปด้วยนะ แล้วอย่าพูดอะไรล่ะ ฝากด้วย” ผมบอก
“ครับนาย” ไอ้รุ่งผงกหัว แผ่นหลังที่แนบเข้ากับตัวสมุทรรับรู้ถึงความอุ่นจนแทบร้อน เขาต้องอ้าขาออกเพื่อให้ผมนั่งได้สบาย แขนข้างขวาโอบตัวผมไว้เพื่อทำหน้าที่กดแผลได้ถนัด เขาจับจ้องมันตลอดเวลาคล้ายกับสังเกตการณ์
“ใจเต้นแรงเกินไปแล้ว” ผมแซวคนที่อยู่ด้านหลัง มันสะเทือนถึงกันชัดเจนเลย ไอ้รุ่งสบตาผมอย่างสงสัย ผมส่งสายตาตกลงพื้นหนึ่งครั้งเพื่อบอกให้อีกฝ่ายทราบว่าให้ก้มหน้าก้มตาลงไปซะ อีกฝ่ายทำตามคำสั่งทันที
“มองหน้าฉันสิ ไม่เป็นไร” ผมเบือนใบหน้ากลับไปหา สมุทรละสายตาจากร่างกายผมกลับมามองหน้าผม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและร้อนรนจนแปลกตา
“นายมองแบบนี้ฉันก็อยากจูบขึ้นมาน่ะสิ” ผมอมยิ้มมุมปาก คิ้วของสมุทรขมวดเข้าหากันเหมือนกับจะเตือนว่าให้ผมเลิกยียวนอย่างทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความหมายนั้นซะทีเดียว ผมวิเคราะห์ไม่ออกเหมือนกันว่ามันคือความหมายใดแน่
“.........” ความเงียบในรถถูกช่วยเหลือจากเสียงแอร์จาง ๆ สมุทรเอาแต่มองหน้าผมและผมก็ทำเช่นกัน มันลำบากนิดหน่อยจากท่านั่ง ตาดำของเราเริ่มแกว่งกันไปมาเมื่อสถานการณ์และความต้องการกระตุกดึงทีละน้อย ผมขยับมือขวาที่พอมีแรงขึ้นจับต้นคอของสมุทรอย่างเบามือ
ทันทีนั้นอีกฝ่ายก็ก้มลงจูบอย่างไม่มีการบอกกล่าวเมื่อผมตัดใจจะขยับใบหน้ากลับ เสียงปากที่ถูกประกบอย่างกะทันหันคงสร้างความสงสัยต่อคนในรถไม่น้อย ความเงียบคงทำให้ได้ยินชัดเจนอย่างไม่ผิดเพี้ยนว่าเสียงเช่นนี้นั้นเกิดจากอะไร ไม่มีใครสักคนขยับตัว การทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเป็นสิ่งที่พวกมันควรทำแล้ว ผมสอดลิ้นเข้าหา คิ้วขมวดกับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คู่ขนานไปกับความต้องการที่ชนเข้ามา สมองกำลังตายห่าไปเสียแล้ว ทุกอย่างไม่ประกอบไปด้วยเหตุผล สมุทรใช้มือซ้ายประคองใบหน้าผมเอาไว้ สอดลิ้นเข้ามาหาอย่างนุ่มนวล ครั้งหนึ่งถูกย้ำหนักแน่นทำให้ต้องพ่นหายใจดังขึ้น ริมฝีปากของอีกฝ่ายเกลี่ยขยับเข้าออกหาผมซ้ำ ๆ จนเกือบจะเป็นเสียงก่อกวนคนในรถเอาได้ ผมที่ไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้มากกว่านี้ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนนำทำอยู่อย่างนั้น
“เอาซะไม่อยากตายเลยแฮะ” ผมเผยยิ้มมุมปากกระซิบ อ้า..
อยากมีเซ็กส์ฉิบหายเราใช้เวลาไม่นานก็ถึงจุดหมายปลายทาง ทางลัดปลอดรถที่ไอ้เด่นเชี่ยวชำนาญเป็นอย่างดี เรามักใช้เส้นนี้กันบ่อยครั้ง จุดนัดพบคือที่ประจำระหว่างผมกับคนที่กำลังจะมารับหน้าที่ต่อ เปลรถพยาบาลถูกนำเตรียมไว้พร้อมสรรพเพื่อช่วยเคลื่อนย้ายทำให้เบาแรงลูกน้องของผมไปได้
“ไง ? ไอ้หื่นกามเก้าชีวิต” น้ำเสียงใส ๆ ทักทายยียวนเหมือนเคย
“ว่าไง คุณหมอเถื่อน” ผมยิ้มทักมองเพื่อนสนิทสมัยเด็ก แสงสว่างในเวลาเช้ามืดสะท้อนให้เห็นภาพคนตรงหน้าที่ไม่ได้เจอกันนานได้ชัดขึ้น ผู้หญิงรวบผมตึง ท่าทางมั่นใจในตัวเอง อีกทั้งยังสวยไม่สร่างแม้ไม่ได้แต่งหน้าคนนี้
“หงส์” เธอแสยะยิ้มมุมปากทะเล้น ผมกำมือชูขึ้นทักทาย เธอจึงกำมือมาชนตอบ
“อกมึงยังตึง หุ่นน่าอึ๊บไม่เปลี่ยนเลยนะ” ผมเหลือบมองไปยังหน้าอกนูนผ่านชุดกาวน์สีขาวของเธอ
“มึงก็ยังอัปปรีย์ไม่เปลี่ยนเหมือนกัน”
“เอาขึ้นรถเลย” หงส์สั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ชายรฉกรรจ์สองคนยกเปลขึ้นรถพยาบาลทำให้ผมได้พบกับพยาบาลตัวจริงนั่งประจำอยู่ด้านใน
“พวกนายแยกไปสอง ๆ ประกบหลัง” ผมนอนมองมือของหงส์ปัดป่ายสั่งลูกน้อง ความแมนนั่นแทบกลบใบหน้าสวยคมของเธอเสียมิด
“ส่วนพวกนาย ใครจะตามคุณท่านเขาไป ? ได้แค่คนเดียว” เธอเท้าเอวมองหน้าคนของผมเรียงตัว
“ผมไปครับ” สมุทรตอบทำเอาหงส์ชะงัก กวาดตามองสมุทรตั้งแต่หัวจรดเท้าถึงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบกันมาก่อน
“เด็กใหม่งั้นเหรอ ? ฉันหงส์” เธอพูดส่ง ๆ คล้ายไม่ต้องการคำตอบ
“สมุทรครับ” แต่สมุทรก็ตอบน่ะนะ
“เตือนไว้อย่าง ว่าถ้านายทำตารุ่มร่ามกับหน้าอกของฉันเหมือนกับเจ้านายของนายแม้แต่นิดเดียว ฉันจะควักตานายไปเป็นอาหารหวานให้ไอ้เข้บ้านฉัน เข้าใจไหม”
“เชิญ!” เธอเบ้ปากมาทางรถพยาบาลเชิงอนุญาต สมุทรรีบขึ้นมานั่งสงบเสงี่ยม ไอ้เข้มกับไอ้เด่นแยกย้ายขึ้นรถของลูกน้องหงส์ไปคนละคัน ส่วนไอ้รุ่งขับกลับไปนานแล้ว คนขับรถพยาบาลยืนรอท้ายรถประจำหน้าที่ เมื่อหงส์ขึ้นมาประตูรถจึงถูกปิดลง
“กระสุนฝังลึกมากค่ะหมอ”
“ไหนดูหน่อยซิ” หงส์พูดคล้ายฮัมกับตัวเธอเอง รถที่เคลื่อนตัวออกถนนค่อนข้างขรุขระทำให้พวกเราโคลงเคลงไปมา
“ฮ้า~ เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เธอบ่นทันทีเมื่อสำรวจแผลบนตัวผม สีหน้าเคร่งเครียดปนไปด้วยความแปลกใจมากกว่าสงสัยว่าผมไปทำอะไรมาซะอีก ผมไม่ตอบ
“ฝีมือตกเหรอคะคุณ หึ” อีกฝ่ายเอ่ยปากยิ้มแซว เบี่ยงประเด็นที่เห็นว่าผมจริงจังกับสิ่งที่เธอตั้งคำถาม
“ปกติมึงใช้ปากทำงานรึไง” ผมถอนหายใจ สมองเริ่มพร่าเบลอลงเรื่อย ๆ จนคิดตามแต่ละอย่างไม่ทัน มันเริ่มเชื่องช้าไม่ได้ดั่งใจ เห็นเพียงสีหน้าของพยาบาลที่อมยิ้มน้อย ๆ กับสมุทรที่เต็มไปด้วยความกังวล
“โดนจัง ๆ แบบนี้รู้สึกเป็นไง ? เหมือนเสียซิงครั้งแรกปะ” หงส์ยิ้ม มือไม่หยุดทำหน้างานไปด้วย
“เสียวใช้ได้” ผมตอบเสียงแหบในลำคอ รับรู้ได้ถึงหน้าท้องที่กระเพื่อมแรง
“แต่ไหง กูไม่เห็นรู้สึกดีเหมือนตอนหลั่งสักนิด” ผมแสยะยิ้มกลับ แม้แต่หัวเราะก็ยังไม่ไหว
“ไอ้เวร” หงส์ต่อว่า
“ฮึก!” ลมหายใจติดขัดจนรู้สึกอึดอัดขึ้นอย่างกะทันหัน สติจวนจะเลือนหาย แทบรับรู้ความรู้สึกไม่ทันถึงร่างกายของตัวเองว่าส่วนไหนกันแน่ที่กำลังทรมานที่สุด มันดันเจ็บปวดขึ้นเรื่อย ๆ กว่าก่อนหน้าเมื่อวางใจว่าถึงมือของคนที่ไว้ใจ ฟันที่ขบกัดแน่นเต็มไปด้วยความอดทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวกระตุกขึ้นพยายามนอนนิ่งลงเพื่อให้เพื่อนทำงานได้ถนัด
“ไฟ ครั้งนี้เจ็บหน่อยนะ” หงส์พูด น้ำเสียงจริงจังเหมือนกับเป็นการบอกเตือนไว้ล่วงหน้าว่าให้ “ทำใจ” ไว้แต่เนิ่น ๆ
“อดทนไว้ หายใจไว้เพื่อน” เสียงของหงส์เริ่มเบาและจางลงทีละนิดจนผมได้ยินไม่ถนัด รู้เพียงว่าสมองคิดถึงคำพูดสุดท้ายของเธอซ้ำ ๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้นและแล้วเสียงก็สะท้อนจางหายไป..
หายใจไว้งั้นเหรอ อีบ้านี่พูดมาได้ ใครไม่อยากหายใจกันเล่า
...............(ไฟ)..............
ผู้เขียน: สำหรับตอนนี้ใช้เวลาทำงานสาหัสอีกตอน ตอนต่อไปจึงยังไม่สามารถรับปากได้จริง ๆ ว่าเร็วที่สุดได้เมื่อไหร่ค่ะ
เลยตัดจบตอนไว้ให้แบบคิดว่าไม่น่าจะทำให้รู้สึกค้างเท่าไหร่ แต่รับรองว่าเนื้อหาจะนุ่มลงสักระยะหนึ่งหลังจากที่ตึงเครียดกับเรื่องชีวิต/งานมายาว ถ้าตอนนี้ทำให้รู้สึกไม่รื่นรมย์นักก็ขออภัยด้วยนะคะ( ขนาดเขียนเองก็เครียดไปหลายตลบ 555++ เหนื่อยมากมาย
)
หมายเหตุ: สำหรับคนที่จำไม่ได้ว่า
"บูรณ์" คือใคร ?
แนะนำให้กลับไปอ่านตอนที่ 28 - 29 นะคะ น่าจะอยู่ประมาณนั้น ตัวละครที่กล่าวขึ้นบ่อย ส่วนใหญ่จะมีที่มาที่ไปเชื่อมโยงกับตัวละครหลักในอนาคตค่ะ
ขอบคุณค่ะ
..เบบี้