ต่อค่ะ
>>>>>>>>>“สวัสดีครับ ผมฐิติ นนทวานิชครับ” ภายในห้องประชุมเล็กที่ปัถย์เลือกเรียกผู้สัมภาษณ์งานเข้ามาพูดคุย เมื่อเห็นคนตรงหน้าสิ่งแรกที่ปัถย์รู้สึกคือผู้ชายคนนี้หน้าตาดี บุคคลิกการแต่งตัวถือได้ว่าสุภาพเรียบร้อยและมีรสนิยมแต่ไม่ถึงขั้นสำอางเกินพอดี จากประวัติบอกว่าผู้สมัครคนนี้อายุยี่สิบแปดแต่ดูๆ ไปแล้วกลับดูอ่อนกว่าวัยเหมือนเพิ่งเรียนจบใหม่
“สวัสดีครับ ผมขอแนะนำตัวนะครับผมปัถย์ เป็นผู้ช่วยของประธานบริหาร หลังจากที่ได้อ่านเอกสารสมัครงานของคุณกับพอร์ตแล้วในเบื้องต้นก็ต้องยอมรับว่าน่าสนใจมากทีเดียว ผมขอสัมภาษณ์คุณในเบื้องต้นก่อนแล้วจะนัดวันสัมภาษณ์ผู้บริหารอีกครั้งนะครับ”
“ยินดีครับ”
“คุณฐิติช่วยเล่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคุณให้ผมฟังหน่อยครับ”
“ผมจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธส มหาวิทยาลัยซีครับ หลังเรียนจบก็ทำงานกับบริษัทขนาดกลางประมาณสองปี แล้วย้ายมาทำกับบริษัทเอสพีคอนสตรัคชั่นในตำแหน่งผู้ช่าวผู้บริหารประจำภาคพื้นเอเชีย ทำอยู่อีกสามปีครับ ตอนหลังไปเรียตต่อปริญญาโทที่อเมริกาสาขาบริหารเพิ่งจบครับ”
“เรียนจบแล้วไม่คิดกลับไปทำที่ บริษัทเอสพีคอนสตรัคชั่นเป็นบริษัทใหญ่มั่นคง จากโพรไฟร์ผลงานเขาน่าจะยินดีต้อนรับคุณกลับไปแน่ๆ”
“ผมอยากหาประสบการณ์ใหม่ครับ ที่นั่นผมเรียนรู้งานมามากพอสมควร จังหวะดีผมได้ยินมาว่าที่นี่เปิดรับในตำแหน่งผู้ช่วยประธานกรรมการบริษัท ผมเลยสนใจมาก เคยได้ยินชื่อเสียงและโปรเจคน่าสนใจต่างๆ ของที่นี่เลยอยากเป็นส่วนหนึ่งในองกรครับ”
ปัถย์อ่านเอกสารหน้าต่อไปเรื่อยๆ
“คุณเคยทำงานภาคสนามด้วยเหรอครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
“งานภาคสนามท้าทายดีครับ ผมเคยเป็นวิศวกรโครงการอยู่หนึ่งปี ตอนจบใหม่น่ะครับ แล้วก็โยกไปทำฝ่ายประสานงานโครงการ ก่อนที่ผมจะได้งานที่เอสพีคอนสตรัคชั่น”
“คุณมีทัศนคติในการทำงานยังไงบ้างครับ”
“งานที่ไม่มีปัญหาไม่ใช่งานครับ... เพราะเท่าที่ผ่านมาขนาดงานง่ายๆ ก็มักจะมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นตลอด บางทีอาจจากคน เครื่องจักร หรือแม้กระทั่งวัสดุที่ใช้ แต่สิ่งสำคัญคือเราจัดการกับปัญหาได้ตรงจุดหรือเปล่า ถ้าเราสู้กับมันได้ เราก็ประสบความสำเร็จในการทำงาน”
“แล้วถ้าบริษัทขอให้คุณทำงานที่ไม่ใช่งานในหน้าที่หลักของคุณล่ะครับ คุณคิดเห็นว่ายังไง”
“ถ้าเป็นงานบริษัทผมก็ต้องทำ ผมเองไม่เกี่ยงงานหรือเกี่ยงวิธีการทำงาน”
“งานที่นี่ค่อนข้างโหลดนะครับ ยิ่งทำงานกับเจ้านายผมยิ่งมีความกดดันมากกว่าตำแหน่งอื่นๆ คุณทนแรงกดดันได้ไหม บางครั้งอาจมีเหตุผลที่คุณรับไม่ได้ มันค้านกับแนวทางการทำงานที่ีคุณมีคุณจะทำยังไง”
“ผมไม่มีปัญหาเรื่องสภาวะแรงกดดัน ผมทำงานตามหน้าที่เรื่องเหตุผลเป็นส่วนหนึ่งแต่ถ้างานเสร็จบรรลุตามเป้าหมายอย่างที่บอกผมไม่เกี่ยงวิธีการ”
ปัถย์ฟังในทุกๆ คำพูด บอกได้เลยว่าฐิติคนนี้น่าจะเหมาะกับเอรีส เพราะดูไม่ใช่คนกลัวคน แต่ก็ดูประนีประนอมและสุภาพ ในวงการธุรกิจก่อสร้างมีการแข่งขันสูง แม้โครงการหลายโครงการเบอร์ตันกรุ๊ปจะเป็นเจ้าของเอง แต่กว่าครึ่งก็ต้องประมูลแข่งสู้มาซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะทำให้บริษัทได้รับเลือกในการประมูล ดังนั้นคนที่จะทำงานให้เอรีสจะต้องจัดเจนและไม่หน้าบางที่จะทำงานให้ผู้เป็นเจ้านาย
“ในตำแหน่งที่เราเปิดรับ สโคปงานรวมถึงเรื่องดูแลตารางชีวิตประจำวันของเจ้านายผมด้วยนะครับ ซึ่งบางครั้งก็กินเวลาส่วนตัว หรืออาจมีงานในวันหยุด แรกๆ คุณอาจพอทนได้แต่ถ้านานๆ ไปคุณอาจจะรู้สึกว่ามันเยอะก็ได้”
“ผมไม่ติดขัดเรื่องนั้นครับ ผมชอบทำงานซึ่งก็แปลว่าเป็นงานทุกรูปแบบแล้วผมก็ไม่ใช่คนที่เกี่ยงงานหรือรักสบายถ้าที่นี่ให้โอกาสผมก็จะพยายามทำให้เต็มที่ครับ”
ปัถย์พูดคุยรายละเอียดต่างๆ มากมากับผู้เข้าสัมภาษณ์อยู่ราวสามสิบนาที และตัดสินใจว่าเอรีสควรได้คุยกับใครคนนี้ คนที่อาจได้มาทำงานแทนเขา
+++++++++
ร่างชายหนุ่มสองคนที่เพิ่งผละจากกันเนื้อตัวฉ่ำชื้นด้วยเงื่อระยับกำลังหายใจหอบหนักๆ ร่างกายส่วนล่างที่เคยแนบชิดขยับห่างและทิ้งกายลงบนที่นอน คนตัวเล็กหยัดกายขึ้นบนอกแกร่งใช้ริมฝีปากแตะลงบนยอดอกเบาๆ หยอกเย้าอีกฝ่ายที่กำลังอิ่มเอมในรสรักที่เพิ่งจบสิ้นไป
“ผมได้ข้อมูลงานประมูลโครงคอมเพล็กบนเกาะส่วนตัวเรียบร้อยแล้วนะครับ จะรีบจัดการส่งทุกอย่างให้ได้อย่างช้าก็พรุ่งนี้ แต่ข้อมูลบางอย่างยังเป็นความลับอยู่ถ้าได้เพิ่มมาเมื่อไรผมจะรีบบอกคุณ” คนตัวเล็กลูลแผงอบที่ตนซบเบาๆ
ผู้ที่สนทนากำลังพูดถึงโครงการกาสิโนสุดหรู รูปแบบคอมเพล็กซ์บนเกาะส่วนตัวที่ตั้งอยู่ในน่านน้ำทะเลของประเทศเพื่อนบ้าน หนึ่งในเจ้าของเป็นผู้มีอำนาจในประเทศและมหาเศรษฐีจากดินแดนผู้ดีและรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านที่จับมือกันก่อตั้งธุรกิจสีเทานี้ขึ้นมา ซึ่งโครงการนี้มูลค่างานนั้นระดับหมื่นล้านและหลายๆ บริษัทก็ต่างอยากจะได้งานกันทั้งนั้น
“อืมดีเลย ผมไปคุยเรื่องร่วมทุนกับบริษัทหนึ่งไว้แล้ว ทางนั้นก็ยินดีจะให้ส่วนแบ่งสิบเปอร์ของมูลค่างาน คราวนี้ทั้งคุณกับผมเราจะได้คุยกันเรื่องอนาคตของเราสักที”
“ผมไม่มีวันยอมให้พลาดแน่ๆ ครับ คุณวางใจได้ ถ้าผมรับปากแล้วไม่มีทางให้คุณผิดหวัง”
“ผมฝากความหวังไว้ที่คุณนะ ฮึ! จะรอดูความฉิบหายของคนอย่างมัน อยากจะรู้ว่าเวลาที่มันไม่เหลืออะไรมันจะยังมีน้ำหน้าอวดเก่งอยู่ไหม ถึงวันนั้นผมจะกระทืบมันซ้ำให้แหลกคาเท้า จะรอสมน้ำหน้าเวลาที่มันล้มเหลวของมัน ให้เหมือนกับที่มันเคยทำกับผมไว้”
“แต่ตอนนี้ตอนนี้ผู้ช่วยคนเก่าเขายังอยู่ รายนั้นเห็นนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดแต่หูตาเป็นสัปปะรด แถมเคี้ยวมากรู้ทุกอย่างรักษาผมประโยชน์ให้ทุกอย่าง จะทำอะไรก็ไม่ค่อยถนัด ทำอะไรก็ยากไปหมด” คนร่างเล็กถอนใจขณะบ่น
“อีกไม่กี่วันก็จะออกแล้วนี่ ถึงตอนนั้นคุณก็คงทำอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งกระโตกกระตาก คนเล่ห์เหลี่ยมอย่างมันคงไม่ยอมให้เราล้วงลูกมาได้ง่ายๆ หรอก จะทำอะไรก็ต้องดูหน้าดูหลังให้ดี ผมไม่อยากพลาด ระวังตัวไว้หน่อยอย่าให้มันระแคะระคายเรื่องของเราเด็ดขาด”
“ผมจะระวังตัว ไม่ให้ใครจับได้ง่ายๆ แน่ ว่าแต่คุณกับคนนั้นละ ไม่ได้คิดอะไรกันเกินเลยจริงๆ ใช่ไหมครับ”
คนถามน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด ไม่ชอบสักนิดที่อีกฝ่ายเอาตัวไปพัวพันกับคนอื่น แม้จะเป็นเรื่องของผลประโยชน์เขาก็ไม่ชอบ ไม่ชอบเอามากๆ ก็เขาทั้งรักทั้งหวง ทุ่มเททุกอย่างให้ผู้ชายคนนี้ ยอมทิ้งอนาคตส่วนตัวเพื่อทำให้อีกฝ่ายพอใจ ทำทุกอย่างโดยไม่คิดถึงผิดชอบชั่วดีแค่ให้อีกฝ่ายพอใจเป็นพอ
“ผมมีคุณอยู่ทั้งคน จะให้ไปจริงจังกับคนอื่นได้ยังไง คุณก็รู้ว่าที่ผมต้องตีสนิทด้วยก็เพื่อผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่ความรักเหมือนที่ผมมีกับคุณที่ทั้งรักทั้งห่วง นี่ก็หลงจะตายอยู่แล้ว ไม่เจอกันแค่สองวันผมก็คิดถึงจะเป็นบ้า” คนตัวสูงส่งเสียงอ้อนเอาใจ หอมแก้มฟอดใหญ่แล้วคลอเคลียไม่ห่าง
“อย่ามาปากหวาน ผมไม่อยากโดนคุณหลอกซ้ำซาก พูดแบบนี้มากี่ครั้งแต่คุณก็หาเศษหาเลยกับคนโน้นคนนี้ตลอด อย่าให้ผมรู้นะว่าคุณนอกใจผมอีก ครั้งนี้ผมไม่ใจดีนะ ผมจะจัดการทั้งคุณกับชู้รักของคุณให้สาสม ถึงผมจะดีกับคุณให้อภัยคุณแต่กับคนอื่นผมเอาตาย” เสียงที่แน่วแน่ข่มขู่มาอีกระรอก ซึ่งหากฟังดีๆ มันไม่ใช่คำพูดขู่เล่นๆ
“โอ๋ๆๆๆ มามะคนดี อย่างอนนะครับ ผมรักคุณคนเดียวไม่ว่าใครก็เทียบกับคุณไม่ได้หรอก อย่าอารมณ์เสียด้วยเรื่องไร้สาระพวกนั้นเลย ผมกอดคุณอยู่นี่ไง น่านะไม่งอน ดูสิหน้าบึ้งคิ้วขมวดหมดแล้ว แก้มก็ป่องอีก ดูปากนี่สิ โหยขี้เหร่นะเวลาโกรธเนี่ย”
“ยังจะมาว่ากันอีก คุณนี่! เดี๋ยวเหอะ ผมไม่งอน แต่ผมไม่ชอบใจ กับคนนั้นผมรู้หรอกว่าคุณก็อยากลากขึ้นเตียงด้วยใจจะขาด อยากลองของใหม่ล่ะสิ ฮึ! ติดว่าเขาเล่นตัวใช่ไหมล่ะ คุณถึงยังไม่ได้แอ้มน่ะ”
“ต่อให้อ่อยผมก็ไม่สน ผมมีคนที่ถูกใจอยู่ ดูสิแฟนผมคนนี้ทั้งน่ารักทั้งแสนดี คนอื่นก็แค่ของข้างทาง เทียบกันไม่ได้หรอก” คนร่างสูงยิ้มยั่วแล้วจูบหนักๆ ลงไปเพื่อยืนยันคำพูดทำให้คนที่กำลังแง่งอนถึงกับตัวอ่อนเพราะคารมหวานๆ
“ให้มันจริงเถอะ”
“จริงสิคนดี ไว้อะไรๆ ลงตัวแล้วคุณย้ายมาอยู่กับผมนะ จะได้ไม่ต้องคิดถึงคุณขนาดนี้”
“อย่าหลอกนะครับ เดี๋ยวก็ผลัดวันไปอีก หลอกไปเรื่อยๆ ผมก็น้อยใจเป็นนะ” คนตัวเล็กเงยหน้าไปมองน้ำเสียงกระเง้ากระงอดใส่อีกฝ่าย
“งานสำเร็จเมื่อไรเราก็ได้อยู่ด้วยกันครับ อดทนหน่อยนะคนดี ผมรักคุณนะครับ”
{เอรีส} เมื่อเห็นปัถย์พาผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งเข้ามาในห้องแถมยังแนะนำให้เป็นตุเป็นตะว่านี่คือผู้ช่วยคนใหม่ที่รับเข้ามาทำหน้าที่แทน ผมก็ถึงกับพูดไม่ออก
ไอ้ที่ว่าโกรธมันก็แสดงออกมาไม่ได้ เพราะช่วงหลังมานี้ทั้งผมกับปัถย์ต่างก็มีเรื่องต้องโมโหโต้เถียงกันแทบจะตลอดเวลา หาเวลาที่จะคุยเล่ยหยอกล้อกันเหมือนวันเก่าๆ ก็แทบจะไม่มี สิ่งที่ผมทำได้คือนิ่งเงียบ และปล่อยให้ปัถย์เล่นบทบาทคนเจ้ากี้เจ้าการไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ ทั้งที่อยากโวยใส่อีกฝ่ายแทบใจจะขาดแต่ก็ไม่อยากทำต่อหน้าบุคคลที่สาม เพราะผมไม่อยากให้ปัถย์รู้สึกเสียหน้า
ในเมื่อผมให้สิทธิ์ขาดในเรื่องงานกับปัถย์ และผมก็เชื่อว่าถ้าปัถย์บอกว่าคนนี้มีคุณสมบัติเพียงพอแสดงว่าคนนี้ก็ดีพอจริงๆ ผมเชื่อมั่นในตัวผู้ช่วยของผมอย่างไร้ข้อกังขา สามสี่วันมานี้ผมเห็นปัถย์พยายามส่งมอบงานของตัวเองให้คนใหม่ พาเข้ามาใกล้ผม ทำความรู้จักกับผม ซึ่งหากเป็นด้วยเรื่องงานผมก็ยอมปล่อยไป เพียงแต่ผมไม่พอใจเท่าไรที่ดูเหมือนเจ้าตัวจงใจอยากจะหาคนมาแทนที่ของตัวเอง ซึ่งสำหรับผมแล้วไม่มีใครแทนที่ปัถย์ได้
เพราะกับปัถย์แล้วเขาไม่ใช่แค่ผู้ช่วยหรือลูกน้องอีกต่อไป
“นี่ครับบอส ราคาต้นทุนทั้งหมดที่ผมรวบรวมจากฝ่ายคอสมาให้ วัสดุ แรงงานและก็ค่าดำเนินการในทุกส่วน บอสลองดูก่อน”
ปัถย์ยื่นแฟ้มเอกสารสำคัญให้ผม ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ผู้ช่วยคนเก่่งของผมจะทำการบ้านของงานประมูลมาให้ ผมแค่ดูตัวเลขและคิดกำไรไว้ในใจว่าต้องการกี่เปอร์เซ็น ที่เหลือปัถย์จะจัดการเอาไว้ให้หมด
“ขอบใจมาก นายว่า... งานนี้เป็นยังไง น่าสนใจหรือเปล่า”
ผมถามเขาอย่างเคย ทุกงานที่ผมเข้าร่วมประมูลผมจะลองซาวด์เสียงเอาจากคนข้างๆ ตัวนี่ล่ะ ที่ถามก็เพราะปัถย์มีวิสัยทัศน์การทำงานที่ดี บางครั้งผู้บริหารอย่างผมอาจดูแค่เรื่องตัวเลขแล้วก็เม็ดเงินที่จะได้ แต่บางทีก็หลงลืมอะไรไปในหลายๆ อย่างก็มีเขาคนนี้นี่ล่ะที่กระตุ้นบางอย่างให้ผมได้ดีทีเดียว
“เป็นโปรเจคน่าสนใจครับ เงินถึง ไม่น่าจะเบิกโปรเกสยากเพราะโอนเนอร์เป็นเศษรฐีน้ำมัน แถมมีแบคเป็นถึงรัฐบาลท้องถิ่นไหนจะทางฝั่งเราด้วย” ปัถย์บอกนิ่งๆ แต่สายตาดูมีบางอย่าง
“แล้วอย่างอื่นล่ะ”
“ธุรกิจสีเทาครับ...”
“อือฮึ” ผมครางรับในลำคอ แล้วรอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อไป
“เงินที่ได้มามันไม่สะอาดร้อยเปอร์เซ็น แม้เงินที่มาลงทุนอาจจะเป็นเงินบริสุทธิ์ แต่พอมันเสร็จก็จะกลายเป็นดึงเอาเงินสกปรกมาต่อยอดให้ยิ่งสกปรกมากขึ้น แต่นี่เป็นความเห็นส่วนตัวผมนะครับ บอสไม่ต้องฟังผมก็ได้”
“ต้องฟังสิ พูดต่อ”
“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วครับ บอสอยากฟังอะไร?” ปัถย์ถามเสียงเอื่อย ขยับแว่นตาให้เข้าที่เล็กน้อย ดูแล้วน่ามัรเขี้ยวพิลึกอยากจะเดินไปดึงตัวแล้วหอมสักฟอดใหญ่ก็กลับเจ้าตัวจะโกธรกลับมาให้อีก ช่วงนี้ยิ่งอะไรๆ ก็ดูไม่ลงรอยกันสักเท่าไรด้วย คุยอะไรกันมีอันต้องมีปากเสียง เฮ้อ!
“อยากรู้ว่าจะรับงานนี้ดีไหม นายว่าไง”
“ผมตัดสินใจแทนบอสไม่ได้หรอก ผมแค่พูดในส่วนของผม”
“อืม ก็อยากฟังส่วนของนายไง”
“ถ้าเลือกได้ผมจะไม่ทำครับ ก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดนั้นแต่มันก็รู้สึกว่าเราสนับสนุนให้คนถูกมอมเมา แต่ก็นะครับไม่มีใครไปบังคับนี่อยากไปกันเองทั้งนั้น ที่ผมพูดนี่อารมณ์ล้วนๆ”
“ก็ถ้านายบอกว่าไม่ควรรับ ฉันก็ไม่รับนะงานนี้”
“อย่าครับอย่า แบบนั้นไม่ดีหรอก ผมแค่พูดด้วยความรู้สึก บอสอย่ามาคล้อยตามง่ายๆ สิครับ การตัดสินใจเด็ดขาดมันขึ้นอยู่กับบอส ต้องเอาผลประโยชน์บริษัทเป็นที่ตั้งไม่ใช่คำพูดลูกน้องอย่างผม”
“นายพูดอะไรฉันก็คล้อยตามทั้งนั้นล่ะ แล้วนายก็ไม่ใช่แค่ลูกน้อง”
ผมพูดออกไปแล้วก็ได้รับสีหน้าแดงๆ ที่ดูสัยสนกลับมาแทน บางครั้งการที่ผมพูดอะไรไปตรงๆ แบบไม่ผ่านสมองมันก็ให้ความรู้สึกดีเหมือนกัน
“ไม่คุยแล้วครับ”
“รีบไปไหนล่ะ คุยก่อน” ผมรั้งมือปัถย์ไว้ เผลอยิ้มออกมาเมื่ออีกฝ่ายดูเขินๆ
“เรื่องงานนะครับ” คนตรงหน้าแย้งออกมา แล้วพูดเสียงเข้มงวด
“ถ้าอยากคุยเรื่องงานก็จะคุยเรื่องงาน ดีไหม”
“ครับ?” ปัถย์มองผมแล้วรอว่าผมจะพูดอะไร
“ฐิติน่ะ ช่วยงานนายได้ดีไหม”
“ดีครับ กำลังเรียนรู้งานอยู่” รายนั้นพยักหน้า “ค่อนข้างเชี่ยวครับ ทันคนแล้วก็มีลูกล่อลูกชน คงช่วงงานบอสได้มากทีเดียว”
“นายดูชอบเขา” ผมสังเกตมาหลายวันก็เห็นว่าปัถย์ดูจะพอใจกับการทำงานของคนมาใหม่ เห็นให้งานหลายอย่างขนคล้ายๆ กับว่ากำลังส่งต่องานให้ก็ไม่ผิด
“เขาทำงานเก่ง”
“อืม แต่ก็ไม่มีทางสู้นายได้หรอก” ผมพูดอย่างใจคิด และก็ดึงปกคอเสื้อของอีกฝ่ายให้เข้าที่เพราะเห็นว่ามันเบี้ยวอยู่หน่อยๆ
“เพิ่งเข้ามาไม่กี่วันทำได้ขั้นนี้น่านับถือแล้วครับ ตอนผมมาใหม่ๆ จำได้ว่าหัวหมุนไปหมด เจอคุณต้อนจนมุมด้วยคำถามที่ไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนั้นเกือบจะท้อใจอยู่หลายครั้ง แต่คุณฐิตินี่ก็ดูจะเป็นงานเร็วกว่าผมหลายเท่า”
“แต่เผลอแป๊บๆ ก็จะสามปีแล้ว”
“ครับ จะสามปีแล้ว” เสียงของปัถย์ดูหงอยลง สีหน้าก็ดูหม่นลงไปด้วยซึ่งมันทำให้ผมไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร
“ไม่ให้ออกนะ ไม่อยากให้ออก” ผมพูดอีกครั้ง ย้ำว่าเจตนาของผมอยู่ ณ จุดไหนกันแน่
ถ้าปัถย์ดื้อ ผมก็จะดื้อกว่า
“…” ปัถย์ไม่พูดอะไรเลย ทำแค่เพียงหลบตาผมและดึงมือกลับไปเงียบๆ
“มีนายอยู่ข้างๆ ฉันก็อุ่นใจ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถามจริงๆ นะ จะทิ้งกันได้ลงคอเลยเหรอ หมดนายไปฉันก็ไม่มีใครแล้ว... ”
“…”
“อย่าไปนะ” ผมย้ำอีกครั้ง และรอคอยคำตอบต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
แต่ความเงียบคือคำตอบที่น่ากลัว จากสีหน้าและแววตาผมรู้ดีว่าคนดื้อเงียบของผมไม่ยอมตามใจผมในครั้งนี้ แต่ไม่เป็นไร... ผมไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรอยู่แล้ว
แต่ผมก็พ่ายแพ้ วันนี้คือวันจันทร์เป็นวันที่ปัถย์จะต้องมาขับรถให้ผมเพื่อไปทำงานซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทำมาแล้วกว่าสองปี แต่รอจนถึงแปดโมงแล้วก็ยังไร้วี่แววของคนที่ผมกำลังเฝ้ารออยู่ ผมก็ก้มลงมองปฏิทินในโทรศัพท์ก็พบว่าวันนี้คือสัปดาห์แรกของเดือนใหม่...
ไอ้ความรู้สึกเหมือนถูกทิ้งขว้างมันเป็นแบบนี้สินะ ทั้งที่หลงลืมมันไปกว้าสิบปี หนีมันได้มากว่าสิบปีความรู้สึกนี้ก็หวนกลับมาอีกจนได้
หัวใจของผมมันวูบโหวงเมื่อไม่มีเสียงทักทายจากคนที่เจอกันทุกวันตลอดสามปี ไม่มีอาหารเช้าง่ายๆ จำพวกแซนวิชในวันจันทร์ ไม่มีกลิ่นกาแฟหอมๆ จากร้านประจำที่ผมชอบ ท้ายที่สุดไม่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มที่แฝงไปด้วยความอ่อนใจเวลาผมบ่นพึมพำเรื่องรถติดไม่ขาดปากตลอดทางที่ขับฝ่าย่านการค้าที่รถติดมหาหฤโหด
จ้องมองนาฬิกาดิจิตอลติดผนังเงียบๆ กลั้นใจรออีกคน คาดหวังเอาไว้ว่าเพราะการจราจรหนาแน่นทำให้ใครอีกคนมาสาย ผมรออีกห้านาทีและตัดสินใจกดโทรออกหาใครคนนั้น
เลขหมายที่ท่าเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...
The Number… ปิดเครื่อง... ใครคนนั้นไม่เคยปิดเครื่อง ซึ่งผมรู้แล้วว่าเจ้าตัวตั้งใจเงียบหายไปและจงใจไม่อยากรับสาย
ผมจึงตัดสินใจในชั่ววินาทีหยิบกุญแจรถคันโปรดและออกจากห้องด้วยความรวดเร็ว ภายในรถคันเก่าที่คุ้นเคยจากที่มีคนเคยเปิดเพลงคลอเบาๆ ตอนนี้มีเพียงความเงียบมีเพียงเสียงจอแจที่ดังลอดผ่านเข้ามาจากด้านนอก
ผมไม่ลังเลที่จะเลี้ยวรถขึ้นทางด่วนและมุ่งหน้าไปในที่ๆ หนึ่ง อย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น
คอนโดL ผมใช้เส้นสายนิดหน่อยเลยได้ขึ้นมาถึงห้องใครคนนั้นอีกครั้ง กดกริ่งหน้าประตูอยู่หลายครั้งก็มีเพียงความว่างเปล่า ห้องข้างๆ หลายคนเดินสวนไป แต่คนในห้องที่ผมรออยู่ยังเงียบสนิท
โทรศัพท์เครื่องเก่าในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบออกมาและกดหาเขาอีกครั้ง
เลขหมายที่ท่าเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...
Sorry, the number that you've dialed cannot be connected at this time, Please try again later… ผมยืนอยู่อย่างนั้นอีกสิบนาที กดกริ่งซ้ำๆ แต่ไม่มีเงาของปัถย์เดินออกมาเปิดประตู ผมมองประตูบานเดิมด้วยขั้วอารมณ์ที่หลากหลาย โกรธ โมโห หงุดหงิด กังวล และคิดถึง
แค่วันเดียวเองผมยังเป็นขนาดนี้...
แล้ววันที่เหลือต่อจากนี้ล่ะ
เพราะปัถย์ไม่เคยหายไปจากทุกกิจกรรมของผมทั้งวันทำงาน วันพักผ่านถ้าไม่มีตัวก็ยังมีเสียงปัถย์ให้ได้ยินเสมอ ถ้าเขาหายไปในวันนี้ผมจะปรับตัวได้ไหม ผมจะบอกตัวเองให้ชินได้ไหม
ในตอนนี้ตรงหน้าผมคือผู้ช่วยคนใหม่ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนๆ นี้มากนัก รู้แค่ว่าเขาจะมาทำหน้าที่แทนปัถย์ และวันนี้คือวันแรกที่เข้ามารับหน้าที่เต็มตัวเป็นวันแรก ผมไม่ได้คาดหวังให้เขาทำงานได้เทียบเท่าปัถย์ เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าที่ตรงนี้ไม่ว่าใครก็แทนไม่ได้
“คุณเอรีสครับ นี่เอกสารสัญญาจากทางโครงการที่ภูเก็ต กรุณาเซ็นทุกหน้านะครับ”
ใบหน้ากระตือรือร้นของคนตรงหน้าทำให้ผมนึกเปรียบเทียบกับปัถย์ตอนเข้ามาใหม่ๆ แต่กับปัถย์เขารู้สึกว่าเข้าถึงได้ง่ายกว่าเพราะปัถย์แสดงอารมณ์ออกทางแววตาและใบหน้า ผิดกับฐิติที่ดูปั้นยิ้มเสียจนคล้ายกับเป็นหน้ากากที่ฉาบทับไว้มากกว่าที่เจ้าตัวอยากจะยิ้มมันจริงๆ
“เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกแล้วนะ”
“แต่ตอนบ่ายสามคุณวิชัยพีเอ็มของรีจีสคอนโดที่เอกมัยจะเข้ามารายงานเรื่องความคืบหน้าของโครงการ สี่โมงเย็นพีเอ็มของเอ็มเอสทาวเวอร์ก็ขอคุยเรื่องงานเพิ่มเติมจากสัญญาครับ ส่วนตอนห้าโมงเย็นก็...”
“คุณควรบอกผมตั้งแต่เช้านะ ไม่ใช่รอให้ถามก่อน”
ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ เมื่อมารู้ว่าตอนบ่ายมีนัดอัดเข้ามาแน่นขนาดนี้ ผมมีนัดเยอะก็จริงแต่ไม่ใช่ยัดเข้ามาจนเต็มตาราง ปัถย์มักจะมีเวลาให้ผมเบรคพักเพื่อเคลียงานก่อนหมดวัน โดยปกติหลังบ่ายสามไปผมจะไม่รับนัดที่ไหนอีก
“ขอโทษครับ”
“เรื่องแค่นี้ไม่น่าต้องให้สอน ทำงานให้เป็นมืออาชีพหน่อย เงินเดือนคุณไม่ใช่เรทเด็กจบใหม่ หวังว่าที่จ้างมาคงจะคุ้ม” ผมต่อว่าอีกฝ่ายออกไป แล้วก็ไม่แคร์ด้วยว่าเขาจะรับได้หรือเปล่า
“ผมจะทำงานให้ดีกว่านี้ครับ”
“ถ้างานตรงนี้มันง่าย ผมจ้างเด็กจบใหม่มาทำแล้ว เงินเดือนแค่หมื่นห้า จบปริญญาโทมาแล้วได้แค่นี้ผมว่าคุณควรพิจารณาตัวเองด้วย”
อีกฝ่ายนิ่งสนิท ใบหน้าซีดลงเล็กน้อยแต่ยังฝืนจ้องมองมาทางผม
“ขอโทษครับบอส ผมจะปรับปรุงตัว”
“ห้ามเรียกว่าบอส เรียกผมว่าเอรีส” เสียงผมห้วนกว่าเก่า ดุดันกว่าเก่าตามแรงอารมณ์
คนเดียวที่จะเรียกผมว่าบอสคือปัถย์ และผมจะยอมให้เรียกแบบนี้แค่คนเดียวเท่านั้น
“ครับคุณเอรีส”
“ตำแหน่งนี้ทดลองงานแค่เดือนเดียว ทำได้ก็อยู่ต่อ ไม่ได้ก็ออกไป ไม่มีเวลามาเสียกับคนเรียนรู้ช้า คนโปรไฟล์ดีมีเยอะ แต่ทำงานได้จริงๆ ไม่ถึงครึ่ง คุณเป็นครึ่งไหนผมไม่สน แต่โอกาสของคุณเหลือแค่ยี่สิบเก้าวัน”
“เดือนเดียว?”
“ใช่”
“อ่า ครับ” ผู้ช่วยคนใหม่พยักหน้ารับ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร
“ผมจะรีบเคลียงาน ไปจัดการเรื่องนัดให้เรียบร้อย ผมจะอยู่ถึงแค่สี่โมง”
ทันทีที่ฐิติออกจากห้องไปผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกอีกครั้ง ครั้งนี้ผมโทรติด
ทว่าไม่ว่าจะกี่ครั้ง... เขาก็ไม่รับสาย
ผมชะล่าใจเป็นความโง่มากที่คิดว่าปัถย์จะเปลี่ยนใจที่จะทิ้งผมไปอีกคน...
คนส่วนใหญ่รู้จักผมในฐานะเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ หลายคนชอบผม มองว่าผมเป็นไอดอล นักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง แต่ผมไม่ใช่
ผมก็แค่...ผู้ชายอีกคนที่ล้มเหลวในเรื่องของความสัมพันธ์ครั้งแล้วครั้งเล่า
ผมพลาดที่รู้ตัวช้า
พลาดที่ปล่อยใจให้รัก และรักษามันไว้ไม่ได้อีกครั้ง