@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 117181 ครั้ง)

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- U R F--king Crazy! ----




"ครับ ฆาบี้ ใช่ครับ บอกคนที่จะมารับด้วยนะว่าผมถึงทุ่มยี่สิบห้า ไม่ใช่สี่ทุ่มเหมือนคุณทุกที"

เจพูดใส่หูฟังบลูทูธของเขาพลางเดินพล่านรอบห้อง เขากำลังเร่งเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเดินทาง

"ที่จริงไม่ต้องให้คนอื่นลำบากมารับผมก็ได้นะ ฆาบี้ ผมนั่งแอร์พอร์ท เอ็กซเพรสไปก็ได้"

"ไม่ได้ลำบากหรอกเจ ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ฉันไปรับนายเองไม่ได้ แย่จริงๆ"

คนตัวโตบ่นตัวเองเบาๆ เจนยุทธนัดเขาไว้แล้วว่าจะมาหาที่ฮ่องกงในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม หากเมื่อใกล้ถึงวันนัด เขากลับติดธุระต้องไปงานสำคัญที่ซิดนีย์ ออสเตรเลียและจะกลับถึงฮ่องกงหลังจากเจมาถึงแล้ว

“เวลาเจอกันยิ่งมีน้อยๆ อยู่…”

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบหากคนรักของเขาหัวเราะเบาๆ

“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ วันนี้วันอังคาร คุณกลับมาถึงพรุ่งนี้เย็นใช่ไหมล่ะ กว่าผมจะกลับก็ตั้งวันอาทิตย์ ยังมีเวลาด้วยกันอีกตั้งหลายวัน”

เจนยุทธพูดอย่างอารมณ์ดี มีเวลาน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เจอกันเลย



“แล้วนี่เพิ่งจัดกระเป๋าเหรอ? จะไปสนามบินทันไหม?”

คนตัวโตกระเซ้าคนรัก เขาดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงแล้ว เจต้องไปถึงสนามบินก่อนบ่ายโมงครึ่งเพื่อขึ้นเครื่องของสายการบินคาเธย์ ดรากอนเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง

"ทันสิครับ ผมเตรียมๆ ของไว้แล้ว ไม่เหมือนคุณนี่ที่จะมาโยนๆ ทุกอย่างลงกระเป๋าตอนก่อนขึ้นเครื่อง"

เจหันไปแลบลิ้นให้คนรักที่อยู่ในจอแท็บเล็ตของเขา ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ มองคนตัวเล็กที่เดินหยิบนั่นนี่ใส่กระเป๋า

"เจจะเอาอะไรมาเยอะแยะ เสื้อผ้านายที่ห้องฉันก็มีแล้วไม่ใช่เหรอ?"

คนตัวโตถามเมื่อเห็นเจหยิบนั่นคว้านี่ใส่กระเป๋าจนเต็ม

"ไม่ใช่ของผมหรอกคุณ นี่สูทคุณที่ใส่มาคราวที่แล้ว ปกติคุณจะใส่กลับรอบถัดไปที่มาใช่ไหมล่ะ? คราวนี้คุณไม่ได้มาเอา ผมก็เอากลับไปให้ด้วย แล้วนี่ ของฝากเมลิน่า..."

เจชูผ้าพื้นเมืองกับกระเป๋าดีไซน์เก๋ไก๋ที่ทำจากผ้าลายชาวเขาให้ฆาเบียร์ดู เขายังเอาของเล็กๆ น้อยๆ ที่จะเอาไปฝากคนอื่นที่ทำงานกับเขาโดยตรงให้ฆาเบียร์ดูอีก

"นายไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้ เจนยุทธ นายฝากของกลับไปให้แทบทุกครั้งแล้วนะ"

"ไม่ลำบากอะไรซักหน่อยครับ ของพวกนี้หาซื้อได้จากแถวกาดหลวงอยู่แล้ว ผ้าเมืองนี่ก็มาจากร้านอาผม ส่วนกระเป๋านี่ก็จากตรอกเล่าโจ๊ว ของอย่างอื่นก็เหมือนกัน นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้แพงอะไรด้วย อย่างพวงกุญแจนี่ก็หลักสิบ"

เจยกพวงกุญแจที่ทำจากผ้าชาวเขาให้ฆาเบียร์ดู ของส่วนมากที่เขาซื้อราคามักอยู่ที่หลักสิบหรือหลักร้อยต้นๆ มีเพียงของเมลิน่าที่มีราคาหลักพัน



"จริงๆ ผมมีของให้คุณด้วยนะ แต่ดูๆ แล้วผมไม่แน่ใจว่าเอาเข้าประเทศได้ไหม ฉะนั้นผมจะเอาใส่ฟรีซไว้รอคุณมากินคราวหน้าแล้วกัน"

ฆาเบียร์ทำตาโตเมื่อเห็นรถด่วนหรือหนอนไม้ไผ่ทอดถุงโตในมือคนรัก

"นายซ่อนไว้ไกลๆ เลยนะเจนยุทธ นี่จะขุนฉันหรือไง?"

คนตัวโตบ่นเบาๆ เจหัวเราะคิก

"อะไรครับ นี่ไม่ชอบกินแล้วเหรอ?"

"ชอบสิ ถึงบอกให้นายเอาไปซ่อนไงล่ะ อุ่นให้ฉันทีละกำมือก็พอนะ"

ฆาเบียร์พูด เขายังจำได้ว่าไอ้เจ้าหนอนน้อยพวกนี้ให้พลังงานสูงแค่ไหน

"คร้าบๆ เข้าใจแล้ว จะกลัวอ้วนไปถึงไหน หืมม์? กินแค่นี้ไม่อ้วนหรอกน่า"

คนห่วงรูปร่างตัวเองโคลงหัวเบาๆ เขาไม่เหมือนเจนยุทธที่กินเท่าไหร่ก็ไม่มีผลต่อรูปร่างราวกับมีหลุมดำในกระเพาะ

"งั้นนายจัดกระเป๋าไปเถอะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ"

“ไม่ต้องวางหรอกครับ ผมจัดไปคุยไปได้ หรือคุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ถ้ามีวางก่อนก็ได้นะ

เจวางกระเป๋ารองเท้าของเขาลงในกระเป๋าเดินทางแล้วหันไปยิ้มให้คนตัวโต

“ตอนนี้ว่างจ้ะ คุยได้”

เจพยักหน้าให้คนรัก เขาหยิบนั่นนี่มาใส่กระเป๋าเพิ่มพลางพูดใส่หูฟังไปด้วย



"...เดี๋ยวเครื่องจะออกแล้วผมจะไลน์บอกไป ถ้าถึงฮ่องกงแล้วก็จะบอกไปอีกทีด้วย โอเคไหม?"

คนตัวโตพยักหน้ารับคำ

"แล้วจะไปสนามบินยังไง? เรียก Grab ไปเหรอ?"

เจส่ายหัว

"เดี๋ยวพี่นพมารับครับ แกว่างพอดี อาจจะแวะหาข้าวกินกันก่อนแป๊บๆ...เอ้า ฮึบ โอเค ไม่น่าหนักเกิน..."

เจรูดซิปกระเป๋าเดินทางใบน้อยของเขาและลองยกขึ้นเหนือหัวดู ถึงจะไปหลายวัน แต่เนื่องจากเขามีเสื้อผ้าที่เมียตัวโตของเขาประโคมซื้อให้เป็นจำนวนมากอยู่ที่ฮ่องกง เขาจึงแทบไม่ต้องเอาของส่วนตัวอะไรไปนอกจากกางเกงชั้นใน

"...ที่จริงตอนแรกผมก็กะว่าจะนั่งรถเมล์ไปนะ แต่ก็ไม่เคยนั่งมาก่อน ผมเลยไม่ชัวร์เรื่องเวลา ไว้ค่อยนั่งเล่นเองคราวหน้า"

"รถเมล์เหรอ? ฉันว่าฉันไม่เคยเห็นรถเมล์ผ่านแถวคอนโดเจเลยนะ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เขาเคยเห็นรถเมล์คันสีขาววิ่งไปมาในเมืองเชียงใหม่ แต่เขาไม่เคยเห็นมันผ่านมาแถวถนนนิมมานเหมินท์เลยสักครั้ง เจทำตาโต

"มีสิครับ อ๋อ คราวที่แล้วคุณคงไม่ได้สังเกต ตอนนี้เรามีรถเมล์เจ้าใหม่นะ ชื่อ RTC เป็นรถคันใหญ่แบบเมืองนอก สีฟ้าๆ น่ะครับ เพิ่งเริ่มวิ่งตอนก่อนปีใหม่เมืองที่ผ่านมานี่เอง เริ่มสายเดียวแต่ก็จะขยายเพิ่มในอนาคตนะ ได้ยินว่าอาจจะมีสามสี่สาย"

เจเล่าให้คนรักของเขาฟังถึงรถเมล์ใหม่ที่เพิ่งเริ่มวิ่งได้เพียงเดือนกว่าๆ



"ช่วงแรกเขาเปิดให้นั่งฟรี แต่เสียดายว่าผมไม่ได้ไปลอง เห็นปรินซ์กับซันซันมันไปลองมาบอกว่าใช้ได้ แอร์เย็น มี wifi มีที่นั่งคนพิการ ไม่ชัวร์ว่าเอาจักรยานขึ้นได้เหมือนรถเมืองนอกหรือเปล่า..."

"เหรอ ก็ดีนะ ถ้ามีคนขึ้นเยอะๆ ก็ดี รถจะได้น้อยลง"

เจหัวเราะหึๆ

"มันขึ้นอยู่กับสายรถด้วยครับ ถ้าสายออกมาแย่ เช่น ไม่ผ่านที่จุดที่คนนิยมไป หรือหารถต่อไปจุดอื่นยาก คนก็อาจจะคิดหนักครับ"

เจเล่าถึงความพยายามในการทำรถโดยสารสาธารณะแบบนี้ ซึ่งมีคนเคยทำมาแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ค่อยรอดเนื่องจากปัญหาอย่างที่เขาเล่าให้ฟัง

"เคยมีเจ้านึง ทำสายออกมาทีแรกอย่างหรู ครอบคลุมต่อเชื่อมกันดีมาก แต่ไปๆ มาๆ โดนพวกมาเฟียรถแดงประท้วง ต้องมาเปลี่ยนสายอุตลุดสุดท้ายก็เจ๊งเพราะคนก็ไม่ขึ้น ก็แหงล่ะครับ อย่างผมถ้าจะไปกาดหลวง ก็นั่งไปตรงเลยไม่ได้นะเพราะไม่มีป้ายบนถนนนิมมานฯ ต้องเดินไปขึ้นรถที่กาดเชิงดอย จากนั้นนั่งไปลงป้ายที่สวนบวกหาด แล้วก็ต้องเดินไปอีกประมาณครึ่งโล ไปขึ้นอีกสายที่จะไปกาดหลวงที่กาดประตูเชียงใหม่ เจอแบบนี้ผมก็หยิบกุญแจรถแล้วอ่ะ"



ฆาเบียร์ฟังเจนยุทธร่ายยาวเสร็จแล้วจึงถามขึ้นอย่างสงสัย

"แล้วเจ้านี้เขาจะไม่โดนพวกมาเฟียรังควานอีกเหรอ?"

เจทำท่าครุ่นคิด

"ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ แต่เห็นว่ารายนี้เขาแบ็คหนา มีคอนเน็คชั่นกับทางจังหวัด กับพวกหอการค้า สภาอุตสาหกรรมอะไรพวกนี้ แถมยังทำมาแล้วหลายจังหวัด ก็น่าจะโอเคครับ แต่หลักๆ จากสายรถที่เห็น ก็น่าจะเน้นพวกนักท่องเที่ยวกับนักเรียนนักศึกษามากกว่า"

คนตัวเล็กถอนหายใจเฮือก

"พูดจริงๆ นะ คนเชียงใหม่อย่างรุ่นผมขึ้นไปชินกับการขับรถไปแล้ว จะให้มาใช้รถเมล์แทนปุบปับเลยก็คงยาก แต่อย่างน้อยก็เป็นการหัดให้เด็กรุ่นใหม่ รุ่นที่เป็นนักเรียนชินกับการใช้รถสาธารณะน่ะครับ..."

เจบอกคนรักว่าในช่วงที่รถยังวิ่งฟรีอยู่นั้น เขาเห็นจากเฟซบุ๊คของเพื่อนๆ เขาหลายคนซึ่งมีครอบครัวแล้วว่าพวกเขาพาลูกเล็กๆ ไปขึ้นรถเมล์เที่ยว

"พวกเด็กๆ ดูจะสนุกกันมากครับ ปรินซ์กับซันซันก็เล่าว่าตอนพวกเขาไปนั่งรถเล่นก็เห็นพวกพ่อแม่พาลูกมาขึ้นเยอะอยู่เหมือนกัน"

"ดีจ้ะ อย่างน้อยก็เป็นการปลูกฝังให้เด็กๆ ได้รู้จักการใช้รถสาธารณะนะ แล้วค่ารถมันเท่าไหร่กัน?"

"ยี่สิบบาทตลอดสายครับ ใช้บัตรแร็บบิทจ่ายได้ด้วย"

"อืมม์ ก็ไม่ได้แพง แต่ถ้าสำหรับเด็กๆ ขึ้นทุกวันก็อาจจะแพงอยู่ดี ฉันเดาว่าน่าจะมีราคานักเรียนกับพวกตั๋วเดือนด้วยใช่ไหม?"

"เอ ตั๋วเดือนนี่ผมไม่แน่ใจ แต่นักเรียนน่าจะครึ่งราคาครับ ก็ รอดูกันต่อไปว่าจะเวิร์คไหม"

เจทรุดตัวลงนั่งบนเตียงเพื่อคุยกับคนรักในจอแท็บเล็ต



"พูดถึงรถพวกนี้ มีอีกอย่างที่ผมอยากพาคุณไปนั่ง แต่อาจจะต้องรอให้อากาศมันเย็นกว่านี้"

"เหรอ? อะไรล่ะ?"

"รถราง เขียว สวย หอมครับ ผมเคยได้ยินชื่อมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสนั่งสักที"

คนตัวโตขมวดคิ้ว

"Tram? เชียงใหม่มี tram ด้วยเหรอ? ฉันไม่เคยเห็นรางมันเลยนะ?"

เจเกาหัวและอธิบายว่า เขาแปลคำว่า "รถราง" โดยใช้คำว่า Tram ตามชื่อภาษาไทยของมัน หากที่จริงแล้วมันเป็นเพียงรถที่ทำหน้าตาเลียนแบบรถรางของเมืองนอก หากวิ่งโดยใช้ล้อเหมือนรถทั่วไป

"หน้าตามันคล้ายรถรางในไนท์ซาฟารีน่ะครับ จำได้หรือเปล่า ที่ด้านข้างเปิดโล่ง แล้วที่นั่งเป็นม้านั่งยาวๆ น่ะ นึกออกหรือเปล่า?"

คนตัวโตร้องอ๋อแล้วหัวเราะเบาๆ



"ไม่มีรางแล้วมันจะเป็น tram ยังไงล่ะจ๊ะ?"

"ก็นั่นแหละ ชื่อภาษาไทยมันยิ่งตลกนะคุณก็เพราะคำแปลตรงตัวของ "รถราง" ก็คือ railcar ก็รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีราง ก็ยังเรียกมันว่ารถรางอีก"

เจหัวเราะคิกคัก ฆาเบียร์โคลงหัวเบาๆ

"แล้วไอ้รถที่เจว่านี่มันพิเศษตรงไหนเหรอ?"

"มันเป็นรถนั่งชมเขตเมืองเก่าของเชียงใหม่ครับ วิ่งเป็นรอบๆ ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีรอบกี่โมงมั่ง เคยเห็นเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไว้ถ้าจะไปนั่งผมจะไปเช็คให้ แต่เท่าที่รู้ มีแบบที่นั่งวนรอบเมืองแล้วแวะวัดสองสามวัด กับแบบที่แวะหลายวัดหน่อยและมีกิจกรรมให้ทำด้วย ทั้งสองแบบมีไกด์คอยอธิบายเรื่องราวนั่นนี่ให้ฟังด้วยครับ"

"เหรอ น่าสนุกนะ ไว้ถ้าว่างๆ อากาศดี เรามีเวลาก็ค่อยไปกันก็ได้..."

คนตัวโตทำท่าจะพูดต่อ แต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นจากจอคอมเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

"เจจ๊ะ ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายังอยากพูดคุยกับคนรักต่ออีก

"ครับๆ ผมเองก็ต้องรีบแล้วเหมือนกัน มัวแต่คุยเพลิน ใกล้เวลาพี่นพมารับแล้วผมยังไม่ได้อาบน้ำแต่งตัวเลย"

เจหัวเราะแหะๆ พวกเขาทั้งคู่บอกลากันแล้วจึงผละไปทำสิ่งที่ต้องทำต่อไป



"อ้าว พี่บูม มารับใครที่สนามบินเหรอครับ?"

เจนยุทธทำหน้าเหรอหราเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของลูกพี่ลูกน้องซึ่งยืนรออยู่ที่หน้าประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้าสนามบินเช็คแล็ปก๊อก

"ก็มารับเรานั่นแหละ ไอ้ตัวแสบ ไหน มีกระเป๋าแค่นี้เองเหรอ?"

ทนายหนุ่มยิ้มละไมให้น้องชายพร้อมกับดึงกระเป๋าในมือมาลากให้แทน

"เอ่อ แต่..."

"เมื่อเช้าอลันเขาโทรคุยกับคุณมาร์ติเนซ พอรู้ว่าเราจะมาไฟลท์นี้แล้วคุณเขามารับไม่ได้ พวกพี่เลยอาสามารับให้ จะได้พาไปกินข้าวด้วย...”

บูมพาลูกพี่ลูกน้องของเขาเดินออกจากอาคารผู้โดยสาร เขาโทรบอกอลันซึี่งรออยู่ที่ลานจอดรถให้นำรถวนมารับ เจทำตาโตเมื่ออลันขับรถปอร์เช่ พานาเมร่า ซึ่งเป็นรถปอร์เช่สี่ประตูสีดำมันปลาบเข้ามาจอดเทียบ

“หูย ฮ่องกงนี่มีแต่รถสวยๆ น้อ”

เจนยุทธลูบๆ คลำๆ เบาะหนังในรถคันงาม บูมหัวเราะเบาๆ

“นั่งไม่สบายเท่ารถของคุณมาร์ติเนซหรอกน่า นี่ลืมไปว่าเจอาจจะอยากจะนั่งโรลสรอยซ์ของบ้านคุณเค้ามากกว่าหรือเปล่า?”

ทนายหนุ่มหันไปกระเซ้าน้องชายที่นั่งเบาะหลัง เจรีบโบกไม้โบกมือ

“โอ๊ย ไม่เลยพี่บูม นั่งรถมีคนขับแบบนั้นเขินจะตาย ยิ่งนั่งคนเดียวด้วยนะ ผมไม่รู้จะทำตัวไงเลยอ่ะ”

เจบ่นเบาๆ ถึงเขาจะเริ่มคุ้นกับการมีคนขับพาไปนั่นนี่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ชินกับการถูกปฏิบัติด้วยแบบ “คุณชาย”



“ผมไม่ชอบเลยอ่ะ มีคนมาเปิดประตูให้ ชวนคุยด้วยก็ไม่คุย พูดจากับผมก็ต้องลงท้ายด้วย sir อะไรงี้”

เจนยุทธถอนหายใจ ครั้งแรกที่เขามาหาฆาเบียร์ที่ฮ่องกงช่วงงานเปิดตัวบริษัท คนที่พาเขาไปไหนมาไหนคือริคกี้ ด้วยความที่เป็นคนรุ่นใหม่ เมื่อเขาบอกว่าไม่ต้องทำตัวมีพิธีรีตรอง เลขาฯ หนุ่มคนนั้นก็ทำตามโดยไม่เกี่ยงงอน ที่เขาขัดใจมีเพียงการที่ริคกี้ไม่ยอมให้เขาไปนั่งหน้ารถคู่กันเท่านั้น แต่ในครั้งหลังๆ ที่มาฮ่องกง โดยเฉพาะเวลาที่มาออกงานระยะสั้นๆ กับฆาเบียร์ คนที่ถูกส่งมาขับรถให้เขานั้นเป็นคนขัับรถเก่าแก่ของบ้านตระกูลหว่องซึ่งนอกจากจะไม่ยอมให้เจนั่งหน้าด้วยแล้ว เขายังถูกปฏิบัติตัวด้วยเท่าเทียมกับอาปาคริสและฆาเบียร์ แม้คนตัวเล็กจะขอร้องว่าให้ทำเหมือนเขาเป็นแขกธรรมดาๆ ก็ตาม

“ผมงี้เกร็งไปหมดเลยอ่ะพี่บูม แรกๆ ลุงเค้าเรียกผมว่า young master ด้วยนะ ก็เลยขอฆาบี้บอกเขาให้เรียกแค่ Mr. Jay พอ"

ญาติผู้พี่ของเจหันไปหัวเราะกับคนรักเบาๆ ระบบชนชั้นในฮ่องกงยังคงเข้มข้นนัก การที่ผู้บริหารใหญ่ๆ หรือเหล่าตระกูลดังจะยังมีคนรับใช้ คนรถหรือพ่อบ้านนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ยิ่งตระกูลที่ค่อนข้างเก่าแก่แถมยังมีสายสัมพันธ์กับประเทศอังกฤษอย่างครอบครัวของคริส ก็คงไม่แปลกที่จะต้องมากพิธีรีตรองเป็นเรื่องธรรมดา



"แล้ววันนี้คุณชายเจจะให้พี่พาไปส่งที่ไหน จะหาอะไรกินก่อนหรือว่าไปโรงแรมเลย?"

"โอ๊ย ไม่ต้องมาเรียกผมคุณชาย! พี่บูมอ่ะ แกล้งผมอีกแล้ว"

เจแกล้งทำท่าทางกะฟัดกะเฟียดเหมือนที่เขาเคยทำเล่นกับพี่ชายคนนี้เสมอมาเมื่อถูกทนายหนุ่มเรียกเป็น young master บ้าง

"โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว ว่าไง จะไปไหน?"

"ไปที่โรงแรมก่อนก็ได้ครับ จะได้เอาของไปเก็บก่อน แล้วจะไปไหนต่อก็ว่ากันอีกที"

 เจตอบพร้อมนั่งใช้ศอกเท้าเบาะหน้าและยื่นหน้าไปคุยกับพี่ชาย แม้เขาจะพยายามพูดภาษาอังกฤษกับบูมเพื่อให้อลันเข้าใจด้วย แต่เมื่อบทสนทนาเริ่มออกรสชาติ พวกเขาก็อดคุยกันเป็นภาษาไทยไม่ได้ หากคนรักของพี่ชายซึ่งทำหน้าที่พลขับก็ดูจะไม่ได้ขัดเคืองอย่างไรและปล่อยให้พี่น้องสองคนนี้ได้คุยกันตามอำเภอใจ

"เมื่อกี้ผมกินอะไรบนเครื่องมาบ้างแล้วครับ คราวนี้โดนจับซื้อตั๋วบิสสิเนสให้อาหารมันเลยเยอะหน่อย..."

เจนยุทธยักไหล่อย่างจนปัญญา ทั้งๆ ที่เขาบอกแล้วว่าขอนั่งชั้นประหยัด แต่เมลิน่าก็ยังจองชั้นธุรกิจให้เขาโดยอ้างว่าเครื่องเต็ม

"อีกอย่าง ก่อนขึ้นเครื่องผมก็กินเย็นตาโฟกับข้าวแกงกะหรี่ที่ร้านสวนผักมาแล้วครับ ตอนนี้ยังไม่หิว"

บูมทำตาปริบๆ เมื่อนึกถึงเย็นตาโฟทะเลชามใหญ่ยักษ์เครื่องตูมราคา 200 บาทของร้านอาหารที่อยู่ใกล้สนามบินแห่งนั้น สำหรับบูมแล้ว เย็นตาโฟชามยักษ์ถ้วยเดียวก็ทำให้เขาจุกได้แล้ว แต่สำหรับน้องน้อยของเขานั้น ถ้วยเดียวคงไม่พอยาไส้



"เรานี่มันกินจุเหมือนเดิมเลยนะ"

ทนายหนุ่มโคลงหัว เจหัวเราะแหะๆ แล้วทำหน้าเป็นให้ญาติผู้พี่ พวกเขาคุยกันมาตลอดทางจนกระทั่งถึงอาคารไอซีซีอันเป็นที่ตั้งของโรงแรมริทซ์คาร์ลตัน อลันวนรถขึ้นเนินสูงไปจอดบริเวณหน้าทางเข้าของโรงแรมซึ่งนับเป็นชั้น 9 ของอาคาร

"เดี๋ยวพี่ส่งเราลงตรงนี้ก่อน พอจอดรถแล้วพวกพี่จะไปนั่งรอที่ล็อบบี้นะ"

บูมซึ่งลงมาช่วยเปิดท้ายรถเพื่อเอากระเป๋าให้เจนยุทธบอก

"ที่จริงไปลานจอดเลยแล้วค่อยขึ้นมาด้วยกันก็ได้ ไม่เห็นต้องมาส่งผมถึงประตูเลย"

เจบ่นเบาๆ

"ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวกว่าเราจะเอาของขึ้นไปเก็บที่ห้อง เข้าห้องน้ำห้องท่าอีก แบบนี้พี่จะได้รอไม่นานไง ไป ไปได้แล้ว รถคันอื่นเขาจะได้มาจอดบ้าง"

ทนายหนุ่มดันหลังลูกพี่ลูกน้องให้เดินเข้าประตูโรงแรมไป เจทักทายกับดอร์แมนแล้วเดินตรงเข้าไปยังลิฟท์ซึ่งนำเขาขึ้นไปยังชั้น 103 ซึ่งเป็นล็อบบี้ของโรงแรม เนื่องจากฆาเบียร์ซึ่งเช่าห้องพักที่นี่แบบระยะยาวได้ใส่ชื่อเจนยุทธเข้าเป็นผู้พักร่วมด้วยอยู่แล้ว เมื่อมาถึงที่ล็อบบี้เจจึงได้ใช้คีย์การ์ดของตนซึ่งฆาเบียร์ให้ไว้ขึ้นลิฟต์ต่อไปยังชั้น 109 ซึ่งเป็นชั้นของห้องพักของฆาเบียร์ได้เลยโดยไม่ต้องทำการเช็คอิน



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 07:58:11 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- U R F--king Crazy! (ต่อ) ----





"เฮ้อ ถึงซะที"

เจถอนหายใจเบาๆ เขาจัดการเอากระเป๋าขึ้นวางบนตั่งวางกระเป๋า เขาตัดสินใจเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อยก่อนจะลงไปหาพวกพี่ชาย หากหลังจากเสร็จธุระส่วนตัวแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะปีนขึ้นเตียงและลงนอนเอาหน้าแนบหมอน เขายังคงได้กลิ่นกายของคนรักจางๆ จากบนที่นอน เจนยุทธถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขาคิดถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของฆาเบียร์เหลือเกิน

"อีกคืนเดียว ทนไว้ เจเอ๊ย"

เจยันกายลุกจากเตียงและจัดเสื้อผ้าของตน เขาหยิบของใช้ที่จำเป็นอย่างโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ใส่กระเป๋ากางเกงและออกห้องไป



"รอนานไหมครับ?"

เจทักทายพี่ชายและคนรักซึ่งนั่งเขาอยู่ที่ล็อบบี้

"ไม่นานๆ เพิ่งมาถึงเหมือนกัน แล้วว่าไง? จะไปไหนดีล่ะ?"

“พวกพี่บูมหิวกันหรือเปล่าครับ ถ้าหิวเราออกไปกินอะไรข้างนอกก็ได้นะ”

บูมโบกมือปฏิเสธ

“ไม่หิวหรอก ปกติพี่กับอลันไม่กินมื้อเย็นหนักๆ กัน จะกินก็เป็นพวกสลัดหรือแซนวิชเบาๆ น่ะ ถ้าเจไม่หิว เราแค่หาที่นั่งดื่มกันก็ได้”

ญาติผู้พี่ของเจตอบพร้อมรอยยิ้มละไมบนหน้า เขากับคนรักนั้นพยายามรักษารูปร่างด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ

“ได้ๆ เอางี้ไหม พี่บูม ขึ้นไปนั่งบนคลับเลาจ์ของโรงแรมไหม ผมมีสิทธิ์พาแขกขึ้นไปได้นะ”

ห้องพักของฆาเบียร์ซึ่งเป็นห้องแบบ Suite มาพร้อมสิทธิ์ในการเข้าใช้คลับเลาจ์อันเลื่องชื่อเรื่องบริการของโรงแรม หากการนำแขกนอกเข้าไปนั้น ถ้าแขกต้องการใช้สิทธิ์กินดื่มในเลาจ์ก็ต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มหัวละ 380 เหรียญฮ่องกงบวกค่าบริการ 10% อลันซึ่งรู้เรื่องนี้ดีปฏิเสธทันควันเพราะเขารู้ว่าเจต้องชิงขอเป็นคนจ่ายให้แน่ๆ



“ผมว่าเราขึ้นไปนั่งดื่มกันที่ห้อง Ozone ดีกว่าครับ ที่นั่นเป็นห้องอาหารและบาร์บนชั้น 118 บรรยากาศดี เพลงดีด้วย ไม่ทราบว่าคุณเจนยุทธเคยขึ้นไปบนนั้นแล้วหรือยัง?”

แม้จะเป็นญาติสนิทของคนรัก อลัน วูก็ยังชินที่จะเรียกและพูดจากับเจด้วยคำสุภาพอยู่ดี คนตัวเล็กขมวดคิ้วน้อยๆ หากก็ไม่ได้ประท้วงใดๆ ออกไป

“ผมยังไม่เคยขึ้นไปเลยครับ ที่ผ่านมาผมไปนั่งที่คลับเลาจ์มากกว่า ไปนั่งนั่นก็ได้ครับ”

เจลุกขึ้นยืนพร้อมกับทั้งสองหนุ่ม อลันพาหนุ่มไทยทั้งสองเดินไปยังลิฟท์อีกตัวหนึ่งซึ่งมีพนักงานในชุดสูทสุดเนี้ยบยืนเฝ้าอยู่

“ไม่ได้จองไว้ครับ แต่เราไม่ต้องนั่งโต๊ะเอาท์ดอร์หรือริมหน้าต่างก็ได้ ขอให้มีที่นั่งก็พอ”

อลันตอบเมื่อพนักงานถามว่าพวกเขาได้จองไว้หรือยัง พนักงานต้อนรับว. ถามกับทางด้านบนและกดเปิดลิฟท์ให้พวกเขาทั้งสามเข้าไป เมื่อถึงชั้น 118 พวกเขาเดินไปหาพนักงานต้อนรับสาวที่เคาเตอร์รับแขก เธอพาพวกเขาเข้าไปยังห้องอาหาร เจทึ่งไปกับการตกแต่งที่ดูล้ำสมัยและเต็มไปด้วยลวดลายและรูปทรงเลขาคณิต พนักงานสาวพาพวกเขาออกไปยังระเบียงด้านนอกของบาร์ซึ่งเปิดโล่งให้เห็นทิวทัศน์อันงดงามของอ่าววิคตอเรียเบื้องล่าง บริเวณนี้มีที่นั่งทั้งที่เป็นโซฟาและบาร์ยาวติดกระจกใสริมระเบียง หากพวกเขาเลือกนั่งที่โซฟาชุดใหญ่ซึ่งอยู่ติดกระจกด้านในสุดของบาร์ เจมองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น แสงไฟโทนสีฟ้าขาวของบาร์แห่งนี้ให้บรรยากาศราวกับอยู่ใต้น้ำหรือในอวกาศ เสียงเพลงที่เร้าใจจากบูธดีเจก็ชวนให้คนได้ลุกขึ้นขยับกาย เจนยุทธมองแสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืนของฮ่องกงอย่างหลงใหล วิวของบาร์นี้ใกล้เคียงกับวิวห้องของฆาเบียร์หากว่าอยู่สูงขึ้นไปอีก 9 ชั้น



“ดีที่เรามาวันธรรมดา แขกไม่ค่อยเยอะเลยมีที่นั่งด้านนอกเหลือ ถ้าเป็นวีคเอนด์นะบางทีก็คนแน่นจนหาที่นั่งไม่ได้เลย อีกอย่าง โชคดีที่วันนี้อากาศดีด้วย หมอกไม่หนาจนมองไม่เห็นวิว ฝนไม่ตก ลมไม่แรงเกิน ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวนี่นั่งที่นี่แทบไม่ได้เลยนะ”

บูมบอกน้องชาย โดยปกติแล้วที่นั่งโซนเอาท์ดอร์นี้มักจะเต็มเร็ว เพราะใครๆ ก็อยากชมวิวพันล้านของฮ่องกงจากความสูง 490 เมตรของบาร์ที่อยู่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้

"อีกอย่างที่คนมานั่งเอาท์ดอร์กัน เพราะนั่งโต๊ะด้านในมันมีชาร์จขั้นต่ำน่ะ"

ทนายหนุ่มพูดยิ้มๆ เขาบอกเจนยุทธว่าสำหรับโต๊ะเล็กขนาดนั่งสองคน ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำต่อโต๊ะต้องอยู่ที่ประมาณ 500 ดอลลาร์ฮ่องกง แต่ถ้าเป็นโซฟานั้น อาจสูงถึงหลายพันเหรียญ

"แหม ก็น่าจะถึงหรอกพี่บูม ค้อกเทลที่นี่ราคาโหดซะขนาดนั้น"

เจหัวเราะหึๆ เมื่อเขาพลิกๆ ดูเมนูแล้วพบว่าราคาค้อกเทลที่นี่เริ่มต้นที่แก้วละ 195 เหรียญไม่รวมภาษี ส่วนมิกเซอร์อย่างพวกน้ำอัดลมนั้นราคาอยู่ที่ 100 เหรียญต่อกระป๋อง



"งั้น พวกพี่จะดื่มอะไรครับ เดี๋ยวเจเลี้ยงเอง"

เจนยุทธยืดตัวขึ้นแล้วยกมือตบอก แต่ก็ต้องทำคอย่นเมื่อโดนพี่ชายใช้นิ้วเคาะหัวเบาๆ

"นี่แน่ะ ไม่ต้องมาทำหน้าใหญ่เลยไอ้ตัวดี พี่เป็นพี่ก็ต้องจ่ายให้น้องสิ อีกอย่าง พี่เป็นเจ้าบ้านก็ต้องเป็นฝ่ายเลี้ยง"

"โอ๊ย พี่บูม ไม่ต้องมาเปลืองตังค์เลี้ยงผมหรอกอ่ะ เอางี้ไหม ต่างคนต่างจ่ายของตัวเองแล้วกันเนาะ โอ๊ยๆๆ"

เจร้องอย่างสำออยเมื่อโดนญาติผู้พี่เคาะหัวเข้าอีกครั้ง

"อย่ามาดูถูกเงินเดือนทนายความที่นี่นะเจ แค่นี้พี่จ่ายให้ได้อยู่แล้ว ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก ใช่ไหมครับ ที่รัก"

บูมหันไปหัวเราะกับอลันซึ่งนั่งยิ้มละไมดูสองพี่น้องเถียงกัน เจทำหน้ามุ่ยและต่อรองกับพี่ชายอีกครั้ง จนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าเจจะยอมให้บูมเลี้ยงแค่สองดริงค์แรก ส่วนของกินเล่นและดริงค์ต่อไป เจจะเป็นฝ่ายจ่ายเอง

"เรานี่มันต่อรองเก่งจริงนะ"

ญาติผู้พี่ของเจส่ายหัวดิก ส่วนเจนยุทธนั้นยิ้มแป้นและเริ่มเลือกเครื่องดื่มจากในเมนู หลังจากเครื่องดื่มและแฮมสเปนที่เขาสั่งเป็นกับแกล้มมาเสิร์ฟ พวกเขาทั้งสามก็นั่งดื่มกินพลางพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บูมเล่าเรื่องชีวิตของเขาที่ฮ่องกงให้เจฟัง ส่วนเจก็หาเรื่องนั่นนี่มาพูดคุยและเรียกเสียงหัวเราะจากพี่ชายและอลันได้อย่างต่อเนื่อง



'คุณฆาเบียร์คงติดใจความสดใสของเด็กคนนี้สินะ'


อลัน วู ทนายหนุ่มใหญ่ซึ่งเคยเป็นเพื่อนเที่ยวกับฆาเบียร์คิดอยู่ในใจ เขามองเจเป็นชายหนุ่มร่าเริงช่างจำนรรจา เขาคิดว่าลูกบุญธรรมของลูกความเขาคงหลงใหลในส่วนนี้ ไหนจะหน้าตาของเจที่น่ารักตรงสเป็คของหนุ่มละตินร่างใหญ่ หากนั่นพอเพียงขนาดที่ทำให้ฆาเบียร์ยอมทิ้งไลฟ์สไตล์แบบหนุ่มเพลย์บอยเลยเชียวหรือ แล้วญาติผู้น้องของคนรักเขาจะสามารถรักษาสถานะนี้ไว้ได้นานเท่าไหร่ก่อนที่เพื่อนไฮโพรไฟล์ของเขาจะเริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทนายหนุ่มใหญ่ก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว จากการที่เขาเคยเที่ยวกับฆาเบียร์มาก่อน มันทำให้เขารู้นิสัยหนุ่มละตินคนนี้อยู่บ้าง ในใจเขาก็ยังคงไม่เชื่อว่าเพลย์บอยตัวพ่ออย่างฆาเบียร์จะถูกใครล่ามโซ่ไว้ได้

"เฮ้ เจ สาวโต๊ะนู้นยิ้มให้น่ะ"

อลันซึ่งกำลังคิดเพลินๆ อยู่สะดุ้งเมื่อคนรักของเขาทักญาติผู้น้อง เขาหันไปดูตามแล้วก็เห็นสาวฮ่องกงแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดสองสามคนซึ่งนั่งโยกตัวไปตามเสียงเพลงอยู่ตรงเคาเตอร์บาร์ริมกระจกหันมาส่งยิ้มให้เพื่อนร่วมโต๊ะของเขา

"ฮึ่ย เขายิ้มให้หนุ่มหล่อแบบพี่มากกว่าน่า พี่บูม"

เจกระซิบตอบ หากเขาก็อดเหล่มองขาขาวๆ ของสาวในชุดเดรสสั้นสีดำปักเลื่อมที่ยกขึ้นไขว่ห้างอย่างจงใจทั้งที่หันหน้ามาทางเขาไม่ได้

"นั่นไง ไม่ได้ยิ้มให้พี่หรอก"

บูมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นหญิงสาวผมบ๊อบหน้าตาสะสวยคนนั้นยกแก้วค้อกเทลในมือชูมาทางเจนยุทธอย่างเห็นได้ชัด เจยิ้มเจื่อนๆ แล้วชูแก้วในมือของตนกลับไปตามมารยาท หากแม่สาวคนนั้นกลับมองมันเป็นสัญญาณของการผูกมิตร เธอลงจากเก้าอี้และเดินนวยนาดมาขอชนแก้วคนตัวเล็กถึงโต๊ะ อลัน วูมองตามด้วยความแปลกใจเมื่อเขาเห็นหนุ่มไทยที่เขาคิดว่าเป็นเด็กใสๆ พูดคุยตอบโต้กับหญิงสาวคนนั้นอย่างลื่นไหล แถมยังปฏิเสธการเชิญชวนของเธอได้อย่างนิ่มนวลด้วยการอ้างว่าเขามีเวลาอยู่ในฮ่องกงแค่อีกคืนเดียว อีกทั้งต้องบินกลับไฟลท์เช้าจึงไม่สามารถรับไมตรีของเธอได้



"ไว้โอกาสหน้าถ้าได้มาฮ่องกงอีก ผมจะไลน์หาแน่นอนครับ"

เจยิ้มละไมให้สาวคนนั้นพร้อมกดแอดไลน์ของสาวคนนั้นบนมือถือเครื่องรองของเขา เขาโบกมือลาหญิงสาวที่เดินกลับไปหาเพื่อน ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสอง

"ห้ามไปฟ้องฆาบี้ล่ะ พี่บูม"

เจรีบดับบุหรี่ที่สาวคนนั้นหยิบยื่นมาให้เขาสูบพร้อมหันไปพูดเสียงเคร่งขรึมกับพี่ชาย ทนายหนุ่มที่กำลังเริ่มสนุกเพราะแอลกอฮอล์และเสียงเพลงที่เร้าใจจากดีเจหัวเราะร่วน

"ไม่ไหวเลยนะเรา แฟนไม่อยู่แล้วไปแอดไลน์สาวได้ไง"

"โหย พี่บูม เขาอุตส่าห์เดินมาหาแล้ว จะให้ผมบอกปัดแบบไล่กลับโต๊ะไปเหรอ? สงสารผู้หญิงเขาแย่ แต่ไม่ต้องห่วงว่าผมจะสานต่ออะไรนะ ผมไม่ไลน์ไปหาแน่นอนอ่ะ เดี๋ยวรอกลับขึ้นห้องก่อนแล้วค่อยกดบล็อค"

เจเก็บโทรศัพท์เครื่องสำรองของเขาลงกระเป๋าอย่างไม่ใยดี บูมหยิกแก้มญาติผู้น้องอย่างมันเขี้ยว

"ไอ้เรามันก็เป็นซะแบบนี้ ปฏิเสธใครไม่เป็นเลยใช่ไหม?"

"หยิกอีกแล้ว! ทำไมชอบหยิกแก้มผมกันจังเลยวะ?"

เจบ่นอุบอิบพลางลูบแก้มตัวเองเบาๆ



"...พี่ก็พูดเกินไปอ่ะ ผมไม่ได้ฟาดทุกคนที่เข้ามาทักผมซักกะหน่อย เอาข่าวไหนมาอีกล่ะ?"

เจย่นจมูกใส่พี่ชาย เขาหยิบ cigarillos ยี่ห้อ Patagas จากในกระเป๋าขึ้นมาจุดสูบ

"...เอาหน่อยไหมครับคุณอลัน?"

คนตัวเล็กส่งกล่องซิการ์น้อยในมือให้คนรักของพี่ชายซึ่งมองอยู่อย่างสงสัย อลันรับมาพลิกดูแล้วหยิบตัวหนึ่งออกมาจุดสูบบ้าง เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองญาติผู้น้องของคนรักซึี่งเขาเคยมองว่าเป็นเด็กเรียบร้อยด้วยความประหลาดใจ  บูมซึ่งเห็นสายตาของคนรักหัวเราะหึๆ เขาเคยเจในที่เที่ยวครั้งสองครั้งและเคยเห็นโฉมหน้านี้ของน้องชายมาแล้ว

"...พี่เคยได้ข่าวลอยลมมาว่าเราน่ะมันร้าย สาวเยอะ ควงไม่ซ้ำหน้าไม่เว้นแต่ละวัน ตกลงว่ามันจริงหรือเปล่า?"

ญาติผู้พี่ของเจพูดยิ้มๆ นอกจากจะได้ยินข่าวที่แม่ของเขาเอามาเม้าให้ฟังปีละหลายๆ หนแล้ว เขายังได้เคยเห็นเจโอบสาวซ้ายขวาในผับมาแล้ว

"เว่อร์ๆๆ ไม่ขนาดนั้นซักหน่อย"

เจอุทานลั่นและแกล้งพ่นควันซิการ์ใส่หน้าพี่ชาย บูมบ่นพึมพำแล้วหันไปอธิบายให้คนรักของตนซึ่งยังทำท่างงๆ อยู่ได้เข้าใจ



“น้องผมคนนี้มันร้ายครับอลัน เห็นหน้าตาแบบนี้ เจมันทั้งเชี่ยวทั้งลื่นเป็นปลาไหล สาวเยอะจะตาย ใช่ไหมเรา? หักอกสาวมาเป็นร้อยแล้วมั้ง?”

“เฮ้ยๆ อย่ากล่าวหากันงี้สิ พี่บูม ผมไม่เคยหักอกใครซักหน่อย…”

เจนยุทธปฏิเสธลั่น

“ผมยุ่งแค่กับคนที่ชอบสนุกเหมือนกันอ่ะ ไม่เคยไปฟันแล้วทิ้งหรือหลอกให้ใครรักแล้วทิ้งซักหน่อย”

เขาลดเสียงลงเป็นบ่นอุบอิบแล้วหันไปยิ้มแหยๆ ให้อลัน ทนายหนุ่มใหญ่ชาวฮ่องกงทำตาปริบๆ เขาเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครั้งที่เจและฆาเบียร์พาเขาและบูมไปที่ผับใกล้คอนโดของเจในช่วงตรุษจีนนั้น ระหว่างที่อยู่ในห้องเต้นก็มีบรรดาสาวๆ แวะเวียนมาทักทายหรือขอชนแก้วกับเจหลายคน เขาก็นึกไปว่าสาวๆ พวกนั้นคงเป็นนักเที่ยวขาประจำเหมือนกันกับเจและมาทักทายตามประสาคนรู้จักกัน แต่ดูเหมือนว่าคงไม่ใช่เพราะแค่นั้น เขาเคยฟังจากฆาเบียร์มาแล้วว่าเจยังใหม่เรื่องความสัมพันธ์กับผู้ชาย แต่เขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าแฟนหนุ่มหน้าตาน่ารักของเพื่อนของเขาคนนี้จะเคยเป็นเสือผู้หญิงมาก่อน



"พี่บูมอ่ะ ผมอุตส่าห์สร้างภาพดีๆ กับคุณอลันเค้า..."

เจผลักไหล่ของญาติผู้พี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา แล้วหันไปหัวเราะแหะๆ ให้กับทนายหนุ่มใหญ่

"ไม่เป็นไรครับ คุณเจ..."

"อีกแล้ว เลิกเรียกผมเป็น Mr. ได้แล้วครับ เรียกผมว่า เจ เฉยๆ เหอะ คุณเป็นแฟนพี่บูมก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวผมนะ"

เจนยุทธบ่นเบาๆ อลันหันไปมองหน้าคนรักอย่างจนใจ ญาติผู้พี่ของเจยิ้มให้คนรักแล้วหันมาหาน้องชาย

"เราเองก็เลิกเรียกอลันเขาว่า Mr. อลันได้แล้ว เรียกเป็นพี่อลันก็ได้"

อลันพยักหน้า เขาเคยทำงานกับคนไทยมาหลายคนและรู้จักคำว่า "พี่" ดี เจยิ้มกว้างและพยักหน้าให้ทั้งสอง

"ครับ พี่อลัน"

ญาติผู้พี่ของเจสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความปลื้มใจ ถึงพ่อแม่ของเขาจะยังไม่ได้รับรู้ถึงความลับของเขา และยิ่งไม่เคยรับรู้เรื่องของอลัน หากการที่ได้ยินญาติผู้น้องของเขาพูดว่าอลันเป็นเหมือนคนในครอบครัวและเรียกคนรักของเขาว่าพี่นั้น ทำให้หัวใจของเขาพองโต



"ขอบใจนะ ไอ้ตัวยุ่ง"

แม้จะยังงงๆ ที่อยู่ๆ ถูกพี่ชายโอบไหล่แล้วกอดเข้าเบาๆ แต่เจนยุทธก็หันไปยิ้มหวานให้กับบูม ทนายหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ผมทรงนักเรียนที่เริ่มยาวน้อยๆ ของน้องชายอย่างเอ็นดู อลันส่งแก้วแชมเปญซึ่งเขาเพิ่งสั่งมาใหม่ให้หนุ่มไทยทั้งสอง เขายกแก้วในมือขึ้นชู

"To family..."

เจและบูมพูดทวนตาม พวกเขาทั้งสามชนแก้วกันและยกแชมเปญขึ้นดื่ม เจลอบถอนหายใจเบาๆ เขาอยากให้คนตัวโตอยู่ที่นี่ด้วยเหลือเกินในตอนนี้

"คิดถึงคุณเขาล่ะสิ"

ทนายหนุ่มถามเมื่อเห็นท่าทีที่เซื่องซึมลงของน้องชาย เจพยักหน้าเบาๆ

"คิดถึงครับ...แต่เดี๋ยวเย็นๆ ก็เจอกันแล้วครับ ก็แค่รู้สึกเหงานิดหน่อยที่เข้าห้องไปแล้วไม่เจอ..."

"งั้นคืนนี้ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไหม?"

บูมถามญาติผู้น้องของเขา เจทำท่าครุ่นคิด

"พรุ่งนี้แพททริคเขาลาไว้อยู่แล้วครับ เจ ถ้าอยากให้เขาอยู่ด้วยก็ได้เลย"

อลันเสริมมา คนรักของเขาลางานไว้เผื่อจะได้พาน้องชายเที่ยว หากเจส่ายหน้า

"ไม่เป็นไรครับ พี่บูม ผมอยู่คนเดียวได้ ไว้ผมตื่นแล้วเราค่อยนัดกินข้าวกันอีกทีก็ได้ ผมมี wish list เยอะเลย"

เจยิ้มกริ่ม เขามีร้านที่อยากไปกินอีกหลายร้าน บูมโคลงหัว

"ไอ้เรานี่เรื่องกินเรื่องใหญ่จริงๆ ไหน เล่าให้ฟังหน่อยซิว่าอยากกินอะไรบ้าง"

เจหัวเราะแหะๆ แล้วสาธยายแผนการกินของเขาให้พี่ชายฟัง ทั้งสามคนพูดคุยกันต่ออย่างสนุกสนานจนกระทั่งถึงเวลาปิดบาร์ ทนายทั้งสองจึงพากันลากลับไป









'นอนไม่หลับเลยครับ ฆาบี้ คิดถึงคุณจัง'

เจพิมพ์ข้อความใส่ในไลน์พร้อมส่งสติกเกอร์รูปหมาลาบราดอร์สีดำร้องไห้ไปให้คนรัก เจถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นว่าข้อความและรูปของพวกเขาบนบาร์ที่ส่งไปตั้งแต่หัวค่ำนั้นยังไม่ถูกเปิดอ่าน ด้วยเวลาที่ต่างกันสองชั่วโมง ฆาเบียร์คงเข้านอนแล้วในตอนที่เขาส่งข้อความไป เจนยุทธลุกขึ้นจากเตียงไปคีบน้ำแข็งจากในกระติกที่บาร์น้อยๆ เหนือตู้เย็นใส่แก้วและรินเหล้าหวานรสละมุนอย่าง Bailey’s ที่คนตัวโตมีติดห้องไว้ลงไปโดยหวังว่ามันจะช่วยให้เขาหลับลงได้บ้าง

"ตีสี่แล้วนี่หว่า"

เจเปรยกับตัวเองเมื่อเห็นนาฬิกาบนหน้าจอมือถือ เขาควรต้องหลับได้แลัว เจวางโทรศัพท์ลงและดื่มเหล้าในแก้วจนหมด เขาเอนกายลงนอนและพยายามข่มตาให้หลับลง



เจนยุทธสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักตัวคนที่กดทับลงบนเตียงนุ่มจนบริเวณข้างกายเขายวบลง เขานอนตัวแข็งทื่อเมื่อรู้สึกถึงร่างหนักที่ขยับขึ้นมาคร่อมกายเขาซึ่งนอนคว่ำอยู่ แม้จะมีผ้าห่มปกคลุม เขารู้สึกถึงมือที่เริ่มลูบไล้กายเขาอย่างย่ามใจ เจแทบหยุดหายใจเมื่อได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จากลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดอยู่แถวต้นคอและใบหูของเขา เมื่อมันผสานกับกลิ่นเหงื่อจากกายนั้นมันทำให้คนตัวเล็กแทบอยากอาเจียนออกมา

'ใคร?!'


เจได้แต่ร้องตะโกนอยู่ในใจ เขาไม่กล้าส่งเสียงให้ผู้บุกรุกได้ยินว่าเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว หากสัมผัสของชายลึกลับทำให้เจรู้สึกขยะแขยงจนทนไม่ได้ เขาจำต้องส่งเสียงเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากและตอหนวดแข็งๆ ที่เริ่มรุกล้ำแผ่นหลังเปลือยของเขา

"ฆาบี้? นั่นคุณใช่ไหม?"

เจกลั้นใจส่งเสียงถามแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคนตัวโตยังคงอยู่ที่ออสเตรเลีย หากเขาต้องทำเสียงเพื่อให้คนๆ นั้นรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายและรู้ตัวตื่นแล้ว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากผู้รุกราน มิหนำซ้ำเขากลับถูกรุกเร้าหนักขึ้นไปอีก มือใหญ่นั้นเริ่มเคล้นคลึงบั้นท้ายของเขาผ่านผ้าห่มนิ่ม เจนยุทธเริ่มคิดหาทางให้หลุดพ้นจากสภาพนี้ เขาแกล้งส่งเสียงครางอย่างเคลิบเคลิ้มเบาๆ และทำท่าจะพลิกตัวเพื่อตอบรับสัมผัสนั้น ทันทีที่ร่างหนักๆ ขยับหลีกทางให้ เจก็รีบพลิกตัวนอนหงายและยันโครมเข้าที่เงาดำตะคุ่มซึ่งคร่อมเหนือกายเขา เขารีบเปิดไฟเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจจากร่างนั้น



"ฆาบี้ คุณ!..."

คนตัวเล็กคำรามลั่นด้วยความโมโหเมื่อเห็นคนรักที่นอนร้องโอดโอยกุมท้องน้อยอยู่ปลายเตียง หากเขาทิ้งมือที่กำหมัดแน่นลงและเข้าไปดูอาการของคนตัวโต

"นี่เล่นบ้าอะไรวะ? ผมตกใจหมดเลยรู้ไหม?"

เจนยุทธด่าคนรักลั่น ฆาเบียร์นอนหน้าซีดกุมท้องน้อยไว้แน่น ลูกถีบพิฆาตของเจเฉียดกล่องดวงใจของเขาไปเพียงนิดเดียว แต่ที่ทำให้เขาขวัญเสียยิ่งกว่าคือใบหน้าบูดบึ้งของเจ

"เฮ้อ แล้วนี่โดนไหมครับ?"

เจซึ่งข่มความโกรธลงได้บ้างแล้วนั่งลงเคียงข้างคนรักที่นอนตัวงออยู่ เขาดึงมือของฆาเบียร์ออกเพื่อดูอาการ คนตัวโตซึ่งยังร้องโอดโอยอยู่ด้วยความจุกเสียดค่อยๆ ยืดตัวออก

"อูย โหดจริงๆ นะเจ นี่กะเล่นให้หมดสมรรถภาพกันเลยเหรอ?"

เจหัวเราะหึๆ ใส่คนที่เล่นพิเรนทร์ไม่ดูกาละเทศะ

"ใช่สิครับ ผมนึกว่าคนบ้ากามที่ไหน ที่ไหนได้ เหอะๆๆ"

คนบ้ากามของเจค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งห้อยขากับปลายเตียง เจมองดูอย่างเป็นห่วงด้วยรู้ว่าเมื่อสักครู่เขาได้ถีบออกไปจนสุดแรง



"เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ ไปหาหมอไหม?"

ฆาเบียร์โบกมือปฏิเสธ โชคดีที่ยังมีผ้าห่มผืนหนากางกั้น เท้าของเจจึงไม่ได้กระแทกกับหน้าท้องเขาโดยตรง

"เหอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ แล้วนี่คุณคิดอะไรของคุณ? จะทำให้ผมตกใจตายหรือไง?"

เจนยุทธพูดเสียงแข็ง

"ขอโทษที่ทำให้ตกใจจ้ะ อย่าโกรธฉันเลยนะ คนดี..."

คนตัวโตเอนกายเอาหัวซบไหล่คนรักที่ยังนั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงอยู่ เจใจอ่อนยวบเมื่อเห็นใบหน้าสลดของคนตัวโต แต่เขาจำต้องเช็คบิลกับคนที่เล่นสัปดนไม่รู้เวล่ำเวลาคนนี้

"โกรธครับ เล่นบ้าๆ อะไรแบบนี้ ไม่ขำเลยสักนิด!"

เจกระแทกเสียงหนักๆ ฆาเบียร์หน้าเจื่อนลงไปอีก

"ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เจตกใจเลย ฉันนึกว่านายจะจำสัมผัสของฉันได้"

คนตัวโตพูดเสียงแผ่วเบา เจถอนหายใจเฮือกใหญ่



"ก็ผมนึกว่าคุณอยู่ออสเตรเลีย ใครจะไปนึกล่ะว่าจะมาโผล่ที่ฮ่องกงได้ แล้วพอผมถามว่าใช่คุณหรือเปล่า คุณก็ไม่ตอบ จะให้ผมคิดว่าไงครับ?"

เจนยุทธพูดรัวใส่คนรักชุดใหญ่ ฆาเบียร์โอบร่างเพรียวเข้ากับอกและกอดไว้แน่น

"ผมตกใจมากเลย คุณรู้ไหม? โคตรกลัวเลย นึกว่าเป็นใครก็ไม่รู้เข้ามา..."

เจพูดเสียงเครือ ความตึงเครียดเมื่อสักครู่กลั่นออกมาเป็นน้ำตาเมื่อเขาอยู่ในอ้อมอกอุ่นของคนรัก ฆาเบียร์โอบร่างเพรียวไว้แน่น เขาเพียรจูบเพียรหอมพร้อมกับพร่ำคำขอโทษไม่หยุดปาก



"You are f--king crazy! You know that?"

เจยันกายออกแล้วชกไหล่หนาเข้าโครมใหญ่ คนตัวโตโอดครวญลั่น

"ใจร้ายกับฉันจริงนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์ล้มกายลงนอนบนตักนุ่มพร้อมกับลูบคลำไหล่ของตนอย่างสำออย หากเจก็มองกลับด้วยความหมั่นไส้ ถึงน้ำหนักหมัดของเขาจะไม่เบานัก แต่มันก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้

"ไม่ต้องทำสำออยครับ ใครใช้ให้คุณเล่นพิเรนทร์แบบนี้ล่ะ? ผมไม่คว้าอะไรหนักๆ ฟาดให้ก็บุญแล้วนะ รู้ไหม?"

คนตัวเล็กบ่นลั่น เมื่อสักครู่นี้ถ้าเขาอยู่ใกล้โคมไฟสักหน่อย เขาก็คงคว้ามันฟาดคนตัวโตที่เขาคิดว่าเป็นพวกบ้ากามไปแล้ว ฆาเบียร์หัวเราะเจื่อนๆ

"จ้ะๆ ฉันรู้ตัวแล้วว่าทำผิดไป จะไม่ทำอีกแล้ว"

หนุ่มละตินโอบเอวคนรักและซบหน้าลงกับหน้าท้องแบนราบ เจลูบผมที่มัดรวบไว้หลวมๆ ของคนตัวโตเบาๆ นี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาไม่รู้ตัวว่าคนบ้ากามคนนั้นคือฆาเบียร์



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 07:59:23 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- U R F--king Crazy! (ต่อ) ----





"แล้วมายังไงครับเนี่ย? นี่เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้า ไหนบอกว่าไฟลท์ลงเย็นๆ? หลอกผมงั้นเหรอ?"

เจนยุทธดูนาฬิกาแล้วถามเสียงเข้ม ฆาเบียร์รีบปฏิเสธลั่น

"ไม่ใช่จ้ะ จริงๆ ฉันต้องออกจากซิดนีย์เช้านี้ เพราะเมื่อวานเย็นจริงๆ ฉันต้องกินข้าวต่อกับทัวร์เอเจนซี่ที่นั่นหลังจากประชุมกันเสร็จแล้ว  แต่พอเจอกันในที่ประชุม เขาก็บอกว่าหลังจากเลิกแล้วเขาต้องขอตัวไม่ไปกินข้าวด้วยเพราะว่ามีธุระด่วนเข้ามา ฉันก็เลยไม่จำเป็นต้องค้างที่นั่นต่ออีกคืน..."

หลังประชุมเสร็จ ฆาเบียร์และเมลิน่าจึงรีบไปที่สนามบินเพื่อดูว่าพอจะมีไฟลท์ว่างกลับฮ่องกงในคืนนั้นไหม

"ปรากฎว่ามีไฟลท์บินตรงของคาเธย์แปซิฟิคตอนเกือบสี่ทุ่ม แต่ว่าชั้นธุรกิจมันเต็ม เหลืออีโค่ว่างอีกที่นึง ฉันก็เลยรีบคว้าเลย ส่วนเมลิน่าจะบินกลับมาไฟลท์เดิม"

"เฮ้ย แล้วคุณนั่งได้เหรออ่ะ? ต่อให้เป็นคาเธ่ย์ แต่ขายาวๆ อย่างคุณนั่งก็คงอึดอัดแย่ แล้วมันกี่ชั่วโมงนะครับ? สิบ?"

เจนยุทธขมวดคิ้ว

"เก้าชั่วโมง ยี่สิบนาทีจ้ะ"

ฆาเบียร์ยิ้มให้คนรักของเขา

"มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกเจ เจต้องเจอไฟลท์ในประเทศของสหรัฐฯ แน่นยิ่งกว่านี้เยอะ ขนาดเป็นชั้นพรีเมียมหรือชั้นธุรกิจก็ไม่ได้กว้างหรือมี leg room เยอะเท่านี้หรอกนะ"

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ เจทำหน้าเบ้ เขาเคยเห็นภาพไฟลท์เหล่านั้นมาก่อน



"แต่ก็นั่นแหละ คุณไม่เห็นจำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นเลยอ่ะ แล้วนี่ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนเลยนะครับ อยากจะมาก็มา หืมม์?"

"ก็ฉันอยากทำเซอร์ไพรส์นายนี่..."

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบ

"แล้วไงครับ เซอร์ไพรส์ไหม?"

เจถามยิ้มๆ คนตัวโตโคลงหัวเบาๆ

"อืมม์ โดนเข้าเต็มๆ เลย..."

คนตัวเล็กหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นใบหน้ายู่ยี่ของคนรัก



"ยังเจ็บอยู่ไหมครับ?"

เจไล้นิ้วไปตามแนวกล้ามท้องที่อยู่ใต้เสื้อเชิร์ตของคนรัก คนตัวโตเริ่มหายใจถี่ขึ้น

"เจ็บจ้ะ เจ็บมากเลย เจนวดให้หน่อยได้ไหม?"

ฆาเบียร์อ้อนคนรักของเขา เจใช้ฝ่ามือคลึงที่ท้องของคนรักช้าๆ และค่อยๆ วนต่ำลง หนุ่มละตินครางเบาๆ เมื่อฝ่ามือของเจเฉียดไล้ใกล้ส่วนสงวนของเขา หากคนตัวเล็กหยุดมือแล้วผลักคนรักออกจากตัก

"ไม่ต้องมาทำอ้อนเลยครับ ไปเลย ไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย เหม็นเหงื่อเหม็นเหล้าจะตายแล้ว"

ฆาเบียร์ลุกขึ้นนั่งแล้วดึงเสื้อขึ้นดม เขาทำหน้าปูเลี่ยนๆ เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองนั้นเริ่มส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์จริงๆ

"ไม่ได้อาบน้ำมาเป็นวันแล้วมั้งคุณ แล้วเห็นไหมว่านั่งชั้นประหยัดน่ะมันแย่กว่าชั้นธุรกิจเยอะ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์โคลงหัว จริงอย่างที่เจว่า โดยปกติแล้ว เมื่อเขานั่งชั้นธุรกิจ เขาจะเอนเบาะนอนทันทีที่ทำได้ บางครั้งเขาก็จะไม่รับอาหารที่เสิร์ฟในไฟลท์เพราะต้องการนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ในชั้นประหยัด เขาไม่ได้เอนเบาะนอนมากนักเพราะเกรงใจคนที่นั่งด้านหลัง เขายังไม่สามารถหลับเต็มตื่นได้เนื่องจากเขานั่งติดทางเดินและต้องคอยลุกทุกครั้งที่คนที่นั่งข้างๆ ต้องการเข้าห้องน้ำ แถมยังต้องคอยนั่งตัวลีบและระวังไม่ให้ไหล่กว้างและขายาวๆ ของตนไปสัมผัสกับคนด้านข้างซึ่งเป็นหญิงสาว และที่ร้ายที่สุดคือใกล้ๆ กับที่นั่งของเขามีครอบครัวซึ่งมีเด็กทารกและเด็กวัยกำลังเดินเตาะแตะอยู่ แม้พ่อแม่จะพยายามเต็มที่เพื่อให้เด็กๆ เงียบ แต่ก็มีบางเวลาที่พวกเด็กๆ ร้องไห้หรือเอะอะขึ้นมาบ้าง ตัวโตนอนหลับๆ ตื่นๆ แบบนี้อยู่หลายชั่วโมง จนในที่สุดเขาต้องขอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาดื่มสามสี่แก้วเพื่อให้พอหลับได้



"ได้นอนกี่ช้่วโมงเองน่ะคุณ?"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้านับเวลาจริงๆ เขาได้นอนไม่ถึงหนึ่งส่วนสามของเวลาเดินทางด้วยซ้ำ

"เอางี้ คุณงีบไปก่อน เดี๋ยวผมไปเตรียมน้ำอุ่นๆ ให้คุณอาบนะ"

เจพูดพลางดึงคนรักให้ขึ้นมานอนหนุนหมอน

"แต่อย่าซุกตัวเข้าในผ้าห่มล่ะ เดี๋ยวเตียงจะเหม็น"

เจพูดยิ้มๆ คนตัวโตบ่นอุบอิบว่าเขาไม่ได้ตัวเหม็นหนักขนาดนั้น เจหัวเราะคิกคักแล้วลงจากเตียงไปเตรียมน้ำอาบให้คนรัก



"ฆาบี้ครับ เรียบร้อยแล้ว มาอาบน้ำเถอะ"

เจเขย่าปลุกคนตัวโตเบาๆ ฆาเบียร์สะลึมสะลือลุกขึ้นนั่ง

"ไว้อาบทีหลังได้ไหมเจ ฉันขอนอนก่อน"

"ไม่ได้ครับ มาอาบน้ำเลย เร้ว"

เจใช้แรงฉุดคนรักจนยอมลุกขึ้นมาจนได้ เขารุนหลังคนตัวโตเข้าห้องน้ำและจัดการลอกคราบให้เสร็จสรรพ

"อืมม์ ดีจัง"

ฆาเบียร์ครางเบาๆ เมื่อสัมผัสกับสายน้ำอุ่นจากเรนชาวเวอร์ขนาดใหญ่บนหัว เจจับเขามาอาบน้ำฝักบัวก่อนรอบหนึ่งเพื่อชำระคราบไคลออกก่อนลงแช่น้ำ

"มาครับ ผมสระผมให้"

เจจับคนรักลงนั่งบนแท่นนั่งอาบน้ำ ส่วนตัวเขายืนอยู่เบื้องหน้าและฟอกฟองนุ่มของแชมพูลงบนผมสีน้ำตาลที่เริ่มมีกลิ่นอับชื้นเพราะเหงื่อ ฆาเบียร์หลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์



"ฉันคิดถึงนายนะ เจนยุทธ คิดถึงมากๆ"

คนตัวโตรวบร่างเปลือยที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเข้ามากอดทันทีที่เจล้างฟองแชมพูบนหัวเขาหมด เขาซบหน้าลงบนแผงอกเนียน เจโอบร่างใหญ่กำยำของคนรักไว้แล้วก้มลงจูบผมสลวยที่ยังหมาดๆ อยู่

"ผมก็คิดถึงคุณ ฆาบี้"

เจกระซิบแผ่วๆ เขาเชยคางคนรักขึ้นแล้วประทับจูบอันอ่อนหวานลงบนริมฝีปากบางที่เขาแสนจะคิดถึงคู่นั้น ฆาเบียร์จูบตอบด้วยความอ่อนโยน ในตอนนี้พวกเขาแค่อยากแลกเปลี่ยนความรู้สึกคิดถึงกันเท่านั้น

"ลงอ่างกันดีกว่า ไม่งั้นน้ำจะเย็นหมด"

คนตัวโตดันร่างคนรักที่ลงนั่งบนตักเขาให้ลุกขึ้น ทั้งคู่ลงแช่น้ำด้วยกันในอ่าง ถึงอ่างอาบน้ำของที่นี่จะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่มีปัญหากับการที่ต้องนั่งอิงแอบแนบชิดกัน เจซึ่งเป็นฝ่ายนั่งพิงปลายอ่างวักน้ำอุ่นขึ้นรดกายคนรักที่หลับตาเอนกายพิงอกเขา คนตัวโตหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลีย เจยกแขนคนรักขึ้นมาบีบนวดเบาๆ



"อ๊ะ ขอโทษครับ ผมทำคุณตื่นหรือเปล่า?"

เจขอโทษขอโพยเมื่อฆาเบียร์ลืมตาขึ้นหลังจากแช่น้ำอยู่ครู่ใหญ่ คนตัวโตส่ายหน้า

"ไม่จ้ะ แค่รู้สึกว่าเริ่มหนาวแล้ว เราขึ้นกันแล้วดีไหม?"

คนตัวโตพูดพลางหาวเบาๆ เขาคงต้องนอนจริงๆ แล้ว เจนยุทธพยักหน้าแล้วดันคนรักให้ลุกขึ้นจากนั้นก็ลุกขึ้นตามไปเช็ดเนื้อเช็ดตัว

"ให้ตายสิ ฉันชักอยากตัดผมแล้วนะ"

คนตัวโตบ่นเบาๆ เมื่อเจบังคับเป่าผมให้เขาที่ตาจวนจะปิดเต็มทีแล้วจนแห้ง

"ไม่เอา ห้ามตัดครับ ผมชอบผมคุณ"

เจใช้นิ้วสางผมสลวยของคนรักเล่น คนตัวโตซึ่งพูดไปอย่างนั้นยิ้มบางๆ เขาเองก็ชอบยามคนรักบริการเขาแบบนี้



"แล้วนี่ทิ้งเมลิน่าไว้คนเดียวแล้วหนีกลับมาเฉยเลยนะ"

เจไล้นิ้วไปตามลาดไหล่ของคนที่นอนให้เขากอดเป็นหมอนข้าง

"ไม่ได้ทิ้งไว้คนเดียวซักหน่อย อาปากับริคกี้ก็อยู่ด้วย เดี๋ยวก็มาพร้อมกันหมดนั่นแหละ"

คนตัวโตหลับตาพูดด้วยเสียงง่วงงุน เจนยุทธทำตาโต

"ห๊ะ? อาปามาด้วยเหรอครับ?"

คนตัวโตลืมตาขึ้นแล้วสบถเบาๆ พ่อบุญธรรมของเขากำชับให้เก็บเรื่องที่เขาจะมาฮ่องกงเป็นความลับเพราะต้องการจะเซอร์ไพรส์ลูกชายคนโปรดคนใหม่ของเขา

"จ้ะ เฮ้อ อาปาดุฉันแน่ที่ทำให้แผนเซอร์ไพรส์นายพัง"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเก็บความลับอะไรไว้ไม่ได้สักนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนรัก เจยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงผู้เฒ่าที่เขามองเป็นเหมือนพ่ออีกคน

"ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมทำเป็นไม่รู้มาก่อนก็ได้ โอ๊ย ดีใจ จะได้เจออาปาตัวๆ ซะที ไม่ได้เจอกันตั้งกี่เดือนแล้วเนี่ย"

เจพูดอย่างตื่นเต้น ครั้งสุดท้ายที่เขาเจอคริสคือปลายเดือนมกราคมตอนก่อนที่พวกเขาจะไปเที่ยวมาเก๊า แม้จะได้คุยกันผ่านทางวีดีโอหลายครั้ง แต่มันก็ไม่เหมือนกับเจอกันต่อหน้าต่อตา



"หึ นายดูคิดถึงอาปามากกว่าฉันอีกนะ"

คนขี้งอนพลิกตัวกลับเผชิญหน้ากับคนรัก เจหัวเราะเบาๆ แล้วจรดจูบลงบนหน้าผากของฆาเบียร์

"งอนอะไรครับคนดี ก็ผมไม่ได้เจออาปาบ่อยเท่าเจอคุณนี่ ถ้าอยากให้ผมคิดถึงมากๆ เราก็เจอกันซักปีละสามครั้งพอดีไหม?"

คนตัวโตทำหน้าตูมแล้วบ่นอุบอิบว่าเขาไม่ยอมทำอย่างนั้นแน่นอน เขาดึงคนรักเข้ามาแนบกายแล้วเริ่มพรมจูบไปทั่ว

"เดี๋ยว ฆาบี้ ไม่นอนแล้วเหรอ?"

เจท้วงพร้อมพยายามดันร่างใหญ่กำยำออก หากคนที่ดูเหมือนจะเครื่องติดแล้วไม่ยอมหยุด

"ไม่นอนแล้ว อยากทำอย่างอื่นมากกว่า"

ฆาเบียร์ตอบห้วนๆ พร้อมกับขยับมือไปเกาะกุมบั้นท้ายหนั่นแน่นของคนรัก จมูกและปากของเขาซุกไซร้ไปทั่ว



"เอ๊ะ ทำไมมีกลิ่นซิการ์ นี่นายแอบหนีเที่ยวเหรอ?"

คนตัวโตบ่นเบาๆ พร้อมกับดมฟุดฟิดที่ข้างหูของคนรัก เจหัวเราะแหะๆ เมื่อครู่เขาอาบน้ำเพียงลวกๆ ก่อนลงแช่น้ำจึงอาจจะยังมีกลิ่นหนักๆ ของซิการ์น้อยติดอยู่บ้าง

"ผมไปนั่งที่ห้องโอโซนมากับพี่บูมแล้วก็พี่อลันครับ"

"เหรอ แล้วเป็นไง ชอบไหม?"

ฆาเบียร์ซึ่งเคยขึ้นไปนั่งบนบาร์แห่งนั้นบ้างถาม เขาชอบเพลงและบรรยากาศของที่นั่นถึงบางคนจะบอกว่ามันค่อนข้างแออัดและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่ชอบการสังสรรค์อย่างเขา อันที่จริงก่อนที่จะได้พบเจ ที่แห่งนี้เคยเป็นหนึ่งในที่ "ล่าเหยื่อ" ของเขายามที่ตามอาปามาที่ฮ่องกง

"ก็ดีครับ มันไฮโซกว่าบาร์แถวบ้านผมเยอะ คนเที่ยวก็ดูมีคลาส สาวๆ ก็แจ่ม...อุ๊บส์"

คนตัวเล็กตะครุบปากตัวเอง ฆาเบียร์จุ๊ปาก



"พอฉันไม่อยู่นี่นายแอบไปเหล่สาวมาเหรอ?"

"ไม่ได้ตั้งใจดูนะครับคุณ แค่ผ่านตาเฉยๆ ผมไม่ได้ตั้งใจมองใครเลยนะ"

คนตัวเล็กรีบปฏิเสธลั่น เขาขยับกายเข้าซุกอกคนรักอย่างออดอ้อน คนตัวโตโคลงหัว เขาขยับกายเพื่อให้เจเข้ามานอนซบได้ถนัด

"ไม่ได้แอบไปจีบใครแน่นะ?"

ฆาเบียร์แกล้งคาดคั้น เจส่ายหน้าระรัว

"ใครจะกล้าละครับ โธ่ พี่อลันกับพี่บูมก็นั่งหัวโด่อยู่ด้วยนี่"

เจบ่นอุบอิบ

"อ๋อ งั้นแปลว่าถ้าสองคนนั้นไม่อยู่ก็กล้าจีบ?"

คนตัวโตแกล้งทำเสียงเข้ม

"ไม่จีบครับ ต่อให้สองคนนั้นไม่อยู่ ผมก็ไม่สนสาวอื่น วันนี้มีสาวมาแจกไลน์ผมก็บล็อคทิ้งไปแล้วเลย"

คนตัวเล็กหลุดปากพูดมัดตัวเองออกมาจนได้ ฆาเบียร์ทำตาโต



"นายนี่มันเสน่ห์แรงนักนะ"

คนตัวโตยกมือเคาะหน้าผากคนรักเบาๆ เจทำหน้ามุ่ยและบ่นอุบอิบว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหาก่อน ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และกระชับแขนโอบร่างเพรียวในอกเข้า ถึงแกล้งบ่นคนรักเรื่องสาวๆ หากเขาก็ไม่ได้โกรธที่มีสาวเข้าหาเจ และถึงเจ้าตัวเล็กจะยังมีแอบเหล่สาวๆ บ้าง ่เขาก็เข้าใจว่านั่นเป็นความเคยชินของคนที่เคยมองแต่ผู้หญิงมาตลอดชีวิต

"ผมสาบานเลย ฆาบี้ ว่าผม...อืมม์"

เจอุทานออกมาเบาๆ เมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ของคนรักหยุดคำพูดของเขาไว้

"ไม่ต้องสาบานหรอกจ้ะ mi amor ฉันรู้และเชื่อใจว่านายจะไม่ทำให้ฉันต้องเสียใจ"

คนตัวโตพูดหลังจากถอนริมฝีปากออก เขาส่งยิ้มละไมให้คนรัก เจพยักหน้ารับคำ

"ครับ คุณไว้ใจผมได้นะ ฆาบี้ ผมรักและจะมีแค่คุณเท่านั้น"

เจประทับจูบแผ่วๆ บนริมฝีปากของคนรักเพื่อเป็นการตอกย้ำคำพูดของเขา



"ฆาบี้ครับ ไม่เอา ไม่ซนแล้ว คุณนอนพักก่อนดีกว่านะ"

เจตะครุบมือใหญ่ที่เริ่มลูบไล้กายเขาอีกครั้ง หากคนตัวโตส่งสายตาวิบวาวที่แฝงความปรารถนาให้คนรัก

"ไม่นอนแล้วก็ได้ ฉันอยากจะทวงเดิมพันเมื่อคราวที่แล้วน่ะ"

เจนยุทธหน้าร้อนผ่าว เขายังจำได้ว่าเขาแพ้พนันอีกฝ่าย หากตอนนี้เขายังไม่พร้อม

"เอาไว้ก่อนได้ไหมครับ คนดี ตอนนี้ผมง่วงมากเลย เมื่อคืนผมก็แทบไม่ได้นอนเหมือนกันนะ"

คนตัวเล็กบ่นเบาๆ กว่าเขาจะนอนก็ปาเข้าไปตีสี่แล้ว ฆาเบียร์ยิ้มและหอมเรือนผมที่เริ่มยาวขึ้นแล้วของเจ

"ได้สิจ๊ะ ฉันเองก็ว่าไปงั้นแหละ ตาจะปิดแล้วเหมือนกัน แต่เจจ๊ะ..."

เจสะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่ตบหนักๆ เข้าที่บั้นท้ายของเขา

"...ตื่นเมื่อไหร่ อย่าหวังนะว่าจะหนีฉันไปได้"

เสียงกระซิบกลั้วหัวเราะที่ข้างหูทำให้เจเขินจนต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว คนตัวโตหัวเราะกระหึ่มและพลิกกายก่ายกอดร่างอุ่นๆ ในอกและเข้าสู่ห้วงนิทราไปในไม่ช้า




-----------------------------------------------

นึกชื่อตอนไม่ออกก็จับๆ อะไรจากใส่เรื่องใส่ไปก่อนแล้วกันค่ะ ตอนนี้ไม่ค่อยยาว แต่เขาก็เจอกันแล้วนะค้า มาฮ่องกงอีกครั้ง แต่คงไม่มีเรื่องเที่ยวมากเพราะว่าคราวที่แล้วที่คนเขียนไปก็หมกอยู่ในโรงแรมเสียส่วนใหญ่ แหะๆ ไม่ได้ไปกินไปเที่ยวอะไรเลย กินแต่ของเดิมๆ ค่ะ


มาคุยกันเรื่องรถเมล์เจ้าใหม่ของเชียงใหม่ก่อน ในปีที่ผ่านมาถ้าใครได้มาเชียงใหม่ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ก็จะเห็นรถบัสขนาดใหญ่สีฟ้าวิ่งไปมาอยู่ในเมือง นั่นคือรถเมล์ RTC ซึี่งเป็นรถเมล์เจ้าใหม่ล่าสุดของเชียงใหม่ ณ ไทม์ไลน์ในเรื่องเป็นตอนที่เพิ่งเปิดใหม่ ในตอนนั้นมีสายวิ่งแค่สองสายคือวนซ้ากับวนขวาไปสนามบิน แต่ในปัจจุบันได้เพิ่มสายมากขึ้นแล้วค่ะ ราคาค่าบริการคือ 20 บาทตลอดสาย จ่ายผ่านบัตรแร็บบิตได้ไม่ต้องพกตังค์ย่อย


เช็คข้อมูลของบัส RTC ได้ผ่านเพจนี้ค่ะ

FB RTC Smart Bus http://bit.ly/2Nn8T4V



อีกอย่างที่พูดถึงในเรื่องคือรถรางเขียว สวย หอม รายละเอียดก็ตามในเรื่องและด้านล่างนี้ค่ะ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่อยากทำแต่คงต้องรอให้หมดช่วงฤดูเผานี้ก่อน นอกจากรอบปกติที่มีวันละ 4 รอบ รอบละ 1 ชั่วโมงแล้ว (แวะให้ลงเดินแค่ที่วัดเชียงมั่นกับอนุสาวรีย์สามกษัตริย์) ยังมีรอบพิเศษ 2 ชั่วโมง วันละเที่ยวเฉพาะจันทร์ถึงศุกร์ค่ะ (แวะวัดเชียงใหม่ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ชมอุโบสถเงินวัดศรีสุพรรณ ชมพิพิธภัณฑ์วัดพวกแต้ม และกิจกรรมทำกรวยใส่ดอกไม้)

เพจ FB รถรางเขียว สวย หอม http://bit.ly/2Sl2Xu0

รีวิวรถรางเขียว สวย หอม รอบพิเศษ http://bit.ly/2txM9pI



ในตอนนี้ก็ได้พูดถึงห้องอาหารและบาร์ Ozone ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน ฮ่องกง คนเขียนได้ไปใช้บริการที่ห้องอาหารนี้ในเวลากลางวันเพื่อกินซันเดย์บรันช์ (จะเอามาให้ชมในโอกาสถัดไป) เลยไม่ได้มีบรรยากาศและภาพเครื่องดื่มในตอนกลางคืนให้ดูนะคะ ตอนแรกว่าจะขึ้นมาใช่สิทธิ์ welcome drink เหมือนกัน แต่ด้วยความที่ดื่มแชมเปญไปเสียเยอะตอนซันเดย์บรันช์ ก็เลยไม่ขึ้นมาดีกว่า ปล่อยให้ตับมันพักผ่อนบ้าง แต่ก็บอกได้ว่าแค่ตอนกลางวันก็วิวดี บรรยากาศดีมาก เพลงที่เปิดก็โอเค พอจะเห็นภาพได้เลยว่าถ้าเป็นตอนกลางคืนมันจะเจ๋งแค่ไหน

อ้อ คนเขียนได้มีโอกาสจิบค้อกเทลในเมนูอยู่อย่างหนึ่งค่ะ คุยกับพนักงานเสิร์ฟถูกคอ เขาเลยไปขอบาร์เทนเดอร์ทำมาเป็นช็อตให้ชิม(อยู่ในรูปด้านบน) คิดว่าไม่ได้มาไซส์เต็มค่ะ ค้อกเทลนั้นเรียกว่า Dragon's Back อ่านจากในเมนูดูแล้ว มันใส่ ว้อดก้ายี่ห้อ Belvedere ซึ่งถือว่าแพงและดี ราสพ์เบอรี่  น้ำเชื่อมเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ น้ำมะนาวและตบด้วยโฟมรสเบซิลกับส้มยูสุ อร่อยมากค่ะ เป็นรสชาติค้อกเทลที่ไม่เคยเจอมาก่อน นึกเสียดายเหมือนกันว่าน่าจะไปลองดื่มบนนั้นสักครั้ง ไว้คราวหน้าไม่พลาดแน่ค่ะ  ส่วนค่าเครื่องดื่มที่นี่ก็โหดมหาศาลอยู่ค่ะ อย่างค้อกเทลนี่แก้วละ HKD195+  แต่ก็มีคนรีวิวบอกว่า วิวของที่นี่จะคล้ายกับชั้นชมวิว Sky100 ของตึก ICC ซึ่งอยู่ต่ำกว่าที่นี่ 18 ชั้น ราคาค่าขึ้นชั้น Sky100 ก็ถูกไปกว่าค้อกเทลที่นี่ไม่มาก ฉะนั้นขึ้นมานั่งเก๋ๆ ที่นี่ดีกว่า

ห้องอาหารและบาร์ Ozone คลิกดูเมนูอาหารและเครื่องดื่มดูได้ค่ะ http://bit.ly/2Vdq1gc

รีวิวค่อนข้างละเอียดจากเดือนมีนา 2018 ค่ะ http://bit.ly/2NneMiG

ตอนหน้าก็สวีทกันต่อที่ฮ่องกงนะคะ อาจจะมีรายละเอียดอะไรไม่มาก เน้นฟิน แหะๆๆ



ว่างๆ แวะเม้ากันได้ตามช่องทางต่อไปนี้นะคะ

เพจเฟซบุ๊คค่ะ  https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/

ทวิตเตอร์ค่ะ (ไม่ค่อยคุยอะไรมาก เน้นชมบ่าวค่ะ) https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 08:00:35 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


*** แจ้งไว้ก่อนสำหรับคนอ่านเรื่อง The Taste of Love ในเล้าเป็ดนะคะ เรื่องนี้ของคนเขียนคนนี้ชื่อไทยคือ "อิ่มรักรสโอชา" นะคะ หน้าชื่อเรื่องมี @@@ และ Love ไม่มี s...ที่มาบอกไว้นี่ไม่ใช่มาโวยว่ามีคนตั้งชื่อซ้ำ เรื่องนี้ไม่ว่ากัน ของมันซ้ำกันได้ เพราะตัวเองเขียนมาเกินครึ่งเรื่องแล้วก็เพิ่งรู้ว่าชื่อไปซ้ำกับละครของโออิชิ พอดีว่าไม่ค่อยได้ดูทีวีไทย แหะๆ แต่ที่มาบอกไว้เพราะกลัวคนอ่านงงค่ะ ประมาณว่าทำไมอัพตอนใหม่แล้วไม่แจ้ง หรือมันเพิ่งอัพไปเมื่อวาน ทำไมวันนี้มาอีกแล้ว? หรือ เปลี่ยนกลายเป็นแนวมหา'ลัยเมื่อไหร่กัน? อะไรประมาณนี้ เลยต้องมาแจ้งให้ทราบก่อนค่ะ



---- ฮ่องกงแพงมาก! ----




"ทำอะไรอยู่จ๊ะ กลับมานอนต่อเถอะ"

ฆาเบียร์ส่งเสียงเรียกคนรักที่ค้นหาอะไรกุกๆ กักๆ โดยอาศัยเพียงแสงสว่างจากมือถือ

"แป๊บนึงครับ ฆาบี้ คุณนอนต่อเถอะ"

เจส่งเสียงตอบไป คนตัวโตอ้าปากหาวและหยิบมือถือมาดูเวลาและพบว่าตัวเองได้หลับไปกว่าสี่ชั่วโมง แม้จะเป็นเวลาหลังเที่ยงแล้ว ม่านหนาทึบปิดหน้าต่างบานกว้างไว้ทำให้ในห้องนอนของเขายังคงมืดเกือบสนิท

"เที่ยงกว่าแล้ว หิวหรือยัง ถ้าเจหิวแล้วเราไปหาอะไรกินก็ได้นะ"

ฆาเบียร์ยันกายขึ้นนั่ง เจนยุทธหันกลับมายิ้มให้คนรักเมื่อเจอสิ่งที่ตามหา เขาเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงกว้าง คนตัวโตขยับเปิดทางให้พร้อมกับตบฟูกเบาๆ เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อคนตัวเล็กเข้ามาอิงแอบและคลอเคลียกายเขาเหมือนกับเป็นลูกแมวน้อย

"ว่าไงจ๊ะ? หิวหรือยัง?"

คนตัวโตถามซ้ำ เจยิ้มหวานให้เจ้าของอกที่เขาเอนซบ

"ก็หิวอยู่อ่ะครับ..."

เจไล้นิ้วเขี่ยไรขนบนอกกว้าง เขาจูบแผ่วๆ ที่ตำแหน่งของหัวใจคนรัก เขารู้สึกได้ถึงการกระเพื่อมที่ถี่แรงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของเขา

"...แต่ไม่ได้หิวข้าวนะ"

ฆาเบียร์กัดริมฝีปากเบาๆ เมื่อมือนิ่มเข้าเกาะกุมแก่นกายของเขา เจขยับมือรูดไล้ด้วยความชำนาญ ปกติเขาจะชอบใช้เวลาไปกับการเล้าโลม หากในวันนี้เขาต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับคนรักให้เร็วที่สุด



"อร่อยไหม เจนยุทธ?"

คนตัวโตถามยิ้มๆ พร้อมกับเสยสะโพกเบาๆ

"อื้อ อ่าแอ้งอิ"

คนตัวเล็กโวยทั้งๆ ที่ยังมีส่วนสงวนของคนรักอัดแน่นอยู่ในปาก คนขี้แกล้งสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกเรียวลิ้นที่พลิกพริ้วเขี่ยดุนส่วนปลายที่ไวต่อสัมผัส

"เจ อูย อย่าสิ อืมม์ อยากให้ฉันออกเร็วๆ หรือไง อ๊ะ!"

ฆาเบียร์ขยับหนีเมื่อถูกนิ้วเรียวชุ่มเจลรุกล้ำช่องทางด้านหลัง

"เฮ้ ไหนว่าจะให้ฉันเป็นฝ่ายทำก่อนไง!"

คนตัวโตโวยลั่น หากก็ต้องสูดปากเมื่อเจดันนิ้วเข้าช่องทางเขาจนได้

"เจ...อืมม์ ไม่เอานะ นี่นายจะเบี้ยวฉันเหรอ?"

ฆาเบียร์พูดเสียงกระเส่า เจ้าตัวดีของเขาเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มทำตาแป๋วให้

"ผมไม่เบี้ยวคุณหรอกครับ ฆาบี้ แต่ผมอยากเห็นคุณเสียวสุดๆ ด้วยอ่ะ..."

คนตัวโตพูดไม่ออกได้แต่ปล่อยให้คนตัวเล็กทำตามใจ เจตั้งหน้าตั้งตาบริการคนรักของเขา ฆาเบียร์บิดกายเร่าเมื่อโดนจัดการทั้งสองทาง ลิ้นที่พลิกพริ้วของเจและนิ้วเรียวที่กระแทกเข้าตรงจุดเสียวของเขาทุกครั้งทำให้คนตัวโตแทบดิ้นตาย หากไม่นานนักเจก็หยุดมือ



"หยุดทำไมล่ะเจ?"

ฆาเบียร์หอบกระเส่า หากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าเจ้าตัวแสบทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมา

"ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมครับ?..."

เจนยุทธพูดยิ้มๆ พร้อมกับชูของในมือขึ้น

"คราวที่แล้วเมื่อเราแข่งกัน ตอนคุณใช้นี่หน้าคุณดูเอ็กซ์มาก ดูเสียวมากเลยฆาบี้ ผมอยากให้คุณรู้สึกดีแบบนั้นอีก"

ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ มองดิลโด้อันเขื่องที่เจอุตส่าห์ไปค้นหามาจนเจอจากในตู้ของเขา

"นะครับ คนดี ขอเจได้ดูคุณทำแบบนั้นอีกทีได้ไหม?"

เจนยุทธทำเสียงอ่อนหวาน เมื่อเจอลูกอ้อนของคนรักเข้าไป ฆาเบียร์ก็ได้แต่โอนอ่อนผ่อนตาม เขาขยับขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เจเปิดไฟหัวเตียงเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจากนั้นขยับกายเข้าไปจูบเมียตัวโตของเขาเพื่อกระตุ้นอารมณ์ ฆาเบียร์ดูดดึงริมฝีปากแดงเย้ายวนของคนรักอย่างกระหาย

"อ๊ะ อืมม์..."

ฆาเบียร์ครางออกมาเมื่อค่อยๆ เสือกสอดของเทียมซึ่งชะโลมเจลจนลื่นเข้าช่องทางของตน เจเกาะกุมมือของคนรักและช่วยดันมันเข้าไปช้าๆ

"ดีไหมครับ?"

เจถามเสียงแหบพร่า ภาพของคนรักที่ทำหน้าเหยเกด้วยความเสียวซ่านนั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์เขาอย่างสุดแสน เขาเข้าไปช่วยโลมเลียแก่นกายที่เริ่มอ่อนตัวลงเล็กน้อยของคนรักอีกครั้ง ฆาเบียร์กายกระตุกเฮือกเมื่อเจกดรีโมทในมือเพื่อเปิดระบบสั่นของของเล่นชิ้นเขื่อง



"เจ ไม่ไหว จะเสร็จ"

คนตัวโตครางเสียงกระเส่าพลางเร่งมือเสือกสอดของเทียมเข้ากายตน

"เดี๋ยวครับ อย่าพึ่งรีบ ช้าๆ ก่อน"

เจส่งเสียงปรามคนรักที่เครื่องร้อนจัดแล้ว เขากดปิดสวิตช์ก่อนที่ฆาเบียร์จะถึงสวรรค์ไปเสียก่อน คนตัวโตตาลอยด้วยความเสียวซ่าน เขาเรียกหาโพรงปากอันอ่อนนุ่มของเจอีกครั้ง หากก่อนที่ฆาเบียร์จะทันรู้ตัว คนตัวเล็กก็จัดการค่อยๆ สวมใส่ถุงยางให้และเทเจลอุ่นลงชะโลมส่วนแข็งขืนของเขา

"เจ...นาย..."

คนตัวโตอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ เขาเข้าใจว่าเจจะเป็นฝ่ายจัดการเขาอย่างที่เคย

"ผมบอกแล้วว่าผมไม่เบี้ยวคุณหรอกน่า"

คนตัวเล็กยิ้มพรายและโหย่งกายขึ้นคร่อมร่างของคนรัก

"ซี๊ด เจจ๊ะ มันดีมาก..."

ฆาเบียร์ครางลั่นเมื่อแก่นกายของเขาชำแรกเข้าในช่องทางอันรัดรึงของเจ เขารู้ได้ทันทีว่าคนรักได้ไปจัดการเตรียมตัวเพื่อรองรับเขามาเรียบร้อยแล้ว หากเจเม้มปากแน่น ด้วยความที่ห่างเหินกันมาร่วมเดือน อะไรๆ ก็ไม่ง่ายนัก



"ฆาบี้ อย่าหยุดมือสิครับ"

คนตัวเล็กตีมือใหญ่ของฆาเบียร์เมื่อเจ้าตัวละมือจากสิ่งที่ทำอยู่และย้ายมือมาเหนี่ยวสะโพกของเขาแทน หากคนตัวโตไม่ใส่ใจแล้ว เขาเดินหน้าไสสะโพกส่งแก่นกายเข้าร่างคนตัวเล็กที่เริ่มส่งเสียงหอบครางอยู่บนกายเขา หากเจก็ไม่ปล่อยให้คนรักได้ทำตามอำเภอใจ เขากดรีโมทในมืออีกครั้ง คราวนี้เขาเปิดให้มันสั่นแรงที่สุด

"เจ!"

หนุ่มละตินร้องลั่นและหยุดขยับทันที ใบหน้าเขาเหยเกและเหงื่อเม็ดเป้งเริ่มไหลซึมออกมา เขากำลังพยายามข่มกลั้นความรู้สึกเสียวซ่านที่เอ่อท้นขึ้นมาจนแทบทนไม่ได้ หากปีศาจน้อยที่นั่งคร่อมแก่นกายเขาดูจะสมใจเป็นอย่างมากที่เห็นเขาดิ้นเร่าๆ อยู่แบบนี้ เจเริ่มขยับกายอีกครั้ง ทีนี้เขากระแทกกายลงอย่างหนักหน่วง ฆาเบียร์แทบจะละลายแล้ว แม้เจจะลดความแรงของการสั่นลงเพื่อไม่ให้เขาสวรรค์ล่มไปเสียก่อน แต่ความคับแน่นและความอบอุ่นของกายคนรักที่เขาสัมผัสจากทางด้านหน้า และการสั่นสะเทือนตรงจุดเสียวของเขาทางด้านหลังทำให้ทำนบของฆาเบียร์กำลังจะทลาย

"เจ หยุด หยุดก่อนเถอะ ฉันจะออกแล้ว..."

คนตัวโตร้องลั่น เจนยุทธรีบกดหยุดสวิตช์ ฆาเบียร์ดึงของเล่นของเขาออกทันทีและดันกายคนรักลงนอนราบ

"แสบนักนะเรา"

ฆาเบียร์คำรามเบาๆ และกดจูบลงบนริมฝีปากที่ยิ้มยั่วเขาอย่างหนักหน่วง เจดูดดึงริมฝีปากของคนรักด้วยความรุนแรงพอกัน คนตัวโตเริ่มเป็นฝ่ายคุมเกมเองบ้าง เขาคุกเข่าบนเตียงนุ่มแล้วยกขาข้างหนึ่งของเจขึ้นพาดบ่า เจนยุทธกายสะท้านเมื่อฆาเบียร์ดันกายเข้าอีกครั้ง คราวนี้ด้วยความนุ่มนวล หากเขาไม่ได้ประวิงเวลาไว้นานนักด้วยรู้ว่าการที่เจแกล้งเขาแบบนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามในการเซฟตัวเองของเจ้าตัว



"จวนหรือยังจ๊ะ?"

คนตัวโตกระซิบถามร่างเพรียวที่เขากอดไว้แนบอก เจเม้มปากแน่นและพยักหน้าเบาๆ เขาเกาะกุมแก่นกายตนพร้อมๆ กับขยับกายตามจังหวะของคนรัก ฆาเบียร์ขบกรามเมื่อคนที่นั่งคร่อมตักอยู่กัดเบาๆ ที่ไหล่ของเขา คนตัวเล็กคงจวนถึงฝั่งเต็มที่แล้ว เขากลั้นใจเสยสะโพกขึ้นหนักๆ อีกไม่กี่ครั้งก่อนที่เจจะครางลั่นและฟุบหน้าลงบนบ่าของเขา คนตัวโตซี้ดปากลั่นเมื่อรู้สึกถึงความตอดรัด เขาคำรามหนักๆ และรัดร่างคนรักแน่นเมื่อตนถึงสวรรค์บ้าง

"ขอบคุณครับ ฆาบี้"

เจนยุทธซึ่งยังคงหอบกระเส่าด้วยความเหนื่อยอ่อนกระซิบข้างหูคนรัก เขารู้ดีว่าฆาเบียร์ทำตามใจเขาและอดใจไม่ดึงจังหวะให้การร่วมรักของพวกเขายาวนานเหมือนอย่างที่ชอบเพื่อไม่ให้เขาได้เจ็บตัวมากนัก คนตัวโตยิ้มละไมและเผยอปากรับจูบอันอ่อนหวานที่คนรักป้อนให้ พวกเขาใช้เวลากอดและจูบกันให้สมกับความคิดถึงที่มีตลอดระยะเวลาที่ห่างกัน

"อาบน้ำกันไหม?"

ฆาเบียร์ชวนคนที่ทำท่าอยากจะกลับไปนอนอีกรอบให้ลุกไปอาบน้ำ เจทำท่าอิดออดพักหนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นตาม พวกเขาใช้เวลาครู่ใหญ่อาบน้ำชำระร่างกาย เจใช้เวลาปรนนิบัติคนรักของเขาด้วยริมฝีปากนิ่มอีกครั้งก่อนที่จะใช้กายตนลูบไล้ฟองสบู่ให้เมียตัวโตของเขา เขาทำตาเขียวใส่คนที่พยายามจะใช้นิ้วรุกล้ำเขาอีกหน

“พอก่อนครับ ยังเจอกันอีกหลายวัน"

เจคว้าข้อมือแข็งแรงของคนตัวโตไว้แล้วดึงให้ออกห่างตัว ฆาเบียร์หัวเราะแล้วจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากของคนรักก่อนจะเปิดฝักบัวให้สายน้ำชะล้างฟองสบู่ออกไปจนหมด

"พอก่อนก็ได้จ้ะ ฉันเองก็ยังเหนื่อยอยู่เหมือนกัน"

คนที่แทบไม่ได้นอนบนเครื่องบินพูด ถึงเมื่อครู่เขาได้นอนหลับสนิทไปกว่าสี่ชั่วโมง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอให้เขาหายเหนื่อยล้านัก เจดึงผ้าเช็ดตัวมาเช็ดกายเขาทั้งสองจนแห้งและส่งเสื้อคลุมอาบน้ำให้คนรักห่มคลุมร่างเปลือย



"งั้นคุณไปนอนต่อเถอะ ฆาบี้ เดี๋ยวผมมา"

เจนยุทธดันคนรักให้เดินไปยังเตียงของพวกเขา ส่วนตัวเขาเปิดตู้เพื่อหาเสื้อผ้าใส่

"แล้วนายไม่มานอนต่อด้วยกันเหรอ?"

คนตัวโตที่นั่งอยู่บนเตียงถาม เจส่ายหน้า

"แหะๆ ผม เอ่อ หิวแล้วอ่ะ ไส้จะขาดแล้วครับ ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาตั้งแต่ค่ำเมื่อวานแล้ว "

ฆาเบียร์โคลงหัวเมื่อเจบอกเขาว่าเมื่อคืนวานเขากินแค่พวกอาหารเรียกน้ำย่อยและกับแกล้มจากบนบาร์ เนื่องจากยังอิ่มมาจากมื้อเที่ยงอยู่

"งั้นเราออกไปหาอะไรกินกันเถอะ นายไหวไหม?"

คนตัวโตถามคนรักด้วยความเป็นห่วง ถึงเขาจะไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับคนรักไป แต่เขารู้ดีว่าหากไม่ได้เจอกันพักใหญ่แบบนี้ เจมักต้องนอนพักครู่หนึ่งหลังจากร่วมรักกันแล้ว เจขมวดคิ้วน้อยๆ บั้นท้ายของเขายังระบมน้อยๆ เพราะคนตัวโตเผลอขยำขยี้เข้าไปเมื่อตอนที่อารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด

"เราขึ้นไปกินมื้อเที่ยงเบาๆ บนคลับก็ได้ นายจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก"

เจนยุทธพยักหน้า

"ก็ดีครับ ถ้าเพลีย คุณเองก็จะได้ลงมานอนต่อได้ด้วย งั้น ลุกครับ แต่งตัวกัน"

เจเปิดม่านให้แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องเข้ามาในห้อง เขาอดยืนมองทิวทัศน์ของอ่าววิคตอเรียไม่ได้ แม้จะเห็นวิวอันแสนงดงามจากชั้น 109 นี้มาหลายครั้งแล้ว ผืนน้ำสีครามและดงตึกที่อยู่กระหนาบสองฝั่งอ่าวก็ทำให้เจตะลึงได้ทุกครั้ง



"ชอบวิวนี้ไหม?"

คนตัวโตเดินตามมาโอบร่างเปลือยของคนรักจากทางด้านหลัง ด้วยความสูงกว่า 400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล พวกเขาทั้งสองจึงยืนชมวิวทั้งที่ยังนุ่งลมห่มฟ้าได้โดยไม่กลัวว่าใครจะเห็น เจหันไปพยักหน้าตอบรับคำถามของคนรัก เขาเคยไม่เบื่อที่จะมองทิวทัศน์อันเป็นจุดขายของเกาะแห่งนี้เลย โดยเฉพาะในยามค่ำคืนที่มีแสงสว่างพริบพรายจากดวงไฟและป้ายโฆษณาที่ประดับประดาบนเหล่าอาคารสูงริมฝั่งน้ำ

"ฉันคิดว่าอาจจะซื้อคอนโดสักห้อง จะมาอยู่โรงแรมแบบนี้เรื่อยๆ ก็คงไม่ได้..."

"อืมม์ ก็จริงครับ ถ้าซื้อคอนโด อย่างน้อยหลังจากย้ายกลับ..."

เจนยุทธชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงว่าเมียตัวโตของเขาจะอยู่ทำงานในเอเชียอีกไม่ถึงห้าปี หากเขารีบพูดต่อเพื่อไม่ให้คนรักผิดสังเกต

"...เอ่อ กลับสหรัฐฯ คุณก็ยังขายห้องได้ตังค์คืน"

คนตัวโตลอบถอนหายใจ เขาสังเกตได้ถึงอาการของคนรัก เขาเองก็อดนึกถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องห่างกันไกลเกินครึ่งโลกไม่ได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดทักออกไปและชวนคนรักคุยเรื่องคอนโดต่อ

“ใช่จ้ะ แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะซื้อที่ไหนดี นายพูดเรื่องวิวมาก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้เลือกที่ๆ มีวิวประมาณนี้ งั้น เอา Opus ดีไหม? ที่อยู่แถว Mid-level น่ะ ได้วิวอ่าวจากที่สูงเต็มๆ เลยนะ”

เจทำตาโต

“เดี๋ยวๆๆ ไอ้เจ้าโอปุสที่ว่านั่นมันคอนโดที่ขึ้นชื่อว่าแพงที่สุดในฮ่องกงไม่ใช่เหรอครับ ที่ว่ามีห้องราคา 490 ล้านเหรียญฮ่องกงด้วย?”

คนตัวโตพยักหน้า ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงโดยเฉพาะคอนโดหรูแถบกลางและยอดวิคตอเรียพีคแห่งนั้นออกจะสูงเกินงบของเขาไปบ้าง แต่เขาก็ยังพอจะดึงเงินที่ลงทุนที่นั่นที่นี่ไว้มาซื้อได้ หากคนตัวเล็กมีทีท่าไม่เห็นด้วยกับคนรัก

“คุณจะอยากได้คอนโดบนพีคหรือแถว mid-level ไปทำไมครับฆาบี้? ตอนแรกคุณเลือกอยู่ที่โรงแรมนี้แทนบ้านของอาปาก็เพราะอยากอยู่ใกล้ออฟฟิศไม่ใช่เหรอ? ถ้าต้องมาขับรถขึ้นลงเขา คุณก็ไม่ต้องเปลืองตังค์ซื้อหรอก อยู่บ้านอาปาไปเถอะ"

เจนยุทธท้วง คนตัวโตทำท่านึกได้

"เออ นั่นสินะ จริงของเจ งั้นฉันเลือกคอนโดที่อยู่แถวนี้แล้วกันนะ"

เจนยุทธพยักหน้า เขาก้มหน้าดูนาฬิกาเรือนงามบนข้อมือแล้วรีบเดินกลับมาหยิบเสื้อเชิร์ตสีขาวลายทางที่เขาเลือกๆ ไว้ก่อนหน้านี้จากในตู้มาสวม จากนั้นสวมกางเกงยีนส์ลูกฟูกทรงสุภาพสีดำทับ



“เอ๊ะ อย่าซนสิครับ”

เจอุทานเบาๆ เมื่อถูกคนตัวโตเดินตามหลังมากอดเอวเข้าอีกครั้ง

“หนัก ฆาบี้ ไปแต่งตัวไกลๆ เลย”

เจโวยเบาๆ เมื่อคนตัวโตทิ้งน้ำหนักลงบนแผ่นหลังของเขา

“ให้ฉันช่วยนายแต่งตัวเถอะนะ”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจปัดมือที่พยายามเปะป่ายบริเวณกระดุมกางเกงเขาออกอย่างรวดเร็ว แต่คนตัวโตก็เปลี่ยนขึ้นไปช่วยคนตัวเล็ก “ติด” กระดุมเสื้อแทน แต่ดูเหมือนคนตัวโตจะช่วยแกะออกเสียมากกว่า

“ไม่เอาครับ ไม่เล่นแล้ว ฆาบี้ นี่บ่ายโมงกว่าแล้ว ถ้าไม่รีบก็จะกินมื้อเที่ยงบนคลับไม่ทันนะ!”

เจนยุทธทำหน้าง้ำ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และปล่อยมือออกจากร่างเพรียว เขาไม่ควรขัดใจคนรักที่ดูท่าจะหิวจัดแล้ว

"จ้ะๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้ นายแต่งตัวไปเถอะ"

เจหันมาแลบลิ้นให้คนตัวโต ฆาเบียร์มองตามด้วยความรู้สึกคันยุบยิบในอก เขาคิดอยากจับเจ้าตัวดีจูบทุกครั้งที่เจ้าตัวแลบลิ้นให้



"อืมม์ ฆาเบียร์..."

และครั้งนี้คนตัวโตไม่เพียงแค่คิด เขาดึงร่างคนรักเข้ามาชิดอกและป้อนจูบอันอ่อนโยนให้ เขาแอบยิ้มในใจอย่างกลั้นไม่ได้เมื่อคนตัวเล็กยอมสละเวลาอันมีค่ามาตอบรับจุมพิตของเขา เจยกมือขึ้นประคองหลังศีรษะของคนรักและเป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากของอีกฝ่ายด้วยเรียวลิ้นของตน คนตัวโตพริ้มตาลง เจจูบเก่งสมกับที่ผ่านสมรภูมิมาโชกโชนจริงๆ ถึงคนตัวเล็กจะไม่ใช่คนที่จูบเก่งที่สุดที่เขาเคยจูบมา แต่จุมพิตที่แฝงด้วยความรักของเจนั้นทำให้เขาอิ่มเอมใจได้มากกว่าการจูบเพื่อความใคร่เพียงอย่างเดียว

"รักคุณนะครับ"

เจกระซิบเบาๆ คนตัวโตพยักหน้าและตอบรับด้วยการจูบบนเรือนผมหอมนิ่ม

"ฉันก็รักเจนะ"

ฆาเบียร์ตอบ เขาทำท่าจะจูบคนรักต่อแต่ถูกรบกวนด้วยเสียงท้องร้องโครกใหญ่ คราวนี้เป็นเสียงท้องของเขาเอง เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นคนตัวโตทำหน้าปูเลี่ยนๆ

"หิวเหมือนกันเหรอครับ คนดี? ป่ะ รีบแต่งตัวเร้ว จะได้ไปหาอะไรกินกัน"

เจนยุทธดันหลังเมียตัวโตของเขาให้ไปแต่งตัว ฆาเบียร์หยิบกางเกงชิโน่สีครีมและเสื้อเชิร์ตลำลองออกมาใส่ จากนั้นพาคนรักของเขาขึ้นลิฟท์ไปยังคลับเลาจ์บนชั้น 116



"ตักอะไรมาเยอะแยะจ๊ะ?"

คนตัวโตถามยิ้มๆ เมื่อเห็นจานอาหารที่เจยกมาเพิ่มอีกสองจาน คนที่มีกระเพาะหลุมดำจัดการตักพวกของกินเล่น ติ่มซำและข้าวผัดมาไว้ก่อนแล้วสองจาน และตอนนี้เขายังเอาขาห่านทอดและอาหารร้อนอย่างอื่นมาเพิ่มอีก

"อีกสิบนาทีเขาจะปิดไลน์แล้ว ผมต้องรีบเอามาก่อน หิวจะตายแล้วอ่ะ ว่าแต่คุณเถอะ กินแค่นี้พอเหรอ?"

เจเบ้ปากมองแซนวิชและพวกโคลด์คัทบนจานของคนรัก ฆาเบียร์ยังตักผักกาดขาวตุ๋นน้ำแดง ข้าวผัดกับขาห่านมาอีกอย่างละหน่อย คนตัวโตชะโงกหน้ามองจานอาหารของเจ

"อืมม์ ซุปเต้าหู้ทะเลของเจดูน่ากินดีนะ เดี๋ยวฝากตักมาให้ฉันซักถ้วยได้ไหม? แล้วก็ขอเพสตรี้สักชิ้น อะไรก็ได้จ้ะ"

"งั้นคุณกินถ้วยของผมไปก่อนเลย ผมไปตักมาใหม่ แล้วถ้าพนักงานมาขอแชมเปญผมแก้วนึง กับ mojito อีกแล้วนะครับ"

เจพูดแล้วจึงเดินไปตักอาหารต่ออีกครู่หนึ่ง เมื่อเขากลับมาที่โต๊ะก็พบว่าเพิ่งจะมีพนักงานสาวมารินแชมเปญ Veuve Cliquot ใส่แก้วให้เขา

"คนเยอะเนาะ วันนี้"

เจบ่นกับฆาเบียร์เบาๆ หลังจากพนักงานสาวท่าทางสุภาพคนนั้นเดินจากไป คนตัวโตพยักหน้า เมื่อครู่เขาต้องนั่งรออยู่ครู่หนึ่งจนกว่าจะมีพนักงานเดินผ่านมาสักคน แม้พนักงานบนคลับเลาจ์ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันแห่งนี้จะบริการดีเพียงใด แต่ยามมื้ออาหารมักมีแขกมาใช้บริการเป็นจำนวนมากจนพนักงานไม่สามารถให้บริการอย่างทั่วถึงได้

"จ้ะ ช่วงนี้คนเยอะ ยิ่งช่วงค้อกเทลมื้อค่ำกับมื้อเช้านะเจ พนักงานเดินกันขาขวิด อาหารที่นี่เขาเลยต้องจัดเป็นไลน์ให้เดินตักกันอย่างเดียว ไม่ใช่แบบสั่งจากเมนูเหมือนที่มาเก๊าหรือที่อินเตอร์คอนกรุงเทพฯ"

ฆาเบียร์อธิบาย เจกินไปฟังคนรักพูดไป เขากวาดตามองไปรอบๆ คลับเลาจ์ที่ตกแต่งด้วยสไตล์คอนเทมโพรารี่ แม้ที่นั่งทั้งแบบโซฟาชุดและชุดโต๊ะเก้าอี้ที่รองรับแขกได้ประมาณสี่สิบคนจะถูกจัดวางกันอย่างหลวมๆ เพื่อไม่ให้รู้สึกแออัด หากที่นั่งเหล่านั้นก็ถูกแขกจับจองไว้กว่าครึ่ง



"ผมก็เคยสงสัยอยู่อ่ะ ว่าทำไมคลับที่นี่เขาถึงจัดไลน์แบบนี้ คือเรื่องการบริการที่นี่เขาไม่มีที่ติอยู่แล้วล่ะ พนักงานดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ถามอะไรก็ตอบให้ได้หมด..."

เจนยุทธเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งที่แล้วที่เขามาฮ่องกงแล้วขึ้นมาใช้บริการที่คลับแห่งนี้คนเดียวโดยที่คนตัวโตลงไปประชุม เขาได้ยินโต๊ะข้างๆ พูดกับพนักงานถึงน้ำมะพร้าว เขาจึงเกิดอยากดื่มขึ้นมาบ้าง เมื่อถามบริกรหญิงว่าที่คลับมีน้ำมะพร้าวหรือไม่ เธอก็หายไปครู่ใหญ่แล้วกลับมาพร้อมน้ำมะพร้าวแก้วโต เธอขอโทษขอโพยที่ล่าช้าและบอกว่าโดยปกติแล้วที่ห้องนี้ไม่มีน้ำมะพร้าวเสิร์ฟ แต่เธอลองโทรไปถามห้องอาหารด้านล่างดูและพบว่ามี จึงได้ให้ทางนั้นส่งขึ้นมาให้

"ผมงี้รู้สึกผิดเลยอ่ะ คือถ้าไม่มี เจ๊ก็บอกว่าไม่มีก็ได้ แต่ถ้าเป็นวันนี้ก็อาจจะไม่ได้อ่ะคุณ วันนั้นคนน้อยเขาเลยว่างจัดการให้"

เจนยุทธโคลงหัว ในตอนแรกเขานึกว่าเขาต้องจ่ายเงินเพิ่มสำหรับค่าน้ำมะพร้าวนั้นแล้ว หากพนักงานสาวบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องจ่าย

"ผมงี้ประทับใจสุดๆ เลยครับ วันนั้นผมก็เลยเขียนคอมเมนท์ชมไว้ให้ด้วย"

เจบอกว่าเมื่อเทียบกับคลับเลาจ์ที่อื่นที่เขาเคยใช้บริการมาแล้ว ที่นี่ถือว่าให้บริการขั้นเทพ แต่ข้อติของเขาคือเรื่องอาหาร

"พอคิดว่าที่นี่มันคือโรงแรม Ritz Carlton เชียวนะ ผมก็ว่าของที่เสิร์ฟบนนี้มันดูเบๆ ไปหน่อย คือก็เป็นของคุณภาพดีนะ แต่ไม่ว้าว แล้วอิที่แย่จริงๆ ก็คือไอ้เจ้าติ่มซำนี่แหละ"

เจนยุทธเขี่ยๆ ติ่มซำที่เขาเผลอตักมาสามสี่ชิ้นในจานด้วยความเซ็ง

"ผมลืมทุกทีเลยว่าติ่มซำในคลับนี้มันเป็นของโฟรเซ่น แล้วมันโคตรไม่อร่อยเลยครับ แป้งหนาแถมแข็งอีกต่างหาก ไส้ก็จืด"

ฆาเบียร์โคลงหัว เพราะถึงคนตัวเล็กจะบ่นกระปอดกระแปดแต่สุดท้ายก็กินมันเข้าไปหมดอยู่ดี เจหันมาจัดการกับของคาวอย่างอื่นต่อ เขายิ้มออกมาได้เมื่อพบว่าข้าวผัดปลาไหลญี่ปุ่นและปลานึ่งที่ตักมารสชาติดีใช้ได้ เช่นเดียวกับผักกาดขาวตุ๋นใส่เก๋ากี๋ซึ่งไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังนัก แต่โดยรวมๆ แล้ว เจพอใจกับอาหารพวกเรียกน้ำย่อยกับของกินเบาๆ อย่างสลัดมันฝรั่ง แซลมอนรมควัน แฮมและแซนวิชมากกว่าอาหารจานร้อนมาก



"ไอ้นี่เหนียวไปหน่อยนะ นายว่าไหม?"

ฆาเบียร์บ่นเบาๆ พร้อมใช้มีดพยายามตัดขาห่านทอดพริกเกลือในจาน เขาเงยหน้าขึ้นมาดูเมื่อเจเงียบและไม่ตอบคำถามของเขา คนตัวโตยิ้มอย่างขบขันเมื่อเห็นเจนยุทธกำลังยกขาห่านขาโตขึ้นแทะอย่างไม่สงวนทีท่า

"เจจ๊ะ กินเรียบร้อยหน่อยสิ"

ฆาเบียร์แกล้งทำหน้าขรึมแล้วจุ๊ปากเป็นเชิงปราม เจทำหน้าจ๋อยแล้วค่อยๆ วางขาห่านทอดพริกเกลือลงในจาน เขาเช็ดมือไม้และเริ่มใช้มีดส้อมกินแทน

"ก็มันเหนียวหั่นยากอ่ะครับ..."

คนตัวเล็กบ่นเบาๆ

"ผมเห็นว่าเรานั่งมุมห้องแล้ว แถมแถวนี้ก็ไม่มีใครนั่งก็เลยยกขึ้นแทะ ขอโทษครับที่ทำให้คุณเสียหน้า..."

เจนยุทธพูดด้วยใบหน้าเจื่อนจ๋อย เขาลืมไปว่าเขาต้องทำตัวเรียบร้อยเพื่อรักษาหน้าให้คนตัวโต เขาก้มหน้าต่ำด้วยความรู้สึกอดสูใจ



"นี่ เจ..."

"อ้าว เฮ้ย!"

คนตัวเล็กอุทานอย่างลืมตัวเมื่อเงยหน้าขึ้นตามคำเรียกแล้วเจอคนรักนักธุรกิจหนุ่มใหญ่มาดดีของเขายกขาห่านในจานขึ้นแทะบ้าง

"อืมม์ นายพูดถูกจริงๆ ล่ะ เจ แบบนี้กินง่ายกว่าจริงๆ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจทำตาปริบๆ แต่แทนที่เขาจะยิ้มออก เจนยุทธกลับยิ่งทำหน้าเศร้าไปกว่าเดิม

"ผมก็นึกว่าผมทำให้คุณอายอีกแล้ว..."

คนตัวเล็กส่งเสียงแผ่วเบา หนุ่มละตินใจหายเมื่อเห็นใบหน้าสลดของคนรัก

"ไม่นะเจ นายไม่ได้ทำให้ฉันอายอะไรเลย เฮ้อ..."

คนตัวโตถอนหายใจ เขาวางกระดูกขาห่านลงแล้วเอื้อมมือไปกุมมือคนรัก

"ฉันแค่จะหยอกนายเล่นเฉยๆ ไม่คิดจะทำให้นายกังวลเลยนะ..."

ฆาเบียร์บีบมือเรียวแน่น

"จำไว้ เจนยุทธ นายไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะทำอะไรให้ฉันได้อาย ที่ผ่านมานายทำทุกอย่างได้ดีอยู่แล้ว ฉันไม่เคยคิดอายในตัวนายเลยสักนิด อยู่กับฉันนายไม่ต้องเกร็งอะไรมากนะ แค่เป็นตัวของตัวเอง อยากทำอะไรเจก็ทำไปเถอะ…"

หนุ่มละตินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากุมมือคนรักและทำท่าจะพูดอะไรต่อ หากเขาต้องกลืนสิ่งที่จะพูดลงท้องไปเมื่อเห็นแววตาพริบพรายของคนที่อยู่ตรงหน้า



“จริงเหรอครับ ที่รัก? ผมทำอะไรก็ได้จริงๆ เหรอ?”

เจนยุทธพูดยิ้มๆ พร้อมส่งสายตาใสซื่อให้คนรัก ฆาเบียร์เม้มปาก เจอสายตาแบบนี้ของเจ้าตัวดีทีไร เขามักจะต้องลำบากเมื่อนั้น

“เจนยุทธ อย่าซน!”

ฆาเบียร์ดุเบาๆ เมื่อปลายเท้าเปล่าเปลือยของคนรักสัมผัสกับหลังเท้าของเขา เจยิ้มยั่วพร้อมกับลากไล้ปลายเท้าขึ้นไปยังข้อเท้าของฆาเบียร์

“ก็คุณบอกผมว่าอยากทำอะไรก็ทำ…”

ฆาเบียร์ขบกรามเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่เขี่ยวนอย่างเชิญชวนอยู่บนหลังเท้าของเขา เจนยุทธโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วกระซิบเบาๆ

“ตอนนี้ผมเริ่มอิ่มท้องแล้ว แต่กำลังหิวคุณแทน พอผมกินขนมเสร็จแล้วเรากลับขึ้นห้องกันไหมครับ”

คนตัวโตที่ทำท่าจะดุเจ้าตัวดีของเขาซ้ำรีบกลืนคำพูดลงท้องไปและพยักหน้าเบาๆ เจยิ้มหวานให้ฆาเบียร์อีกครั้งแล้วก้มหน้าก้มตากินขนมหวานของเขาจนหมด ถึงจะบ่นเรื่องอาหารคาว แต่เจก็ชมขนมหวานพวกแดนิชและพัฟฟ์เพสตรี้ของที่นี่ไม่หยุดปาก ฆาเบียร์เองก็รีบกินแดนิชหน้าผลไม้ของเขา พร้อมกับดื่มแชมเปญแก้วที่สามของเขาลงไปจนหมด เช่นเดียวกับเจที่จัดการเขมือบขนมจานโตพร้อมกับดื่มโมฆิโต้ที่เจ้าตัวบ่นพึมพำว่าไม่อร่อยจนหมดเช่นกัน

“ไปกันเถอะครับ”

เจลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงคนรักให้ลุกขึ้นตาม ทั้งคู่จับมือกันเดินคลอเคลียกลับห้องของพวกเขา







(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ฮ่องกงแพงมาก! (ต่อ) ----




"เจจ๊ะ ฉันคงต้องลงไปที่ออฟฟิศแป๊บนึงนะ เจอยู่คนเดียวได้ไหม?"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทันทีที่กลับถึงห้อง เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณเหลียง เลขาฯ หมายเลขสองของเขาว่ามีเอกสารที่อยากให้เขาดู

"ก็ไปสิครับ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย"

เจพูดพลางก้มหน้าก้มตาจัดการกับข้าวของของเขา

"ขอโทษจริงๆ นะเจ ที่จริงวันนี้ฉันควรอยู่กับนายทั้งวัน"

คนตัวโตเดินเข้ามาประชิดกายคนรัก เจหันกลับมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม

"นี่ คุณฆาเบียร์ครับ ที่มาฮ่องกงเนี่ย ผมไม่ได้หวังให้คุณต้องมาอยู่ตัวติดกันกับผมตลอดหรอกนะ ผมเข้าใจน่าว่าคุณต้องทำงาน อ้อ แล้วเดี๋ยวผมก็จะลงไปออฟฟิศกับคุณด้วย จะเอาของพวกนี้ไปแจกจ่ายด้วยน่ะ"

 เจชูถุงผ้าใบใหญ่บรรจุของฝากที่เขาเตรียมมาจากเชียงใหม่ ฆาเบียร์ยิ้มให้คนรักและพยักหน้าน้อยๆ เจยิ้มตอบ

"งั้น ลงไปกันเลยไหม? จัดการธุระให้เสร็จเร็วๆ จะได้มีเวลา"

คนตัวโตคว้ากระเป๋าของเขาและส่งมือให้เจเกาะกุม พวกเขาเตรียมตัวที่จะเดินออกห้องเมื่อเจนยุทธนึกได้ว่าเขาลืมอะไรบางอย่าง

"อ๊ะ เดี๋ยวครับ รอแป๊บนึง"

เจขอให้คนรักรอ ส่วนตัวเองรีบเดินไปเปิดตู้นิรภัยขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักหน้าห้องน้ำ เขาหยิบกล่องกำมะหยี่กล่องน้อยขึ้นมาเปิด ฆาเบียร์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าในกล่องนั้นคือต่างหูเพชรสีน้ำเงินของแม่ซึ่งเจมักลังเลที่จะใส่มันเวลาอยู่เชียงใหม่ เจนยุทธหยิบต่างหูซึ่งราคาเท่ากับคอนโดเขาทั้งห้องขึ้นมาใส่และหันมายิ้มให้คนรัก

"อยู่ฮ่องกงใส่ได้"

เจพูดสั้นๆ ฆาเบียร์โคลงหัวเพราะตัวเขานั้นไม่เห็นความแตกต่างของการใส่มันทั้งที่เชียงใหม่และที่ฮ่องกง แต่เขาก็ปล่อยให้เจทำตามที่เจ้าตัวคิดว่าสบายใจไป

"ตามใจเจแล้วกันจ้ะ งั้นเราไปกันได้แล้วนะ?"

 เจนยุทธพยักหน้าและเดินนำหน้าคนรักออกห้องพักของพวกเขาไป



"ผมเกลียดลิฟท์ที่นี่จริงๆ ให้ตายเหอะ"

เจบ่นพึมพำระหว่างที่พวกเขายืนรอลิฟท์ขึ้นไปยังสำนักงานของคนตัวโต ด้วยความที่ล็อบบี้โรงแรมอยู่บนชั้น 103 ของอาคาร ICC ซึ่งมีทั้งสำนักงานและห้างสรรพสินค้าอยู่เบื้องใต้ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของแขกโรงแรม จึงได้มีการแยกลิฟท์ไว้อย่างเป็นสัดส่วน แต่มันก็ทำให้คนอย่างฆาเบียร์ซึ่งทำงานและอาศัยอยู่ในอาคารเดียวกันเดินทางลำบากไปด้วย เขาต้องใช้ลิฟท์เพื่อลงมายังล็อบบี้โรงแรมจากห้องพักของตน จากนั้นต่อลิฟท์อีกตัวเพื่อลงไปยังล็อบบี้ของอาคารสำนักงาน ก่อนที่จะขึ้นลิฟท์อีกตัวเพื่อขึ้นไปยังออฟฟิศของเขาบนชั้น 90

"อย่างเวลาจะออกไปไหนก็เหมือนกัน ลงห้องมาถึงล็อบบี้แล้วก็ต้องขึ้นลิฟท์อีกตัวลงไปที่โถงทางเข้าอีก หรือถ้าจะไปที่บาร์โอโซน ก็ต้องแยกลิฟท์อีก ยุ่งยากจริง"

เจนยุทธบ่นกระปอดกระแปดตามประสา คนที่ทำเรื่องพวกนี้จนเป็นกิจวัตรแล้วยิ้มบางๆ เขาชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว

"พวกอาคารที่เป็นแบบ mixed use ก็เป็นแบบนี้แหละจ้ะ มันก็เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย เรซิเดนซ์ของแมนดาริน โอเรียนทอลที่ฉันซื้อไว้ที่นิวยอร์คก็เป็นแบบนี้ ตัวห้องพักอยู่ชั้น 64 ถึง 80 ส่วนด้านล่างก็เป็นสำนักงาน ออฟฟิศสาขาของเราก็อยู่ที่นั่นด้วย ถ้าฉันไปทำงานที่นั่นก็ต้องขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้เหมือนกัน"

"เวียนหัวตายเลย"

คนตัวเล็กซึ่งไม่ชินกับอาคารสูงนักบ่น เชียงใหม่ไม่มีอาคารสูงๆ ให้เห็นมากนัก และส่วนใหญ่มักใช้เป็นที่พักอาศัยเพียงอย่างเดียว เขาจึงไม่ชินกับความยุ่งยากแบบนี้



"ผมไม่ค่อยคุ้นกับตึกสูงๆ มากนักครับ ที่เชียงใหม่ตึกสูงที่สุดก็แค่ 37 ชั้น เป็นคอนโดของศุภาลัยน่ะ แต่ผมเคยขึ้นตึกสูงๆ ที่เชียงใหม่ก็แค่ชั้น 24 เป็นห้องอาหารของโรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวันแถวไนท์บาร์ซาร์น่ะครับ"

เจพูดถึงห้องอาหารจีนซันฟลาวเวอร์ซึ่งสามารถเห็นวิวมุมสูงของตัวเมืองเชียงใหม่ได้ถึงสามด้าน ถึงอาหารของที่นั่นจะไม่ได้เด่นอะไรนัก หากมีเพื่อนหรือแขกต่างชาติมา บางครั้งเจก็จะพาไปกินอาหารที่นั่นเพื่อให้ได้ชมวิวด้วย

"เวลาลงไปกรุงเทพฯ ที ผมถึงชอบเลือกนอนโรงแรมที่มีชั้นสูงๆ อย่างอินเตอร์คอนเนี่ย ผมจะขอนอนชั้น 30 ขึ้นไปตลอดเพราะที่บ้านไม่มีให้ดู..."

เจซึ่งมองตัวเองเป็นเด็กบ้านนอกยิ้มเขินๆ

"ยิ่งมาเจอวิวชั้นร้อยกว่าของห้องคุณนะ ผมตายไปเลยอ่ะ มันสวยชวนตะลึงจริงๆ"

"นายนี่ตลกดีนะ เจนยุทธ กลัวความสูง แต่ก็ชอบอยู่ห้องสูงๆ "

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาโอบไหล่เจเดินเข้าลิฟท์และกดเลือกชั้น เจย่นจมูกให้คนที่ชอบแซวเขาเล่น

"ผมบอกแล้วว่าผมกลัวตกจากที่สูง ไม่ใช่กลัวความสูง อย่างห้องโรงแรมเนี่ย ใต้เท้าไม่ได้ใส แถมย้งมีที่กั้นมั่นคง ผมก็ไม่กลัวนักหรอกครับ ถึงจะหวิวๆ มั่งตอนมองลงไปแต่ก็ยังพอไหว"

เจพูดเสียงอ่อยๆ ในตอนท้าย การมองทิวทัศน์ของเส้นขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปทำให้เขารู้สึกเสียววูบน้อยกว่าเมื่อเขามองลงไปยังถนนด้านล่างตึกมาก

“งั้น ถ้าฉันซื้อคอนโดอยู่ชั้นสูงๆ นายก็โอเคใช่ไหม?”

เจนยุทธพยักหน้า

“แต่ถ้าคอนโดคุณมีระเบียง ผมก็ไม่ออกไปยืนนะ กลัว”

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์รับคำและจดจำไว้เพื่อพิจารณา



"บอสครับ คนของบริษัทอสังหาฯ เอาเอกสารของคอนโดที่บอสถามไปมาส่งให้แล้วครับ ผมให้เขานั่งรอในห้องประชุมก่อนเผื่อบอสจะอยากคุยด้วย"

คุณเหลียง เลขาฯ อันดับสองของฆาเบียร์รายงานนายของเขาทันทีที่พบหน้า ฆาเบียร์รับเอกสารปึกหนึ่งมาพลิกดูคร่าวๆ หลังจากคุยกับเจเรื่องคอนโดเสร็จ เขาก็ส่งข้อความลงมาบอกคุณเหลียงให้ติดต่อบริษัทอสังหาฯ แต่เขาก็ไม่นึกว่าทางนั้นจะเร่งรุดมาด่วนถึงขนาดนี้

"งั้นเดี๋ยวผมเอาของไปแจกเสร็จแล้วจะเข้าไปรอในห้องทำงานคุณก่อนนะ คุณไปคุยธุระเถอะ"

เจนยุทธทำท่าจะเดินผละไป หากคนรักของเขาฉุดมือไว้

"นายจะไม่มานั่งฟังด้วยกันเหรอ?"

"ไม่เป็นไรครับ คุณคุยไปเถอะ เผื่อพวกคุณคุยกันเป็นภาษากวางตุ้ง ผมก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"เจจ๊ะ บริษัทอสังหาฯ ที่ฉันใช้บริการอยู่เป็นบริษัทข้ามชาตินะ เจ้าหน้าที่คนที่เขาส่งมาหาเราก็มักจะเป็นคนอังกฤษหรืออเมริกันอยู่แล้ว นายฟังพวกฉันคุยกันรู้เรื่องแน่ แต่ถ้านายอยากไปจัดการเรื่องของฝากก่อนก็ตามใจ ถ้าเสร็จแล้วก็มาหาฉันที่ห้องประชุมด้วยล่ะ ฉันอยากได้ความเห็นของนายด้วย"

"ครับๆ เดี๋ยวผมมานะ คุณดูไปก่อนแล้วกัน อย่าเลือกห้องแพงนักล่ะ"

เจนยุทธเผลอย่นจมูกใส่คนรักแล้วก็ต้องหน้าแดงเมื่อหันไปเจอสายตาที่แฝงรอยยิ้มของเลขาเหลียง

"จ้ะ รีบไปรีบมานะ"

คนตัวโตพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและรุนหลังคนรักให้เดินไป จากนั้นหันกลับมาเรียกเลขาฯ หนุ่มใหญ่ให้เข้าไปในห้องประชุมด้วยกัน



"หายไปนานเลยนะ ฉันนึกว่านายจะไม่เข้ามาแล้ว"

ฆาเบียร์ซึ่งสวมแว่นสายตากรอบดำเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่วางกระจายบนโต๊ะประชุม เจนยุทธหัวเราะแหะๆ ด้วยรู้ดีว่าตัวเขาทำผิดที่ปล่อยให้คนรักต้องรอนานกว่าครึ่งชั่วโมง

"ขอโทษครับฆาบี้ ผมมัวแต่เม้ามอยมากไปหน่อย แล้วนายหน้าล่ะครับ?"

เจมองหานายหน้าที่มาทำการนำเสนอคอนโดให้คนรัก

"กลับไปแล้วจ้ะ เขาแค่เอาเอกสารมาส่งให้เลือกดูก่อนแค่นั้น ฉันบอกเขาว่าถ้าเราสนใจที่ไหนเป็นพิเศษก็ค่อยเรียกเขากลับมาถามรายละเอียดอีกที นี่ฉันก็เลือกๆ ที่สนใจไว้แล้ว นายลองมาดูซิ"

คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงักแล้วลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างๆ คนรัก

"ฉันลองมาคิดๆ ตามที่เจว่า จริงที่ฉันควรเลือกคอนโดที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน ก็เลยเลือกดูห้องที่อยู่ในโครงการ Union Square นี้"

โครงการยูเนี่ยน สแควร์ที่ฆาเบียร์พูดถึงนั้นเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดยักษ์ในเขตเกาลูนตะวันตกซึี่งประกอบด้วยอาคารที่อยู่อาศัย โรงแรม อาคารสำนักงานและห้างสรรพสินค้า หากคนไม่ค่อยเรียกมันด้วยชื่อ Union Square แต่มักเรียกชื่อของเหล่าอาคารในนั้นแทน ห้างสรรพสินค้า Elements และอาคาร ICC อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานของฆาเบียร์และโรงแรม Ritz Carlton ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ด้วย



"ในโครงการนี้มีคอนโดอยู่หลายโครงการนะ แต่ที่ฉันจะตัดออกคือ Sorrento กับ The Waterfront เพราะมันเก่าแล้ว สร้างมาเกือบยี่สิบปี แถมยังแออัดมากด้วย..."

ฆาเบียร์ดึงๆ ใบเสนอราคาหลายใบออกวางกองไว้ที่หนึ่งและเลือกๆ อีกหลายแผ่นมากองไว้อีกที่หนึ่ง

"โครงการ Cullinan ที่มีโรงแรม W อยู่ก็ดีนะ ใหม่ที่สุด แถมยังเป็นอาคารที่อยู่อาศัยที่สูงที่สุดในฮ่องกงด้วย แต่วิวมันหันเข้าท่าเรืออีกฝั่งหนึ่ง จะไม่คล้ายกับของที่ริทซ์เท่าไหร่ อืมม์..."

คนตัวโตพูดพึมพำกับตัวเอง เจมองตามมือของคนรักที่พลิกและคัดแยกเอกสารอย่างเพลิดเพลิน เขาชอบดูเวลาที่ฆาเบียร์คร่ำเคร่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจริงๆ

"งั้นก็เหลือแค่ The Arch กับ The Harbourside สองคอนโดนี้เก่าเหมือนกัน คือประมาณสิบห้าปี แต่บางห้องก็หันหน้าไปทางเดียวกับห้องเราตอนนี้ และการตกแต่งข้างในก็ดูหรูหราดี เอ่อ โครงการ The Arch ก็คือตึกสีออกแดงๆ ที่เจบอกว่าทรงมันเหมือนประตูชัยไงจ๊ะ..."

ฆาเบียร์หันไปบอกคนรัก เจร้องอ๋อออกมา เขาจำตึกทรงตัวยูคว่ำขนาดมหึมาที่ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจจนต้องมองเหลียวหลังในครั้งแรกที่มาที่สำนักงานของเมียตัวโตของเขาได้

"เอ้า ไหน นายลองเอาไปดูซิ ห้องนี้ในโครงการ Harbourside ดีไหม? เป็น duplex ด้วย แถมมี walk-in closet มันตกแต่งมาบ้างแล้ว ดูดีเหมือนกันนะ วิวก็โอเค"

คนตัวโตส่งใบเสนอราคาพร้อมรูปภาพและรายละเอียดของห้องที่เข้าตาเขาให้เจดู เจรับมาพลิกดูผ่านๆ แล้วก็ต้องชมเปาะ

"ใช้สีโทนเทาคล้ายๆ กับห้องผมเลยครับ สวยดีนะ เฟอร์นิเจอร์ก็เรียบๆ ดี มีกี่ห้องนะ สามห้องนอน? คุณก็เอาไปทำห้องทำงานซะห้องนึง ดีๆๆ ครัวก็สวยแฮะ มี island คล้ายๆ ห้องผมเลย"

เจยิ้มบางๆ ออกมา เขาพอเข้าใจว่าทำไมฆาเบียร์จึงเลือกห้องนี้ มันมีบางอย่างที่ทำให้นึกถึงห้องของเขาที่เชียงใหม่ เจไล่ดูนั่นนี่ไปเรื่อยๆ อย่างพึงใจ



"เอ๊ะ?!"

เขาขมวดคิ้วและอุทานออกมาดังๆ ทันทีเมื่ออ่านถึงจุดหนึ่ง คนตัวเล็กสะกิดไหล่คนรักที่ยังคงวุ่นกับการดูใบเสนอราคา

"ฆาบี้ นี่เขาใส่ศูนย์เกินมาตัวนึงหรือเปล่าครับ?"

ฆาเบียร์ชะโงกหน้ามาดูราคาที่พิมพ์ไว้ในใบเสนอราคานั้น

"ไม่นี่จ๊ะ? ก็ถูกต้องแล้วนี่"

"88 ล้านเหรียญฮ่องกงเนี่ยนะ?! แพง!!!"

คนตัวเล็กโวยออกมาดังลั่นอย่างลืมตัว เจลดเสียงลงทันทีที่เห็นคนนอกห้องประชุมหันมามอง

"บ้าไปแล้ว ฆาบี้! นี่มันเกือบสามร้อยกว่าล้านบาทไทยเลยนะครับ เกือบสิบล้านเหรียญสหรัฐฯ? แล้วพื้นที่มันแค่เท่าไหร่? 1,700 ตารางฟุตนี่มันกี่ตารางเมตรหว่า?"

เจนยุทธยกมือถือขึ้นมากดหาดู เขาทำหน้าซีดเมื่อเห็นตัวเลขนั้น

"ตายๆ ประมาณแค่ 160 ตารางเมตรเองนะครับคุณ ใหญ่กว่าห้องผมครึ่งเดียวเอง คุณจ่ายลงจริงๆ เหรอ?

คนตัวโตอึ้งไปและถอนหายใจออกมาเบาๆ ในครั้งแรกที่เห็นราคาเขาก็ยังนึกตกใจ แต่เมื่อนึกถึงว่าฮ่องกงเป็นหนึ่งในเมืองที่แพงที่สุดในโลกแล้ว เขาก็พอจะเข้าใจได้



"ฉันก็ยังสองจิตสองใจอยู่น่ะ คือถ้าเทียบราคาห้องแล้ว ในราคาเดียวกัน ถ้าฉันซื้อที่สหรัฐฯ จะได้ห้องที่อาจจะใหญ่กว่าและสภาพดีกว่ามาก เอางี้ เดี๋ยวฉันจะให้นายดูอะไร"

คนตัวโตเปิดแท็บเล็ตของเขาและเลือกเปิดภาพจากโฟลเดอร์หนึ่งขึ้นมา

"นี่คือห้องจากแมนดาริน โอเรียนทอล เรซิเดนซ์ที่บริษัทฉันซื้อไว้ในนิวยอร์ค ตอนซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิม ราคามันประมาณเจ็ดล้านเหรียญ แต่ในวันนี้ ยูนิตที่คล้ายๆ กันน่ะ ราคาขึ้นไปแปดล้านกว่าๆ แล้ว"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจนยุทธตะลึงมองห้องพักขนาดประมาณ 160 ตารางเมตรของฆาเบียร์ ห้องชุดสุดหรูขนาดสองห้องนอนบนชั้น 65 นั้นตกแต่งแบบโมเดิร์น คอนเทมโพรารี่ ด้วยการจัดเลย์เอาท์ห้องที่ชาญฉลาดทำให้แทบทุกห้องในคอนโดหรูแห่งนี้มีผนังกระจกที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์ของเซ็นทรัลพาร์คหรือไม่ก็วิวเมืองเบื้องล่าง มันดูสวยงามน่าอยู่กว่าห้องที่ฆาเบียร์เลือกๆ ไว้ที่ฮ่องกงเป็นไหนๆ คนตัวโตเปิดภาพจากอีกโฟลเดอร์หนึ่งขึ้นมา

"เฮ้ ผมจำได้ นี่ห้องคุณที่ซาน ฟรานใช่ไหม?"

เจนยุทธอุทานเบาๆ เขาจำวิวพาโนรามาของอ่าวซาน ฟรานซิสโกซึ่งมองเห็นเบย์ บริดจ์อย่างชัดเจนนี้ได้ คนตัวโตเคยพาเขาทัวร์คอนโดขนาดสองห้องนอนที่ชั้นบนสุดของตึกคอนโดหรูบน Rincon Hill แห่งนี้ผ่านกล้องมือถือมาแล้ว

"ใช่จ้ะ ห้องฉันห้องนี้ ราคาขายในตอนนี้ก็ประมาณเกือบสี่ล้านเหรียญ ตอนฉันซื้อในปี 2008 ก็ถูกกว่านั้นมาก"

"หูย ถูกกว่าห้องที่ฮ่องกงตั้งครึ่งอ่ะ งี้แทนที่จะซื้อห้องที่ฮ่องกง คุณเอาตังค์ไปซื้อที่สหรัฐฯ ไม่ดีกว่าเหรอครับ?"

เจถาม สำหรับเขาแล้ว การลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ที่ฮ่องกงนั้นไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี หากคนตัวโตกลับเห็นต่าง

"ไม่รู้สินะ คือเท่าที่ดูแนวโน้มแล้ว ตลาดอสังหาฯ ในฮ่องกงมันบูมมาหลายปีแล้ว และมีแนวโน้มจะขยายตัวขึ้นไปอีกเพราะกลุ่มนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ ถึงตอนนี้จะชะลอตัวลงหน่อย แต่ก็..."

ฆาเบียร์ร่ายยาวเพื่อพยายามอธิบายเรื่องการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ให้เจนยุทธฟัง เจรับฟังและพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่คนตัวโตพูด



"ถึงคุณจะบอกว่ามันคุ้มค่าน่าลงทุนก็เถอะ ผมก็ยังว่ามันแพงไปอยู่ดี"

เจนยุทธพูดพลางยกใบเสนอราคาของคอนโดห้องที่คนตัวโตถูกใจขึ้นมาดู เขาดูกราฟสถิติต่างๆ ที่พิมพ์มาในใบนั้นด้วย ในตอนแรกเขาก็สงสัยว่ามันคืออะไร แต่เมื่อฆาเบียร์อธิบายให้ฟังเขาจึงรู้ว่ามันเป็นแผนภูมิที่แสดงถึงสถิติในอดีตและแนวโน้มราคาในอนาคตของคอนโดแห่งนี้ รวมถึงเปอร์เซ็นต์ของผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่มันจะทำให้ได้

"ทำไมราคาพวกอสังหาฯ ในฮ่องกงมันถึงแพงระยับขนาดนี้อ่ะครับ?"

"ส่วนหนึ่งก็เพราะดีมานด์ของนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่น่ะ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะรัฐบาลของฮ่องกงปั่นราคาที่ดินเองด้วย"

"อ้าว เฮ้ย ไหงงั้นอ่ะ?"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อเจทำท่าตกใจ

"ก็เพราะในแต่ละปี รัฐของฮ่องกงทำเงินจากภาษีขายที่ดินในรูปของอากรแสตมป์เป็นจำนวนมหาศาลน่ะสิ ถ้าราคาที่ดินขึ้น รัฐก็เก็บเงินได้เยอะขึ้น ดังนั้นสิ่งที่รัฐต้องทำคือตรึงราคาที่ดินให้ไม่ตกลง พอจะนึกภาพออกใช่ไหม?..."

เจนยุทธพยักหน้าแล้วถามด้วยความสงสัย



"แล้วรัฐคุมราคาอสังหาฯ ได้ไงอ่ะครับ?"

"เจรู้ใช่ไหมว่าในตอนนี้ที่ดินแทบทั้งหมดของฮ่องกงเป็นของรัฐ แล้วพวกโครงการอสังหาทั้งหมดที่เห็นเนี่ย ได้ที่ดินมาจากการเช่าซื้อจากทางการโดยทำสัญญาระยะยาวกับทางรัฐ..."

เจส่ายหัว เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

"...ฉะนั้น รัฐจึงคุมได้ว่าจะปล่อยที่ออกมาให้พัฒนาแค่ไหน เหมือนจะทำโดยการประมูลนะ ยิ่งปิดที่ราคาแพงเท่าไหร่ ราคาของโครงการหลังจากพัฒนามาแล้วก็ต้องแพงขึ้นไปอีก"

เจนยุทธร้องอา เขาพอจะเข้าใจแล้ว

"อีกอย่าง คนเขาก็พูดกันว่าจริงๆ ในฮ่องกงยังมีพื้นที่ว่างพอให้พัฒนาอีกมากมาย แต่รัฐค่อยๆ ปล่อยออกมาเพื่อควบคุมให้มีดีมานด์มากกว่าซัพพลาย"

"โอ๊ย ถ้าเป็นจริงนี่ก็แสบมากเลยนะ แล้วแบบนี้คนจนเขาจะไปอยู่ไหนกันอ่ะครับฆาบี้ ในเมื่อราคาห้องมันสูงทะลุฟ้าแบบนี้อ่ะ เนี่ยๆ อย่างห้องนี้ 70 ตารางเมตร ล่อไปยี่สิบล้าน..."

เจชี้ไปที่ใบเสนอราคาอีกใบจากกองที่ฆาเบียร์คัดทิ้งไว้

"นี่คือสิ่งที่กำลังเป็นปัญหากับเมืองนี้จ้ะ กลายเป็นว่าชนชั้นกลางลงไปกลับไม่มีสิทธิ์ครอบครองหรือเช่าที่พักที่ดีพอได้ เลยต้องไปอาศัยอยู่ในแฟลตเล็กๆ พื้นที่แคบๆ ซึ่งก็ยังแพงนะ เท่าที่เคยได้ยินมา คอนโดห้องประมาณสิบกว่าถึงยี่สิบตารางเมตร ราคาก็สามสี่ล้านเหรียญแล้ว แต่อยู่นู่น ทาง New Territories นู่น นี่เราไม่ต้องพูดถึงคนจนเลยนะ พวกนั้นสภาพความเป็นอยู่คือสลัมลอยฟ้าดีๆ นี่เอง"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาจำภาพคนที่อาศัยอยู่ในกรงซ้อนๆ กันได้

"เมืองนี้มันเป็นเมืองทุนนิยมที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กจริงๆ เลยนะครับ"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาเองก็ไม่ค่อยอยากเข้ามาอยู่ในวังวนนี้เท่าไหร่นัก เจอ่านๆ ใบเสนอราคาต่อและถามคนรักอีกเมื่อเจอจุดที่เขาสงสัย



"คุณครับ แล้วในใบนี้ทำไมมันถึงบอกพื้นที่ไว้ 2 แบบล่ะครับ?"

เจชี้ให้ฆาเบียร์ดูพื้นที่ของห้องหนึ่ง

"เนี่ย อย่างห้องนี้ เขาเขียนไว้ว่า 1123/1457 ตารางฟุต โดยบอกว่าเป็นพื้นที่ Net/gross คือผมพอเข้าใจนะว่าไอ้เจ้า Net นี่คงหมายถึงพื้นที่ใช้สอยรวมในห้อง แต่ gross นี้ผมไม่เข้าใจ หมายถึงว่าระเบียงหรืออะไรงี้เหรอ?"

เจนยุทธเกาหัวด้วยความงุนงง คนตัวโตร้องอ๋อแล้วจึงได้อธิบายให้คนรักฟัง

"พื้นที่ net หรือที่เรียกอีกอย่างว่า saleable area ก็คือพื้นที่ห้องจริงนั่นแหละจ้ะ แต่ส่วน gross เนี่ย เขานับรวมพื้นที่ส่วนกลางมาด้วย นับบันได โถงหน้าลิฟท์ ที่วางแอร์ อะไรพวกนั้น เขาน่าจะมีเรทของเขาในแต่ละตึก แต่ก็คือเอามาบวกเพิ่มเข้าไปจากพื้นที่ห้องจริง"

"แล้วเขาทำทำไมครับ? สงสัยเอาไว้ตอนคิดค่าส่วนกลางแหงๆ"

เจบ่นอุบอิบ หากฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหัว

"ไม่ใช่จ้ะ การแจ้งขนาดห้องแบบใช้ gross area น่ะ เป็นวิธีที่พวก developer สมัยก่อนมักใช้ตอนที่เปิดขายโครงการ มันทำให้ดูว่าราคาห้องถูกกว่าความเป็นจริง เพราะถ้าเอา gross area ไปหารกับราคาขายมันก็จะได้ราคาต่อตารางฟุตต่ำกว่าราคาที่ใช้พื้นที่ห้องจริงหาร ทีนี้มันก็มีปัญหาสิ..."

"คนซื้อที่อาจจะไม่รู้ หรือไม่มีประสบการณ์ก็เข้าใจว่าตัวเองซื้อได้ถูก แต่จริงๆ ก็แพงใช่ไหมครับ? แถมได้ห้องเล็กกว่าที่คิดด้วยนิ​"

เจพูดแทรกขึ้นมา ฆาเบียร์พยักหน้า

"ใช่จ้ะ ดังนั้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมารัฐบาลเลยออกกฎหมายมาว่าเวลาโฆษณาหรือให้ข้อมูลกับลูกค้า ทางเซลส์ ไม่ว่าจะของโครงการ หรือพวกนายหน้าขายห้องต้องให้ข้อมูลเรื่องพื้นที่เป็น Saleable area เท่านั้น พวกนายหน้าเขาเลยเลือกบอกมันทั้งสองอย่างเลย​เพราะไม่งั้นจะโดนโทษหนักทั้งจำทั้งปรับ ฉันก็จำไม่ได้ว่าโทษแรงขนาดไหน แต่ก็เหมือนจะโหดอยู่เหมือนกัน"

"ดีเลยครับ พวกขี้โกงต้องเล่นหนักๆ"

คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ พร้อมตวัดสายตามองหน้า "คนขี้โกง" ที่เพิ่งถูกเขาลงโทษไปเมื่อก่อนหน้านี้ คนตัวโตโคลงหัวอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นสายตายั่วเย้าของเจ้าตัวดีของเขา เจหัวเราะคิกคักแล้วดูใบเสนอราคาต่อ แต่ไม่นานเขาก็มีคำถามอีกครั้ง



"เอ แล้วอย่างคุณที่เป็นคนต่างชาตินี่ สามารถถือครองคอนโดได้อย่างอิสระเลยเหรอครับ? อย่างที่ไทย คนต่างชาติสามารถซื้อคอนโดได้ แต่ซื้อและถือครองที่ดินไม่ได้"

เจนยุทธถามอย่างสงสัยอีกครั้ง ฆาเบียร์พยักหน้า

"ใช่จ้ะ เหมือนกับที่ไทยคือถือครองได้เฉพาะคอนโด แล้วที่ฮ่องกง ยิ่งชาวต่างชาติมาซื้อรัฐยิ่งชอบสิเพราะยังไงก็ต้องโดนภาษี 30% อยู่แล้ว"

"หา? อะไรนะครับ จากไอ้ 88 ล้านนี่ คุณยังต้องจ่ายภาษีอีก 30% เนี่ยนะ?"

เจนยุทธทำหน้าเหมือนเห็นผี คนตัวโตพยักหน้า

"จ้ะ นี่หมายถึงกรณีที่ฉันซื้อเป็นของส่วนตัว ใช้ชื่อฉันซื้อเลยนะ แต่ถ้าซื้อในนามบริษัทก็ไม่ต้องจ่ายตรงนี้ เหลือจ่ายแค่ 4.25% ฉันก็เลยคิดหนักอยู่ว่าจะเอาหรือไม่เอาดี เพราะจะซื้อโดยใช้ชื่อบริษัทมันก็กลายเป็นว่าไม่ใช่ของส่วนตัว"

"โอ๊ย ไม่ต้องเอาแล้ว ฆาบี้ นี่รวมๆ คุณต้องจ่ายตั้งเท่าไหร่น่ะ?"

เจเอ็ดลั่นแล้วรีบจิ้มเครื่องคิดเลขในมือถือ เขาถึงกับตาเหลือกกับตัวเลขที่เห็น

"114.4 ล้านเหรียญฮ่องกง? 480 ล้านบาท? คุณครับ ราคานี้คุณเอาไปซื้อเรซิเดนซ์ที่โฟร์ซีซันส์เชียงใหม่เหอะ ไม่ก็คอนโดหรูๆ สักที่ๆ กรุงเทพอ่ะ สี่ร้อยกว่าล้านนี่คุณได้แบบสามสี่ร้อยตารางเมตร มีสระว่ายน้ำในห้องแล้วมั้ง"

เจเปิดๆ หาในมือถือแล้วยื่นส่งให้คนรักดู

"เอ้า นี่ The Ritz-Carlton Residence บนตึกมหานคร ตึกสูงที่สุดในไทย ห้องแพงสุดที่มีคนปล่อยขายต่อยังสามร้อยกว่าล้านบาทเองเลย ไม่ถึงร้อยล้านฮ่องกงดอลล่าร์ ห้าร้อยกว่าตารางเมตรเลยนะคุณ หรือจะเอาหรูกว่านี้ก็มี 98 Wireless นี่ราคาต่อตารางเมตรแพงที่สุดในไทยเลยนา ขนาดว่าตารางเมตรละหกแสนกว่าก็ยังถูกกว่าไอ้เจ้า Harbourside ของคุณเป็นไหนๆ"

ฆาเบียร์รับมาดูอย่างสนใจ เขาลองจิ้มเครื่องคิดเลขและคิดสะระตะดู เขาเปิดดูรูปเพิ่มและทำท่าพออกพอใจ เจทำตาปริบๆ ดูคนที่เงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มหวานให้เขา



"ถ้าเจชอบที่นี่ งั้นเอาที่นี่แทนก็ได้นะ เจ้า 98 Wireless เนี่ย ที่จริงฉันก็สนคอนโดที่กรุงเทพฯ เหมือนกันนะ"

คนตัวเล็กทำตาเหลือกแล้วรีบแย่งโทรศัพท์ของเขากลับมา

"เฮ้ย ไม่ใช่เว้ย ผมให้คุณดูเฉยๆ ไม่ได้บอกให้ซื้อ"

เจนยุทธบ่นอุบอิบคนรักทุนหนาของเขา

"รู้น่าว่ารวย แต่อย่ามือเติบนักสิครับ เข้าใจแหละว่าลงทุน แต่คุณจำเป็นต้องซื้อห้องแพงขนาดนี้เลยเหรอ? เป็นร้อยล้านบาทเลยนะ นี่เงินเหลือขนาดนั้นเชียว?"

เจลดเสียงตอนท้ายลงจนเหมือนบ่นกับตนเอง เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างฐานะของเขาและฆาเบียร์อีกครั้ง คนตัวเล็กถอนหายใจ เมื่อรวมทรัพย์สินส่วนตัวของเขาทั้งรถ คอนโดและเงินเก็บในธนาคาร เผลอๆ จะยังไม่เท่ารายได้ต่อเดือนของเมียตัวโตของเขาคนนี้ แล้วเขาจะเอาปัญญาที่ไหนไปดูแลฆาเบียร์ให้มีความสุขได้

"เจ นายคิดมากอีกแล้วใช่ไหม?"

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เจนยุทธส่ายหัวในตอนแรก แต่ก็เปลี่ยนใจพยักหน้า

"ผมอดคิดไม่ได้หรอกครับ..."

คนตัวเล็กถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ เขายกมือขึ้นห้ามเมื่อคนรักทำท่าจะพูดอะไรออกมา

"...ผมเข้าใจครับฆาบี้ว่าคุณไม่อยากให้เรื่องเงินทองมาเป็นปัญหาระหว่างเรา แต่ในฐานะผู้ชาย ในฐานะ เอ่อ ผัวของคุณน่ะ ผมก็อดน้อยใจไม่ได้..."

คนตัวโตหน้าแดงซ่านเมื่อได้ยินภาษาไทยคำนั้นออกจากปากเจนยุทธ เจเคยพยายามอธิบายให้เขาฟังถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า "ผัว" และ "husband" ในบริบทของสังคมไทยให้เขาฟังแล้ว



"เจจ๊ะ นายก็รู้ว่าสิ่งที่นายให้ฉัน ความสุขที่ฉันได้จากนาย เงินเท่าไหร่ก็หาซื้อไม่ได้..."

"ครับ ผมรู้ แต่ฆาบี้ครับ ผมขอคุณอีกทีแล้วกันนะ ที่ฮ่องกง ที่อื่นในโลก คุณอยากทำอะไรก็แล้วแต่คุณเลย แต่ที่เมืองไทย ผมขอ ขอให้ผมได้ทำหน้าที่ของผม ขอให้ผมได้ดูแลคุณ ได้ไหมครับ?"

เจนยุทธกุมมือคนรักของเขาแล้วดึงมาแนบอก ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ

"ได้สิ แต่ขออย่างเดียวนะ เจนยุทธ ขอให้นายทำตามอัตภาพ อย่าได้ฝืนทำอะไรเกินตัวเพื่อฉัน เข้าใจไหม?"

คนตัวโตลูบแก้มคนรักเบาๆ เจทำหน้ามุ่ยทันที

"บางทีผมก็อยากสปอยล์คุณมั่งนี่นา"

เจนยุทธบ่นเบาๆ ฆาเบียร์หัวเราะและพยายามดึงตัวคนรักเข้ามากอด แต่เจขืนกายออกแล้วทำตาเขียวใส่

"เดี๋ยวเหอะคุณ อย่ามาทะลึ่งนัก กระจกใสออกแบบนี้ คนอื่นเดินผ่านไปมาก็เห็นหมดอ่ะ"

คนตัวโตยิ้มกริ่ม เขากดสวิตช์ที่ติดอยู่กับโต๊ะ ทันใดนั้นผนังกระจกทั้งหมดของห้องประชุมก็เปลี่ยนเป็นกระจกฝ้าทันที



"เฮ้ย โคตรเจ๋ง!"

เจร้องลั่นออกมาและลืมความตึงเครียดในใจเมื่อครู่ไปจนสิ้น เขาหันควับไปหาคนรักและถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

"อ๋อ นี่คือ smart glass จ้ะ เป็นกระจกไฟฟ้าที่สามารถเปลี่ยนจากกระจกใสเป็นขุ่นได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้า น่าจะใช้พวกการเหนี่ยวนำไฟฟ้า อะไรเทือกนั้น ถ้าจำไม่ผิด ด้านในกระจกจะเป็นพวก liquid crystal ที่จะเรียงตัวแบบกระจัดกระจายถ้ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน เลยทำให้ขุ่นจ้ะ"

เจร้องอ๋อ

"ผมว่าผมเคยเห็นแบบนี้ในซีรีส์ฝรั่ง ในเรื่องเขาใช้ทำผนังห้องน้ำในผับ ตอนแรกเข้าไปจะเห็นเป็นกระจกใสๆ แต่พอกดสวิตช์ มันก็จะกลายเป็นกระจกขุ่น"

"ใช่จ้ะ แบบเดียวกัน ว่าแต่ เจจ๊ะ..."

คนตัวโตทำตาเจ้าชู้ใส่คนรักพร้อมกับขยับเก้าอี้เข้าใกล้

"ไม่มีใครเห็นแล้ว ขอฉันจูบนายหน่อยได้ไหม?"

เจนยุทธหน้าแดงซ่านและขืนกายไว้ไม่ให้คนรักดึงเข้าหา

"ไม่ได้ครับ กระจกขุ่น แต่คนก็ยังเห็นเงา..."

ฆาเบียร์ระบายลมหายใจออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ทันที หากเขาก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของเจนยุทธ

"...แต่ถ้าเป็นในห้องทำงานคุณ อยากจะจูบเท่าไหร่ก็ตามใจอ่ะ"



-----------------------------------------------------

เม้ามอยกันต่อที่คอมเมนท์ถัดไปนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2019 02:22:51 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




--------------------------------------------



จบค้างไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ ถ้าต่อสงสัยจะอีกยาว ตอนนี้มาช้าหน่อย เสียเวลาไปเยอะกับการอ่านนั่นอ่านนี่เกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกง แต่ก็ยังงงๆ ฉะนั้นก็จะเขียนเท่าที่เข้าใจนะคะ ถ้าผิดอย่างไรขออภัยด้วย และถ้ามีคนมาแก้ข้อที่ผิดให้ด้วยก็จะดีมากค่า แหะๆ

เริ่มที่เรื่องคลับเลาจ์ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันก่อนแล้วกันเนาะ อย่างที่เคยบอกว่าอยากไปลองใช้บริการดูสักครั้ง และในที่สุดก็ได้ไปจริงๆ ห้องที่นอน ไม่มีปัญญานอนห้อง suite หรูเริ่ดเท่าฆาบี้ แต่ก็ได้ห้องแบบ Club Deluxe Harbour View ชั้น 115 ที่มีวิวอ่าววิคตอเรียแบบพาโนรามา จัดว่าเด็ดจริงค่ะ ที่ชอบคือเขามีที่นั่งเล็กๆ ไว้ให้ชมวิวด้วย เรียกว่านั่งๆ นอนๆ ในนี้ได้ทั้งวันเลยค่ะ เลย์เอาท์ห้องก็เหมือนโรงแรมทั่วไป ห้องขนาดประมาณ 51 ตารางเมตร ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ เตียงดีมา นุ่มมาก ส่วนผ้าปูที่นอนนั้นเนื้อผ้าเรียบลื่น ดีงามกว่าของที่คนเขียนซื้อใช้ที่บ้านอักโขเลยค่ะ นอนแล้วแทบไม่อยากลุกมากินข้าวเช้าเลย ส่วนของใช้ในห้อง พวกสบู่แชมพู ก็เป็นของแบรนด์ Asprey จากลอนดอนทั้งหมด พวกมินิบาร์ก็เริ่ด เป็นเหล้ายี่ห้อแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็น วิสกี้ของที่นี่ให้เป็น Blue Label นะคะ แต่ก็ไม่ได้ดื่มเพราะไม่ฟรี จ่ายตังค์ แหะๆ







แต่เรื่องที่จะขอติก็คือในส่วนของคลับ ก็คือตามที่เขียนไปในเรื่องค่ะ ตอนอ่านรีวิวก่อนไปจริงก็เรียกว่าคาดหวังไว้เต็มที่กับอาหารบนคลับ แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมราคาเท่าไหร่ ในตอนนี้เขียนถึงมื้อเที่ยงแบบ light lunch ก็จะขอพูดถึงแค่นี้ก่อนนะคะ อาหารจานร้อนมีแค่ไม่กี่อย่าง และที่เซ็งคือติ่มซำโฟรเซ่นรสชาติแย่ ไม่สมกับที่มีห้องอาหารจีนมีดาวอยู่ในโรงแรมเลย แต่ส่วนของอาหารเรียกน้ำย่อยกับขนมก็ถือว่าทำได้โอเคค่ะ ส่วนของบริการในคลับนั้นเรียกว่าไม่มีที่ติ พนักงานเป็นโปรเฟสชันนอลแต่ก็ไม่ดูแข็งกระด้างหรือเฟคเกินไป มีการจำชื่อแขกทุกคนได้ตามมาตรฐานโรงแรมห้าดาว ถ้าจะติก็คงเรื่องที่พนักงานบริการไม่ทันเวลาที่มีแขกมาใช้ห้องเยอะๆ กับเรื่องรถ Shuttle ฟรีซึ่งปกติแล้วแขกห้องชั้นคลับของโรงแรมริทซ์จะได้รถรับส่งฟรีแถวๆ โรงแรมวันละขา(แล้วแต่ว่ารถจะว่างเวลานั้นหรือไม่) สำหรับที่นี่จองยากจองเย็นค่ะ คิวเต็มตลอดเหตุก็เพราะคนใช้สิทธิ์คลับเยอะนี่แหละค่ะ


ตอนใหม่นี้ออกช้าเพราะมัวแต่หาข้อมูลค่ะ ตอนแรกจะเขียนถึงแค่ว่าฆาบี้จะซื้อคอนโดใหม่ ก็ไปหาดูตามเว็บอสังหาฯ ว่าราคามันน่าจะเท่าไหร่ พอดูก็ถึงขั้นช็อคกับราคา แล้วก็เกิดสงสัยขึ้นว่าทำไมอสังหาฯ ฮ่องกงมันแพงนักแพงหนา สุดท้ายก็ต้องไปหาอ่านดู แล้วก็เลยเอามาเขียนไว้ในเรื่องด้วยโดยสรุปเอาตามความเข้าใจของตัวเองค่ะ อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด ถ้าผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ



บทความที่อ่านประกอบนะคะ

ทำไมบ้านที่ฮ่องกงถึงแพงที่สุดในโลก http://bit.ly/2XDsQJE

วิกฤตการณ์ที่พักอาศัยในฮ่องกง http://bit.ly/2C45XWo

A Simplified Guide to Hong Kong’s Stamp Duty http://bit.ly/2J2Sg0a

New Rules for Hong Kong Property http://bit.ly/2tNRmdr



ส่วนอาคารที่พักที่ค้นมาเป็นแบบประกอบการเขียนก็ตามนี้นะคะ เผื่อจะได้เห็นภาพ

Harbourside Hong Kong ห้องราคา 88 ล้านเหรียญที่ฆาเบียร์สนใจ  http://bit.ly/2H1MPwv

Mandarin Oriental Residence NYC ต้นแบบห้องที่นิวยอร์คของฆาบี้ที่ใช้เป็นฉากเปิดเรื่อง  http://bit.ly/2NKuvs6

ต้นแบบคอนโดของฆาบี้ที่ซาน ฟรานซิสโก  http://bit.ly/2VEzQnQ


จากในเว็บอสังหาฯ ที่ใช้ดูราคา นี่คือคอนโดราคาถูกที่สุดที่หาได้ในฝั่งเกาลูนค่ะ อยู่ในย่าน Sham Shui Po ซึ่งถือเป็นย่านเสื่อมโทรม แต่กำลังเริ่มได้รับการพัฒนา นี่น่าจะเป็นคอนโดค่อนข้างใหม่ ราคาห้อง 2.8 ล้านเหรียญ สำหรับห้อง 115 ตารางฟุต หรือน้อยกว่า 15 ตารางเมตร มีเท่าที่เห็นจริงๆ ห้องน้ำนี่เล็กขนาดที่ว่าต้องนั่งอาบน้ำบนโถส้วมเลยมั้ง (เห็นจากรูปของห้องอื่น) http://bit.ly/2XDdfcZ


ถ้าอยากได้พื้นที่ใหญ่ขึ้นมา ก็ต้องเลือกห้องในอาคารเก่า หรืออยู่ในที่ห่างไกลออกมา ห้องในตึกอายุ 41 ปีนี้ราคา 3.3 ล้านเหรียญฮ่องกง และอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงบนฝั่งฮ่องกงซึ่งอยู่ห่างจากย่านธุรกิจอย่าง Wan Chai ไปไม่มากนัก (นั่ง MTR 18 นาที) http://bit.ly/2EzBBeY



เห็นแล้วอ่อนใจไหมคะ? ถ้าเป็นบ้านเรา ราคาประมาณ 12 ล้านนี่ ที่เชียงใหม่ได้ห้องเพนท์เฮาส์ใหญ่สุดในคอนโดแล้วค่ะ ก็หวังว่าคนอ่านจะได้เห็นภาพรวมของวิกฤตการณ์เรื่องที่อยู่อาศัยของฮ่องกงนะคะ ปัจจุบันหนุ่มสาวฮ่องกงมักจะเช่าอาคารอยู่เพราะไม่สามารถซื้อหาที่อยู่อาศัยเองได้ หลายคนหอบเงินมาซื้ออสังหาฯ ในประเทศอื่นเพื่อลงทุนแทน อย่างกรุงเทพฯ ก็กำลังบูมค่ะ



ออฟไลน์ primrose1

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบความขยันหาข้อมูลจังเลยค่ะ รออ่านต่อนะคะ  o13

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - Chit-Chat (18/3/62)
«ตอบ #458 เมื่อ18-03-2019 21:06:37 »




—- Chit-Chat ——



"เดี๋ยวๆ เจ ขอฉันถอดแว่นก่อน"

คนตัวโตดันกายคนรักที่เป็นฝ่ายเข้ามานัวเนียกับเขาทันทีที่เข้าถึงในห้องทำงานส่วนตัว

"ใจร้อนจริงนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ พลางถอดแว่นสายตาของตนวางบนโต๊ะทำงาน

"ทำเป็นพูดดีไป เมื่อกี้ใครีบลากผมเข้าห้องมากันแน่ แว่นเวิ่นไม่คิดจะถอดก่อนเลยนะคุณ"

​เจนยุทธย่นจมูกให้เมียตัวโตของเขา ทันทีที่เขาเอ่ยปากเชิญชวน ฆาเบียร์ก็ดึงกึ่งลากเขามายังห้องทำงานของตน เจเองก็ไม่ปล่อยให้คนตัวโตได้เสียเวลา เขาดันร่างกำยำติดกำแพงทันทีที่ฆาเบียร์ปิดม่านบังตาที่กระจกหน้าห้อง ทั้งคู่จุมพิตกันอย่างกระหายอยาก แม้พวกเขาจะแทบไม่ได้ห่างกันเลยตั้งแต่ตอนที่ฆาเบียร์แอบย่องเข้าห้องมาในตอนเช้าตรู่ แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกว่าได้สัมผัสอีกฝ่ายพอเพียงเลยสักนิด ​


"เจรู้ไหม ฉันอยากอยู่กับนาย อยากสัมผัสนายทุกวินาทีเลยนะ"

คนตัวโตที่นอนหนุนตักคนรักอยู่บนโซฟาพูดขึ้นเบาๆ เจนยุทธลูบผมสลวยที่ยุ่งเหยิงไปบ้างเพราะมือของเขาเบาๆ เขาก้มลงจูบหน้าผากฆาเบียร์แผ่วๆ แทนคำตอบ ทำไมเขาจะไม่รู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย ในเมื่อเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

"ผมก็เหมือนกันครับฆาบี้ ผมต้องการคุณมากขึ้นทุกวันๆ เลย"

เจนยุทธถอนหายใจ บางทีเขารู้สึกว่าตัวเองละโมบและต้องการเวลาและความรักของเมียตัวโตของเขาจนเกินไปด้วยซ้ำ ยามอยู่ด้วยกัน เขาไม่เคยคิดเบื่อหน่ายการแสดงความรักของคนรักเลย ทุกๆ สัมผัส ทุกๆ จุมพิต ทุกคำพูดหรือกระทั่งทุกสายตาเปี่ยมรักที่ฆาเบียร์ส่งมาให้เขา เจต้องการเก็บมันไว้เป็นของเขาคนเดียวทั้งหมด

"ฉันคิดถึงนายนะเจ คิดถึงมากๆ"

ฆาเบียร์พลิกกายกอดเอวและซบหน้ากับหน้าท้องของคนรัก เจหัวเราะคิกเมื่อลมหายใจอุ่นๆ กระทบผิวเขาผ่านเนื้อผ้าบางเบา

"อย่าแกล้งสิครับ mi alma นี่เราอยู่ที่ทำงานนะ"

เจประท้วงเบาๆ เมื่อคนตัวโตพยายามใช้ลิ้นสอดแทรกผ่านสาบเสื้อเชิร์ตเข้ามายังผิวกายของเขา แถมยังพยายามจะแกะกระดุมเสื้อของเขาออกอีก


"นิดหน่อยก็ไม่ได้เหรอ?"

เมียตัวโตของเจที่กลับเป็นฝ่ายรุกหนักขึ้นทุกวันเว้าวอน หากเจ้าตัวเล็กของเขาบทจะใจแข็งขึ้นมาก็หนักแน่นนัก

"ไม่ครับ ฆาบี้ ก่อนลงมาคุณก็ได้กินจนอิ่มแล้วนี่"

"ไม่อิ่มสักนิด"

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบแล้วยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างขัดใจ เจขยับกายขึ้นนั่งตักคนรักที่มีทีท่างอนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

"โกรธผมเหรอ?"

คนตัวเล็กส่งเสียงอ่อนหวาน คนที่แกล้งงอนทำท่าปั้นปึ่งต่อ

"อย่าโกรธเลยนะครับ คนดี ก็ที่นี่มันไม่ค่อยสะดวกอ่ะ..."

เจนยุทธโอบมือรอบคอคนรักและซบหน้าลงกับอกกว้าง คนที่ใจไม่แข็งจริงเกือบยกมือลูบผมนิ่มตามความเคยชิน หากยั้งมือไว้ทัน เจกัดริมฝีปากเบาๆ เมื่อคนรักไม่มีทีท่าจะหายโกรธ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วดันกายลุกจากตักแข็งแรง

"งั้นผมไม่กวนคุณแล้วครับ ฆาบี้ ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณเสียอารมณ์ ผมจะไปอยู่รอข้างนอกแล้วกัน ถ้าคุณหายโกรธเมื่อไหร่ก็โทรเรียกผมแล้วกันนะครับ"

เจเดินผละออกจากโซฟา เขาหวังว่าคนตัวโตจะรีบฉุดมือเขาไว้เหมือนทุกครั้ง หากฆาเบียร์ไม่ทำตามคาด เจเม้มปากแน่น เขาก้มหน้างุดและรีบสาวเท้าเดินไปยังประตูห้อง


"ฆาบี้!"

ก่อนที่เจจะทันเปิดประตู แขนแข็งแรงก็รวบหมับเข้าที่เอวของเขา เจถูกเมียตัวโตของเขายกร่างขึ้นและพาไปยังห้องพักผ่อนด้านใน ฆาเบียร์วางร่างของคนรักลงเดย์เบ้ดอย่างนิ่มนวล

"คิดว่าจะหนีฉันไปที่ไหนกัน หือ?"

ฆาเบียร์วางร่างของคนรักลงบนเดย์เบ้ดอย่างนิ่มนวล​และขยับกายขึ้นตาม แต่ก่อนจะทันรู้ตัวเขาก็ถูกคนตัวเล็กพลิกขึ้นคร่อมร่างแทน

“แกล้งผมเหรอ ฆาบี้?”

เจนยุทธทำหน้าบูดบึ้ง เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนรักที่อยู่ภายใต้เงื้อมเงาของกายเขา ฆาเบียร์ใจเต้น หากต้องการเขาก็สามารถสลัดร่างเพรียวที่คร่อมกายอยู่ออกไปได้ไม่ยากนัก แต่เขาก็เหมือนถูกสายตาและท่าทีดุดันของคนรักตรึงไว้ เจขึ้นไปนั่งคร่อมกลางกายและกดข้อมือคนรักติดกับเบาะของเดย์เบ้ดไว้แน่นจนคนตัวโตเริ่มรู้สึกเจ็บ หากมันเป็นความเจ็บที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาเดาไม่ได้เลยว่าเจจะทำอะไรต่อไป

"อยากทำตัวร้ายกับผมใช่ไหมครับเมีย? อยากได้แบบนั้นจริงๆ เหรอ?"

เจคำรามเบาๆ และจ้องตาคนรักเขม็ง ฆาเบียร์ใจสั่นกับใบหน้าที่ก้มต่ำลงมาหาเขา การที่เจคร่อมกายเขาอยู่แบบนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายมีอำนาจเหนือเขา เจบดจูบอย่างหนักหน่วงลงบนริมฝีปากบางของคนรัก เขารีบถอนปากออกเมื่ออีกฝ่ายเริ่มจูบตอบ


"อย่าใจร้อนนักครับ คุณมาร์ติเนซ คิดว่าผมจะต้องตามใจคุณทุกครั้งงั้นเหรอ?"

"โธ่ เจจ๊ะ อย่าทรมานฉันอีกเลย ปล่อยมือฉันเถอะ"

คนตัวโตอ้อนวอน เจไม่นั่งทับร่างเขาเปล่าๆ เจ้าตัวดีของเขาร่อนสะโพกบดคลึงแก่นกายเขาที่แข็งจนปวดมาครู่หนึ่งแล้ว เขาพยายามดึงข้อมือออกจากอุ้งมือของเจเบาๆ แต่เจนยุทธยังไม่ยอมปล่อย

"อ๊ะ เจ อย่า มันเจ็บ"

ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกเมื่อเจขบเบาๆ เข้าที่ยอดอกของเขาผ่านเนื้อผ้าบางเบาของเสื้อเชิร์ต เจหัวเราะเบาๆ เขาใช้ปลายจมูกถูกคลึงกับยอดอกที่เริ่มแข็งเป็นไตน้อยๆ เพราะอารมณ์ใคร่ของคนรัก คนตัวโตสยิวกายขึ้นเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารด

"เจ ไม่เอา เดี๋ยวเสื้อเปียก ถอดออกก่อนเถอะ ตัวนี้แพง"

คนที่นอนทอดกายเป็นของเล่นของอีกฝ่ายพยายามเบี่ยงกายหลบเมื่อเจเริ่มใช้ลิ้นเขี่ยดุน เจนยุทธจิ๊ปากและปล่อยมือจากข้อมือของคนรักเพื่อแกะกระดุมเสื้อเชิร์ตของอีกฝ่าย

"เฮ้ย ตายห่าน!"

เจสบถออกมาดังลั่นเมื่อรู้ตัวว่าพลาดไปเสียแล้ว คนตัวโตหัวเราะกระหึ่ม เขาใช้แขนโอบรัดร่างเพรียวทันทีที่มือของเขาเป็นอิสระ
จากนั้นพลิกกายให้อีกฝ่ายมาอยู่ใต้ร่างเขาบ้าง


"ร้ายนักนะเรา"

คนตัวโตพูดกลั้วหัวเราะ เขาก้มลงงับปลายจมูกของคนรักเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

"เด็กดื้อต้องถูกลงโทษ"

ถึงปากจะพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน หากการกระทำของฆาเบียร์กลับอ่อนโยนนัก เขาพรมจูบแผ่วๆ ไปทั่วใบหน้าของคนรัก ก่อนที่จะป้อนจูบอันอ่อนโยนให้กับริมฝีปากที่เม้มแน่น

"ไม่ยอมใจอ่อนให้ฉันจริงๆ เหรอจ๊ะ mi vida?"

คนตัวโตพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอนพร้อมกับซุกหน้าลงบนอกของเจนยุทธ คนที่พยายามทำใจแข็งใจอ่อนยวบลงทันที เขายกมือขึ้นลูบผมยาวสลวยประบ่าของคนรักอย่างทะนุถนอม เขาพยายามพูดโดยใช้เหตุผลกับคนรัก

"คุณเป็นผู้บริหารนะ ฆาบี้ จะมาทำอะไรแบบนี้ที่ออฟฟิศไม่ได้ มันน่าเกลียด"

เจบ่นเบาๆ คนตัวโตพ่นลมหายใจออกจมูกอย่างขัดใจ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เถียงอะไรออกไปด้วยรู้นิสัยคนรักชาวไทยของเขาดี

"โอเคๆ ฉันไม่ฝืนใจนายแล้วกัน"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วยันกายจะลุกขึ้น หากถูกรั้งไว้ด้วยวงแขนของคนรักที่ดึงรั้งร่างเขาไว้แนบอก

"เดี๋ยวสิครับ ฆาบี้..."

เจยิ้มกริ่มและกระซิบข้างหูคนรัก

"ผมว่า 'คุณ' เป็นผู้บริหารใหญ่ ทำอะไรประเจิดประเจ้อมากไปก็ไม่งาม แต่ตัวผมน่ะ เป็นแค่เด็กต๊อกต๋อยไม่รู้กาละเทศะ จะทำอะไรเกินเลยไปอย่างมากก็โดนตำหนิ ใช่มะ?"

คนตัวโตกะพริบตาปริบๆ มองร่างเพรียวที่พลิกกายคร่อมเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาปล่อยให้เจนยุทธจัดการตามอำเภอใจ เจค่อยๆ รูดซิปกางเกงของคนรักและปลดปล่อยส่วนสงวนที่ค่อยๆ ขยายตัวในมือของเขา


“นั่นแหละ ตรงนั้น อืมม์”

ฆาเบียร์ครางออกมาอย่างพึงใจเมื่อลิ้นอุ่นๆ ของคนรักพลิกพริ้วโลมไล้แก่นกาย เขาลูบผมนิ่มของคนรักที่ตั้งหน้าตั้งตาปรนนิบัติเขาอย่างสุดฝีมือ ถึงเจจะไม่เคยทำแบบนี้กับใครอื่นที่ไหน แต่ด้วยความที่เขามีประสบการณ์เป็นฝ่ายถูกกระทำมาอย่างโชกโชน เจจึงรู้ดีว่าต้องทำแบบไหนถึงจะให้ความหฤหรรษ์อย่างสูงสุดได้

“Oh, yes...baby! Suck it hard”

คนตัวโตร้องออกมาด้วยความถึงใจ เขาบีบไหล่คนรักแน่นก่อนที่จะคำรามหนักๆ และปลดปล่อยออกมาใส่โพรงปากของคนรัก

“เจ ไม่เอา อย่าแกล้งสิ!”

ฆาเบียร์เอ็ดคนรักที่ห่อปากดูดแก่นกายที่อ่อนตัวลงแล้วของเขาต่ออย่างหนักหน่วง เจยักคิ้วให้คนที่ดิ้นพราดๆ ด้วยความเสียว เขารู้ดีว่าความรู้สึกนี้มันเป็นเช่นไร

“ไม่แกล้งแล้วก็ได้”

เจนยุทธพูดกลั้วหัวเราะ คนตัวโตทำตาปริบๆ มองกองน้ำสีขาวขุ่นที่คนรักคายทิ้งไว้บนหน้าท้องแบนราบของเขา

“เจ เดี๋ยว จะไปไหน เช็ดให้ฉันก่อนสิ”

คนตัวโตเรียกเจ้าตัวดีของเขาที่เดินหนีเข้าห้องน้ำไป

“รอไปก่อนนะครับคุณ อีกเดี๋ยวผมจะเอาทิชชู่มาให้”

คนตัวเล็กตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ ฆาเบียร์มองไปรอบๆ กายอย่างจนปัญญาแล้วจึงตัดสินใจใช้เสื้อเชิร์ตตัวที่เขาว่าแพงนักหนาเช็ดมัน


“เฮ้ย คุณ เข้ามาทำไม?”

เจนยุทธที่นั่งอยู่บนโถส้วมร้องลั่น ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขาเดาไม่ผิดเลยสักนิด คนตัวโตเยื้องย่างเข้าไปหาคนรักและทรุดตัวลงนั่งข้างหน้า

“ให้ฉันช่วยนายเถอะนะ”

คนตัวโตใช้มือเกาะกุมแก่นกายที่คนรักกำลังรูดไล้อยู่ เขารู้ดีว่าหลังจากปรนนิบัติเขาแล้ว เจต้องเกิดอารมณ์แล้วมาปลดปล่อยให้ตัวเองแน่นอน

“อืมม์ ฆาบี้ครับ ดีมาก”

เจสูดปากลั่น เขาเสยผมยาวรุ่ยร่ายของฆาเบียร์ขึ้นไปทัดหูเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน คนตัวโตส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอทั้งๆ ที่แก่นกายของเจยังอัดแน่นในปาก เมื่อปลายนิ้วของคนรักคลึงเบาๆ ที่ติ่งหูของเขา

"ที่รักครับ คุณเยี่ยมที่สุดเลย"

เจครางเสียงกระเส่าและกดหัวคนรักลงอย่างลืมตัวเมื่อจวนถึงจุด ฆาเบียร์อดรู้สึกปลื้มใจไม่ได้ เขายินดีทุกครั้งที่สามารถทำให้เจรู้สึกดีและมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบนเตียงหรือเรื่องอื่นใดในชีวิตก็ตาม ความสุขของเจเหมือนจะกลายเป็นความสุขของเขาไปด้วยแล้ว


“คุณนี่เหลือเกินจริงๆ ผมบอกคุณแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรให้ ผมจะจัดการเอง”

ฆาเบียร์ที่กำลังอ่านเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดของคนรัก เขาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่นั่งหน้าตูมอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะทำงาน

“ขี้บ่นจริงๆ นะเรา”

คนตัวโตอดไม่ได้ต้องยื่นมือไปหยิกปากน้อยๆ ที่ทำท่าจะขยับบ่นเขาต่อ เจขยับหนีและพยายามงับปลายนิ้วที่รุกรานเขา ฆาเบียร์ดึงมือหลบอย่างรวดเร็วและหัวเราะเบาๆ เจ้าตัวดีของเขานั้นช่างน่ารักนัก เจทำหน้างอและแลบลิ้นให้คนรัก

“ไม่ให้บ่นได้ไงครับ คุณนี่ร้ายจริงๆ แล้วไหนจะเรื่องเสื้ออีก ไหนตะกี้บอกผมว่าแพง กลัวเปื้อนนั่นนี่ เผลอแป๊บเดียว เอาไปเช็ด เอ่อ เช็ด cum ซะงั้น”

เจนยุทธบ่นอุบอิบ เขาที่เดินตัวเบาออกห้องน้ำมาต้องงุนงงเมื่อเห็นเสื้อเชิร์ตสีกรมท่าที่เจ้าตัวบอกว่าแพงนักหนาถูกกองทิ้งไว้บนพื้นอย่างไม่ใยดี แถมเมื่อเขาเก็บมันขึ้นมาเพื่อที่จะใส่ให้คนรักก็ต้องตกใจเมื่อเห็นคราบน้ำขาวขุ่นเปรอะซึมเป็นด่างดวงบนเสื้อเชิร์ตเนื้อดีตัวนั้น

“จะซักออกหมดหรือเปล่าไม่รู้อ่ะ เสียดายของจริงๆ แล้วที่ว่าแพงนี่ แพงขนาดไหนครับนั่น? ถึงหมื่นบาทหรือเปล่า?”

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารีบเอาเสื้อตัวนั้นไปซักในห้องน้ำ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะทิ้งคราบไว้บนเนื้อผ้าหรือไม่


“มันก็ เอ่อ…”

คนตัวโตอึกอัก เจนยุทธใจหายวาบทันที เมื่อครู่ ตอนที่เขาเอาเสื้อไปซัก เขาแอบเปิดดูป้ายยี่ห้อแล้วก็พบว่าเป็นแบรนด์ที่ไม่คุ้นตา เขาเดาว่ามันอาจจะเป็นเสื้อสั่งตัดหรือไม่ก็เป็นแบรนด์หรูที่มีขายจำนวนจำกัด

“ตายล่ะ แพงมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ งั้นผมซื้อใช้ให้ก็ได้อ่ะคุณ ผมผิดเองที่ดันไม่จัดการเช็ดให้เรียบร้อยอ่ะ”

เจเสียงสั่น ฆาเบียร์เกาหัวแกรก

“มันไม่ใช่อย่างงั้นจ้ะ คือ เฮ้อ…”

คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจคงต้องเคืองเขาอย่างแน่นอน

“…มันเป็นของเคาเตอร์แบรนด์แถวนี้เอง ตัวไม่กี่ตังค์หรอก อันที่จริงฉันซื้อตอนเซลส์มาด้วยซ้ำ เห็นทรงกับแบบมันสวยดี กะเอามาใส่เล่นขำๆ ในวันหยุดที่ไม่ต้องไปไหนแบบนี้น่ะ”

หนุ่มละตินตอบเสียงอ่อยๆ

“เฮ้ย! คุณหลอกผมอีกแล้วนะ ฆาบี้!”

คนที่ใจลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มแล้วในตอนแรกถลึงตาใส่คนรักและว๊ากลั่น

"ไม่งั้นเจก็ไม่ยอมปล่อยฉันซักที"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานและเดินอ้อมโต๊ะมากอดคนตัวเล็กที่นั่งกอดอกทำหน้าตูมอยู่จากด้านหลัง


“อย่างอนเลยนะ mi rey”

ฆาเบียร์หอมแก้มคนรักฟอดใหญ่ เจอมยิ้มน้อยๆ อย่างลืมตัว เขารีบปั้นหน้าเคร่งเครียดอีกครั้งเมื่อคนรักมองมา

“แล้วฉันต้องทำยังไงนายถึงจะหายโกรธ? หรือจะให้ฉันเลี้ยงข้าวนายมื้อใหญ่? เลือกมาเลย เจ อยากกินอะไร”

คนตัวโตกระซิบข้างหูคนรัก เจกัดริมฝีปากเบาๆ ลมหายใจอุ่นจากจมูกที่คอยดอมดมอยู่ที่พวงแก้มและลำคอทำให้เขาร้อนไปทั้งตัว หากสิ่งที่ฆาเบียร์พูดทำให้เขากลั้นใจดันใบหน้าคมเข้มออกห่างและหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนตัวโต

“คุณมาร์ติเนซครับ อย่าคิดว่าเอาของกินมาล่อแล้วจะได้ผลนะครับ! คุณคิดว่าผมเห็นแก่กินขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เจนยุทธตีหน้าเครียดและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฆาเบียร์งุนงงวูบ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเจแกล้งงอนเพื่อให้เขาง้อ แต่จู่ๆ คนตัวเล็กกลับมีทีท่าเหมือนโกรธจริงๆ ขึ้นมาอย่างนั้น เขารีบคว้าข้อมือคนรักที่ผุดลุกขึ้นและทำท่าจะเดินหนีไว้

“เจ baby ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเลยนะ ฉัน ฉัน…”

ฆาเบียร์เริ่มลนลานและพูดอะไรไม่ออก หากเขาก็มีสีหน้าดีขึ้นเมื่อคนตัวเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่และนั่งลงกลับที่เดิม

"ฆาบี้ ผมล้อเล่นครับ ล้อเล่น ผมไม่ได้โกรธอะไรคุณเลยนะ"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ เขาขยับเบียดกายเข้าแนบชิดร่างคนรักเมื่อเห็นว่าคนตัวโตยังมีทีท่าไม่สบายใจ​


"ขอโทษจริงๆ ครับ ฆาบี้ที่ทำให้คุณตกใจ"

เจกอดแขนคนรักและพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะเจนยุทธ เล่นแบบนี้ฉันไม่รู้เลยว่านายโกรธจริงหรือแกล้งโกรธ"

คนตัวเล็กยิ้มแหยๆ อันที่จริงเขาเคืองเล็กน้อยที่คนรักมองว่าวิธีง้อเขาคือผ่านของกินเท่านั้น เขาจึงเล่นใหญ่เพื่อแกล้งฆาเบียร์สักที แต่เมื่อเห็นว่าคนรักดูมีทีท่าว่าจะสติแตก เขาจึงได้คิดว่าไม่ควรล้อเล่นกับอารมณ์ของฆาเบียร์แบบนี้

"ไม่เล่นแบบนี้แล้วครับ คราวหน้าถ้าโกรธก็แปลว่าโกรธจริงๆ เครมะ?"

คนตัวโตโคลงหัว แต่เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าทะเล้นของคนรัก เขาดึงเจ้าตัวแสบของเขามาหอมแก้มฟอดใหญ่ด้วยความเอ็นดู เจยิ้มกริ่มและซบหน้าลงกับไหล่คนรัก

"ว่าแต่ เมื่อกี้คุณพูดจริงอ่ะเรื่องที่ว่าจะเลี้ยงข้าวผมมื้อใหญ่?"

เจเงยหน้าขึ้นแล้วทำตาแป๋วมองหน้าเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"ถ้านายยอมให้ฉันเลี้ยงนะ จะมื้อใหญ่แค่ไหนก็ว่ามาเลย"

เจยิ้มหวานให้คนรัก

"ดีเลยครับ ฆาบี้ คือ ผมจองแชมเปญ บรันช์ที่ห้อง The Ozone ไว้วันอาทิตย์นี้ ตอนแรกยังสองจิตสองใจว่าจะแคนเซิลดีไหมเพราะพอมานึกๆ ดูแล้วมันก็แพงเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ถ้าคุณจะเลี้ยงผม ผมก็ไม่ขัดนะ"

เจบอกฆาเบียร์ว่าเขาทราบเรื่องโปรโมชั่นนี้เมื่อตอนขึ้นไปนั่งดื่มบนห้อง The Ozone กับบูมและอลัน เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้วเขาก็ขอจองทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก

"แต่ไม่ต้องเอาแชมเปญตัวแพงสุดก็ได้ครับ แค่แพคที่เป็น Dom ธรรมดาผมก็ว่าหรูแล้ว"

เจพูดเสียงอ่อยๆ คนตัวโตยิ้มกว้าง

"ได้สิ แค่นี้เอง ฉันนึกว่านายจะอยากกินอะไรแพงๆ กว่านั้นเสียอีก ได้เลย เอาแพคเกจแพงสุดเลยก็ได้ ฉันจัดให้ได้อยู่แล้ว..."

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ หากเขาก็ขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2019 21:21:52 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - Chit-Chat (18/3/62)
«ตอบ #459 เมื่อ18-03-2019 23:20:03 »




(ขออภัยที่มาต่อช้าค่ะ เมื่อกี้อยู่นอกบ้านแล้วลืมเอาโน้ตบุ้คออกไปด้วยเลยลองอัพผ่านไอแพด แต่มันรวนมาก ต้องมานั่งจัดบรรทัดใหม่หมด ทนรบกับมันได้แค่พาร์ทเดียว สุดท้ายเลยตัดสินใจเลิกและกลับมาอัพต่อที่บ้านแทน ตอนนี้มาต่อให้จบตอนแล้วค่ะ)



---- Chit-Chat (ต่อ) ----





"เอ๊ะ แต่นายบอกฉันว่าจะกลับวันอาทิตย์นี่? เครื่องมันออกสามโมงยี่สิบไม่ใช่เหรอ? กินไม่ทันหรอกเจ"

คนตัวโตท้วงลั่น หากเจนยุทธหัวเราะแหะๆ และไขข้อข้องใจให้คนรัก

"ผมถือวิสาสะขอคนของคุณเลื่อนไฟลท์กลับเป็นวันจันทร์ให้แล้วครับ"

"นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะเจนยุทธ ทีฉันขอให้อยู่หลายๆ วันหน่อย ก็ไม่ยอมอยู่ แต่พอมีของกินน่าสนใจนี่อยู่ต่อเลยนะ"

ฆาเบียร์กระเซ้าคนรักที่นั่งหน้าแดงอยู่ตรงหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะต้องดึงแก้มป่องๆ ที่แดงระเรื่อนั้น เจว๊ากลั่นและบ่นกระปอดกระแปดตามประสาเหมือนทุกครั้ง ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและดึงมือคนรักขึ้นมาจูบเบาๆ

"เอาเถอะ จะเพราะอะไรก็ช่าง อย่างน้อยนายก็ยอมอยู่ต่ออีกคืน ไฟลท์ออกเวลาเดิมใช่ไหม?"

"ใช่ครับ เวลาเดียวกับวันอาทิตย์"

เจพยักหน้าและตอบรับคำ



"เออ ฆาบี้ พูดถึงไฟลท์ ค่ำนี้ไฟลท์ของอาปาลงกี่โมงครับ? ผมอยากไปรับด้วยอ่ะ"

"ประมาณสามทุ่มครึ่งจ้ะ กว่าจะผ่านตม. อะไรออกมาก็น่าจะสี่ทุ่มหน่อยๆ เราออกจากที่นี่สามทุ่มนิดๆ ก็ยังทัน"

"โอเค แต่ เอ คุณว่าผมต้องทำเป็นไม่รู้ว่าอาปามานี่ครับ"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ เขาบอกเจว่าอาปาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคงอดพูดเรื่องนี้ออกไปไม่ได้

"อาปารู้ดีน่ะว่าฉันหลอกนายไม่เคยได้เลย"

"คุณนี่ก็เวอร์เกิ๊น"

เจพูดกลั้วหัวเราะ คนตัวโตอดไม่ได้ต้องชะโงกหน้าไปจุ๊บริมฝีปากที่ยิ้มพรายของเจนยุทธ เจจูบตอบเบาๆ พวกเขาแลกจูบอย่างอ่อนโยนกันครู่หนึ่งก่อนจะผละออกจากกัน

"ผมไม่กวนคุณแล้วดีกว่า มีเอกสารที่ต้องอ่านไม่ใช่เหรอครับ?"

"จ้ะ แต่ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พวกงานค้างแล้วก็รายงานจากทางสหรัฐฯ น่ะ ที่จริงยังไม่ต้องทำก็ได้เพราะวันนี้เป็น day off ของฉัน"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาถามเจนยุทธว่าอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือไม่ หากเจโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

"ไม่เป็นไรครับ ฆาบี้ คุณทำงานของคุณไปเหอะ ผมนอนเล่นเกมรอคุณที่โซฟาก็ได้"

เจบอกพลางลุกขึ้นยืนและฉุดคนรักให้ลุกขึ้นยืนตาม เขาดันหลังฆาเบียร์กลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน และตัวเองผละมานอนเอนหลังที่โซฟา



"คับ แม่ อ้ายเปิ้นสบายดี"

ฆาเบียร์แอบหันไปมองเมื่อได้ยินเจพูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับคนที่ปลายสายเป็นภาษาที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นภาษาถิ่นของทางภาคเหนือของไทย มันทำให้เขาเดาได้ไม่ยากว่าคนที่ปลายสายคือใคร

"อ้ายเปิ้นฝากตั๊กตายแม่มาโตยคับ"


เจหันกลับไปยิ้มให้ฆาเบียร์เมื่อคนตัวโตส่งเสียงบอกให้ทักทายแม่ให้เขาด้วย

"แม่ฝากบอกคุณว่าอย่าทำงานหนักมากนัก ให้พักผ่อนบ้าง"

เจส่งเสียงบอกคนรักของเขามาอีก คนตัวโตกำลังจะอ้าปากตอบกลับไป แต่เจก็ลุกขึ้นเดินมาหาและยื่นมือถือให้เขา

"เอ้า นี่ ฝากไปฝากมากันทำไม คุยกันเองเลยครับ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ยิ้มละไมให้กับแม่ของคนรักซึ่งส่งยิ้มอันอ่อนโยนกลับมาให้เขาเช่นกัน เจนั่งเท้าคางมองแม่และเมียตัวโตของเขาคุยกันอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ฆาเบียร์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขาอย่างไม่ขัดเขิน และที่บ้านของเขาก็ยอมรับหนุ่มละตินตัวโตคนนี้เป็นสมาชิกอย่างเต็มใจเช่นกัน



"แม่ยังไออยู่เหรอครับ? ไปหาหมอหรือยัง?"

คนตัวโตส่งเสียงถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อได้ยินฟองนวลไอเบาๆ เจนยุทธบอกเขาก่อนหน้านี้ว่าแม่ของเขามีอาการไอติดต่อกันมาสองสามสัปดาห์แล้ว เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้เพราะรู้ดีว่าช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์หมอกควันของเชียงใหม่นั้นร้ายแรงแค่ไหน

"ไปหามาแล้วจ้ะ หมอบอกว่า เอ่อ..."

ฟองนวลบอกลูกชายให้ช่วยแปลคำพูดของเธอเป็นภาษาอังกฤษ เจหันมาเล่าอาการของแม่ให้คนรักฟัง

"ไปเอ๊กซเรย์ปอดอะไรมาแล้วครับ หมอบอกว่ายังไม่ถึงขั้นปอดอักเสบ แต่ก็ระคายเคืองเพราะไอ้เจ้าฝุ่นควันนี่แหละครับ"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากำชับแม่ของเขาให้อยู่แต่ในบ้านและให้เปิดเครื่องฟอกอากาศตลอดเวลา

"เวลาไปกาด กาว่าออกไปตางนอก แม่ก่อบ่ดีลืมใส่มาสก์โตยเน่อ อึดอัดน่อย แต่ว่าปลอดภัย ปี๋นี้มันแย่แต๊ๆ เน่อ"

เจย้ำกับแม่ของเขาอีกครั้ง พวกเขาสามคนพี่น้องต่างสรรหาสารพัดสิ่งที่จะช่วยบรรเทาฝุ่นควันในบ้านมาให้แม่ของเขา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศราคาแพงระยับหลายตัว หน้ากากแบบ N95 ที่กรองฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอนได้ หรือกระทั่งพวกสเปรย์หรือเจลทาจมูกจากญี่ปุ่นที่อ้างสรรพคุณว่ากันฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ เจก็จัดการสั่งซื้อออนไลน์มาให้แม่ของเขา ฟองนวลเองก็รับปากกับลูกชายเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าเธอจะระวังตัวให้มาก



"แล้วบ่ดีลืมเก็บโรซ่าไว้ในบ้านโตยเน่อคับ"

เจทำคิ้วขมวดเมื่อพูดถึงสาวน้อยคนโปรดของเขา ฟองนวลหัวเราะเบาๆ แล้วเรียกเจ้าลาบราดอร์ดำให้เข้ามาหากล้อง มันกระโดดขึ้นมาบนตั่งที่เธอนั่งอยู่แล้วล้มตัวลงนอนเอาคางเกยตักนายของมันอย่างสบายอารมณ์ เจหัวเราะหึๆ ดูเจ้าหมาที่มีความสุขเพราะได้อยู่ห้องแอร์แทบทั้งวัน เขาพยายามเรียกมันให้เงยหน้ามาคุยกับเขา แต่มันก็ไม่ใส่ใจ

"คุณดูมันสิฆาบี้ พอได้แอร์เย็นๆ ได้หนุนตักแม่ มันก็ไม่สนอะไรแล้วอ่ะ"

เจนยุทธหันไปฟ้องคนรักที่นั่งอมยิ้มดูเขากับแม่คุยกัน

"Rosa, come here, girl"

เจ้าหมาดำหูผึ่งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบของฆาเบียร์จากลำโพงโทรศัพท์ มันลุกพรวดพราดขึ้นนั่งและทำท่าจะเลียจอไอแพดจนฟองนวลต้องรีบชักมือหนี

"เฮ้ย ไอ้หมูทรยศ! ทีอ้ายเรียกทำไมไม่หือไม่อือฟระ"

ฟองนวลและฆาเบียร์หัวเราะออกมาเมื่อเจตีหน้ายักษ์และโวยเจ้าหมาอ้วนลั่น สำหรับฆาเบียร์ ถึงเขาจะฟังไม่ออกว่าเจพูดว่าอะไร แต่เขาก็คิดว่าเขาพอจะเดาออก



"ก็นายเจอหน้าโรซ่าตลอดมันก็เลยไม่ตื่นเต้นไง ส่วนฉันนานๆ ถึงเจอที มันก็เลยดีใจ"

ฆาเบียร์ลูบหัวคนรักที่ยังทำท่างอนและบ่นเจ้าหมาอ้วนอยู่แม้ว่าจะวางสายจากแม่ของเขาไปแล้ว

"หึ ไม่หรอกครับ มันอ่ะ ลำเอียงชอบคนหน้าตาดี เมื่อก่อนมันติดผมเพราะผมหล่อสุดในบ้าน ตอนนี้มาทิ้งกันเฉยเลยนะ"

เจนยุทธบ่นกระปอดกระแปด ฆาเบียร์พยายามกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินคนรักอวยตัวเองว่าเคยหล่อที่สุดในบ้าน

"เจพูดแบบนี้ แสดงว่านายยอมรับว่าฉันหน้าตาดีกว่าสินะ"

คนตัวเล็กจิ๊ปาก เขาเผลอพูดทำร้ายตัวเองเข้าไปเสียแล้ว

"เฮ้ย ผมแค่จะบอกว่าคุณหน้าตาดี ไม่สิ หน้าตาแปลกสำหรับโรซ่า มันถึงชอบคุณมากกว่า ไม่ได้แปลว่าคุณหน้าตาดีกว่าผมเฟ้ย"

เจพูดพลางใช้มือตบๆ แก้มคนตัวโตเบาๆ ฆาเบียร์คว้ามือนุ่มไว้แล้วดึงมาจูบแผ่วๆ เจอมยิ้ม เขาชอบสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ของพ่อเจ้าประคุณของเขาจริงๆ



"แล้วช่วงนี้อากาศที่เชียงใหม่มันเลวร้ายมากเลยเหรอจ๊ะ? ไหนช่วงที่แล้วนายบอกว่าเขารณรงค์ให้งดเผานี่ ไม่ดีขึ้นสักนิดเลยเหรอ?"

หนุ่มละตินถาม เจบ่นกับเขาตั้งแต่หลังตรุษจีนเรื่องความเลวร้ายของอากาศในเมืองเชียงใหม่ หากโชคดีว่าช่วงที่เขากลับไปเชียงใหม่ช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์นั้นได้มีฝนตกลงมาบ้างแล้วจึงพอจะบรรเทาความขมุกขมัวไปได้บ้าง แต่เขาก็ยังรู้สึกได้เมื่อตอนที่พวกเขาออกไปเตะฟุตบอลกัน ตัวเขารู้สึกอึดอัดในอกและมีอาการระคายเคืองในโพรงจมูกอยู่พักใหญ่หลังจากกลับจากเชียงใหม่รอบนั้นแล้ว

“เฮ้อ มันก็ดีกว่าช่วงสองเดือนที่แล้วเยอะครับ อากาศมันเริ่มร้อนชื้นขึ้นเลยทำให้มีการไหลเวียนของอากาศมากกว่าช่วงหน้าแล้งทำให้ควันหายไปเยอะแล้ว แต่แม่ก็ยังมีอาการไอเรื้อรังครับ ก็เล่นไม่ยอมเปิดเครื่องกรองอากาศอ่ะ…”

เจนยุทธถอนหายใจเบาๆ ช่วงที่แล้วฟองนวลเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มใสขึ้นมาบ้างแล้ว เธอจึงชะล่าใจไม่ใส่หน้ากากกันฝุ่นยามออกไปนอกบ้าน อีกทั้งลดการเปิดเครื่องฟอกอากาศและแอร์ลงด้วยเกรงว่าจะเปลืองไฟ แต่มันกลับทำให้เธอเริ่มมีอาการไอเรื้อรัง ในตอนนี้ถึงอาการของแม่จะทุเลาลงมากแล้ว แต่ด้วยอายุอานามที่มากขึ้นทุกปีของแม่ เขาก็ไม่รู้ว่าแม่ของเขาจะทนกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ไปได้นานเท่าไหร่



“ช่วงหลังจากที่คุณกลับจากเชียงใหม่ไปนี่เรียกว่าวิกฤติเลยนะครับ ตอนคุณมามันยังอยู่ในช่วงงดเผา คือมันก็ควันเยอะแหละ แต่พอคุณกลับไปได้สองสามวัน โอ้โห ช่วงเช้ากับตอนดึกนี่เหมือนในหนังเรื่อง Silent Hill เลยอ่ะ…”

“หา? ทำไมมันถึงแย่ขนาดนั้นล่ะ?”

คนตัวโตทำท่าตกใจ เจนยุทธหัวเราะหึๆ

“ก็มันครบกำหนดห้ามเผาไงครับ ทีนี้แหละเผากันทั้งจังหวัดเลย เหมือนอัดอั้นตันใจกันมานาน ผลมันก็ตามนั้น”

เจบอกว่าช่วงนั้นที่บ้านเขาห้ามแม่และเจ้าหมาหมูลงบ้านโดยเด็ดขาดและให้ใส่มาสก์แม้กระทั่งเวลาอยู่ในบ้าน

“แถวบ้านแม่ผมนี่ก็แหล่งเผาป่าเผาไร่เลยเหอะ แต่มันก็หนักแค่ช่วงนั้นอ่ะนะ พอเข้าเดือนนี้มาก็เบาบางไปเยอะละ คงเผากันจนพอใจแล้วเริ่มปลูกพืชรอบใหม่กันแล้วมั้ง”

เจนยุทธยิ้มหยัน เมื่อเข้าเดือนพฤษภาคม ท้องฟ้าที่เริ่มขุ่นมัวเพราะฝุ่นควันก็สดใสขึ้นมาก หากยังหลงเหลือบ้างให้พอรู้สึกระคายเคืองในปอด พวกเขาพี่น้องจึงยังขอให้แม่ระวังตัวจนกว่าเชียงใหม่จะเข้าฤดูฝนเต็มตัว

“อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อะไรๆ มันแย่ก็เพราะมันเป็นควันจากประเทศเพื่อนบ้านด้วยครับ ถึงบ้านเรางดเผา แต่รอบข้างไม่เลิกเผา เราก็โดนหางเลขไปด้วย”

เจถอนหายใจ เขายกตัวอย่างจังหวัดเชียงรายซึ่งสามารถควบคุมการเผาป่าและพื้นที่ทางการเกษตรในจังหวัดของตนได้อย่างดีเยี่ยม หากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศของเชียงรายก็ยังจัดว่าสูงเนื่องจากอยู่ติดกับทั้งพม่าและลาวซึ่งมีการเผาอย่างหนัก



“อย่างอำเภอแม่แตงนี่ก็นับว่าใกล้กับชายแดนพม่าครับ มีแค่อำเภอเชียงดาวกั้น ก็รับควันไปเต็มๆ แถมแถวนั้นก็มีพวกดื้อแอบเผาเยอะด้วย”

เจนยุทธโคลงหัว

"มนุษย์เรานี่ก็ช่างหาเรื่องมาทำร้ายโลกจริงๆ นะ นี่ก็ไม่รู้ว่าธรรมชาติจะเอาคืนพวกเราเมื่อไหร่"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจพยักหน้าเห็นด้วย

"รุ่นลูกรุ่นหลานพวกเราก็คงต้องเผชิญปัญหาที่พวกเราก่ออีกหลายอย่างเลยครับ ไม่ต้องที่ไหนไกล ดูไอ้เจ้าอันปังกับเอแคลร์นะ ช่วงที่แล้วก็ต้องใส่หน้ากากทุกวัน อึดอัดแย่"

ฆาเบียร์แอบอมยิ้ม ถึงเจจะไม่รักเด็กและบ่นรำคาญหลานๆ บางครั้ง แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวดีของเขาก็ยังอดห่วงเด็กๆ พวกนั้นไม่ได้

"ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนสองสามปีที่ผ่านมา แม่ไล่ให้พี่หวานพาเด็กๆ กลับไปอยู่บ้านที่เชียงรายเลยครับ เพราะที่นั่นคุมเรื่องควันได้ดีกว่า แต่ปีนี้ไม่ไปเพราะสุดท้ายแล้วทางเชียงรายก็โดนควันจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่ดี ก็ให้เด็กๆ อยู่พร้อมหน้ากับพ่อแม่ที่เชียงใหม่ดีกว่า"

"เฮ้อ ก็หวังว่าจะแก้ปัญหากันได้เร็วๆ ไม่งั้นคงแย่เหมือนปักกิ่งช่วงหลายปีที่แล้วแน่ๆ"

คนตัวโตบ่นเบาๆ ตัวเขาเคยสัมผัสความเลวร้ายของมลพิษที่ปกคลุมเมืองหลวงของจีนมาหลายครั้งที่ต้องเดินทางไปทำงานแถวนั้น



"เออ เห็นว่าปีนี้อากาศที่นั่นดีขึ้นมากเลยนี่ครับ ค่าฝุ่นควันลดลงเยอะมาก เขาทำได้ยังไงอ่ะ? ทำไมบ้านเราทำแบบเขาไม่ได้มั่งนะ?"

"อืมม์ ฉันไม่แน่ใจนะ แต่ที่ได้ยินมา ฉันว่าต้นตอปัญหาของที่ปักกิ่งมันต่างจากที่เชียงใหม่เลยทำให้คุมได้ง่ายกว่า"

ฆาเบียร์อธิบายต่อเมื่อเห็นคนรักทำท่างุนงง

"มลพิษที่เกิดที่ปักกิ่งมาจากพวกควันรถยนต์ การเผาถ่านหินช่วงฤดูหนาว และควันจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่รอบเมืองจ้ะ"

เจนยุทธร้องอ๋อ เขาพอเข้าใจสิ่งที่ฆาเบียร์ต้องการจะสื่อแล้ว

"ต้องเรียกว่ารัฐบาลจีนใช้กำลังภายในจัดการกับปัญหาพวกนี้ไปมากพอสมควรนะ แต่อย่างว่า รัฐบาลของจีนมีครบทั้งแรงงานคนและอำนาจล้นฟ้า และด้วยความที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ทำให้เขาสั่งนั่นสั่งนี่ได้หมด เท่าที่ฉันได้ยินมา เขาว่าทางรัฐได้จัดการควบคุมจัดการกับรถที่ปล่อยไอเสียเกินกว่ากำหนด รณรงค์ให้คนใช้ก๊าซธรรมชาติแทนถ่านหินในการให้ความร้อน และที่สำคัญที่สุดคือ ย้ายโรงงานอุตสาหกรรมหนักออกจาก 26 เมืองรอบๆ ปักกิ่ง..."

ฆาเบียร์เล่าต่ออีกว่าอีกหนึ่งความพยายามคือลดการจุดประทัดและธูปในช่วงตรุษจีนอีกด้วย

"แต่ไอ้เจ้ามาตรการลดการใช้ถ่านหินนี่เหมือนไม่ค่อยได้ผล สุดท้ายคนก็อดใช้ไม่ได้อยู่ดีเพราะมันถูกและหาง่ายกว่าพวกก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ในที่สุดก็ต้องหยวนๆ ไปเพราะไม่อย่างนั้นคงได้มีคนหนาวตายแน่ๆ"

"ผมเข้าใจแล้วล่ะว่ามันต่างกับที่เชียงใหม่ยังไง ที่เชียงใหม่เราปัญหามันมาจากการเผาป่าและไร่นา มันคุมยากกว่าเพราะไม่รู้ว่าจะเผาตรงไหนที่ไหน สุดท้ายก็ต้องพึ่งจิตสำนึกของคนในท้องที่เอง"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันคือสิ่งที่ทำให้เกิดได้ยากที่สุด ถ้าคนยังคงมองเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ปัญหานี้ก็จะไม่มีทางหมดไป



"เอ ว่าแต่ที่ปักกิ่งเนี่ย เขาย้ายโรงงานอุตสาหกรรมหนักออกไปจากเมืองบริวาร แล้วย้ายไปไหนอ่ะ? แล้วมันก็เป็นการเอาปัญหาตัวเองไปทิ้งให้ที่อื่นอ่ะดิ"

เจนยุทธเกาหัวแกรกๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างถูกใจ

"ใช่แล้ว ในตอนนี้ปักกิ่งอากาศดีขึ้นมาก แต่มณฑลอื่นที่โรงงานพวกนี้ย้ายไปตั้งก็กำลังเกิดปัญหามลพิษขึ้นบ้าง แต่เป็นเมืองรองที่ไม่มีคนสนใจก็เลยไม่เป็นข่าว"

"แบบนี้มันก็ขายผ้าเอาหน้ารอดชัดๆ นี่หว่า"

คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ

"แต่ก็ นะ ที่เชียงใหม่เราใช้วิธีระดมฉีดน้ำขึ้นฟ้า โดยเน้นฉีดที่หน้าเครื่องวัดครับ"

เจหัวเราะหึๆ การทำแบบนั้นทำให้ค่าที่ได้ออกมาต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น

"ก็หวังว่าคนจะเริ่มตื่นตัวแล้วหันมาช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ครับ รอพึ่งรัฐทางเดียวคงได้ปอดพังตายก่อน"

"ไม่ใช่แค่ปอดนะเจ ไอ้เจ้าฝุ่นละอองที่เล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือที่เขาเรียกว่า PM 2.5 นี่มันมีผลต่อร่างกายมากกว่านั้น..."

เจนยุทธทำตาโตด้วยความตกใจเมื่อฆาเบียร์จาระไนโทษของฝุ่นละอองขนาดเล็กนั้นให้เขาฟัง



"เดี๋ยวนะ แปลว่ามันทำให้เกิดโรคหัวใจด้วยงั้นเหรอครับ?"

เจร้องเสียงหลง ฆาเบียร์พยักหน้า

"ใช่จ้ะ ก็อย่างที่บอก ไอ้เจ้าฝุ่นละอองเล็กพวกนี้มันเล็กมากเข้าสู่ร่างกายผ่านทางรูขุมขนได้ ส่วนนี้จะทำให้เกิดพวกผื่นคันและโรคผิวหนัง แต่ถ้ามันเข้าไปในปอดแล้วก็จะสามารถหลุดรอดเข้าไปยังกระแสเลือดได้ และอาจเกิดการสะสมในหลอดเลือดจนทำให้เกิดเส้นเลือดหัวใจหรือเส้นเลือดในสมองตีบตันได้ แล้วไหนจะยังมีสถิติที่บอกว่าคนซึ่งอาศัยในบริเวณที่มีปัญหามลพิษจะเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่อาศัยในแถบอื่นอีก..."

เจหน้าซีด สิ่งที่ได้ยินยิ่งทำให้เขาห่วงแม่ของตนยิ่งขึ้น

"ผมพาแม่ย้ายไปอยู่ที่อื่นดีไหมเนี่ย"

คนตัวเล็กเปรยเบาๆ ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง

“มาอยู่ฮ่องกงกับฉันไหม หรือว่าจะอยู่ที่สหรัฐฯ ก็ได้นะ บ้านฉันยินดีต้อนรับครอบครัวของเจเสมอ เดี๋ยวฉันเดินเรื่องพวกเอกสารอะไรให้”

คนตัวโตพูดด้วยความลิงโลดใจ หากเจนยุทธส่ายหัวทันที

“โอ๊ย ผมก็พูดไปงั้นแหละคุณ ไปอยู่ที่ไหนมันก็ไม่เหมือนบ้านอ่ะ อ่า...”

เจชะงักเมื่อเห็นใบหน้าที่สลดลงของฆาเบียร์



“เอ่อ คือ ผมหมายถึงสำหรับแม่ครับ แม่ผมอายุเยอะแล้ว จะให้ย้ายไปจากที่ๆ เคยอยู่นานๆ ก็คงไม่ไหว”

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาบอกว่าเมื่อปีกลาย เขาซึ่งว่างงานเคยพาแม่ลงไปเที่ยวทะเลเพื่อหนีหมอกควันที่เชียงใหม่ แผนเดิมคือเที่ยวและพักผ่อนแถวทะเลสองสัปดาห์ จากนั้นพวกเขาก็จะไปค้างบ้านญาติที่กรุงเทพฯ อีกระยะหนึ่ง แต่แม่ของเขาขอจบทริปแค่ที่ทะเล ฟองนวลบอกว่าเธอคิดถึงบ้านและยอมกลับไปเผชิญหมอกควันพิษที่เชียงใหม่ดีกว่าต้องอยู่ห่างบ้าน

“แม่บอกว่าคิดถึงสังคม คิดถึงเพื่อนๆ อาหารที่แถวทะเลก็รสชาติไม่ถูกปาก อากาศก็ร้อนชื้น ไม่สบายตัว อะไรประมาณนี้ครับ”

คนตัวโตพยักหน้าและบอกว่าเขาเข้าใจ เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่

"แม่อายุมากแล้วให้มาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใหม่ก็คงยากครับ พวกผมก็คงต้องช่วยกันประคองไม่ให้สุขภาพแม่แย่ลงไปกว่านี้ในไอ้ช่วงเผานี่"

เจพูดอย่างเซ็งๆ หากคนตัวโตจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของคนรักและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง



"แล้วเจล่ะ คิดว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ไหม?"

"โอ๊ย ผมมันไงก็ได้อ่ะคุณ อยู่ง่ายกินง่าย แต่ถ้าเลือกได้ผมก็ยังอยากอยู่เชียงใหม่อ่ะ ไม่ว่าที่อื่นจะดีกว่าแค่ไหน แต่ก็ไม่มีที่ไหนเหมือนอยู่ที่บ้านหรอกครับ คุณว่ามะ?"

เจนยุทธพูดโดยไม่ทันได้สังเกตน้ำเสียงและท่าทางของคนรัก คนตัวโตหยุดคำพูดของตนและตอบรับอย่างเซื่องซึม

"คุณ มีอะไรครับ?"

คนตัวเล็กถามทันที เขาสัมผัสได้ถึงความผิดหวังในน้ำเสียงของคนรัก ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ

"เฮ้อ ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันแค่เผลอคิดนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยน่ะ"

"มันจะไม่มีอะไรได้ไงครับ? ผม เอ่อ ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?"

เจถามขึ้นอย่างร้อนใจ เขาพยายามคิดว่าตนได้พูดอะไรที่กระทบใจคนรักเข้าหรือไม่ หากคนตัวโตก็พยายามปฏิเสธว่ามันไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เจพูด เจขมวดคิ้วและนึกย้อนไปอีกครั้ง เขาอุทานเบาๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองพูดขึ้นได้



"โธ่ ฆาบี้...มานี่ครับ มาให้ผมกอดที"

เจเรียกคนรักที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาให้เข้ามาหา เขากอดรัดร่างกำยำที่มายืนอยู่ตรงหน้าไว้แน่น

"ผมไม่ได้หมายความว่าผมไม่อยากอยู่กับคุณนะ ฆาบี้"

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ

"แต่ เอ่อ แต่...เฮ้อ"

พ่อปลาไหลที่เคยใช้คารมกล่อมสาวๆ อย่างเจกลับสรรหาคำพูดหวานๆ มาปลอบใจคนรักตัวจริงของเขาไม่ได้ เขาได้แต่กอดร่างใหญ่ของฆาเบียร์ไว้อย่างนั้น คนตัวโตลูบหลังเจนยุทธเบาๆ

"ฉันเข้าใจจ้ะ ฉันก็ไม่ได้จะให้นายย้ายมาอยู่กับฉันถาวรหรอก ก็แค่อยากให้นายกับแม่มาหลบฝุ่นควันจากเชียงใหม่แค่นั้นเอง"

"ผมก็อยากมานะ แต่มันก็ไม่ใช่ง่ายๆ อ่ะ"

เจพูดงึมงำกับอกกว้าง

"จ้ะ ฉันรู้"

ฆาเบียร์ตอบสั้นๆ พร้อมลอบถอนหายใจ แม้พวกเขาจะรู้จักกันมากว่าปีและตกลงคบหากันมากว่าครึ่งปี หากการจะก้าวไปอีกขั้นหนึ่งดูเหมือนยังเป็นหนทางอันยาวไกลสำหรับเจนยุทธ

"แต่ฉันอยากให้นายรู้ว่าบ้านของฉันทุกที่ก็คือบ้านของนายด้วย เข้าใจไหม?"

คนตัวโตดันกายคนรักออกและจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมสดใส เจพยักหน้าเบาๆ

"และบ้านของผมก็คือบ้านของคุณเช่นกันนะครับ ฆาบี้"

เจนยุทธจุ๊บริมฝีปากคนรักแผ่วๆ ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้



"เออ พูดถึงบ้านของนาย ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีเอกสารที่ต้องให้นายดูหน่อย"

คนตัวโตลุกพรวดขึ้น เขาเดินไปกดโทรศัพท์โทรหาเลขาของเขาและสั่งงานเป็นภาษากวางตุ้ง ผ่านไปครู่หนึ่งคุณเหลียงก็เดินมาเคาะประตูเพื่อนำส่งแฟ้มเอกสารให้ฆาเบียร์

"นี่อะไรครับ?"

เจนยุทธขมวดคิ้วและมองแฟ้มเล่มโตที่ฆาเบียร์นำมาวางไว้ตรงหน้า

"เปิดดูสิ"

คนตัวโตพยักเพยิดให้เจนยุทธดูเอกสารในแฟ้มนั้น เจเปิดดูเอกสารปึกใหญ่ในนั้น

"เฮ้ย อะไรครับคุณ นี่มัน..."

เจร้องลั่นเมื่อเห็นสำเนาโฉนดในแฟ้มนั้น

"ใช่จ้ะ ห้องข้างๆ ห้องเจ ฉันถามซื้อมาจากเจ้าของเดิมแล้ว คอนโดในไทยถูกอย่างที่เจว่าจริงๆ นะ นี่ห้องหนึ่งห้องนอนขนาด 50 กว่าตารางเมตร ยังแค่สี่ล้านกว่าบาทเอง"

"บ้าไปแล้ว คุณจะซื้อคอนโดที่เดียวกับผมทำไมวะ? ถ้าจะซื้อลงทุนทำไมไม่ไปเลือกคอนโดใหม่กว่านี้ครับ? ที่นี่มันก็หลายปีแล้วนะ"

เจนยุทธเอ็ดลั่น

"…มิน่าล่ะ ผมถึงว่าช่วงนี้ข้างห้องมันเงียบพิกล ที่แท้คุณซื้อห้องไปแล้วนี่เอง แล้วนี่ไปไล่ที่เขาปุบปับได้ไงอ่ะ?"

คนตัวโตส่ายหน้า

"ฉันไม่ได้ไล่ที่เขาปุบปับนะ ฉันให้ตัวแทนไปเจรจาให้เขาย้ายลงไปอีกห้องที่อยู่ต่ำลงไปชั้นนึง จ่ายค่าเช่าเท่าเดิมแต่ว่าได้ห้องใหญ่ขึ้น"

เจทำตาโตอีกครั้ง เขารีบพลิกๆ เอกสารในแฟ้มดูแล้วก็ต้องโวยอีกครั้งเมื่อเห็นสำเนาโฉนดของอีกห้องหนึ่งซึ่งมีขนาดเกือบ 80 ตารางเมตร



"เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าคุณซื้อห้องชั้นล่างไว้อีกห้องด้วย?"

"ใช่จ้ะ ห้องข้างล่างจะมีไว้ให้คนอื่นเช่า ก็ถือว่าซื้อไว้ลงทุนแล้วกัน"

"ให้เขาเช่าในราคาหมื่นเก้าแทนที่จะได้สองหมื่นห้านี่มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าตรงไหนครับ?"

เจนยุทธบ่นลั่น

“หรือเจจะให้ฉันขึ้นค่าเช่าครอบครัวนั้น?”

คนตัวโตถามยิ้มๆ เจแยกเขี้ยวใส่คนรักที่ทำท่าจะกวนประสาทเขาเล่น

“ไม่ใช่ครับ! ผมแค่บ่นเฉยๆ ห้ามขึ้นค่าเช่าเขานะ เอาไว้ถ้าเขาย้ายออกค่อยว่ากันอีกที”

เจโคลงหัว



"แล้วนี่ไปทันซื้อเมื่อไหร่ครับ? ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย"

"ก็ ยังไม่เรียบร้อยหรอกจ้ะ รอโอน เดือนนี้ฉันเป็นคนจัดการเรื่องค่าเช่าของห้องชั้นล่างไปก่อน"

"เออ เจริญล่ะ เงินค่าเช่าได้น้อยยังไม่พอ ต้องไปจ่ายให้เขาอีกเดือนอีก"

เจบ่นเบาๆ เป็นภาษาไทย ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แม้เขาจะฟังที่คนรักบ่นไม่เข้าใจก็ตาม

"นายนี่ขี้บ่นจริงนะ เจนยุทธ บ่นเป็นคนแก่ไปได้"

"ชิ ใครกันแน่ที่แก่...โอ๊ยๆๆ"

เจพูดเบาๆ แต่ต้องร้องลั่นเมื่อโดนคนแก่หยิกแก้มด้วยความเอ็นดูเข้าอีกครั้ง

"แก้มผมจะย้วยหมดแล้วนะเฟ้ย ดึงกันอยู่ได้..."

คนตัวเล็กโวยลั่น ฆาเบียร์ยิ้มอย่างอารมณ์ดีและปล่อยให้เจอ่านเอกสารในแฟ้มต่อ



"แล้วนี่คุณต้องไปโอนห้องเมื่อไหร่ ตอนกลับเชียงใหม่เดือนหน้าเหรอ?"

"ไว้เจพร้อมเมื่อไหร่ก็โอนได้เลย"

คนตัวโตตอบด้วยท่าทีผ่อนคลาย เจขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่เขาพลิกดูผ่านๆ

"ทำไมต้องรอผมด้วยอ่ะ? ให้ผมไปช่วยแปลด้วยเหรอ?"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"นายนี่ไม่ไหวเลยนะ เจนยุทธ อ่านสัญญาไม่ละเอียดเลย"

คนตัวโตดึงเอกสารในมือเจมาแล้วเปิดให้ดูร่างสัญญาซื้อขายห้องที่พิมพ์มาเป็นเป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

"เอ้า ไหน อ่านดูอีกทีซิ อ่านละเอียดๆ ล่ะ"

เจทำหน้างงๆ แต่ก็อ่านใหม่อีกครั้งตั้งแต่ต้น



"เฮ้ย! อะไรกัน ฆาบี้! ทำไมเป็นชื่อผมล่ะ?..."

เจนยุทธรีบดึงสัญญาอีกชุดมาดู

"...ทั้งสองห้องเลยเหรอ? บ้าไปแล้ว ฆาบี้ ผม...ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ"

คนตัวเล็กเสียงสั่น มูลค่าของคอนโดทั้งสองห้องเมื่อรวมกันแล้วเกินสิบล้านบาท

"นายไม่ต้องคิดมากได้ไหม เจนยุทธ เฮ้อ..."

ฆาเบียร์ถอนหายใจ เจคงไม่ยอมรับของขวัญชิ้นใหญ่สองชิ้นนี้ของเขาไว้ง่ายๆ แน่ๆ

"เอางี้ คิดซะว่าฉันฝากนายถือไว้ในฐานะนอมินีของฉัน เวลาทำธุรกรรมหรือต้องเดินเรื่องอะไรจะได้ง่าย อย่างตอนซื้อก็ไม่ต้องมารอเช็คเรื่องสัดส่วนชาวต่างชาติในคอนโดด้วย"

เจพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ เขาพอรู้มาบ้างว่าในอาคารชุดแห่งหนึ่งนั้นจะอนุญาตให้มีผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ห้องเป็นชาวต่างชาติได้ไม่เกิน 49% ของจำนวนห้องทั้งหมด ฉะนั้นก่อนที่ชาวต่างชาติจะซื้อคอนโด จึงต้องทำการตรวจสอบและขอให้ทางคอนโดออกใบรับรองสิทธิ์ให้ก่อนจึงจะทำการโอนได้ เจคิดว่าคนรักของเขาคงไม่อยากจะต้องยุ่งยากกับเรื่องเหล่านี้

"อ๋อ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ได้ครับ แต่ถ้าถึงเวลาคุณจะขายทิ้งอะไร เงินก็ต้องกลับเข้ากระเป๋าคุณนะ พวกค่าเช่าอะไรด้วย ผมจะไม่ยุ่ง คุณให้บริษัทนายหน้าที่เชียงใหม่จัดการไปแล้วกัน ถ้าไม่ตกลงตามนี้ ผมก็ไม่เซ็นสัญญาให้"

เจนยุทธพูดเสียงแข็ง ฆาเบียร์พูดไม่ออกและได้แต่ตกลง เขานั่งทำหน้าเซ็งรอคนตัวเล็กที่มีใบหน้าแช่มชื่นขึ้นอ่านเอกสารสัญญาซื้อขายจนเสร็จ



"งั้น กลับไปผมจะไปจัดเตรียมเอกสารตามใบที่ขอมานี่แล้วรีบไปโอนคอนโดให้คุณนะ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะบอก"

"จ้ะ ถ้านายไม่สะดวกไปโอนเองก็ทำเรื่องมอบฉันทะอะไรให้เรียบร้อยแล้วกัน นามบัตรนายหน้าอยู่ในแฟ้มเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องค่าโอนและค่าคอนโด ฉันจะโอนเข้าไปที่บัญชีของเรานะ..."

คนตัวโตพูดถึงบัญชีที่เขาเปิดไว้ในชื่อของเจที่เชียงใหม่ มันเป็นบัญชีที่เขาเอาไว้ใช้โอนเงินจากต่างประเทศเข้าไปเก็บไว้ ในตอนแรกเขาตั้งใจเอาเงินใส่ไว้เพื่อให้เจเบิกเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน แต่คนตัวเล็กปฏิเสธอย่างนิ่มนวลและไม่เคยแตะต้องเงินก้อนนี้เลยเว้นแต่ไปเบิกเป็นเงินสดให้ฆาเบียร์นานๆ ทีเมื่อคนตัวโตต้องการเงินไทยติดกระเป๋าไว้

"ครับ ส่วนค่าเช่าห้องของผู้เช่าคุณ ก็ให้นายหน้าเขาโอนเข้าบัญชีนี้ด้วยเลยแล้วกัน ไม่ต้องเอามาเข้าที่ผม โอเคนะ?"

เจนยุทธยื่นคำขาดและฆาเบียร์ก็ทำได้แค่ยอมรับโดยดุษณี หากเจก็ยังดูมีทีท่าขัดอกขัดใจอยู่เล็กน้อย




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - Chit-Chat (18/3/62)
« ตอบ #459 เมื่อ: 18-03-2019 23:20:03 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - Chit-Chat (18/3/62)
«ตอบ #460 เมื่อ18-03-2019 23:31:57 »




---- Chit-Chat (ต่อ) ----




"ฆาบี้ครับ พูดก็พูดเหอะ ผมไม่เห็นด้วยที่คุณจะมาซื้อห้องที่คอนโดผมอ่ะ ห้องมันก็ตั้ง 5-6 ปีแล้ว คอนโดที่เชียงใหม่ราคาไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่ฮ่องกงนะครับ พอมีคอนโดใหม่มา ไอ้พวกนี้ก็ราคาไม่ขยับขึ้นละ คุณไปซื้อคอนโดใหม่ๆ ที่เพิ่งเสร็จดีกว่า..."

เจทำหน้ายุ่งและทักท้วงคนตัวโต หากฆาเบียร์ส่ายหน้า

"เป็นที่นี่ดีแล้วจ้ะ สาเหตุหนึ่งที่ฉันซื้อคอนโดห้องข้างๆ เราไว้ก็เพราะอาปาเคยเปรยๆ ไว้ว่าอยากได้ห้องที่อยู่ใกล้ๆ พวกเราไว้ เผื่อวันไหนอาปาอยากมาหาเราปุบปับจะได้มาได้เลยโดยที่มีที่นอน หรือถ้ายัยเมลิน่าหรือริคกี้ต้องมาเชียงใหม่ก็จะได้มีที่นอนด้วย"

คนตัวเล็กทำตาเหลือก

"เฮ้ย ยิ่งเป็นแบบนั้นก็น่าจะต้องหาห้องดีๆ ให้อาปาสิครับ จะให้นอนห้องนั้นได้ไง ทำไมคุณไม่เก็บห้องใหญ่ไว้ให้อาปาล่ะ?"

ฆาเบียร์เกาหัวแกรกๆ

"เอ่อ ห้องนี้แหละดีแล้ว อาปาจะได้อยู่ติดห้องเราไง"

คนตัวโตพูด หากเจนยุทธก็ยังไม่หายสงสัย



"คุณอยากได้ห้องนี้เพราะแค่นี้จริงๆ เหรอ ฆาบี้? ผมว่ามันแปลกๆ ว่ะ ไหน สารภาพมา คุณติดใจอะไรห้องข้างๆ นักหนา หือ?"

เจโน้มกายข้ามโต๊ะทำงานของฆาเบียร์และแกล้งกระชากคอเสื้อของคนรักและดึงให้เข้ามาใกล้ คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่

"โอเคๆ ฉันยอมก็ได้ ฉันซื้อห้องนี้ เพราะ เอ่อ เพราะ..."

เจนยุทธหรี่ตามองคนที่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่

"เพราะจดหมายคอมเพลนฉบับนั้นใช่ไหม?"

คนตัวเล็กถาม ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ ในวันที่เจได้รับจดหมายต่อว่าเรื่องเสียงดังนั้น หนุ่มละตินได้หาโอกาสลงไปสอบถามกับทางนิติบุคคลของคอนโดว่าห้องข้างๆ นั้นเปิดให้ซื้อได้หรือไม่ เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วเขาจึงจัดการให้นายหน้าไปติดต่อเจรจาขอซื้อทันทีที่กลับมาถึงฮ่องกง

“ฆาบี้ครับ ผมบอกคุณแล้วว่าคุณไม่ต้องมาสิ้นเปลืองเงินทองอะไรกับผม ผมมันไม่ได้มีค่าคุ้มเงินคุณขนาดนั้นหรอกนะครับ”

คนตัวเล็กพูดเสียงแผ่วเบาพร้อมปล่อยคอเสื้อคนรัก เขากระแทกกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่สบอารมณ์ ฆาเบียร์ขยับกายมานั่งบนขอบโต๊ะด้านหน้าของเจ เขาโน้มกายเข้าหาเจนยุทธและกุมมือคนรักไว้

“ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรสักหน่อย อีกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อ pleasure ของตัวเองด้วย”

คนตัวโตยกมือคนรักขึ้นจูบเบาๆ เจนยุทธหน้าแดงซ่าน เขาเข้าใจดีว่าฆาเบียร์หมายถึงอะไร



“แหม ฆาบี้ คุณชอบเห็นตัวเองในกระจกขนาดนั้นก็ไม่บอก ก็ได้ครับ กลับบ้านไปคราวหน้า ผมจะจัดคุณหน้ากระจกอีกหลายๆ ครั้งให้หนำใจเลยดีไหม?”

คราวนี้ถึงตาคนตัวโตหน้าร้อนผ่าวบ้างเมื่อเจประกาศลั่นว่าจะ nail เขาหน้ากระจก เขาอดนึกถึงใบหน้าอันแสนยั่วยวนของตัวเองยามที่ถูกเจกอดไม่ได้

“นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ เจนยุทธ ว่าแต่ชอบกระจกแบบนั้น เจไม่ติดกระจกในห้องนอนหรือที่เพดานเลยล่ะจ๊ะ?”

ฆาเบียร์พูดพลางตบแก้มป่องๆ ของคนรักด้วยความเอ็นดู หากคนตัวเล็กส่ายหน้าระรัวทันที

“โอย ไม่ไหวหรอกคุณ ติดกระจกในห้องนอนน่ะน่ากลัวจะตาย…”

เจขยายความเมื่อคนรักมองหน้าเขาด้วยความสงสัย

“โธ่ คุณ ตกใจตายพอดีเวลาตื่นมาเจอเงาตัวเองในกระจกตอนกลางดึก แล้วยิ่งน่ากลัวกว่าถ้าไม่เจอหรือเจอเป็นเงาอย่างอื่นล่ะ โอย ขนลุกๆๆๆ”

คนตัวโตหัวเราะก๊ากออกมาทันทีเมื่อเห็นคนรักสยิวกายและทำหน้าเบ้ เขาแทบลืมไปแล้วว่าเจกลัวพวกสิ่งที่มองไม่เห็นนี้แค่ไหน คนตัวเล็กทำหน้าบูดทันที



“ไม่ขำเลยนะ ฆาบี้ มันน่ากลัวจริงๆ เหอะ”

เจว๊ากเบาๆ

“เออ พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมเพิ่งนึกได้ ผมยังไม่ได้คิดบัญชีคุณเรื่องที่ทำให้ผมตกใจเมื่อเช้าเลยนะ”

เจแกล้งทำหน้าบึ้ง

"ไม่ได้คิดบัญชีอะไรกัน เจนยุทธ นายถีบฉันเข้าไปโครมใหญ่เลยนะ"

คนตัวโตทำหน้าเหยเก เขายังจำฤทธิ์ลูกถีบพิฆาตของเจได้

"นั่นโทษฐานทำให้ผมตกใจนึกว่ามีคนโรคจิตเข้าห้อง..."

คนตัวโตทำหน้างง

"แล้วนายยังนึกว่าฉันเป็นอะไรอีก?"

"โหย คุณ จังหวะที่ผมพลิกตัวกลับมาแล้วจะถีบออกไป ตอนนั้นผมเกิดคิดแว่บขึ้นมาว่า ถ้าผมถีบออกไปแล้วมันทะลุผ่านตัวออกไปเลยหรือว่าไอ้เงาดำนั่นมันหายแว่บไป ผมจะทำยังไง แต่มานึกเอาตอนที่ขามันถีบออกไปแล้ว"

เจพูดเสียงอ่อยๆ และทำท่าขนลุกขนพอง ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาคงต้องหัวใจวายตายแน่ๆ



"นี่ คุณ! หัวเราะอะไรครับ มันขำขนาดนั้นเลยเหรอ?"

เจนยุทธว๊ากใส่คนที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน ฆาเบียร์ถึงขั้นทรุดตัวลงไปนั่งหัวเราะกับพื้น เขาพยายามกลั้นหัวเราะแต่ก็ยังหลุดเสียงพรืดๆ ออกมาอยู่ดี ยิ่งมองหน้าน้อยๆ ของคนรักที่ทำแก้มพองอย่างไม่สบอารมณ์เขายิ่งอดหัวเราะไม่ได้

"โอย ขอโทษจ้ะ ฉันอดไม่ได้จริงๆ"

คนตัวโตขอโทษขอโพยพร้อมปาดน้ำตา

"นี่นายกลัวผีขนาดนั้นจริงๆ เหรอเจ? คือ ถ้าเป็นฉันก็คงคิดว่าเป็นแค่คนโรคจิต"

เจทำหน้าตูม

"กลัวสิครับฆาบี้ ก็ที่ริทซ์ฮ่องกงมันยิ่งมีประวัติอยู่อ่ะ"

"หืมม์? นายพูดถึงอะไร?"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว

"อ้าว คุณไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เหรอ? ที่นี่เคยมีคดีฆาตกรรมนะครับ ผู้ชายเกาหลีฆ่าเมียและลูกอ่ะ"

เจนยุทธเปิดมือถือของเขาเพื่อหาข่าวดู



"เฮ้ย!"

คนตัวเล็กอุทานลั่นออกมา ฆาเบียร์มองดูใบหน้าคนรักที่ค่อยๆ ซีดเผือดลงด้วยความงุนงง

"เจ เป็นอะไร?"

"คะ...คุณ อ่านนี่สิ"

คนตัวโตขมวดคิ้วและรับโทรศัพท์ของเจนยุทธมาจากมืออันสั่นเทา เขาอุทานออกมาทันทีเมื่ออ่านข้อความในนั้น

"เอ๊ะ ชั้น 109 ก็ชั้นเดียวกับห้องของเราไม่ใช่เหรอ?"

เจนยุทธพยักหน้าและมีทีท่าเหมือนจะเป็นลม

"คุณ เรื่องมันเพิ่งเกิดเมื่อกลางเดือนมกราที่ผ่านมาเองนะ! คุณไม่รู้เรื่องสักนิดเลยเหรอ?"

คนตัวโตส่ายหน้าอย่างงุนงง

"ช่วงนั้นฉันน่าจะงานยุ่ง วีคนั้นถ้าจำไม่ผิดฉันน่าจะไปจีนหรือญี่ปุ่นนี่แหละ จำไม่ได้เหมือนกัน แต่คิดว่าไม่ได้อยู่ที่โรงแรม เพราะถ้าอยู่ฉันก็คงรู้เรื่องแล้ว"

ฆาเบียร์ทำท่าครุ่นคิดแล้วก็โคลงหัวเบาๆ

"มิน่าล่ะ พอฉันกลับมา พวกสาวๆ ทีมเลขาฯ ก็มาเลียบๆ เคียงๆ ถามใหญ่ว่ามีอะไรแปลกๆ ที่แถวๆ ห้องฉันไหม? ตอนแรกฉันก็ยังไปคิดว่าพวกนั้นคงไปได้ยินเรื่องผีในโรงแรมอะไรมาเลยมาถาม แต่พอฉันทำท่างงๆ แล้วถามกลับไปว่ามีอะไร ไปได้ยินอะไรมา ยัยพวกนั้นก็ไม่ยอมพูดอะไรให้ฟัง"

คนตัวโตที่ไม่กลัวผีหรือวิญญาณใดๆ หัวเราะเบาๆ หากเจก็ยังทำท่ากระสับกระส่าย



"โอย ฆาบี้ ผมไม่น่าไปทะลึ่งหาข่าวนี้มาอ่านเลยอ่ะ ถ้าไม่รู้ก็ไม่คิดอะไรมากแล้ว ทีนี้ผมจะทำไงอ่ะ จะกล้าเดินกลับห้องคนเดียวไหมอ่ะ?"

เจนยุทธทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ฆาเบียร์ลูบหลังคนรักเบาๆ

"เอาน่า เจ อย่างน้อยก็สบายใจได้เปลาะหนึ่งว่ามันไม่ใช่ห้องที่เราพักอยู่แน่ๆ เพราะว่าฉันอยู่ที่ห้องนี้มาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว"

"แต่อาจจะเป็นห้องติดกันก็ได้อ่ะ ห้อง suite ของที่นี่มันคือห้องหัวมุมสองห้องของแต่ละมุมใช่ไหมครับ"

เจยังคงเสียงสั่นน้อยๆ

"เลิกคิดมากได้แล้ว เจนยุทธ ไม่มีอะไรหรอก ถ้าจะเจอนายเจอนานแล้วน่า"

ฆาเบียร์ขยี้ผมที่เริ่มยาวขึ้นของเจ เจ้าตัวแสบของฆาเบียร์ทำหน้ามุ่ย

"ก็คนมันกลัวนี่ครับ โอเคๆ ไม่คิดแล้วก็ได้ เอางี้ คืนนี้ผมกลับไปนอนที่บ้านบนพีคกับอาปาดีกว่า"

เจพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

"เฮ้ย ได้ยังไง เจ เจอกันยังไม่ถึงคืน นายจะหนีฉันไปนอนบ้านอาปาไม่ได้นะ ฉันยังกอดนายไม่หนำใจเลย"

ฆาเบียร์ร้องลั่น เจแอบอมยิ้ม พ่อเจ้าประคุณของเขาช่างไม่เก็บอาการเลยสักนิด

"ไม่ไปก็ได้ แต่ผมไม่ขออยู่บนห้องคนเดียวนะ จะมาบ่นรำคาญว่าผมอยู่ตัวติดกันกับคุณตลอดเวลาไม่ได้แล้วนะครับ"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ พลางใช้แขนเกี่ยวเกาะแขนคนรักไว้แน่น

"ได้สิ ฉันไม่บ่นหรอก"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เขาจูบเรือนผมของเจ้าตัวดีที่ทำท่าออเซาะเขาเบาๆ เจเงยหน้าขึ้นจุ๊บแก้มคนรักเบาๆ และซบหน้าลงที่ไหล่กว้าง คนตัวโตขยับให้เจอิงแอบเขาถนัดและปล่อยให้เจ้าตัวดีนั่งเล่นเกมไปตามเรื่อง ส่วนตัวเองก็นั่งอ่านงานต่อจากในแท็บเล็ต



"ฆาบี้ครับ เรื่องคอนโดที่เชียงใหม่อ่ะ..."

เจพูดขึ้นเบาๆ ตอนที่พวกเขากลับเข้ามาถึงห้องพักของฆาเบียร์บนชั้น 109 ของอาคารไอซีซี

"อืมม์ ทำไมเหรอ เจ ห้องที่เชียงใหม่ทำไม?"

คนตัวโตซึ่งกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่สบายๆ กว่าเดิมหันมาถาม

"คือ ห้องที่อยู่ติดห้องผมอ่ะ ผมขอช่วยจ่ายด้วยได้ไหมอ่ะ ให้คุณจ่ายเองหมด ผมเกรงใจ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขารู้สึกไม่สบายใจเมื่อรู้ว่าฆาเบียร์ซื้อห้องนี้เพื่อตัวเขา

"โอ๊ย ไม่ต้องเกรงใจอะไรหรอก เจ"

ฆาเบียร์ซึ่งตอนนี้ใส่เสื้อคอโปโลและกางเกงขาสั้นทรงเบอร์มิวดาเดินเข้ามานั่งเคียงข้างคนรักที่เก้าอี้ยาวปลายเตียง

"...มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่าง เงินที่ฉันจะเอามาซื้อคอนโดที่เชียงใหม่นะ ก็คือเงินที่ได้มาเพราะเจด้วยนะ"



"หือ? คุณพูดอะไรอ่ะ? ผมไม่เข้าใจ"

เจนยุทธถามด้วยความงุนงง คนตัวโตยิ้มเผล่และอธิบายให้คนรักฟัง

"ก็มันเป็นเงินชดเชยที่ฉันได้มาจากตาลุงบรรณาธิการเว็บกอสซิปน่ะสิ"

หนุ่มละตินพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เจทำตาโต

"ฮ้า นี่ฟ้องร้องกันเสร็จแล้วเหรอ? ทำไมเร็วจัง ถึงเดือนแล้วเหรอคุณ?"

คนตัวโตส่ายหัว

"ไม่จ้ะ สรุปว่าเรื่องไปไม่ถึงศาล เราตกลงกันได้ก่อนโดยที่ทางนั้นยอมรับผิดและเซ็นสัญญาว่าจะเลิกยุ่งกับฉันและคนรอบข้าง..."

"โหย ดีใจด้วยครับ ฆาบี้ พ้นปากเหยี่ยวปากกาไปได้สักที"

เจอุทานออกมาด้วยความยินดี เขารู้ว่าคนตัวโตต้องทนทุกข์ใจกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียๆ หายๆ แค่ไหน



"เรื่องนี้ฉันต้องขอบใจนายนะ เจนยุทธ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของเจ ฉันก็คงจัดการกับตาแก่นั่นไม่ได้"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ

"นายยังทำให้ฉันรวยขึ้นอีกห้าแสนเลยนะ"

เจขมวดคิ้ว

"ห้าแสนบาทเหรอครับ? ทำไมเขาจ่ายชดเชยคุณน้อยจัง"

เจถามงงๆ ในตอนที่ฆาเบียร์บอกเขาว่าจะฟ้องร้องเว็บข่าวกอสซิปนั้น เขากะว่าเจ้าตัวน่าจะเรียกเงินชดเชยไม่ต่ำกว่าหลักล้านบาท

"เจจ๊ะ ที่ว่าห้าแสนน่ะ หน่วยเป็นดอลลาร์สิจ๊ะ"

"ห๊ะ?? 15 ล้าน?"

เจร้องเสียงหลง คนตัวโตหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนรัก

"ใช่จ้ะ ไม่ใช่แค่นั้นนะ ตาลุงนั่นกับทางเว็บต้องจ่ายให้บริษัทฉันอีกล้านนึงด้วยเป็นค่าความเสียหายทางธุรกิจที่เกิดขึ้นเพราะข่าวบ้าๆ นั่น"



"เฮ้ย! แล้วเขายอมจ่ายด้วยเหรอ? กับเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?"

ฆาเบียร์ยิ้มเย็น

"ยอมอยู่แล้วสิ ก็ทนายฉันขู่ว่าถ้าไม่ยอมจ่ายตามนี้ ก็ไปเจอกันในศาล ถึงในตอนนั้นเขาจะเรียกร้องตามมูลค่าความเสียหายจริงซึ่งมันอาจสูงกว่าล้านเหรียญก็ได้"

เจทำหน้าจ๋อยเมื่อได้ยินแบบนั้น

"โหย เรื่องของผมทำให้พวกคุณต้องเสียหายขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ผมขอโทษจริงๆ ครับฆาบี้"

เจนยุทธยกมือไหว้คนรักอย่างลืมตัว คนตัวโตรีบยกไม้ยกมือปฏิเสธทันที

"ไม่ใช่ เจนยุทธ โธ่ อย่าคิดแบบนั้นสิ คิดซะว่าถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ ฉันก็ต้องทนโดนโจมตีฝ่ายเดียวไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ แล้วมันก็เป็นความผิดของฝ่ายนั้นเต็มๆ ที่เอาเรื่องที่ไม่มีมูลไปเขียนเสียจนเป็นเรื่องใหญ่โต"

ฆาเบียร์แค่นหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงว่าอีกฝ่ายฮุบเหยื่อที่เขาวางล่อไว้จนเต็มคำ ถึงรูปและแค็ปชั่นที่เขาให้อิ่มใจโพสต์ลงในเพจของตนนั้นจะเฉลยในตัวแล้วว่า "กิ๊กใหม่วัยใส" ของฆาเบียร์นั้นที่จริงก็คือเจนยุทธ หากเขาค่อนข้างมั่นใจว่าอคติและความเกลียดชังที่บรรณาธิการรุ่นใหญ่คนนั้นมีต่อตัวเขาจะทำให้ฝ่ายนั้นลงข่าวทำลายตัวเอง



"แต่มันคุ้มเหรอครับฆาบี้ เงินแค่ล้านห้าน่ะ เมื่อเทียบกับชื่อเสียงคุณกับความเสียหายที่บริษัทได้รับน่ะ"

"คุ้มสิเจ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม..."

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ แม้ข่าวที่ออกมาจะร้ายแรงเกินกว่าที่เขาคาดไปจนกระทั่งกระทบถึงบริษัท แต่มันก็คุ้มกับสิ่งที่เขาได้รับในตอนนี้

"ที่ฉันว่าคุ้มน่ะ ไม่ใช่เรื่องของตัวเงินหรอกนะ แต่มันคือความสบายใจและความโล่งใจที่ว่าในอนาคตฉันไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงกับเรื่องบ้าบอนี้อีก ถึงฉันจะเป็นแบบนี้ หน้าหนาขนาดนี้...อ๊ะ"

คนตัวโตขยับหลบเมื่อเจทำท่าจะดึงหนังหน้าเขาเพื่อพิสูจน์ เขาจับมือนุ่มมาหอมเบาๆ และพูดต่อ

"...ถึงฉันจะชินกับการนินทาว่าร้าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่สะดุ้งสะเทือน หลายครั้ง หลายข่าวมันทำให้ฉันโมโหหรือเครียดจนปวดกระเพาะเลยก็มี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันล้วนแต่มีมูลน่ะ"

"เอ๊ะ แล้วถึงเขาจะลงข่าวว่าคุณควงคนนั้นคนนี้ หรือที่บอกว่าคุณไปติดโรคอะไรมา หรือที่เรียกโดยใช้คำเรียกแย่ๆ อย่าง เอ่อ อย่าง..."

เจอ้ำๆ อึ้งๆ เขาไม่อยากพูดคำแสลงใจคนรักอย่าง hole hunter หรือ man slut แบบที่เว็บนั้นใช้ออกมา



"เฮ้อ พวกนั้นเอามาฟ้องไม่ได้หรอกจ้ะ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดแทรกคนรัก

"สำหรับกฎหมายอเมริกันแล้ว การจะฟ้อง defamation ได้นั้น สิ่งที่อีกฝ่ายพูดหรือตีพิมพ์ต้องพิสูจน์ได้ว่าเป็นความเท็จ และต้องเป็นข้อความที่ถูกนำเสนอว่าเป็น fact..."

คนตัวโตยกตัวอย่างว่าเมื่อคราวที่เขาป่วยช่วงก่อนงานเปิดตัวบริษัทที่ฮ่องกง เว็บไซต์นี้นำเสนอข่าวทำนองว่าเขาอาจจะเป็นโรคร้าย หากในตอนนั้นเขาไม่สามารถฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทได้

"...เพราะทางนั้นเขาเขียนแค่ว่าฉันดูผอมโทรมไป 'หวังว่าจะไม่ได้ไปติดเชื้อ HIV มาจากไหนนะ' เจพอเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่าทำไมถึงฟ้องไม่ได้"

"ครับ เพราะเขาไม่ได้บอกมาว่าคุณผอมโทรมเพราะไปติดเชื้อ HIV มา แต่เป็นแค่ข้อสังเกต ถือเป็นแค่ opinion ไม่ใช่ fact ใช่มะ? แต่แหม มันก็ชี้นำให้คนคิดไหมล่ะ..."

เจนยุทธมีสีหน้าขุ่นเคืองและพูดต่อ

"...นี่ถ้าเป็นเมืองไทย ตาลุงนั่นได้ติดคุกแน่"

คนตัวโตทำหน้าสงสัย เจอธิบายต่อ

"ที่ไทย กฎหมายหมิ่นประมาทนี่มีไว้จัดการพวกปากหอยปากปูเลยครับ ถ้าคุณพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับคนอื่น ทำให้คนๆ นั้นเสียชื่อเสียงหรือก่อให้เกิดความเกลียดชัง ต่อให้เรื่องที่พูดเป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว ก็ถือว่าหมิ่นประมาท เขามีคำพูดเลยนะว่า ยิ่งจริง ยิ่งหมิ่น"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ทำท่าสนใจและซักถามรายละเอียดต่อ แต่ยิ่งถามเจ้าตัวแสบของเขาก็ยิ่งอึกอัก



"เอ่อ ผมจำได้แค่นี้อ่ะ รายละเอียดนี่ผมคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว เดี๋ยวผมขอถามอากู๋แป๊บนึง"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาเคยลงวิชากฎหมายเบื้องต้นมาแค่เทอมเดียวซึ่งความรู้ส่วนใหญ่ก็ลงหม้อลงไหไปหมดแล้ว ฆาเบียร์หัวเราะและลูบหัวคนรักเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

"ไม่เป็นไรจ้ะ ไว้วันหลังก็ได้ เราเลิกคุยเรื่องนี้กันดีกว่า เรื่องมันจบไปแล้ว ฉันก็สบายใจไปเปลาะนึง"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ เขาบอกส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาฟ้องอีกฝ่ายได้ยากก็เพราะความเป็นบุคคลสาธารณะของเขา

"ที่สหรัฐฯ นักธุรกิจที่เคยออกสื่อนั่นนี่อย่างฉันก็เข้าข่ายเป็นบุคคลสาธารณะ หรือแม้กระทั่งช่วงหลายปีก่อนตอนที่ฉันยังไม่ได้เข้ามารับตำแหน่งเต็มตัว ฉันก็เป็นบล็อกเกอร์ที่มีคนรู้จักและติดตาม ไอ้สถานะนี้แหละทำให้ฉันฟ้องร้องตาแก่นั่นไม่ได้..."

คนตัวโตเล่าต่อว่าสำหรับกฎหมายสหรัฐฯ แล้ว บุคคลสาธารณะเหล่านี้ถูกจำกัดสิทธิในการฟ้อง defamation มากกว่าบุคคลธรรมดา เขามองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามปกป้องสื่อมวลชนเพื่อให้ทำหน้าที่เสนอความจริงได้อย่างไม่ต้องกลัวอำนาจใคร

"แต่สื่อสมัยนี้มันก็อย่างที่เจเห็น มีพวกสื่อออนไลน์ไร้คุณภาพต่างๆ พวกเว็บกอสซิป พวกนี้ก็ได้รับการปกป้องไปด้วย"



ฆาเบียร์เล่าต่อว่าสำหรับบุคคลสาธารณะแล้ว แค่บอกว่าคนเหล่านั้นกล่าวหาอย่างไม่มีมูลยังไม่พอ แต่ยังต้องพิสูจน์ว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาร้ายและมุ่งหวังให้เกิดความเสียหายแก่ตน หรือเป็นการกระทำที่มีการละเลยในการหาความจริงว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นเป็นความจริงหรือเท็จ

"เพราะข้อนี้ ฉันถึงไม่เคยฟ้องได้เลย เพราะรายนั้นเขานกรู้ หลบเลี่ยงได้ตลอด แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าพลาดได้ยังไง อาจจะย่ามใจเกินไป เห็นว่าฉันไม่เคยตอบโต้ก็เลยเล่นหนัก กะให้ฉันล่มจมย่อยยับ แต่ที่ไหนได้..."

คนตัวโตหัวเราะหึๆ อย่างสาแก่ใจ

"เออ โดนเต็มๆ เลยคุณ ทั้งมีเจตนาร้าย ทั้งเป็นความเท็จและยังเห็นๆ ว่ามีความจริงอยู่ตรงหน้าแต่ตาลุงแกเลือกที่จะมองข้ามไปด้วยอ่ะ"

ฆาเบียร์พยักหน้า ในโพสต์ที่เขาอ่อยเหยื่อไว้นั้น เขายังปราณีเหลือทางถอยให้กับศัตรูโดยเขียนเฉลยไว้ข้างท้ายว่าหนุ่มน้อยในรูปนั้นไม่ใช่ใครหากเป็นเจนยุทธเอง ถ้าฝ่ายนั้นเขียนแค่จิกกัดว่านึกว่าเขามีแฟนใหม่เป็นเด็ก แต่ที่จริงเป็นเจนยุทธ เขาก็ไม่คิดจะเอาความใดๆ แต่นี่ทางนั้นแสดงเจตนาร้ายออกมาโดยการเลือกเอาแต่รูปที่เห็นหน้าเจไม่ชัดและไม่พูดถึงว่าคนๆ นั้นที่จริงเป็นใคร จึงได้พลาดให้กับเขาเข้าเต็มที่

"จ้ะ แล้วยังอวดฉลาดไปหาข้อมูลมาอีกด้วยนะว่าเจเป็นเด็กโรงเรียนไหนยังไง ทีนี้เลยมัดตัวชัดเลย อ้อ ฉันต้องขอบใจที่เจส่งรูปตอนเป็นนักเรียนมายืนยันให้ด้วยนะ รูปมันมี time stamp ให้เห็นชัดๆ เลยว่าชุดแบบเจมันเป็นรุ่นเก่า ไม่ใช่แบบที่ตาลุงนั้นพูดไว้"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขาไม่ได้ไปคุยกับคู่กรณีโดยตรง แต่ทนายของเขาบอกมาว่าบรรณาธิการคนนั้นถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้เห็นหลักฐานยืนยันชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเห็นกราฟหุ้นของบริษัทฆาเบียร์ที่ดิ่งลงหลังจากเกิดข่าวนี้ขึ้น



"แล้วนี่คุณเคลียร์จบหมดทุกอย่างแล้วเหรอครับ? ตกลงว่าเรียกร้องอะไรไปมั่งนะ?"

เจนยุทธถาม

"ก็ขอสัญญาที่ว่าจะไม่มีการเขียนข่าวใดๆ เกี่ยวกับฉันและคนรอบข้างอีก แล้วก็ค่าเสียหายตามที่บอก และท้ายที่สุดก็คือคำขอโทษอย่างเป็นทางการ โดยให้เจ้าตัวต้องมาพบฉันที่ฮ่องกงเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจกันด้วย ก็น่าจะมาหลังจากที่เจกลับไปแล้วน่ะ"

"อ้าว แล้วไม่ให้ลงแก้ข่าวหรือลงขอโทษในเว็บเขาด้วยล่ะครับ?"

คนตัวโตส่ายหัวทันที

"ไม่มีประโยชน์จ้ะ เรื่องนั้นฉันแก้ข่าวเองก็ได้ ไอ้เจ้า retraction หรือการลงขอโทษเนี่ยกลับทำให้เรียกร้องอะไรได้น้อยลงด้วย เพราะถือว่าเจ้าตัวประกาศขอโทษแล้ว แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะทำให้ตาแก่นั่นเข็ดหลาบจริงๆ หรอก"

"อ๋อ งั้นทำแค่ที่คุณทำก็โอแล้วครับ ดี เอาให้เข็ดหลาบไปซะ"

เจพยักหน้าหงึกหงัก ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ



"แล้วหลังจากจบเรื่องรายนี้ ฉันก็จะให้ทนายเดินหน้าส่ง notice ให้สื่ออื่นที่เอาเรื่องนี้ไปลงด้วย ลองดูแล้วแต่ความรุนแรงที่เอาไปขยายความต่อ รายไหนแค่เอามาตรงๆ ไม่ไปใส่สีตีไข่ต่อ ก็แค่ให้ลงขอโทษ ส่วนเจ้าไหนเอาไปเขียนด่าแรงๆ นั่นก็ว่ากันอีกที นายอาจจะได้คอนโดเพิ่มอีกหลายห้องก็ได้นะ"

คนตัวโตหัวเราะอย่างอารมณ์ดี หากเจนยุทธจิ๊ปาก

"ชิ ไม่ต้องเลยครับ ฆาบี้ คอนโดของคุณสิ ไม่ใช่ของผม ผมแค่เป็นนอมินีให้นะ"

เจย่นจมูกให้คนรัก ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ ให้กับความหัวแข็งของเจ้าตัวดีของเขา

"เอาเถอะๆ จะของใครก็ค่อยว่ากันอีกที ว่าแต่ตอนนี้ห้าโมงกว่าแล้ว ไหนนายบอกว่านัดแพทริคกับอลันไว้ไม่ใช่เหรอ?"

"เออ เฮ้ย ตายห่าน เราสายแล้วครับ ฆาบี้ ไปๆๆ รีบไปกันเถอะ โอย พี่บูมส่งไลน์มาเร่งแล้ว"

เจรีบเด้งตัวลุกจากม้านั่งปลายเตียงทันทีที่เห็นไลน์ของพี่ชาย เขารีบคว้าสารพัดสิ่งของยัดใส่กระเป๋า messenger หนังใบเก่งของเขา



"นี่ๆ ช้าๆ ก็ได้เจ เดี๋ยวก็ขาพันกันล้มหรอก นี่ต้องรีบขนาดนั้นเลยเหรอ?"

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ เจรีบหันมาพยักหน้ารัวๆ

"ครับ ต้องรีบสิ พี่บูมกับพี่อลันเขาอุตส่าห์ไปเข้าคิวรอให้ก่อนตั้งเป็นสิบนาทีแล้ว อิร้านนี้ถ้าคนมาไม่ครบจำนวนที่แจ้งไว้ ต่อให้ถึงคิวเขาก็ไม่ให้เข้าอ่ะครับ เราต้องรีบไปไม่งั้นเสียสิทธิ์แน่ๆ "

คนตัวโตร้องอ๋อ แล้วก็ต้องหัวเราะเบาๆ เมื่อเจรีบลากมือเขาออกจากห้องอย่างรวดเร็ว

"จ้ะๆ ฉันรู้แล้วว่าเจรีบ งั้นเดี๋ยวถ้าถนนว่างฉันเหยียบให้เลย โดนใบสั่งก็ช่างมัน โอเคไหม?"

"ได้ก็ดีครับ ที่รัก ทำไงก็ได้ ขอให้ไปทัน"

เจหันมายิ้มให้ฆาเบียร์พร้อมด้วยแววตาอ้อนวอน คนตัวโตโคลงหัวพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร หลังจากคุยกับปลายสายเป็นภาษากวางตุ้งเสร็จเขาก็ชวนเจลงลิฟท์ไป



"อ้าว เราไม่ลงไปที่ชั้นจอดรถเหรอครับ?"

เจถามเมื่อเห็นคนรักกดลิฟท์จากล็อบบี้โรงแรมลงไปยังชั้น 9 อันเป็นโถงทางเข้าของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันแทนที่จะไปยังลานจอดรถ คนตัวโตส่ายหัว

"เดี๋ยวไปรถอาปาแล้วกัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาวนหาที่จอด แล้วขากลับก็ให้เขาแวะมาหย่อนเราเอารถที่นี่แล้วค่อยไปสนามบิน"

เจผงกหัวตอบรับด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม

"ไงก็ได้ครับ ขอให้ไปถึงเร็วๆ ว่าแต่คุณยืนรอคิวไหวหรือเปล่า? เห็นพี่บูมว่าดูๆ แล้วน่าจะประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง"

คนตัวโตถอนหายใจ โดยปกติเขาไม่ค่อยได้ไปตามร้านที่ต้องรอคิวนานนัก แต่ในเมื่อเจอยากกิน เขาก็ไม่ขัด

"ถ้าเจไหว ฉันก็ไหวจ้ะ..."

ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักเดินออกจากลิฟท์ผ่านโถงทางเข้าออกมายังลานหน้าโรงแรม พวกเขายืนรอเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่รถเบนท์ลีย์ มุลซานน์คันงามของคริสก็เคลื่อนมาจอดตรงหน้า ฆาเบียร์เปิดประตูให้เจนยุทธเข้าไปก่อนจากนั้นเดินอ้อมไปขึ้นอีกข้างหนึ่ง เจทักทายคนขับรถประจำตัวของคริสก่อนที่จะบอกจุดหมายปลายทางของเขา

"ไปร้าน Kam's Roast Goose ครับ"



(เม้ากันต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - Chit-Chat (18/3/62)
«ตอบ #461 เมื่อ18-03-2019 23:34:30 »






เม้ากันต่อตรงนี้ค่ะ ตัดตอนผิดไปหน่อย แหะๆๆๆ


-------------------------------------------


ตอนแรกว่าตอนนี้จะเขียนถึงร้านห่านย่างมีดาว ไปๆ มาๆ อะไรก็ไม่รู้งอกออกมาเต็มเลย งั้นไปชิมห่านกันตอนหน้าแล้วกันนะคะ


ตอนนี้ช้านิดเพราะรวบรวมสมาธิไม่ได้ เขียนได้ทีละเล็กละน้อย มาอัดเอาสองสามวันนี้ ต้องขออภัยด้วยนะคะ จะพยายามมาให้เร็วกว่านี้ ในตอนนี้มีบ่นนั่นนี่หน่อย หลักๆ ก็เรื่องไอ้เจ้าปัญหาฝุ่นควันนี่แหละค่ะ เขียนด้วยความเซ็งล้วนๆ ตอนที่พิมพ์อยู่นี่ก็ยังได้กลิ่นควันถึงในห้องนอนเลยค่ะ เจ็บคอมาหลายวันด้วย ช่วงสองสามวันมานี้แย่มากๆ จริงๆ แต่ไทม์ไลน์ในเรื่องของเรานั้นยังอยู่ที่เดือน พ.ค. 2018 นะคะ


พูดถึงเรื่องหมอกควัน ก็อยากให้ความรู้เรื่องฝุ่นละอองเล็ก pm. 2.5 กับคนอ่านหน่อย ในช่วงที่แล้วคนที่อยู่กทม. ก็คงได้เห็นฤทธิ์มันไปแล้ว คำว่า PM นี้ย่อมาจาก Particulate Matters ซึ่งใช้อ้างอิงถึงอนุภาคที่ล่องลอยอยู่ในอากาศไม่ว่าจะเป็นของเหลวหรือของแข็ง โดยจำแนกออกมาได้หลายขนาด หลักๆ ที่เคยเห็นในการใช้วัดค่ามลพิษในอากาศคือ PM 10 หมายถึงอนุภาคที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยเล็กกว่า 10 ไมครอน แต่ที่กำลังเป็นประเด็นฮอตในตอนนี้คือ PM 2.5 หรืออนุภาคที่ีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน

แล้วไอ้เจ้าอนุภาคตัวนี้มันร้ายอย่างไร? ความร้ายกาจของมันคือ มันเล็กจิ๋วมากจนสามารถฝ่าแนวกั้นตามธรรมชาติของคนเราคือขนจมูกเข้าไปสู่ระบบทางเดินหายใจและปอดได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสามารถเข้าร่างกายเราผ่านทางรูขุมขนได้อีกด้วย เมื่อเจ้าอนุภาคนี้เข้าสู่ร่างกายมากๆ เบื้องต้นก็ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตา โพรงจมูกและผิวหนัง และเมื่อเข้าไปสะสมในร่างกาย มันก็จะไปกระตุ้นให้คนที่มีอาการป่วยเช่นภูมิแพ้และหอบหืดมีอาการรุนแรงขึ้น เช่นเดียวกับโรคร้ายอย่างถุงลมโป่งพอง เรียกได้ว่าถ้าในอากาศมีค่าความหนาแน่นของฝุ่นชนิดนี้สูง คนในพื้นที่นั้นก็มีสภาพไม่ต่างจากคนสูบบุหรี่ และหากมีการสะสมของฝุ่นละเอียดในร่างกายมากๆ เข้า ในระยะยาวมันก็อาจมีการอุดตันในกระแสเลือดและทำให้เกิดเส้นเลือดหัวใจ หรือหลอดเลือดสมองตีบตันได้ นี่ยังไม่รวมถึงโอกาสที่จะเป็นมะเร็งในหลายๆ ส่วนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นฝุ่นมรณะเลยก็ว่าได้ค่ะ

อ่านเรื่องของ PM 2.5 ได้ที่นี่

รู้จักฝุ่นพิษ PM 2.5 http://bit.ly/2T9jLVv

PM 2.5 เข้าสู่กระแสเลือด http://bit.ly/2W7xpKI

ฝุ่นพิษที่ใครๆ ก็ว่าร้าย http://bit.ly/2OaMW9L


ในภาคเหนือของประเทศไทยมีฝุ่นควันชนิดนี้ปกคลุมในช่วงฤดูแล้งมานานหลายปีแล้ว คนเขียนไปค้นเจอรูปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เป็นรูปฝุ่นควันที่ปกคลุมถนน ดูแล้วก็ตกใจว่าเราอยู่กับมันมานานถึงขนาดนั้นแล้วทีเดียว แต่เดิมทีจะมีควันแบบนี้แค่ประมาณหนึ่งเดือน และไม่ได้มีฝุ่นมากทุกวัน แต่หลายๆ ปีที่ผ่านมานี้กลับมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวและกินเวลายาวนานขึ้น ปีที่แล้วเชียงใหม่เริ่มมีควันตั้งแต่กลางเดือนกุมภาฯ จนถึงกลางเดือนพฤษภาฯ เลยค่ะ ในอดีต คนเขียนก็เคยโทษคนหาของป่าว่าเป็นสาเหตุหลักของการเผาป่า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีความกระจ่างขึ้นว่าเหตุใดจึงมีการเผาป่าและพื้นที่ทางการเกษตรมากขึ้นทุกที นอกจากแถวบ้านเราแล้วยังรวมถึงการเผาจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย แต่ก็ไม่อยากจะชี้นิ้วไปทางทิศนั้นอย่างเดียว ก็เอาเป็นว่าเกิดจากหลายๆ สาเหตุแล้วกันนะคะ

ต้นตอของปัญหา? http://bit.ly/2B3gjIf

ส่วนที่กล่าวถึงปัญหาหมอกควันพิษในจีนนั้น อ้างอิงจากนี่ค่ะ

มลพิษปักกิ่งดีขึ้นแล้วจริงหรือ? http://bit.ly/2FcPPma



จบเรื่องมลพิษไป ก็มีเรื่องการถือครองคอนโดของชาวต่างชาติมาให้อ่านอีกนิดหน่อยด้วยนะคะ

การซื้อขายคอนโดในไทยของชาวต่างชาติ http://bit.ly/2OcmH2y

ส่วนเรื่องฆาตกรรมในโรงแรม Ritz Carlton ไม่ขอลงลิงค์นะคะ แต่ถ้าใครอยากหาข่าวอ่านก็ search หาจากในเน็ตดูได้ค่ะ ตอนไปพักที่นั่นก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าจะแจ็คพ็อตเจอไหมเพราะตอนนั้นยังไม่รู้ว่าชั้นไหน พอมาหาอ่านดูละเอียดๆ อีกที เวรกรรม ชั้นเดียวกับห้องของฆาเบียร์เลย ก็เลยเป็นที่มาของความกลัวของเจ้าเจในตอนนี้ค่ะ แหะๆ ถ้าไปพักอีกคราวหน้าคงบอกว่าขอไม่เอาชั้น 109


เม้ากันมาเสียยืดยาว ก็ขอจบตรงเรื่องข้อกฎหมายว่าด้วยการทำให้เสียชื่อเสียงหรือ Defamation ของสหรัฐฯ แล้วกันนะคะ โดยคร่าวๆ ก็ตามนี้ค่ะ

ในเพจนี้จะเน้นเกี่ยวกับการทำให้เสียชื่อเสียงผ่านทางออนไลน์ค่ะ http://bit.ly/2OboLbg

กฎหมายหมิ่นประมาทของไทย http://bit.ly/2W8wABs


ท้ายสุด ในตอนที่แล้วมีคนเรียกร้องว่าอยากเห็นความอลังการของสองคอนโดไทยที่ได้พูดถึงไว้ซึ่งก็คือ Ritz Carlton Residence บนตึกมหานคร และ 98 Wireless ซึ่งได้ชื่อว่าราคาต่อตารางเมตรแพงที่สุดในไทย ก็เลยเอาเว็บของทั้งสองที่มาให้ดูนะคะ รูปในนั้นส่วนมากมาจากห้องตัวอย่าง ส่วนห้องจริงนั้น ไปลองหาๆ ดูแล้ว มาเป็นห้องที่ตกแต่งแค่บางส่วน ที่เหลือก็แล้วแต่เศรษฐีเจ้าของห้องแต่ละห้องจะตกแต่งกันเองค่ะ ​

98 Wireless http://bit.ly/2TGOTAE

Ritz Carlton Residence Bangkok http://bit.ly/2F8yn2u

ตอนต่อไปจะพยายามให้เบาสมองกว่านี้ค่ะ ไว้มารอชิมห่านย่างด้วยกันนะคะ


ป.ล. ต่อท้ายอีกนิด มีผู้อ่านแจ้งมาว่าถ้าผู้อ่านชาวกทม. ท่านใดอยากชิมขนมปังชีสยืดอันแสนโด่งดังของร้าน Volcano เชียงใหม่ ตอนนี้ทางร้านมาเปิด Pop-up store ที่พารากอนอีกรอบแล้วนะคะ ที่ชั้น G เหมือนเดิม ถึง 21 มีนานี้ค่า


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ความรู้เพียบ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "อย่าทำทะลึ่งครับ Baby" ----






“ขอโทษครับพี่บูม พวกผมช้าไปหน่อย”

ทนายหนุ่มหันไปตามเสียง เขายิ้มละไมเมื่อเห็นน้องชายที่รีบจ้ำอ้าวเข้ามาหาเขาโดยมีคนรักร่างใหญ่เดินตามมาไม่ห่าง

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ต้องรอคิวอยู่ดี แต่ก็อีกไม่นานแล้วล่ะ”

เจมองตามคิวที่เหลืออีกประมาณสิบกว่าคนแล้วก็ต้องทำหน้าเบ้

“โอย พี่บูม นี่พวกพี่มารอนานแค่ไหนแล้วอ่ะ? พวกผมนึกว่าตัวเองมาช้าแล้ว ไม่ทันแน่ๆ แต่ก็ยังทันแฮะ”

“ร้านนี้ถ้าช่วงมื้ออาหารก็ต้องรอคิวกันประมาณชั่วโมงนึงเป็นเรื่องธรรมดาครับ เจ ที่ช้าน่ะเพราะว่าทั้งร้านมีอยู่แค่ประมาณสี่สิบที่แค่นั้น ก็เลยต้องรอกันนาน”

อลัน วูตอบแทนคนรักของเขา

“พวกพี่มาต่อคิวตอนประมาณห้าโมงสิบห้า ตอนนี้ก็...อืมม์ รอมาซักสี่สิบนาทีแล้วมั้ง”

บูมหันไปบอกน้องชายของเขา

“แต่คิวก็เริ่มขยับแล้วนะ ช่วงแรกๆ คิวไม่เดินเลย แต่ตอนนี้พวกชุดที่แล้วคงเริ่มกินเสร็จกันแล้วล่ะ”

เจพยักหน้ารับคำ เขาหันไปหันมาจากนั้นก็สะกิดคนรักเบาๆ



"ฆาบี้ๆ คุณถ่ายรูปให้ผมหน่อยสิ"

คนตัวโตทำหน้างงๆ แล้วรับโทรศัพท์มือถือของคนรักมา

"ถ่ายรูปอะไรเหรอเจ? "

"รูปผมตอนยืนเข้าคิวไง ฆาบี้ นี่ๆ ตรงนี้ๆ"

ทนายหนุ่มหัวเราะน้องชายที่กุลีกุจอจัดมุมให้คนรักถ่ายรูปตัวเขากับป้ายไฟของร้าน Kam's Roast Goose และป้ายสัญลักษณ์ที่แสดงว่าร้านแห่งนี้ได้รับดาวหนึ่งดวงจาก Michelin Guide ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนน Hennessy ในย่านธุรกิจอันแสนคึกคักอย่าง Wan Chai

"มาๆ เดี๋ยวพี่ถ่ายให้เอง คุณฆาเบียร์ครับ ยืนตรงนี้ครับ"

บูมโบกไม้โบกมือให้คนรักของน้องชาย เขาจัดการถ่ายรูปให้ทั้งคู่สองสามรูป เขายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นน้องชายหน้าแดงซ่านเมื่อถูกคนรักโอบไหล่ต่อหน้าคนจำนวนมากที่รอคิวอยู่

"นี่ เจนยุทธ ทำไมนายถึงได้ตื่นเต้นอยากถ่ายรูปกับป้ายร้านนี้ขนาดนั้น? ทีคราวที่แล้วที่เราไปกินที่ร้าน Tim Ho Wan หรือว่าที่โรบุชงซึ่งก็มีดาวเหมือนกัน นายก็ไม่เห็นตื่นเต้นเท่าร้านนี้เลย"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็ก เจหัวเราะแหะๆ และตอบข้อสงสัยของคนรัก

"คือผมกับพี่นพกำลังสะสมดาวอยู่อ่ะครับ ดาวมิเชแลงอ่ะนะ ถ้าไปกินร้านไหนที่เป็นร้านติดดาวหรือร้านแนะนำ เราก็จะถ่ายรูปกับป้ายร้านไว้ แต่อย่างโรบุชงน่ะ พวกผมเคยไปกินแล้วเลยไม่ได้ถ่ายอีก ส่วนทิมโฮวานนี่ ผมนับของสาขาแรกที่เป็นสาขาดั้งเดิมไปแล้ว อีกอย่างที่สาขาโอลิมเปียน ซิตี้ที่ผมไปกับคุณวันนั้นน่ะ ผมมัวแต่ห่วงคุณก็เลยไม่ได้ถ่ายรูป ผมกลับไปถ่ายอีกทีตอนที่ไปกับริคกี้ครับ"

เจยิ้มเขินๆ คนตัวโตตอบรับด้วยสายตาแพรวพราย เขาจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี เจที่เป็นห่วงเขาซึ่งเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยคอยประคบประหงมดูแลเขาเป็นอย่างดี



"ฉันจำได้แล้วจ้ะ ขอบใจมากนะเจที่ดูแลฉันเป็นอย่างดี"

หนุ่มละตินยิ้มพรายและยกมือของคนรักที่เขาเกาะกุมอยู่ขึ้นมาจูบเบาๆ เจหน้าแดงและพยายามจะดึงมือออก หากอุ้งมือใหญ่นั้นกระชับแน่นจนเขาจำต้องปล่อยให้คนตัวโตทำตามใจ

"ชอบแกล้งผมจริงๆ นะ ฆาบี้"

เจบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์ยักไหล่และปล่อยมือคนรัก หากเจกลับเป็นฝ่ายดึงมือเขาขึ้นมาโอบไหล่ตนแทน

"แบบนี้โอเคอ่ะ"

คนตัวเล็กพูดเบาๆ และหันมาส่งยิ้มอันสดใสให้ ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและโอบไหล่คนรักแน่นเข้าอีกนิดและพาเจขยับเดินตามคิวที่ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หน้าร้านขึ้นอีกนิด



"เอ๊ะ พี่บูมทำไมพวกนั้นเขาแซงคิวเราหน้าตาเฉยเลยอ่ะ?"

เจสะกิดพี่ชายที่ยืนเคียงคู่กับคนรักอยู่ด้านหน้าของตนและชี้ให้ดูคนมาใหม่สองสามคนที่เดินเข้าไปหาพนักงานรุ่นป้าที่ยืนรับแขกอยู่ที่หน้าประตูร้าน บูมมองตามและร้องอ๋อ

"อ๋อ ไม่หรอกเจ พวกนี้เขาไม่ได้แซงคิวเรา แต่เขามารับบัตรคิวน่ะ"

 ทนายหนุ่มอธิบายให้น้องชายฟัง

"สำหรับร้านนี้น่ะ เจจะไปยืนต่อท้ายแถวแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ เจต้องเดินมาที่หน้าร้านเพื่อมาบอกจำนวนคนและลงชื่อไว้ก่อน จากนั้นรับบัตรคิวแล้วถึงจะไปรอในแถวได้ ส่วนคิวนั้นเขาก็เรียกตามโต๊ะว่าง อย่างเมื่อกี้ เจเห็นใช่ไหมว่าป้าเขาเดินมาเรียกคิวคนที่มาทีหลังเรา คือเขามากันสองคน และในร้านมีโต๊ะสำหรับสองคนว่าง เขาก็ได้เข้าไปก่อน อะไรแบบนี้"

เจนยุทธพยักหน้ารับคำ

“ขอบคุณพี่บูมมากครับที่เป็นธุระมายืนเอาคิวให้ผม ถ้าพี่มากันแค่สองคนก็คงได้เข้าไปนานแล้ว”

เจยกมือไหว้พี่ชายตามความเคยชิน ทนายหนุ่มยิ้มน้อยๆ

“โอ๊ย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกน่า พี่ก็อยากกินร้านนี้อยู่แล้วด้วย แต่ถ้าจะให้มารอคิวตั้งแต่สี่ห้าโมงแบบนี้พี่ก็เลิกงานมาไม่ทัน แต่จะมาเสาร์อาทิตย์ ก็ยิ่งคนเยอะ พอวันนี้ลางานไว้ก็เลยได้ทีมากิน...”

บูมบอกน้องชายว่านานๆ เขากับอลันจะได้หยุดงานพร้อมกันในวันธรรมดาแบบนี้



"พี่บูมเลยต้องเสียวันลาไปเปล่าๆ เลย ขอโทษจริงๆ ครับพี่...ฆาบี้ คุณนะ ทำเสียเรื่องหมด"

เจนยุทธพูดเบาๆ แล้วหันไปบ่นฟอดแฟดใส่คนตัวโตที่ทำผิดแผนไปเสียหมด

"ไม่ได้เสียเปล่าหรอกเจ จริงๆ ตอนแรกพี่ก็ว่าจะเข้าออฟฟิศ แต่อลันเขาบอกว่าไหนๆ ก็ลาแล้ว ก็ใช้เวลาไปเที่ยวกันสองต่อสองดีกว่า"

ทนายหนุ่มโบกไม้โบกมือปฏิเสธ หลังจากเจส่งข้อความมาบอกในช่วงเช้าว่าฆาเบียร์เสร็จธุระที่ซิดนีย์เร็วกว่ากำหนดและได้กลับมาถึงฮ่องกงแล้ว บูมก็ได้ส่งข้อความกลับไปว่าให้เจอยู่กับฆาเบียร์และไม่ต้องห่วงว่าจะต้องมาเจอเขา

“วันนี้พี่กับอลันลาไว้แล้ว ก็เลยถือโอกาสพากันไปเที่ยวด้วย เมื่อเช้าพอเจไลน์บอกมาว่าวันนี้ติดธุระ พีี่เลยชวนอลันไปดิสนีย์แลนด์ อยู่นี่มาจะครึ่งปีแล้ว พี่ยังไม่เคยไปเลย”

ทนายหนุ่มเล่าใหัลูกพี่ลูกน้องของเขาฟังอย่างตื่นเต้น เจยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทางของพี่ชาย

“ตอนแรกพี่ก็ยังกลัวอลันจะหัวเราะใส่ว่าพี่ทำตัวเหมือนเด็ก แต่ปรากฎว่าพี่เขาโอเค”

บูมพูดพลางหันไปยิ้มให้คนรัก เขาเล่าต่อว่าถึงเขาจะเคยมาฮ่องกงหลายครั้ง แต่ก็เป็นการมากับครอบครัวหรือมาเที่ยวกับเพื่อนฝูงซึ่งมักใช้เวลาส่วนใหญ่ในตัวเมือง



"ตอนที่บ้านพี่มาเที่ยวฮ่องกง พ่อกับแม่เขาก็ไม่คิดจะไปดิสนีย์แลนด์กันหรอก พี่ก็ไม่เคยบอกแม่ด้วยว่าอยากไป"

ญาติผู้พี่ของเจหน้าแดงระเรื่อ เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ เขาต้องรักษาภาพลูกชายแสนเพอร์เฟ็คท์ผู้เอาการเอางานไว้

"มีเมื่อปีนู้น บ้านพี่มาฮ่องกงกันครบทั้งบ้าน พี่เบนกับพี่บีก็พาแฟนกับลูกๆ มาด้วย วันที่พวกพี่ๆ เขาพาเด็กๆ ไปดิสนีย์แลนด์นะ พี่โคตรอยากขอติดไปด้วยเลย แต่ต้องอยู่เป็นเพื่อนช้อปปิ้งกับแม่"

บูมถอนหายใจออกมาอย่างอัดอั้น เจอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความสงสารพี่ชาย เขาหันไปเล่าให้คนรักของเขาฟัง

"พี่บูมชอบการ์ตูนดิสนีย์มากมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ สมัยก่อนตอนเด็กๆ บางครั้งพี่บูมจะขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ช่วงปิดเทอมสองสามสัปดาห์ ถ้าผมไปบ้านอากงเล็ก พวกเราก็จะนั่งดูการ์ตูนกัน พวกแม่ๆ ผมจะชอบให้ดูการ์ตูนดิสนีย์มากกว่าพวกอนิเมะของญี่ปุ่น บางทีก็เป็นมิคกี้เมาส์มั่ง พวกการ์ตูนเจ้าหญิงเจ้าชายมั่ง เอ แต่ที่พี่บูมชอบที่สุด ดูซ้ำแล้วซ้ำอีกนี่เรื่องอะไรนะพี่?..."

เจนยุทธหันไปถามพี่ชาย ทนายหนุ่มยิ้มเขินๆ และหันไปตอบฆาเบียร์

"The Sorcerer's Apprentice ที่อยู่ในเรื่อง Fantasia ครับ"

คนตัวโตร้องอา เขาจำการ์ตูนสุดคลาสสิคที่เป็นหนึ่งในไอคอนของดิสนีย์ได้ หากก่อนที่พวกเขาจะได้พูดคุยเรื่องนี้กันต่อ คิวของพวกเขาก็ถูกเรียก ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในร้าน พวกเขานั่งลงที่โต๊ะสำหรับสี่คนในร้านขนาดประมาณสองคูหา เจหันซ้ายหันขวาเพื่อสำรวจบรรยากาศภายในร้าน Kam's Roast Goose แห่งนี้ เขากลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่เมื่อเห็นบรรดาของย่างที่แขวนโชว์ไว้ในตู้หน้าร้าน



“อูย สั่งด่วนๆ เอาห่านย่างครับพี่บูม ไซส์ไหนดี?”

เจรับเมนูจากพนักงานมาเปิดดูด้วยความตื่นเต้น เขาอยากลิ้มชิมรสห่านย่างระดับหนึ่งดาวมิเชแลงเต็มแก่แล้ว

“เมื่อกี้ตอนรอคิวพี่ก็สั่งห่านย่างไว้ให้แล้วล่ะ ครึ่งตัว น่าจะพอมั้ง? จะได้กินอย่างอื่นได้ด้วย”

บูมบอกว่าป้าที่รับคิวจะคอยเดินมาถามคนที่ต่อแถวอยู่ว่าต้องการห่านไซส์ไหนโดยมีให้เลือกขนาดหนึ่งตัว ครึ่งตัว หรือแค่ส่วนขาและสะโพก เจทำหน้าลังเลเมื่อได้ยินพี่ชายบอกแบบนั้น

“มันจะพอเหรอ พี่บูม ครึ่งตัวเองอ่ะ เรามีกันตั้งสี่คนนา”

“พอสิ เจ ห่านตัวมันใหญ่กว่าเป็ดเยอะนะ...”

ฆาเบียร์ซึ่งคุยอยูกับอลันหันมาตอบยิ้มๆ

“...จำห่านย่างของอาเหลียงที่เรากินที่บ้านอาปาได้ไหม? นั่นก็ครึ่งตัวเหมือนกันนะ”

เจนยุทธร้องอ๋อ

“มิน่าล่ะ ผมก็ว่าทำไมมันมีปีกกับน่องแค่อย่างละชิ้น”

คนตัวเล็กหัวเราะแหะๆ ฆาเบียร์บอกว่าในวันนั้นคริสสั่งไว้ให้เอาห่านออกมาแค่เพียงครึ่งเดียวก่อน เพราะเห็นว่ายังมีอาหารอื่นอีกหลายอย่าง เจพยักหน้าหงึกหงักแล้วหันไปถามพี่ชาย



“แล้วพี่ได้สั่งอย่างอื่นไว้อีกหรือเปล่าครับ? ผมจะได้รู้ว่าต้องสั่งอะไรเพิ่มอีกบ้าง”

“ยังครับ ทางร้านเขาจะรับออเดอร์แค่ห่านย่างไว้ก่อน ส่วนอย่างอื่นเราก็มาเลือกกันในร้าน แต่ไม่ต้องห่วงครับ อาหารที่นี่เร็ว”

อลันหันมาตอบแทนคนรักของเขา

“แล้วพี่อลันมีอาหารแนะนำอะไรหรือเปล่าครับ? อะไรคือของที่พี่ชอบกินเวลามาร้านนี้?”

"อืมม์ ของย่างของที่นี่ก็ดีทุกอย่างนะครับ แต่ที่ผมชอบและสั่งทุกครั้งที่มาก็คือไส้กรอกตับ..."

"ไส้กรอกตับสองที่ครับ ฆาบี้"

เจหันควับไปบอกคนรักที่กำลังเริ่มสั่งอาหารกับพนักงาน คนตัวโตโคลงหัวน้อยๆ แต่ก็สั่งให้ตามที่เจ้าตัวดีของเขาชี้ๆ

"พอหรือยัง?"

ฆาเบียร์หันมาถามคนรักที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ข้างๆ เจพยักหน้าและส่งเมนูคืนให้พนักงานเสิร์ฟ

"เจ มันจะไม่เยอะไปเหรอ? พี่กับอลันกินไม่เยอะนะ"

บูมถามอย่างกังวลเมื่อเห็นปริมาณอาหารที่เจสั่งไป

"ไม่ต้องห่วงน่า แพทริค คนนี้เขากินหมดแน่นอน ไม่ต้องห่วง"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ พลางตบไหล่คนรักที่หันมาทำยิ้มหวานให้เขา

"หมดแน่ พี่บูม ไม่ต้องกังวล เจซะอย่าง"

เจ้าตัวดีของฆาเบียร์ตบอกตัวเองเบาๆ ทนายหนุ่มโคลงหัว เขาลืมไปว่าเจ้าน้องชายกินดุแค่ไหน







"มาแล้วๆ โอย น่ากินสุดๆ เลยคุณ!"

เจนยุทธทำตาลุกวาวทันทีที่ห่านย่างจานโตถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ มันใหญ่สมกับที่ทั้งสามคนเตือนเขาไว้จริงๆ อลันบอกเจว่าห่านของที่นี่จะใช้แค่ห่านจากเมืองตงกวนซึ่งว่ากันว่าเนื้อของมันมีรสชาติดีที่สุด มันถูกนำเข้ามาจากจีนทุกวัน และเท่าที่เขารู้มา ร้านนี้เสิร์ฟห่านย่างถึงวันละกว่าร้อยตัวเลยทีเดียว

"ห่านที่ร้านนี้ใช้มีขนาดตัวละประมาณเกือบสามกิโลกรัมครับ ครึ่งตัวนี่ก็เกือบโลครึ่งแล้ว แต่ถึงเราจะดูว่ามันใหญ่ อันที่จริงมันมีขนาดเล็กกว่าและมันน้อยกว่าพันธุ์อื่นที่นิยมใช้กันทำให้รสชาติของมันไม่มันเลี่ยนจนเกินไป เดี๋ยวคุณเจลองชิมดูเองแล้วกันครับ"

เจนยุทธพยักหน้ารับคำ เขารีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปและหันไปส่งสายตาละห้อยให้คนรัก

"คีบเลยครับ ฆาบี้ อย่างด่วน"

"นายก็กินเลยสิ เจนยุทธ มารอฉันทำไม?"

"ก็คุณเป็นผู้อาวุโสนี่ เชิญก่อนเลยครับ"

คนตัวโตโคลงหัว พออยู่กันหลายๆ คนแบบนี้ เจคงไม่กล้าที่จะคีบอาหารก่อนคนอื่น แต่ตัวเขานั้นก็ไม่ยอมรับสถานะผู้อาวุโสที่คนตัวเล็กตั้งให้

"เจ โต๊ะนี้มีคนที่แก่กว่าฉัน นายไปขอเขาเองสิ"

ฆาเบียร์พูดเสียงแข็ง เจหัวเราะคิก ที่แท้พ่อเจ้าประคุณของเขาก็กลัวแก่นั่นเอง อลันยิ้มบางๆ และยกตะเกียบคีบห่านย่างที่ผิวเป็นสีน้ำตาลอมแดงสวยมาชิ้นหนึ่ง เจอมยิ้มเมื่อเห็นอลันวางมันลงบนจานของพี่ชาย เขารีบยกตะเกียบขึ้นและคีบเนื้ออกชิ้นโตส่งถึงจานคนรักของเขาบ้าง

"นี่ครับ เมี...เอ๊ย ฆาเบียร์ ชิ้นนี้มันน้อยหน่อย เดี๋ยวผมเอาหนังออกให้นะ จะได้ไม่อ้วน"

เจหัวเราะแหะๆ เมื่อเกือบหลุดปากเรียกตามความเคยชินออกไป ฆาเบียร์รีบใช้ตะเกียบเขี่ยชิ้นห่านย่างหนีปลายตะเกียบของคนรักที่ทำท่าจะมาคีบเอาหนังตึงๆ ของชิ้นห่านของเขาไป

"อย่าเนียนจ้ะ นายก็รู้ว่าฉันไม่รังเกียจที่จะกินหนังห่านย่างนะ"

คนตัวโตพูดปนยิ้ม บูมอดหัวเราะไม่ได้ที่เห็นน้องชายย่นจมูกใส่คนรักด้วยความขัดใจ

"ไอ้เรานี่มันทะเล้นจริงๆ นะ ไอ้ตัวดี เอ้า อยากกินหนังห่านก็เอาไป"

ญาติผู้พี่ของเจซึ่งระมัดระวังเรื่องอาหารการกินคีบหนังห่านที่ตนลอกทิ้งไว้ส่งให้น้องชาย เจยิ้มประจบพี่ชายและยกจานไปรับทันที

"พี่บูมใจดีที่สุดเลย ขอบคุณค้าบ"

เจคีบหนังห่านเข้าปากและเคี้ยวอย่างสุขใจ เขาคีบเนื้ออีกชิ้นขึ้นมากัดแทบจะทันทีที่กินคำแรกหมด



"โอย อร่อยสมดาวจริงๆ ฆาบี้ ผมโคตรชอบเลยอ่ะ"

ฆาเบียร์อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าที่แสดงความเคลิบเคลิ้มขั้นสุดของคนตัวเล็ก

"ชอบขนาดนั้นเลยเหรอ?"

"ครับ เอ่อ ถึงห่านย่างของเชฟเฉินจะอร่อยกว่านิดนึง แต่ถ้านับที่กินตามร้านมา ผมว่าของที่นี่อร่อยสุด"

เจหันไปตอบคนรัก สำหรับเขาแล้วไม่มีห่านย่างที่ไหนอร่อยเทียบเท่ากับห่านย่างถ่านไม้ลิ้นจี่ของเชฟเฉินอี้เหลียงหรืออาเหลียงแห่งบ้านตระกูลหว่องอีกแล้ว

"นี่ขนาดเป็นเนื้ออกยังชุ่มฉ่ำขนาดนี้ เขาย่างดีมากจนไม่รู้สึกว่าแห้งสักนิดครับ หนังก็ดีถึงจะไม่ได้กรอบทุกชิ้นอย่างที่ผมหวังไว้ก็เหอะ มันที่แทรกใต้หนังก็ไม่ได้เยอะมากจนเลี่ยน ปรุงรสมาดีด้วย ซอสบ๊วยกับซอสที่ได้จากการย่างห่านก็ดี ช่วยตัดเลี่ยนได้มากเลย ผมว่ารวมๆ แล้วอร่อยกว่าร้าน Yung Kee เยอะเลยอ่ะ"

คนตัวเล็กที่เคยผิดหวังกับอดีตตำนานห่านย่างอย่างร้าน Yung Kee มาแล้วร่ายยาว

"ร้านนี้รสชาติถือว่าใกล้เคียงกับร้าน Yung Kee ช่วงที่ยังรุ่งอยู่มากครับ แต่ถ้าจะต่างออกไปก็ตรงที่ไม่มีกลิ่นหอมๆ ของถ่านไม้เหมือนของร้านดั้งเดิม"

อลันซึ่งคุ้นเคยกับห่านย่างของร้าน Yung Kee ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็กเล่าให้สมาชิกร่วมโต๊ะฟัง เขาบอกว่าจุดหนึ่งที่ทำให้คนฮ่องกงหลายๆ คนยังไม่ยอมรับห่านย่างของรุ่นหลานที่แยกตัวออกมาจาก Yung Kee ว่าดีเลิศก็ตรงที่ใช้เตาแก๊สย่างห่านแทนที่จะใช้ถ่านไม้เหมือนรุ่นก่อน



"แต่โดยรวมๆ แล้ว ผมก็ยังถือว่าดีนะครับ กินแล้วทำให้หายคิดถึงร้าน Yung Kee สมัยก่อน"

ทนายหนุ่มใหญ่เล่าว่าในอดีต ร้าน Yung Kee เคยเป็นร้านประจำของครอบครัวเขา หากภายหลังเมื่อทางร้านเริ่มมีปัญหาเรื่องมรดกและการสืบทอดทำให้ทายาทรุ่นหลังพากันแยกตัวออกไปเปิดร้านของตัวเองแถมยังดึงคนครัวออกไปจำนวนหนึ่ง ห่านย่างและอาหารของร้านนั้นก็มีรสชาติด้อยลง พวกเขาจึงไม่ได้กลับไปที่ร้านนั้นบ่อยเท่าที่เคย อีกทั้งภาระงานที่หนักขึ้น และการที่พี่ๆ ของเขามีครอบครัวและแยกบ้านออกไป ทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ว่างออกมานั่งรับประทานอาหารนอกบ้านด้วยทั้งครอบครัว

"...รสชาติห่านของร้านนี้เลยทำให้ผมนึกถึงเวลาที่มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับที่บ้านครับ ตอนนี้พ่อแม่ผมก็อายุเยอะแล้ว ต้องคุมอาหาร แถมพวกพี่ชายก็ยังมีครอบครัวของตัวเอง ไม่ค่อยว่างมากินข้าวพร้อมกันอีก ผมเองก็ยุ่ง เออ จะว่าไป..."

อลันหันไปพูดกับคนรักของเขา

"...ที่รักจ๊ะ คราวหน้าที่เราจะไปกินข้าวที่บ้านพ่อแม่ฉัน เรามาแวะซื้อห่านย่างของร้านนี้เข้าไปด้วยดีไหม?"

"ก็ได้ครับ ผมจำได้ว่าแม่คุณชอบห่านย่าง"

บูมตอบยิ้มๆ เจทำตาปริบๆ แล้วถามพี่ชายเบาๆ เป็นภาษาไทย

"พี่บูมๆ พี่ได้เจอที่บ้านพี่เขาแล้วเหรอ?"

เจแอบบุ้ยปากไปที่คนรักของพี่ชายแทนการพูดชื่อออกมา บูมยิ้มน้อยๆ และตอบข้อสงสัยของญาติผู้น้อง

"ใช่ ไปเจอมาแล้ว ที่จริงก็เจอมาหลายปีแล้วล่ะ พี่กับรายนั้นเขารู้จักกันมาสี่ปี คบกันจริงๆ จังๆ มาสองปีกว่าแล้วนะ อย่าลืม ช่วงที่ยังคบกันทางไกล พี่ก็มาฮ่องกงปีละสองสามครั้ง แต่ละครั้งที่มา พี่เขาก็จะพาไปกินข้าวกับที่บ้านทุกครั้งเลย"

"โหย ดีมากเลยพี่ ผมดีใจแทนพี่ด้วยจริงๆ อ่ะ ตอนแรกผมก็ห่วงๆ อยู่อ่ะ..."

เจไม่ได้พูดออกมาชัดๆ ว่าเขาห่วงอะไร แต่ญาติผู้พี่ของเจก็เข้าใจความหมายของน้องชายดี

"ไม่ต้องห่วงหรอก ครอบครัวของรายนั้นเขาเข้าใจดีเพราะพี่เขาก็เปิดตัวมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นแล้ว และด้วยความที่เขาเป็นลูกชายคนเล็กที่ไม่ต้องมากังวลเรื่องสืบทอดตระกูลด้วย ก็เลยสบายๆ ได้ อีกอย่างพี่ก็ไม่ใช่แฟนคนแรกที่พี่เขาพาเข้าบ้าน ทางนั้นเขาก็เลยดูจะชินแล้ว...ใช่ไหมครับ ที่รัก?"

บูมพูดกลั้วหัวเราะ แถมยังหันไปถามคนรักที่ทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ทั้งสองคุยกัน



"พี่บูมอ่ะ พี่อลันเขารู้หมดว่าเราเม้าพี่เขา"

เจทำหน้าเจื่อนเมื่อบูมหันไปเล่าให้คนรักฟังเบาๆ ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

"ไม่เป็นไรครับ คุณเจ ผมเข้าใจดีว่าคุณห่วงพี่..."

ทนายหนุ่มใหญ่ยิ้มละไมให้คนรักของลูกความและเพื่อนของเขา

"ผมเองก็จะได้ถือโอกาสนี้แสดงความจริงใจของผมให้คุณเห็นด้วย ผมจริงจังและจริงใจกับแพทริคครับ ถึงเขาจะไม่ใช่คนแรกที่ผมเคยคบหาด้วย แต่เขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ผมพาไปพบพ่อแม่ ส่วนที่บ้านของผมก็ยอมรับและรักแพทเหมือนลูกคนหนึ่ง อาจจะรักมากกว่าผมอีกมั้ง"

อลัน วูหัวเราะเบาๆ ส่วนญาติผู้พี่ของเจนั้นหน้าแดงซ่านและผลักไหล่คนรักเบาๆ ด้วยความเขินอาย

"คุณก็พูดเกินไปน่า"

"อ้าว จริงๆ จ้ะ ฉันโทรไปหาที่บ้านทีไร ทางนั้นโดยเฉพาะพ่อก็ถามหาแพทตลอด แถมบ่นว่าไม่ค่อยพานายมาหา เขาเลย นี่ล่าสุดก็เร่งยิกๆ ให้พานายไปหาอีก พ่อเค้าบอกว่าอยากแก้มือ"

คนรักของบูมพูดยิ้มๆ และเล่าให้เจว่าคนรักของเขามัดใจพ่อด้วยการเป็นคู่เล่นหมากรุกด้วย เจร้องอ๋อ เขาจำได้ว่าอาทรัพย์ พ่อของบูมถือเป็นเซียนหมากรุกคนหนึ่ง และพี่ชายของเขาก็คงได้รับสืบทอดวิชาจากพ่อมาพอสมควร

"พอแล้วครับ พอแล้ว เล่าอะไรเยอะแยะ ผมเขินนะ เอ้านี่ กินของโปรดคุณไปซะ"

ทนายหนุ่มผู้พี่ของเจคีบไส้กรอกตับห่านวางใส่จานให้คนรักเมื่ออลันทำท่าจะเล่าเรื่องของบูมกับครอบครัวของเขาต่อ เจหันไปยิ้มกับฆาเบียร์เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของพี่ชาย บูมหน้าแดงเมื่อเห็นสีหน้ามีเลศนัยของน้องชาย

"เอ้า เราอีกคน เลิกเม้าแล้วก็กินซะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด"

หนุ่มไทยหน้าเข้มคีบเนื้อสัตว์สารพัดอย่างบนโต๊ะไปวางถมในจานของน้องชาย เจฮัมเพลงเบาๆ และลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย



"พี่อลันครับ ไอ้เจ้านี่อร่อยอย่างที่พี่ว่าจริงๆ!"

เจพูดออกมาดังๆ อย่างอดไม่ได้เมื่อเขาได้ลิ้มรสสิ่งที่ในเมนูเรียกว่า Goose liver sausage แต่สำหรับเจแล้ว มันคล้ายกับไส้กรอกจีนอย่างกุนเชียงมากกว่าไส้กรอกแบบฝรั่ง

"เนี่ยๆ คุณชิมหรือยังฆาบี้? ข้างในมันยังดูแฉะๆ เหมือนมีเลือดซิบๆ อยู่นะ แต่ไม่คาวเลยอ่ะ ไม่รู้สึกเหมือนกินตับเลย แถมยังได้รสหอมๆ คล้ายดอกไม้อีก ผมว่าน่าจะเป็นกลิ่นเหล้าจีนอ่ะ"

เจบรรยายแถมยังคีบกุนเชียงตับชิ้นไม่ใหญ่นักส่งใส่จานของคนรัก ฆาเบียร์ซึ่งทำท่าจะเลี่ยงกินในตอนแรกก็จำต้องคีบไส้กรอกชิ้นน้้นเข้าปาก

"เอ๊ะ จริงอย่างที่ว่าจริงๆ จ้ะ ไม่คาวเลือดหรือคาวตับเท่าไหร่ แบบนี้ฉันกินได้สบาย"

คนตัวโตยื่นตะเกียบไปคีบกุนเชียงตับมาอีกชิ้นหนึ่ง

"จริงๆ แบบนี้อาปาน่าจะชอบนะ ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉันเคยเห็นอาปาสั่งตอนไปกินที่ร้าน Yung Kee แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้ลองชิมดู"

หนุ่มละตินเปรยเบาๆ เขาคาดว่ากุนเชียงตับของที่นี่ก็น่าจะเป็นสูตรเดียวกันหรือไม่ก็ใกล้เคียงกับอดีตตำนานร้านห่านย่างร้านนั้น

"เหรอ? งั้นเราซื้อกลับบ้านด้วยดีไหม? ผมก็อยากให้อาปาได้กินด้วย"

เจนยุทธพูด

"เขามีแบบที่ยังไม่ได้ปรุงสุกขายนะครับ แต่ผมไม่ชัวร์ว่ามีตลอดหรือเปล่า เดี๋ยวลองถามดูก่อน"

อลันหันไปถามพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่านมาและได้ความว่าในช่วงนี้ยังมีทั้งกุนเชียงตับห่านและกุนเชียงหมูธรรมดาขาย จากนั้นพนักงานก็ยกกล่องกุนเชียงมาให้พวกเขาดูถึงโต๊ะ เจเมียงๆ มองๆ ดูด้วยความสนใจ หลังจากซักถามกันเล็กน้อยก็ได้ความว่าการปรุงให้สุกนั้นต้องใช้วิธีนึ่ง ไม่ใช่ทอดแบบที่คนไทยคุ้นเคยกัน เขาจึงตัดสินใจว่ายังไม่ซื้อกลับไปด้วยกลัวว่าแม่อาจจะไม่ชอบ



"ไว้ถ้าอยากได้ ผมค่อยฝากคุณซื้อแล้วกันนะครับ ฆาบี้"

เจนยุทธหันไปบอกคนรัก

"ได้จ้ะ หรือถ้าอยากกินห่านร้านนี้ ฉันก็มาซื้อและให้เขาแพ็คไปให้ได้เหมือนกันนะ บอกล่วงหน้าหน่อยแล้วกัน"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจทำตาโต

"เออ ทำไมผมไม่เคยคิดถึงวิธีนี้อ่ะ! ดีเลย ทีนี้อยากกินอะไรที่ฮ่องกงก็จะได้กินแล้ว"

เจทำท่าดีอกดีใจจนเรียกเสียงหัวเราะจากพี่ชายและอลันได้

"แย่ล่ะครับ คุณมาร์ติเนซ ไปเปิดช่องให้แบบนี้ ทีนี้ไอ้เจ้าตัวยุ่งได้ใช้คุณซื้อของกินกลับไปฝากทุกครั้งแน่ๆ"

บูมแซวคนรักของญาติผู้น้อง ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพลาดไปเสียแล้ว

"พี่บูมก็ว่าเกินไป ผมไม่ได้จะขออะไรมากมายซักหน่อย อาจจะฝากแค่ห่านย่าง ซาลาเปาอบร้านทิมโฮวาน ไม่ก็..."

เจร่ายชื่ออาหารโปรดของเขาที่ฮ่องกงมาอีกหลายอย่าง จนคนตัวโตกุมขมับ

"เจจ๊ะ จะเอาหมดนั่นเลยจริงๆ เหรอ?"

"อืมม์..."

คนตัวเล็กทำท่าครุ่นคิด ฆาเบียร์ส่ายหัวและตบไหล่คนรักเบาๆ

"พอๆ หยุดคิดแล้วกินต่อเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด"

เจหัวเราะแหะๆ แล้วหันมาสนใจกับอาหารตรงหน้าแทน เขาคีบนั่นนี่เข้าปากด้วยความสุขใจ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "อย่าทำทะลึ่งครับ Baby" (ต่อ) ----




"ฆาบี้ๆ หมูหันนี่ก็อร่อยสุดๆ เลยครับ หนังบ๊างบาง เนื้อก็อร่อยดีผมชอบมากเลย"

เจคีบหมูหันหนังกรอบที่เขาสั่งรวมจานมากับหมูกรอบส่งให้คนรัก หมูหันของร้านนี้เป็นแบบสับมาพร้อมกระดูกเช่นเดียวกับห่านย่าง ถึงมันจะทำให้กินยากไปบ้าง แต่ด้วยความอร่อยของมันทำให้เจไม่บ่นอะไร และเช่นเดียวกับหมูหันในร้านที่ขายอาหารประเภทย่างร้านอื่น suckling pig หรือหมูหันของร้านนี้สามารถสั่งมาทีละจานเล็กๆ ได้ไม่ต้องสั่งล่วงหน้าเป็นตัวๆ เหมือนกับหมูหันที่เมืองใน

"เสียดายแค่ว่ามันไม่มีแป้งหมั่นโถวมาให้ด้วยอ่ะ"

เจบ่นเบาๆ เขาเคยชินกับการกินหมูหันคู่กับแป้งหมั่นโถวบางๆ เขาหันไปให้ความสนใจกับหมูกรอบต่อ

"หมูกรอบของที่นี่ก็เยี่ยม รสเค็มมันกำลังดีเลยครับ ถึงผมจะชอบหมูกรอบแบบที่รีดมันออกจนเกือบหมดแบบของร้านแยงซีเจียงที่เชียงใหม่มากกว่าก็เหอะ แต่ของที่นี่ก็เยี่ยมนะ หนังก็กรอบพอดี ไม่แข็งเกิน"

"เอ้า ลองไก่ย่างซีอิ๊วด้วย แล้วก็หมูแดง นี่เราสั่งของย่างมาจนหมดทั้งเมนูแล้วใช่ไหม?"

บูมถามยิ้มๆ พร้อมกับคีบนั่นนี่ส่งให้น้องชาย เจหัวเราะแหะๆ

"ยังไม่หมดอ่ะ ผมเห็นมันมีหมูแดงซ้ำกันสองอย่าง มีที่เป็นแบบธรรมดากับที่เป็น fatty char siu ผมเห็นว่าเรามีของมันๆ อย่างสามชั้นและหมูหันแล้วเลยเอาที่่เป็น char siu ธรรมดามา"

เจบอกพี่ชาย ทนายหนุ่มขมวดคิ้วและคีบชิ้นหมูแดงในจานของตัวเองขึ้นดู

"อ้าว มิน่าล่ะ พี่ถึงว่าหมูแดงวันนี้มันดูแห้งๆ ไปหน่อย ที่จริงของขึ้นชื่อของที่นี่คือไอ้เจ้า BBQ pork belly หรือ fatty char siu ที่เจว่าน่ะ"

"เอ๊า ผมก็ไม่รู้ งั้นเราสั่งใหม่อีกจานก็ได้นะ"

เจทำหน้าเซ็งเมื่อรู้ว่าตัวเองสั่งพลาดไปเสียแล้ว เขาทำท่าจะขยับเรียกพนักงานมาสั่งเพิ่ม แต่ก็ถูกฆาเบียร์ห้ามไว้เสียก่อน



"พอๆ แค่นี้ก็พอกินแล้วเจ คราวหน้าค่อยมาลองก็ได้"

"ใช่ๆ ไม่ต้องสั่งเพิ่มหรอก วันนี้ของมันๆ เยอะแล้ว พี่เริ่มเลี่ยนแล้วนะเนี่ย"

ทนายหนุ่มส่งเสียงเบรคน้องชายด้วยอีกคน เจหัวเราะแหะๆ แล้วเลื่อนจานแมงกะพรุนน้ำมันงากับเนื้อน่องลายหมักซอสส่งให้พี่ชาย

"นี่ครับ พี่บูม กินแก้เลี่ยน แมงกะพรุนของที่นี่เขาดี๊ดี เส้นอวบแถมยังสดดีไม่เหม็นเลย ส่วนเนื้อน่องเย็นนี่ก็โอเค แต่ถ้าเทียบกับจานของย่างแล้วผมก็ยังว่าเฉยๆ"

เจพูดพลางคีบนั่นนี่เข้าปากเพิ่ม เขาตักถั่วเหลืองหมักซีอิ๊วที่รองอยู่ใต้เนื้อห่านมาโปะบนข้าวและตักกินอย่างเปรมปรีดิ์ จากนั้นก็ชิมพิราบพะโล้หนังตึงเป็นมันที่จัดวางมาอย่างสวยงาม

"สู้ Fat Siu Lau ไม่ได้ใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวดีของเขาทำหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เจพยักหน้าด้วยความเซ็ง

"ครับ เนื้อมันโอเคนะ แต่รสชาติอะไรนี่สู้รสซอสของร้านนั้นไม่ได้เลย"

เจหันไปเล่าให้พี่ชายฟังถึงซอสถั่วเหลืองสูตรพิเศษที่สืบทอดกันมานับร้อยปีของร้านอาหารชื่อดังในมาเก๊าแห่งนั้น ทนายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ

"พี่เคยได้ยินชื่อร้านนั้นมานานแล้วแต่ยังไม่เคยไปสักที ถ้าเจคอนเฟิร์มว่ามันอร่อยขนาดนี้ พี่คงต้องลองไปดูสักครั้งแล้ว ไว้เราไปเที่ยวมาเก๊ากันสักวันนะครับ ที่รัก"

บูมพูดยิ้มๆ พลางหันไปนัดแนะกับคนรัก พวกเขาทั้งสี่นั่งคุยกันไป กินอาหารกันไปอย่างเพลิดเพลิน ไม่นานทุกอย่างก็หมดเกลี้ยง โดยมีเจเป็นคนกวาดทุกอย่างที่เหลือในจานจนเรียบวุธ



"เห้อ อร่อยทุกอย่าง คุ้มค่ากับการต่อคิวจริงๆ ครับ"

เจลูบท้องที่ป่องน้อยๆ ของเขา

"ถ้าจะมีอะไรที่ผมรู้สึกเฉยๆ ก็มีไอ้เจ้าหมี่ไข่กุ้งจานสุดท้ายนั่นแหละ แต่อย่างว่า มันแค่ 37 เหรียญฮ่องกง จะให้อร่อยเท่าจานละเกือบร้อยแบบที่มาเก๊าก็คงไม่ได้ คุณคิดว่าไงอ่ะ ฆาบี้?"

เจหันไปถามคนรัก คนตัวโตซึ่งโอบไหล่คนรักเดินช้าๆ ออกจากร้านทำท่าครุ่นคิด

"อืมม์ ฉันก็ว่ามันโอเคหมดนะ ที่ชอบที่สุดก็คือห่านย่าง รองลงมาก็คงเป็นหมูหัน อย่างอื่นก็ใช้ได้"

สำหรับฆาเบียร์แล้ว ห่านย่างของร้านนี้นับว่าสมกับดาวหนึ่งดวงที่ได้รับแล้ว หากอาหารบางอย่างก็ยังไม่ได้สมใจเขานัก

"ใช่ๆ สำหรับผม ห่านที่นี่จัดว่าดีมากแล้วอ่ะ ถึงจะขัดใจเรื่องหนังไปหน่อย แต่เนื้อมันนุ่มจริงๆ ครับ ฆาบี้ ผมไม่เคยกินห่านที่ไหนที่นิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย"

เจนยุทธทำหน้าเคลิ้ม

"ร้านนี้เขาก็ยอมรับครับว่าเขาไม่ได้ย่างห่านให้หนังกรอบมากเพราะต้องการรักษาให้เนื้อมันยังนุ่มอยู่ได้ ผมว่ามันได้ผลนะ ถ้าเทียบๆ กับร้านอื่นแล้ว ร้านนี้กินขาดเรื่องเนื้อห่านครับ"

อลันเสริมมา

"ถ้าได้เนื้อนุ่มขนาดนี้ ผมก็ยอมกินหนังไม่กรอบอ่ะ"

เจพูดยิ้มๆ เขาบอกว่าสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ชอบนักในการกินเนื้อห่านคือสัมผัสหยาบๆ และติดจะเหนียวบ้างของเนื้อห่าน แต่ร้าน Kam's Roast Goose แห่งนี้ทำให้เขาประทับใจได้อย่างจริงจัง เจนยุทธหมายมั่นปั้นมือไว้ในใจว่าคราวหน้าเขาต้องกลับมากินห่านย่างของร้านนี้อีกครั้งแน่นอน








"ฆาบี้ครับ เดี๋ยวเราต้องไปรับอาปากี่โมงนะ?"

เมื่อพ้นจากกลุ่มคนที่ยังยืนต่อแถวยาวหน้าร้าน เจก็หยุดเดินและหันไปถามคนตัวโต

"อืมม์ กว่าอาปาจะผ่านตม. อะไรออกมาก็น่าจะสักสี่ทุ่มนิดๆ เราควรจะออกจากที่ออฟฟิศประมาณสามทุ่มครึ่งน่ะจ้ะ"

ฆาเบียร์ตอบ เจยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วทำท่าครุ่นคิด

"ตอนนี้ยังแค่ทุ่มนิดๆ ยังพอมีเวลาว่าง พี่บูมกับพี่อลันจะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ? กินกาแฟกันต่ออีกสักหน่อยไหม?"

เจนยุทธหันไปถามพี่ชาย

"อืมม์ เดี๋ยวพี่กับอลันจะเดินกลับไปที่ไทม์ สแควร์น่ะ เราจอดรถไว้ที่นั่นเพราะคิดว่าจะกลับไป เอ่อ ไปซื้อของต่อ"

บูมตอบน้องชายด้วยท่าทีอึกอักเล็กน้อย อลันหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นทีท่าของคนรัก เขาหันไปคุยบางอย่างกับฆาเบียร์เป็นภาษากวางตุ้ง เมื่อคนตัวโตหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่อลันพูด มันยิ่งทำให้ใบหน้าคมคายของญาติผู้พี่ของเจขึ้นสีมากขึ้น เขาหันไปผลักไหล่คนรักเบาๆ ด้วยความเขินอาย เจนยุทธทำหน้าเลิ่กลั่กมองคนนั้นทีคนนี้ทีเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาคุยกัน



"สองคนนี้เขาจะไปซื้อของใช้ 'ส่วนตัว' กันจ้ะ"

คนตัวโตหันไปอธิบายให้เจนยุทธฟังทันทีที่คนตัวเล็กถาม

"คุณมาร์ติเนซครับ ไม่ต้องบอกไอ้ตัวดีมันก็ได้"

บูมพยายามส่งเสียงห้าม แต่ก็สายไปเสียแล้ว เจทำตาโตทันทีที่ได้ยินคนรักเน้นคำว่า "personal" เขาหันไปทำตาปิ๊งๆ ใส่พี่ชาย

"ส่วนตัวนี่ ส่วนตัวขนาดไหนเหรอ พี่บูม?"

เจนยุทธทำเสียงอยากรู้อยากเห็นทันที ทนายหนุ่มหันไปค้อนคนรักที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่เบาๆ

"คุณอธิบายเองแล้วกันนะครับ พ่อตัวยุ่ง ไปเล่าให้เขาฟังซะหมดแล้วนี่"

อลัน วูหัวเราะเมื่อคนรักทำท่ากระเง้ากระงอดใส่เขาเสียอย่างนั้น หากคนที่กระซิบเบาๆ ข้างหูเพื่ออธิบายให้เจนยุทธฟังกลับเป็นฆาเบียร์เอง

"ฮ้า น่าสนใจ ผมขอไปด้วยได้ไหมอ่ะพี่บูม ถ้าพี่ต้องการความเป็นส่วนตัว พวกเราแยกกันเดินก็ได้ ไม่มีปัญหา"

เจทำท่าตื่นเต้นเมื่อได้ยินสิ่งที่คนรักพูด ญาติผู้พี่ของเจถอนหายใจและหันไปถามคนรักเบาๆ



"โอเคๆ ไปด้วยกันก็ได้ แต่ต้องเดินไปนะ ไม่ไกล ประมาณ 15 นาที ไหวไหม?"

ทนายหนุ่มหันมาถามน้องชายหลังจากที่คนรักของเขาพยักหน้าตกลง

"ได้ครับ ดีซะอีก จะได้เดินย่อยอาหารไปด้วย คุณจะไปกับผมไหมอ่ะ ฆาบี้?"

เจนยุทธหันไปถามคนรัก ฆาเบียร์รับคำ

"ไปสิจ๊ะ เอางี้ งั้นเดี๋ยวฉันโทรบอกรถให้วนไปจอดรอที่ไทม์สแควร์..."

คนตัวโตทำท่าจะยกโทรศัพท์โทรหาคนรถ

"เดี๋ยวครับ คุณมาร์ติเนซ คุณบอกคนรถให้กลับไปรอที่ออฟฟิศเลยก็ได้ครับ ขากลับไปคอนโดผมแวะหย่อนคุณที่นั่นก็ได้"

อลันเสนอ คอนโดของเขาและบูมก็อยู่ฝั่งเกาลูนเช่นเดียวกับอาคารสำนักงานและโรงแรมที่ฆาเบียร์พักอยู่ คนตัวโตพยักหน้ารับคำและจัดการโทรนัดแนะกับคนรถของเขา จากนั้นพวกเขาทั้งสี่ก็เริ่มออกเดินไปตามถนน Hennessy เพื่อมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าไทม์ สแควร์ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร



“นี่ๆ ฆาบี้ ดูสิๆ ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ คุณเคยไปหรือยัง?”

เจนยุทธซึ่งขยับลงมาเดินคุยกับพี่ชายส่งโทรศัพท์ของบูมให้คนรักที่เดินนำหน้าอยู่ดู ฆาเบียร์ซึ่งเดินคุยอยู่กับอลันรับมาดูภาพของทนายทั้งสองในดิสนีย์แลนด์ เขาหันไปแซวอลันเมื่อเห็นภาพทนายหนุ่มใหญ่และคนรักใส่หมวกแก๊ปติดหูมิคกี้เมาส์ถ่ายรูปคู่กันที่หน้าประตูทางเข้าสวนสนุกชื่อดังแห่งนั้น

“ทำเป็นแซวไปนะครับ คุณฆาเบียร์ คุณเองยังมีของมาร์เวลที่บ้านตั้งหลายชิ้นไม่ใช่เหรอ?”

เจนยุทธแอบกระซิบแซวคนตัวโตเบาๆ เมื่อเห็นพี่ชายและคนรักถูกกระเซ้าจนหน้าแดงไปทั้งคู่

“ใช่ ฉันไม่เถียงจ้ะ..."

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าตอบรับ เจทำท่ายิ้มเยาะและอ้าปากจะแซวคนรักต่อ หากเขาก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

"...ตอนนี้ฉันก็ยังพกค้อนมโยลเนียร์ของธอร์ติดตัวมาด้วย เจอยากลองจับดูไหม?”

คนตัวโตส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้คนรัก เจอุทานเบาๆ และรีบดึงมือออกจากมือใหญ่ที่ทำท่าจะดึงมือเขาให้ไปลองสัมผัส “ค้อน” ของตนทั้งๆ ที่ยังเดินกันอยู่ริมถนน เขาหันซ้ายหันขวาแล้วก็ต้องหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของพี่ชายและอลัน วู

"พอๆ ผมไม่คุยกับคุณแล้วครับ พี่บูม เราไปกันเถอะ"

เจนยุทธย่นจมูกให้คนรักและดึงแขนพี่ชายให้ขึ้นไปเดินนำหน้าคนที่แก่กว่าทั้งสอง ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และหันกลับไปคุยเรื่องงานกับทนายหนุ่มใหญ่ซึ่งเป็นเหมือนเพื่อนคนเดียวในฮ่องกงของเขาต่อ หากหูเขาก็ยังเงี่ยฟังคำสนทนาของเจและญาติผู้พี่ แม้เขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่ทั้งสองพูด แต่เขาก็พอจะเข้าใจว่าเจคงถามถึงดิสนีย์แลนด์ เพราะเขาได้ยินชื่อเครื่องเล่นและตัวละครเป็นภาษาอังกฤษหลุดออกมาจากปากของทั้งสองหลายครั้ง เขาอดยิ้มบางๆ ไม่ได้เมื่อเห็นทีท่าตื่นเต้นของเจยามที่ดูภาพจากในมือถือของญาติผู้พี่ มันทำให้เขาอดหลุดปากถามออกไปไม่ได้



"อยากไปดิสนีย์แลนด์ไหม เจ? ฉันพานายไปได้นะ"

คนตัวเล็กชะงักกึกแล้วหันกลับมามองคนรักอย่างงงๆ

"เฮ้ย นี่คุณแอบฟังผมกับพี่บูมพูดเหรอ? ฟังเข้าใจได้ไงอ่ะ? เอ๊ะ เมื่อกี้เราคุยกันภาษาอะไรนะ พี่บูม?"

เจเกาหัวแกร่กๆ และหันไปถามพี่ชาย

"ฉันไม่ได้ฟังรู้เรื่องหรอก แค่ฟังจากบางคำที่นายพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษน่ะ"

ฆาเบียร์ตอบยิ้มๆ และยกมือขึ้นยีหัวคนรักเบาๆ

"ให้ตายสิ นี่ขนาดยังฟังไทยไม่รู้เรื่องนะ นี่ถ้าคุณเรียนภาษาไทย ผมคงนินทาอะไรคุณไม่ได้เลยแหง"

เจทำหน้ามุ่ยและบ่นอุบอิบ

"นั่นสินะ ฉันก็ว่าฉันจะหาเรียนภาษาไทยสักหน่อย"

คนตัวโตขยับขึ้นไปเดินเคียงข้างกับคนรัก ส่วนบูมก็ถอยลงมาเดินกับคนรักของตนอย่างรู้งาน

"ถ้าไม่รังเกียจ ผมสอนให้ได้นะครับ คุณมาร์ติเนซ อลันเขาก็อยากให้ผมสอนพูดไทยเหมือนกัน มาเรียนด้วยกันจะได้เป็นเร็วๆ"

ญาติผู้พี่ของเจส่งเสียงมา เจรีบหันไปทำหน้ามุ่ยใส่พี่ชาย

"ไม่ต้องก็ได้ พี่บูม ไม่ต้องให้เข้าใจนั่นแหละดีแล้ว แค่นี้ก็รู้มากจะตายละ"

เจบ่นกะปอดกะแปดจนเรียกเสียงหัวเราะได้จากทั้งสามคน พวกเขาเดินไปคุยไปตามถนน Hennessy และเลี้ยวเข้าถนน Canal และถนน Russell ตามลำดับ ไม่นานพวกเขาก็มายืนอยู่ที่หน้าหมู่ตึกอาคารสำนักงานและห้างสรรพสินค้าอันประกอบกันเป็นโครงการที่เรียกว่าไทม์สแควร์



"ที่เรียกว่าไทม์ สแควร์เพราะว่ามีหอนาฬิกาอยู่หน้าโครงการใช่ไหมครับ?"

เจนยุทธถาม ตัวเขาเคยมาที่ห้างสรรพสินค้าแนวตั้งของฮ่องกงซึ่งเปิดทำการในปี 1994 แห่งนี้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีที่แล้ว หากเขาก็พบว่ามันน่าสนใจน้อยกว่าห้างแนวราบแบบที่เขาคุ้นเคยอย่างอย่าง Harbour City ซึ่งเป็นห้างใหญ่ยักษ์ในฝั่งเกาลูน เขาจึงไม่ได้กลับมาเดินที่ไทม์ สแควร์อีก หากเขาจำได้ว่าที่หน้าห้างนั้น มีหอนาฬิกาน้อยๆ ที่มีหลังคารูปโดมตั้งอยู่

"น่าจะใช่นะ อีกส่วนหนึ่งก็คงเพราะพยายามให้ชื่อไปพ้องกับย่านไทม์ สแควร์ของเมืองนิวยอร์คด้วยมั้ง?"

ฆาเบียร์ตอบยิ้มๆ และความพยายามนี้ก็เหมือนจะเป็นผล ห้างสรรพสินค้าสูง 16 ชั้นซึ่งเชื่อมต่อกับอาคารสำนักงานขนาดใหญ่อีกสองอาคารนี้เป็นหนึ่งในโครงการจุดประกายให้ย่านซึ่งเคยไม่เป็นที่ปรารถนานักนี้กลายเป็นพื้นที่ๆ มีมูลค่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

"แล้วไอ้ร้านที่พวกพี่จะมามันอยู่ที่ในห้างฯ ไทม์ สแควร์นี้เลยเหรอ? โจ๋งครึ่มไปไหมอ่ะ?"

เจขมวดคิ้ว บูมยิ้มและจับน้องชายหันหลัง

"ไม่ใช่อยู่ในห้าง อยู่ในนี้ต่างหาก"

เจกระพริบตาปริบๆ ที่อยู่เบื้องหน้าเขาคืออาคารพาณิชย์สูงสี่ห้าชั้นที่เรียงรายอยู่ริมถนน Russell แทบทั้งหมดเป็นร้านขายของแบรนด์เนมนับตั้งแต่ร้าน Prada ขนาดใหญ่ที่หัวมุมถนน เขายังไม่เห็นว่าจะมีร้านขายของประเภทที่บูมและอลันต้องการมาซื้อเลย



"ไม่เห็นมีเลย พี่บูม ผมเห็นแต่ปราด้า โรเล็กซ์ ลา แพร์ล่า แล้วนี่อะไรน่ะ Blancpain ยี่ห้อนาฬิกาใช่ป่าว?"

เจนยุทธทำหน้างง เขาหันไปมองหน้าทั้งพี่ชายและคนรักของตนที่ยืนกลั้นยิ้มอยู่

"ยืนดูไปก็เสียเวลา เดี๋ยวร้านจะปิดซะก่อน มะ เข้าไปดูเลยดีกว่า"

ทนายหนุ่มดึงมือน้องชายให้เดินข้ามถนนจากหน้าห้างไทม์สแควร์ไปยังร้านขายนาฬิกาหรูแห่งนั้น เจร้องอ๋อเมื่อเห็นซอกแคบๆ ระหว่างร้านนาฬิกา Blancpain และร้านเครื่องสำอาง Kielh's

"มีทางลับด้วยวุ้ย ตื่นเต้นๆ"

เขาพูดพึมพำกับตัวเอง มันเรียกรอยยิ้มให้กับบูมซึ่งเป็นคนเดียวที่เข้าใจสิ่งที่น้องชายพูด

"มานี่ๆ เข้ามาเลย"

ทนายหนุ่มพาญาติผู้น้องเดินเข้าในซอกทางเดินอันแคบเล็กนั้น

"เอ้า เห็นแล้วใช่ไหมว่าร้านอยู่ไหน?"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาเดินมายืนเคียงข้างและจับคนรักหันหน้าเข้าผนังของซอกตึกแคบๆ ซึ่งมีแผงป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ติดอยู่ เจตาโตกับภาพหญิงสาวในชุดชั้นในวาบหวิวที่เรียงรายอยู่บนนั้น มันเป็นป้ายโฆษณาและบอกรายละเอียดของร้านเซ็กส์ช็อปที่ตั้งอยู่บนชั้น 2 และ 3 ของอาคารแห่งนี้

"เอ่อ ครับ เห็นแล้ว นี่ขายกันโจ๋งครึ่มงี้เลยเร้อ?"

เจครางพร้อมกับกวาดตามองไปตัวหนังสือซึ่งอธิบายชัดเจนว่าสินค้าประเภทไหนอยู่ชั้นไหน

"ใช่แล้ว เปิดเผยกันแบบนี้เลย อืมม์ เราต้องไปชั้นไหนนะ ที่รัก?"

บูมหันมาตอบน้องชาย จากนั้นหันไปถามคนรักของเขาพลางกวาดสายตาไปตามตัวหนังสือเหล่านั้น

"...ชั้นสอง vibr... dil... condoms... อืมม์ อ๊ะ นี่ เจอละ"

เจทำหน้าพิพักพิพ่วนเมื่อพี่ชายพึมพำอ่านสิ่งที่อยู่บนผนังออกมาเบาๆ เขามองตามสายตาพี่ชายแล้วก็ต้องหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นว่ามันไปหยุดอยู่ตรงสินค้าประเภทของเล่นที่ใช้กับช่องทางด้านหลัง



"พี่ของเจนี่บทจะทะลึ่งขึ้นมานี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ"

คนตัวโตกระซิบกับเจนยุทธขณะที่พวกเขาเดินตามหลังทนายทั้งสองขึ้นไปตามบันไดที่แคบและชัน เจพยักหน้าเบาๆ เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าบูมที่ดูเรียบร้อยจะมีด้านนี้จนกระทั่งได้เห็นด้วยตาตนเองเมื่อครั้งที่เจอกันตอนช่วงตรุษจีน

"ผมก็ไม่คิดว่าพี่เขาจะแรงขนาดนี้เหมือนกัน แต่ก็ดีแล้วครับ จะได้เป็นการปลดปล่อยหลายๆ อย่างด้วย"

เจหันมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูคนรัก เขายังจำได้ว่าบูมเคยเสนอตัวสอนเขาเรื่องเซ็กส์กับผู้ชายมาแล้ว ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ ดันสะโพกคนรักที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นบนเขาให้เดินขึ้นไป

"เอ้า เดินต่อได้แล้ว อย่ามัวแต่เม้า ว่าแต่นายเถอะ เจนยุทธ สนใจอะไรมั่ง หืมม์? อยากได้อะไรมาใส่ตรงนี้เล่นหน่อยไหม?"

เจสะดุ้งโหยงเมื่อคนรักไม่พูดเปล่าแต่ยังใช้นิ้วลูบเบาๆ ที่รอยแยกของก้อนเนื้อหนั่นแน่นของเขาด้วย

"เฮ้ อย่าทำทะลึ่งครับ baby คุณเลือกให้ตัวเองไปเถอะ อยากให้ผมใช้อะไรด้วยก็ซื้อมาเล้ย เดี๋ยวป๋าจะเปย์ให้เอง"

เจหันมายักคิ้วให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ แล้วขยับกายเดินขึ้นไปประชิดด้านหลังของคนรัก เจร้องอุทานแล้วรีบเดินหนีเมื่อถูกคนรักเอากายด้านหน้ามาเบียดชิด ดูท่าทางว่าฆาเบียร์จะถูกบรรยากาศอันลึกลับและเซ็กซี่แปลกๆ ของสถานที่แห่งนี้กระตุ้นเร้าเอาเสียแล้ว



"เช้ด!"

เจอุทานออกมาเบาๆ เป็นภาษาไทยเมื่อก้าวเข้าไปในร้านขายของเฉพาะทางแห่งนั้น ถึงตัวร้านจะไม่กว้างนัก แต่มันอัดแน่นไปด้วยสารพัดสิ่งของที่ใช้สนองความต้องการบนเตียงของมนุษย์ เขาทำหน้าบอกไม่ถูกเมื่อเดินผ่านชั้นสูงท่วมหัวที่เต็มไปด้วยของเทียมเพศชายรูปร่างเหมือนจริงหลากหลายสีสันและขนาดที่วางตั้งโด่เด่อยู่จนเต็มชั้น ส่วนอีกด้านหนึ่งของผนังก็เต็มไปด้วยของเล่นแบบสั่นได้สำหรับผู้หญิง เจหน้าแดงก่ำและค่อยๆ แทรกตัวผ่านผู้หญิงสองสามคนที่ยืนเลือกสินค้าอยู่

​"สาวฮ่องกงนี่เปิดเผยดีเนาะ"

เจกระซิบกระซาบกับพี่ชายเมื่อหลุดออกมาจากโซนของใช้สำหรับผู้หญิง เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าหากร้านแบบนี้เปิดในเมืองไทย สาวไทยจะกล้าเข้ามาเลือกซื้อสินค้าในร้านอย่างเปิดเผยแบบนี้หรือไม่ ขนาดตัวเขาที่นับว่าจัดเจนในเรื่องทางเพศยังรู้สึกเขินยามที่ต้องยืนเลือกของใช้ส่วนตัวอย่างเปิดเผยแบบนี้

​​"นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าร้านเซ็กส์ช็อปแท้ๆ อ่ะ ที่ผ่านมา ผมเคยแค่แวะดูๆ ของแบบนี้ใน 'ห้องแห่งความลับ' ที่ร้านดองกี้ที่ญี่ปุ่นอ่ะ ขนาดมีผ้ากั้นเป็นสัดเป็นส่วน ผมยังเขินเลยอ่ะ"

เจนยุทธหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึงมุม 18+ ในร้านขายของยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีโลโก้เป็นนกเพนกวิน

​"มีครั้งนึง ผมแวะไปเดินเล่นที่ร้านดองกี้หน้าสถานีรถไฟเกียวโต ตอนนั้นก็กะไปหาพวกเจลหล่อลื่นกับ เอ่อ จิ๋มกระป๋องอ่ะ คือมันก็มีขายนะ แต่มีให้เลือกน้อย แถมวางอยู่กับอะไรรู้ไหมพี่?..."

เจทำหน้าเซ็ง บูมส่ายหน้าบอกว่าเขาเดาไม่ออก​

"เค้าเอาไปไว้ในโซนของใช้เพื่อสุขภาพอ่ะ วางไว้กับพวกอาหารเสริมกับยานวดอ่ะพี่บู๊ม..."

เจพูดเสียงสูงพร้อมทำหน้าทำตาจนญาติผู้พี่อดหัวเราะออกมาไม่ได้

"...ยานวดแบบนวดคลายปวดเมื่อยพวกนี้อ่ะพี่ ผมยืนเลือกของกระป๋องไป ก็มีป้าๆ อายุซักห้าหกสิบมายืนดูยานวดอยู่ข้างๆ เล่นทำเอาหมดอารมณ์เลยอ่ะ"

บูมกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่นเมื่อเห็นหน้าตายู่ยี่ของน้องชาย เจบ่นอุบอิบและหันไปเลือกถุงยางอนามัยที่มีวางขายหลายสิบแบบ เขาเลือกไปพลาง วิจารณ์ไปพลางอย่างสนุกปาก


 
"เนี่ยๆ พี่บูม คนเรามันจะต้องการถุงยางเรืองแสงไปทำไมอ่ะ?"

เจนยุทธสะกิดพี่ชายพลางหยิบกล่องเครื่องป้องกันที่มีคำว่า glow in the dark ติดอยู่ขึ้นมาพิจารณา เขาหยิบกล่องนั่นนี่อีกหลายกล่องขึ้นมาดูอย่างเพลิดเพลินพลางพูดกับญาติผู้พี่ไปด้วย

"ไอ้พวกมีรส มีกลิ่น มีสี มีลายเป็นเกลียว ตะปุ่มตะป่ำ หรือแบบร้อนแบบเย็นนี่ผมพอเข้าใจอ่ะ แต่อิเรืองแสงนี่... คนเราจะอยากเห็น-ำตัวเองเรืองแสงทำไมวะ? เอ๊ย ขอโทษครับพี่"

เจสะดุ้งเมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับพี่ชาย ไม่ใช่กับพวกเพื่อนรุ่นเดียวกัน เขารีบยกมือไหว้ขอโทษญาติผู้พี่ที่หลุดปากพูดคำไม่สุภาพออกไป ทนายหนุ่มหัวเราะและโบกมือบอกน้องชายว่าเขาไม่ได้คิดมากอะไร เจนยุทธหัวเราะแหะๆ พลางหยิบของใช้ประจำกายใส่ตะกร้า เขาเลือกหยิบของที่ไม่เคยใช้ไปอีกสองสามกล่องและหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเอาไปใช้กับคนรักของตนให้ได้



"ไงจ๊ะ ได้อะไรมาบ้าง?"

เจสะดุ้งอีกครั้งเมื่อถูกคนตัวโตโอบหมับเข้าที่เอวและรั้งกายเขาเข้าไปหอมแก้มเบาๆ เจนยุทธรีบยกมือปิดตะกร้าของตนและไม่ยอมให้คนรักดู

"ไม่ได้ครับ ห้ามขี้โกงแอบดูนะ..."

คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ หากตนเองก็พยายามเหลือบมองของในตะกร้าของคนรักบ้าง

"อ้าวๆ เจ ตัวเองบอกห้ามดู แต่ไหงไปแอบดูของคุณเขาล่ะ"

ญาติผู้พี่ของเจท้วงขึ้นเบาๆ พลางดึงร่างน้องชายให้ออกห่างจากฆาเบียร์

“นั่นสิ นายนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ นะ เจนยุทธ แล้วเมื่อกี้หัวเราะอะไรกันจ๊ะ ท่าทางสนุกเชียว คุยอะไรทะลึ่งๆ กันอยู่เหรอ?”

ฆาเบียร์หันไปถามเจ้าตัวดีของเขาที่เมื่อครู่พูดคุยกับพี่ชายเป็นภาษาไทย เจหัวเราะคิกแล้วหยิบเจ้าถุงยางเรืองแสงขึ้นมาโชว์ให้คนรักดูและถามคำถามเดียวกับที่เขาถามพี่ชาย

“อ้าว ก็จะได้เหมือนไลท์ เซเบอร์ไง น่าสนุกดีออก ประดาบกัน”

คนตัวโตตอบพร้อมฉวยกล่องในมือเจมาดูอย่างสนใจ เจนยุทธทำตาปริบๆ ทีนี้เขารู้แล้วว่ามีคนที่คิดอยากได้ถุงยางเรืองแสงจริงๆ

“ก็คิดได้นะคุณ เฮ้ย ไม่ครับ ไม่เอา!”

เจแย่งถุงยางเจ้าปัญหากลับมาจากมือของคนตัวโตที่ทำท่าจะเอามันใส่ตะกร้าของเขาแล้ววางคืนไว้บนชั้นเหมือนเดิม เขาบ่นอุบอิบว่าเขายังไม่อยากเปลี่ยนเตียงของเขาให้เป็นฉากจากหนังเรื่อง Star Wars หากฆาเบียร์กลับหยิบมันออกมาจากชั้นแล้วโยนมันใส่ตะกร้าของอลันซึ่งยืนทำหน้าเหรอหราอยู่ข้างๆ คนตัวโตของเจหันไปยักคิ้วแล้วพูดภาษากวางตุ้งใส่เพื่อนชาวฮ่องกงของเขา คราวนี้คนที่หน้าแดงกลับเป็นญาติผู้พี่ของเจเองเมื่อคนรักของเขาหยิบมันขึ้นมาดูแล้วหันมาขยิบตาให้



"อลันเขาเป็นแฟนพันธุ์แท้เรื่อง Star Wars น่ะ"

คนตัวโตแอบกระซิบเบาๆ กับเจนยุทธ

"อ๋อ คิกๆ งั้นสงสัยคืนนี้พี่บูมคงได้จับไลท์ เซเบอร์แน่ๆ อ่ะคุณ โอ๊ยๆๆ"

เจหัวเราะคิกคัก หากก็ต้องร้องออกมาอย่างสำออยเมื่อโดนพี่ชายที่ยืนอยู่ไม่ห่างใช้ศอกกระทุ้งเบาๆ

"ไอ้เรานี่มันทะลึ่งไม่เปลี่ยนเลยนะ"

บูมส่ายหัวให้กับความทะเล้นของน้องชาย หากเขาก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรด้วยรู้จักนิสัยของเจนยุทธดี อลัน วูหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของหนุ่มไทยทั้งสอง

"แล้วนี่เลือกของเสร็จกันแล้วเหรอจ๊ะ? พวกฉันเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวกำลังจะไปจ่ายเงิน"

ทนายหนุ่มใหญ่หันไปถามคนรักของเขา

"พวกเรายังไม่ได้เลือกอะไรครับ ก็ไอ้เด็กนี่มัวแต่ตื่นตาตื่นใจ สนใจไปหมดทุกอย่างเลยใช่ไหมเรา?"

บูมพูดยิ้มๆ เจหัวเราะแหะๆ แล้วพยักหน้ารับคำ

"เดี๋ยวก็ไม่ทันสามทุ่มครึ่งหรอก mi alma เอ้า เลือกๆ ของมาได้แล้ว"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ พลางยกนาฬิกาให้เจดู

"เฮ้ย สองทุ่มกว่าแล้วเร้อ พี่บูมครับ เรารีบกันเถอะ"

เจนยุทธหันกลับไปพูดกับพี่ชายพร้อมกับดึงมือให้เดินหายเข้าไปยังโซนอื่นที่เขายังไม่ได้สำรวจ ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เขากับเจแยกกันเดินซื้อของเพราะอยากจะเลียนแบบทนายคู่รัก ก่อนจะเข้ามาที่ตัวร้าน บูมได้เล่าให้เจฟังว่าพวกเขาทั้งสองคนมักหาเวลาว่างประมาณเดือนละครั้งมายังร้านแบบนี้ ทั้งสองคนจะแยกกันเดินและหาผลิตภัณฑ์ที่อยากใช้กับคู่ของตนโดยที่อีกฝ่ายห้ามขัดขืน มันเป็นการเติมรสชาติให้กับชีวิตรักของพวกเขาทั้งสองได้เป็นอย่างดี



"แล้วปกติพี่ซื้ออะไรกลับไปอ่ะครับ?"

เจถามพี่ชายอย่างสงสัย พวกเขากำลังเดินดูของในโซนของใช้สำหรับผู้ชาย

"บางทีก็เป็นของเล่นที่ใช้ตอน foreplay อย่างไอ้พวกน้ำมันนวด ถุงยางใส่นิ้วที่มีปุ่มๆ ไปจนถึงไวเบรเตอร์หรือของที่ใช้ช่วยระหว่างที่มีเซ็กส์กัน อย่างพวกถุงยาง เจล อะไรพวกนี้ บางทีก็พวกชั้นในหรือเกมเซ็กซี่ๆ อ๊ะ นี่ก็ดีนะ"

บูมหยิบนั่นนี่ขึ้นมาบรรยายให้น้องชายฟังว่ามันคืออะไรบ้าง เจซึ่งหน้าแดงก่ำก็เดินถือตะกร้าตามพี่ชายต้อยๆ เขาพาน้องชายมาหยุดตรงอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับช่องทางด้านหลังโดยเฉพาะ

"เอ้า ไอ้นี่ ต้องใช้ เอาไปด้วยนะ"

ทนายหนุ่มโยนกระเปาะฉีดน้ำที่ใช้ทำความสะอาดภายในใส่ตะกร้ามาให้น้องชาย เขายังเลือกอุปกรณ์ช่วยเพิ่มความสุขในเพศรสสำหรับผู้ชายใส่ตะกร้ามาให้เจอีกสองสามอย่าง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- "อย่าทำทะลึ่งครับ Baby" (ต่อ) ----




"ผมว่าผมก็ทะลึ่งพอสมควร รู้เรื่องพวกนี้เยอะ แต่นี่มันเปิดโลกชัดๆ เลยอ่ะพี่บูม"

เจพูดเสียงอ่อยๆ

"ผมเคยสั่งของพวกนี้จากในเน็ตบ้าง แต่โดยมากก็เปิดดูเฉพาะของที่อยากได้ ของที่ใช้กับสาวๆ หรือกับตัวเองอย่างพวกเจล ถุงยาง ไวเบรเตอร์เล็กๆ จิ๋มกระป๋องอะไรงี้ แต่ไอ้ของแบบนี้นี่..."

เจนยุทธยกแท่งสั่นได้แบบมีสองหัวแบบคล้ายกับที่เมลิน่าเคยส่งมาให้เขาขึ้นดูและโคลงหัวน้อยๆ เขากวาดตาดูบนชั้น นอกจากแบบที่เขาถืออยู่แล้ว มันยังมีของเล่นที่ใช้กับช่องทางด้านหลังอีกหลายแบบหลายรูปร่างซึ่งเขาล้วนไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นหางจิ้งจอกที่ติดอยู่กับ anal plug รูปร่างเหมือนดอกบัว หรือกระทั่ง cock ring ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้รัดเพื่อเพิ่มความอึดทนของผู้ชายที่เขาเคยเห็นมาก่อน หากอันนี้มีแท่งที่ใช้เสียบใส่ช่องทางด้านหลังของผู้สวมใส่ติดมาด้วย เจนยุทธหยิบมันขึ้นมาดูอย่างสนใจก่อนจะค่อยๆ กระมิดกระเมี้ยนหย่อนมันลงตะกร้า

"หืมม์? เจชอบแบบนี้เหรอ ทะลึ่งไม่ใช่เล่นเลยนะเรา ว่าแต่เลือกของที่จะใช้กับคุณเขาได้หรือยังล่ะ? หรืออยากได้ของที่มัน kinky กว่านี้? พวก SM bondage อะไรพวกนี้ก็มีนะ โซ่ แส้ กุญแจมือมีพร้อม หรือว่าพวกกางเกงในทะลึ่งๆ หรือชุดยูนิฟอร์มอะไรงี้ก็มี เดี๋ยวพี่พาไปดู"

เจอึกอัก เขาไม่กล้าบอกพี่ชายว่าของที่เขาเพิ่งหยิบใส่ตะกร้านั้นเป็นของที่เขาตั้งใจซื้อให้คนรักใช้และได้แต่ปล่อยให้บูมลากเดินลิ่วไปยังโซนถัดไป



"ไงจ๊ะ ได้ของครบหรือยัง?"

ฆาเบียร์ซึ่งยืนคอยคนรักอยู่ถามขึ้นเมื่อเห็นเจเดินถือตะกร้ากลับมายังเคาเตอร์คิดเงิน

"ก็ยังไม่เชิงครับ ผมอยากให้คุณไปกับผมหน่อย"

เจยื่นตะกร้าส่งให้พนักงานและบอกไว้ว่าเขาขอฝากไว้ก่อน จากนั้นเขาเดินนำหน้าคนรักขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งมีสินค้าของร้านนี้ขายอยู่เช่นกัน ฆาเบียร์หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยเมื่อเห็นสินค้าที่วางเรียงรายอยู่บนชั้น สินค้าส่วนมากของชั้นนี้คืออุปกรณ์ช่วยตัวเองของผู้ชายทั้งแบบที่มีรูปทรงเหมือนกระบอกไฟฉาย เหมือนไข่ เหมือนถ้วยยาวๆ หรือกระทั่งแบบที่ทั้งรูปร่างและสีสันเหมือนกับอวัยวะเพศและส่วนบั้นท้ายของผู้หญิง อย่างหลังนั้นมักอยู่ในกล่องที่มีรูปหญิงสาวเปลือยหรือกึ่งเปลือยทั้งที่เป็นรูปคนจริงหรือตัวการ์ตูนติดอยู่ คนตัวโตลอบถอนหายใจ เมื่อดูจากสายตาของเจนยุทธแล้ว สุดท้ายแล้วเจก็คงจะมีอารมณ์ทางเพศกับผู้หญิงมากกว่าอยู่ดี

“คุณครับ มานี่ ทางนี้”

คนตัวโตปล่อยให้เจเดินจูงเขาผ่านอุปกรณ์เพื่อความสุขของท่านชายทั้งหลายไปหยุดอยู่ที่ชั้นสินค้าชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น เจหันมามองหน้าคนรักพร้อมกับยิ้มหวานให้



“คุณเลือกให้ผมอันนึงสิ”

ฆาเบียร์กระพริบตาปริบๆ ด้วยความมึนงง

“อ้าว ทำไมเจถึงไม่เลือกเองล่ะ? ให้ฉันเลือกให้ทำไม?”

เจนยุทธยิ้มเขินๆ พร้อมกับไขข้อข้องใจให้คนรัก

“ก็ เอ่อ เวลาที่ผมใช้ ผมจะได้คิดถึงคุณไงครับ ฆาบี้...”

ฆาเบียร์อุทานออกมาเบาๆ เจนยุทธอธิบายต่อว่าโดยปกติแล้วยามที่ต้องอยู่ห่างกันเขากับฆาเบียร์มักหาเวลาทำเรื่องส่วนตัวแบบนี้ด้วยกันผ่านทางหน้าจอคอมหรือแท็บเล็ต หากก็มีบางครั้งที่พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้มีเวลาว่างตรงกัน หรือมีเวลาตรงกันน้อยและต้องการใช้เวลาไปกับการพูดคุยมากกว่าทำให้ร้างราเรื่องแบบนี้ไปบ้าง

"...โดยปกติถ้าทำกับคุณ ผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระป๋องอะไรช่วยหรอกอ่ะ แค่ใช้มือกับเห็นหน้าคุณก็ฟินแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงแบบ เอ่อ ช่วงที่เราไม่ว่างทำด้วยกัน บางครั้งที่ผมเกิดอารมณ์อยากทำขึ้นมา ผมก็จะหาพวกหนังอะไรดูแล้วก็ใช้ไอ้พวกตัวช่วยนี่อ่ะ..."

เจนยุทธยิ้มเขินๆ สิ่งที่เขาพูดต่อทำให้ฆาเบียร์หัวตาร้อนผ่าวขึ้นมา

"...แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดนิดๆ อ่ะฆาบี้ ก็ของพวกนี้มันเลียนแบบ เอ่อ ของผู้หญิงใช่ไหมอ่ะ? มันก็เหมือนกับผมนอกใจคุณ​ ฉะนั้นผมก็เลยจะขอให้คุณเลือกของที่ผมจะใช้ให้ จะได้เหมือนกับว่าคุณอนุญาตผมแล้ว ได้ไหมครับ?"

"โธ่ เจ นายไม่ต้องขอฉันแบบนี้ก็ได้"

ฆาเบียร์ดึงคนรักเข้ามากอดไว้แน่นจนเจบ่นว่าอึดอัดคนตัวโตจึงยอมปล่อย



"ว่าไงครับ คุณจะเลือกให้ผมได้ไหม?"

เจถามอีกครั้ง คนตัวโตพยักหน้า เขาจะต้านทานสายตาเว้าวอนจากตากลมใสคู่นี้ได้อย่างไร

"แต่ฉันมีข้อแม้อย่างนึงนะเจ..."

ฆาเบียร์ทำเสียงเคร่งขรึม

"...ฉันจะไม่เลือกอันที่มีรูปร่างกับสีเหมือนของจริงให้นะ"

"ไม่มีปัญหาครับ แหม คุณนี่ขี้หึงเหมือนกันนะ"

เจหัวเราะคิกคัก

"เฮ้ๆ นายถามฉันเองนะ ตกลงจะเอาหรือไม่เอา?"

คนตัวโตทำเสียงเข้ม เจนยุทธรีบพยักหน้าระรัว หลังจากทั้งคู่เปิดนั่น ดูนี่พลางหยอกล้อกันไปมาอย่างสนุกสนานกันพักใหญ่ ฆาเบียร์ก็สะดุดตาเข้ากับอุปกรณ์ทรงกระบอกพลาสติกสีขาวดูเรียบหรูชิ้นหนึ่ง

"เจจ๊ะ แบบนี้ล่ะ โอเคไหม?"

ฆาเบียร์ส่งกระบอกสีขาวนั้นให้กับเจนยุทธ เจรับมาแล้วก็ต้องอุทานด้วยความตื่นเต้น



"คุณ นี่มันแบบอัตโนมัตินี่นา ขอลองดูหน่อยดิ๊ มีไฟหรือเปล่าเนี่ย?"

เจนยุทธกดสวิตช์เปิดเครื่องทันที เขาลองใช้นิ้วแหย่เข้าไปแล้วหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ เขาดึงมือคนรักมาและจับนิ้วชี้กับนิ้วกลางสอดเข้าไปในช่องของเครื่องนั้นจนมิดโคน

"ไงๆ รู้สึกไหมคุณ ดีเนอะ"

เจยักคิ้วให้คนรัก ฆาเบียร์ทำหน้าพิพักพิพ่วนเมื่อรู้สึกถึงแรงดูดและตอดรัดที่นิ้ว

"เจ ฉันเปลี่ยนใจละ ไอ้แบบอัตโนมัตินี้ฉันก็ไม่อนุญาต!"

"อ้าว ไหงงั้นอ่ะ?"

เจทำหน้ามุ่ยเมื่อคนรักว๊ากใส่เขาเบาๆ คนตัวโตตีหน้าเคร่งเครียดทันที

"ก็เพราะสัมผัสมันเหมือนจริงมากเลย อุ่นเหมือนเนื้อคนอีกต่างหาก เกิดนายติดใจไอ้นี่มากกว่าฉันแล้วจะทำไง หืมม์?"

เจนยุทธทำตาปริบๆ แล้วพลันยิ้มกว้าง

"โอ๊ย ที่รักครับ ผมไม่ติดใจมันมากกว่าคุณหรอกน่า..."

คนตัวเล็กยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับคนรักที่หึงแม้กระทั่งของเทียมพลางลดเสียงลง

"ก็มันไม่มีตัวให้กอดอุ่นๆ แถมมันก็ครางบอกว่า 'เยี่ยมมากจ้ะ' หรือ 'แรงๆ อีกที่รัก' แบบเมียของผมไม่ได้นี่นา"

ฆาเบียร์หน้าแดงก่ำเมื่อเจทำเสียงกระเส่าเลียนแบบเขา แถมเขายังเพิ่งรู้ตัวว่าตนนั้นพลาดไปยินยอมพร้อมใจรับสถานะถูกรุกเร้าอย่างเต็มปากเต็มคำจนเจ้าตัวดีมันได้ใจ

"Babe, how come you are so naughty?!"

เจสะดุ้งโหยงเมื่อคนตัวโตวางอุปกรณ์ในมือลงแล้วหวดหนักๆ ที่ก้นของเขาป้าบหนึ่ง

"ไม่ได้ทะลึ่งซักหน่อย ทำไมวันนี้มีแต่คนบอกว่าผมทะลึ่ง ผมออกจะเรียบร้อยน่ารัก"

เจบ่นอุบอิบพลางครุ่นคิดว่าวันนี้เขาได้ยินคำที่มีความหมายว่าทะลึ่งทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษมากี่ครั้งแล้วกันนะ ฆาเบียร์ส่ายหัวและพูดในใจว่าถ้าตัวแสบอย่างเจเรียบร้อย ในโลกนี้ก็คงไม่มีคนทะลึ่งตึงตังแล้ว



"เอ้า นี่ ฉันอนุญาตให้แค่นี้ โอเคไหม?"

หลังจากเลือกต่ออีกครู่หนึ่ง ฆาเบียร์ก็ส่งอุปกรณ์ช่วยตัวเองของท่านชายยี่ห้อดังจากญี่ปุ่นรุ่นกลางๆ ให้เจนยุทธ

"คุณเลือกให้ก็โอเคแล้วครับ ผมก็ไม่ได้ใช้บ่อยอะไร เอาของแพงหรือดีเกินมาก็เท่านั้น"

เจรับอุปกรณ์ทรงกระบอกราคาพันต้นๆ นั้นมาใส่ตะกร้าอย่างยินดี

"เจจ๊ะ ฉันถามหน่อยสิ..."

คนตัวโตถามขึ้นอย่างสงสัย

"ถามอะไรครับ?"

"ทำไมคนที่หาผู้หญิงได้ตลอดเวลาอย่างนายถึงต้องใช้ของแบบนี้ด้วย คือ เอ่อ พูดจริงๆ นะ อย่างฉัน เอ่อ..."

ฆาเบียร์อึกอัก หากเจก็พอจะเข้าใจความหมายของคนรักได้

"คุณไม่เคยต้องใช้มันเลยงั้นสิ ชิ..."

เจนยุทธจิ๊ปาก พ่อเจ้าประคุณของเขานั้นคงไม่เคยต้องช่วยตัวเองเลยสักครั้งด้วยซ้ำ คนตัวโตหน้าแดงและพยักหน้ารับคำเบาๆ

"เฮ้อ มันก็ใช่อ่ะคุณที่ผมหาสาวเมื่อไหร่ก็ได้ แต่มันก็มีช่วงที่ผมทำงานยุ่งๆ ปั่นงานโต้รุ่ง หรืออย่างตอนเป็นนักศึกษาก็ช่วงเตรียมสอบที่ผมจะไม่ได้มีเวลาเที่ยวหรือรู้ว่าถ้าไปก็คงทำไม่ได้เต็มที่ ล่มก่อนแน่ๆ ช่วงนั้นถ้าเกิดอยากขึ้นมา ผมก็อาศัยใช้ตัวช่วยแบบนี้ มันก็ดีกว่ามืออ่ะนะ..."

เจหัวเราะแหะๆ

"แต่ก็ไม่ได้บ่อยหรอกนะคุณ ส่วนใหญ่ผมก็จะหาเวลาว่างไปผ่อนคลายได้อ่ะ"

เจยิ้มแหยๆ เมื่อพูดถึงตัวเองในอดีต



"แล้วตอนนี้ล่ะ? นายไม่ได้รู้สึกต้องการมากเท่ากับสมัยก่อนแล้วเหรอ? ทั้งๆ ที่เราสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดแท้ๆ..."

ฆาเบียร์ถามคำถามที่ติดอยู่ในใจเขาออกมา เขารู้ถึงความต้องการของเจดีว่าเจ้าตัวมีพลังทางเพศสูงเหลือล้นขนาดไหน

"อืมม์ นั่นสินะ ผมว่าตอนนี้ผมพอใจกับที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้วนะ ได้คุยกับคุณ ทำอะไรทะลึ่งๆ กันออนไลน์แค่นี้ผมก็แฮ้ปปี้แล้วอ่ะ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องการอยากหาคนกอดมากเท่ากับเมื่อก่อนละ เอ๊ะ หรือว่าผมเริ่มเซ็กส์เสื่อมแล้ววะ?"

เจขมวดคิ้วด้วยความกังวล หากฆาเบียร์กลับยิ้มละไม

"ไม่หรอกจ้ะ ฉันก็เป็นเหมือนกัน"

ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักและหอมเบาๆ ที่เรือนผมดำขลับของคนรัก เจนยุทธกับเขาช่างเหมือนกันนัก ตัวเขาที่เคยต้องหาร่างอุ่นๆ มากกกอดเป็นประจำกลับรู้สึกพอใจอยู่กับแค่เซ็กส์ออนไลน์สัปดาห์ละไม่กี่ครั้งในตอนนี้ เขากลับมีความสุขกับการที่ได้พูดคุยกับคนรักจนหลับไป และสนุกกับการเฝ้ารอและจินตนาการว่าจะทำอะไรกับเจ้าตัวดีของเขาบ้างเมื่อยามได้เจอกัน มันราวกับว่าความต้องการมีเซ็กส์ของเขาในอดีตนั้น เป็นเพียงความต้องการที่จะเติมเต็มช่องว่างภายในใจมากกว่าที่จะเป็นความปรารถนาในเนื้อหนังของอีกฝ่ายจริงๆ



"อ๊ะ ฆาบี้ สามทุ่มนิดๆ แล้วนะ เราไปกันแล้วดีกว่าครับ ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลับไปเอารถที่ออฟฟิศคุณไม่ทัน"

เจดูนาฬิกาและส่งเสียงเตือนคนรัก เขารีบดึงอีกฝ่ายให้ไปที่เคาเตอร์จ่ายเงิน

"เอางี้ดีกว่า ฉันว่าเราไม่ต้องแวะไปเอารถแล้ว นายลงไปจ่ายเงินก่อน ฉันจะโทรบอกคนรถของอาปาให้มารับเราที่ไทม์ สแควร์จะได้ไม่ต้องเสียเวลาแวะเปลี่ยนรถที่ออฟฟิศ"

ฆาเบียร์บอกคนรักพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนรถจนเสร็จเรียบร้อย หากเมื่อเขากำลังจะเดินลงมายังชั้นสอง เขากลับเจอเจนยุทธยืนจดๆ จ้องๆ กับของที่วางโชว์บนชั้น

"นี่ มัวทำอะไรอยู่จ๊ะ ยังไม่ลงไปอีก"

คนตัวโตส่งเสียงถาม เจหันมายิ้มหวานให้ฆาเบียร์พร้อมกับชี้ให้ดูของที่เขาสนใจ

"เนี่ย ฆาบี้ ดูนี่สิ ของแบบนี้มันมีจริงๆ ด้วย ผมนึกว่ามันมีเฉพาะในหนัง"

เจชี้ให้คนรักดูอุปกรณ์ชุดหนึ่งซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ให้ความสุขของทั้งหญิงและชายอย่างละชิ้น

"นี่ๆ เขาบอกว่ามันมีไว้สำหรับคู่รักที่อยู่ไกลกัน ทั้งสองชิ้นจะเชื่อมต่อกับแอพในมือถือผ่าน bluetooth..."

เจอธิบายฟังก์ชั่นการใช้งานของมันให้ฆาเบียร์ฟัง

"ฉะนั้น ถ้าคนนึงขยับของใช้ของตัวเอง อีกเครื่องนึงก็จะรับสัญญาณการเคลื่อนไหวผ่านอินเตอร์เน็ตได้จากแอพและทำให้อุปกรณ์นั้นสั่นเป็นจังหวะเดียวกันได้ อย่างเจ๋ง!"

เจหยิบกล่องของเล่นแพ็คคู่นั้นมาดูอย่างสนใจ เขาเล่าให้ฆาเบียร์ฟังว่าเขาเคยเห็นมันในซีรีส์แนวสืบสวน แต่ในตอนนั้นเขาคิดว่ามันเป็นแค่ของที่ไม่ได้มีอยู่จริง



"สนใจสักชุดไหมครับ ฆาบี้?..."

เจนยุทธกอดกล่องของเล่นคู่นั้นไว้แนบอก

"ผมเอาที่เป็นกระป๋องไว้ ส่วนคุณ ผมยกแท่งๆ นี่ให้เลยเอ้า"

เจนยุทธส่งสายตาปิ๊งๆ พร้อมยิ้มอันใสซื่อบริสุทธิ์ให้คนรัก หากคราวนี้ฆาเบียร์ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามอีกต่อไป เขาดึงกล่องในอ้อมอกคนรักไปวางบนชั้นเหมือนเดิม

"No deal จ้ะ แต่ถ้ากลับกันฉันอาจจะยอมนะ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจสะดุ้งโหยงเมื่อถูกมือใหญ่ขยำหนักๆ เข้าที่แก้มก้น

"ไม่เอาก็ไม่เอาวะ ชิ ไปครับ ไปคิดตังค์เลย"

เจบ่นอุบอิบ พลางดึงมือคนรักให้กลับลงไปยังชั้นสองเพื่อทำการจ่ายเงิน



"เอ๊ะ แล้วสองคนนั้นไปไหนกันแล้วล่ะ?"

ฆาเบียร์ถามเมื่อไม่เห็นทนายทั้งสอง

"อ๋อ พี่บูมไลน์มาสักพักแล้วครับว่าพวกพี่เขาจะไปนั่งรอที่สตาร์บัคส์ในไทม์ สแควร์ เห็นว่าจะไปซื้อพวกเม็ดกาแฟอะไรกันเพราะว่าถ้าจ่ายตังค์ในห้างครบ 350 เหรียญจะได้จอดรถฟรีสามชั่วโมง ค่าจอดรถที่นั่นมันแพงเหรอคุณ?"

เจถามอย่างสงสัยคนตัวโตพยักหน้ารับคำ

"จ้ะ ถ้าช่วงวันธรรมดาแบบนี้ก็ 16 เหรียญต่อครึ่งชั่วโมง ถ้าเสาร์ อาทิตย์ก็แพงขึ้นไปอีก"

เจนยุทธทำตาโต

"โอย แพงจริงๆ ด้วย แถวบ้านผมนี่ไม่มีห้างที่เก็บตังค์ค่าจอดรถเลยมั้ง อ๋อ น่าจะมีแค่ที่กาดสวนแก้ว ช่วงที่แล้วห้างเซ็นเฟสก็เคยเก็บ ปรากฎว่าคนเชียงใหม่ไม่เข้าครับ หรือไม่ก็เข้าไปแล้วรีบกลับเพราะไม่อยากเสียแพง หลังๆ มาเลยยกเลิกไป"

"ที่จริงการเก็บค่าจอดรถแพงก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้คนลดการใช้รถส่วนตัวเหมือนกันนะ"

คนตัวโตเปรย เจพยักหน้า

"ครับ แต่ผมว่าสำหรับนิสัยคนเชียงใหม่แล้วคงเลือกที่จะมาห้างน้อยลงแทนมากกว่า..."

เจพูดกลั้วหัวเราะ

"...แต่เราก็กำลังพยายามปรับตัวเรื่องใช้รถกันอยู่ครับ เด็กๆ รุ่นใหม่ก็นั่งรถเมล์หรือแกร็บไปห้างเยอะขึ้น ซึ่งผมก็ว่าดีนะ...อ๊ะ คุณรอนี่แป๊บนะ"

เจนยุทธทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้ เขาวิ่งตื๋อไปหยิบอะไรบางอย่างมาจากชั้น



"ผมว่าจะช่วยค่าจอดรถพี่ๆ เขาหน่อย"

เจยักคิ้วให้คนรักซึ่งมองเขามาเป็นเชิงถามพร้อมกับชูของในมือให้ฆาเบียร์ดู มันเป็นคลิปหนีบหัวนมแบบสั่นได้แบบที่เขาเคยได้มาจากเมลิน่า คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เจ นายนี่มันยอด..."

"ค้าบๆ ผมรู้ตัวว่าผมทะลึ่งค้าบ"

คนตัวเล็กพูดแทรกพร้อมกับย่นจมูกให้คนรัก ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ ในความทะเล้นของคนรัก

"เอ้า เร็วๆ รีบจ่ายเงินได้แล้ว เดี๋ยวเราต้องแวะไปลาอลันกับแพทริคเขาด้วย"

เจพยักหน้า เขายื่นบัตรเครดิตในมือให้พนักงานรูดเสร็จสรรพแล้วจึงพาคนรักเดินกลับลงไป



"งั้นเดี๋ยวพวกผมไปก่อนนะครับ"

เจยกมือไหว้ญาติผู้พี่และอลันซึ่งเดินออกจากร้านกาแฟมาส่งพวกเขายังรถเบนท์ลีย์คันงามของคริส บูมรับไหว้และดึงตัวน้องชายมากอดแบบตะวันตกแบบที่เขาเคยชิน

"ช่วงนี้ตอนกลางวันพี่คงไม่ว่างแล้วเพราะต้องทำงาน แต่ว่าเราต้องหาเวลากินข้าวด้วยกันอีกสักมื้อก่อนเจกลับนะ โอเคไหม?"

ทนายหนุ่มชาวไทยกำชับกับน้องชาย เจพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน

"อ๊ะ เกือบลืมอ่ะ พี่บูม เอ้า นี่ครับ ผมเอามาช่วยค่าจอดรถ"

เจยิ้มกริ่มพลางดึงของห่อหนึ่งออกมาจากถุงกระดาษเรียบๆ ไร้ชื่อของร้านเซ็กส์ช็อป

"ไว้ค่อยแกะตอนถึงบ้านนะพี่บูม คืนนี้ก็ใช้ด้วยล่ะ ผมรับประกันความเสียว"

เจนยุทธยักคิ้วให้พี่ชาย บูมหัวเราะหึๆ แล้วก็ได้แต่โคลงหัวให้กับความทะลึ่งตึงตังและหน้าเป็นของน้องชาย เจกับฆาเบียร์โบกมือลาทนายทั้งสองและขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบินนานาชาติฮ่องกง



"สวัสดีครับ อาปา"

เจนยุทธยกมือขึ้นไหว้พ่อบุญธรรมของคนรักที่เพิ่งเดินออกมาจากประตูตามความเคยชิน ผู้สูงวัยกว่ายิ้มกว้างและเดินรี่เข้ามาสวมกอดร่างเพรียวของลูกชายคนโปรดคนใหม่ของเขา ก่อนจะดันตัวออกและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน

"ว่าไงเรา สบายดีไหม? ตอนแรกอาปาว่าจะย่องไปเซอร์ไพรส์เงียบๆ ที่โรงแรม  แต่ก็กะอยู่แล้วว่ารายนั้นเขาคงเก็บความลับไว้ไม่อยู่"

คริสหัวเราะเบาๆ หลังจากโบ้ยหน้าไปยังลูกชายนอกไส้ของเขา ฆาเบียร์ทำหน้าตูมและบ่นเบาๆ

"ผมก็บอกแล้วว่ายังไงๆ เจก็ต้องจับได้"

เจหัวเราะหึๆ อันที่จริงเขาแทบไม่ได้จับผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ หากเป็นคนตัวโตที่หลุดปากเล่าทุกอย่างออกมาเอง เขาหันไปทักทายเมลิน่าและริคกี้ซึ่งเดินตามออกมาอย่างสนิทสนม หลังจากทักทายกันเสร็จสรรพแล้ว เลขาฯ ทั้งสองก็เดินมาส่งนายทั้งสามของเขาจนถึงรถที่จอดรออยู่บริเวณลานจอดด้านข้างสนามบินก่อนที่จะพากันขอตัวเดินทางกลับที่พัก



"สองคนนั้นนั่งแอร์พอร์ท เอ็กซเปรสกลับกันเหรอคุณ? ที่จริงดึกแล้วแบบนี้น่าจะนั่งแท็กซี่น้า จะได้ไปส่งกันสองที่ได้"

เจชะโงกหน้าไปบ่นเบาๆ กับฆาเบียร์ที่ไปนั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับ เขาจำได้ว่าตัวเมลิน่านั้นเช่าห้องอยู่ในคอนโดสักแห่งในคอมเพล็กซ์เดียวกันกับตึก ICC อันเป็นที่ตั้งของบริษัทเขา หากอพาร์ทเมนท์ที่ริคกี้เช่าอยู่นั้นอยู่บนฝั่งฮ่องกงใกล้กับอาคารบริษัทของอาปาซึ่งเป็นที่ทำงานเดิมของเลขาหนุ่ม

"ไปแอร์พอร์ท เอ็กซเปรสน่ะถูกแล้วจ้ะเพราะตอนนี้ริคกี้เขาคืนห้องที่อพาร์ทเมนท์นู้นแล้ว ถ้ากลับมาฮ่องกง เขาก็จะไปนอนที่ห้องยัยเมลิน่า"

ฆาเบียร์หันพูดพลางยิ้มให้คนรัก เจทำตาโตและหัวเราะคิกออกมาเบาๆ

"นั่นๆ คิดอะไรทะลึ่งๆ อีกแล้วสิเรา"

คนตัวโตจุ๊ปากเมื่อเห็นสายตาแพรวพรายของคนรัก

"เปล๊า ไม่ได้คิดอะไรซักหน่อย"

เจปฏิเสธเสียงสูงทั้งที่ในใจเขานั้นคิดไปร้อยแปดพันเก้าเรื่องแล้ว คนตัวโตโคลงหัวแล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุย



"งั้นเดี๋ยวพวกผมขอแวะเอารถที่ไอซีซีก่อนนะครับ เผื่อดึกๆ คืนนี้กลับลงพีคมาจะได้ไม่ต้องลำบากลุงโจวลงมาส่ง"

ฆาเบียร์หันไปพูดกับอาปาของเขา หากคริสปฏิเสธ

"ไม่ต้องแวะหรอก พวกเราขึ้นไปแล้วก็ค้างที่บ้านอาปาเลยดีกว่า ดึกแล้วไม่ต้องขับรถขึ้นๆ ลงๆ เขาหรอก..."

"เอ่อ แต่ว่าพวกผม..."

คนตัวโตเหลือบมองเจนยุทธด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย คริสยิ้มละไมให้เด็กๆ ของเขา

"ถ้าเรื่องเสื้อผ้าน่ะ ไม่ต้องห่วง คราวที่แล้วลูกก็เอาเสื้อผ้าของเจไปทิ้งไว้บนบ้านนั้นบ้างแล้วไม่ใช่รึ?"

"ครับ เอ่อ..."

"ได้ครับ คืนนี้พวกผมจะขึ้นไปนอนที่บ้านอาปา"

เจนยุทธตอบรับคำแทนคนรักของเขาที่ยังมีท่าทีอึกอัก ฆาเบียร์ลอบถอนหายใจเบาๆ



"งั้นก็แล้วแต่เจเขาแล้วกันครับ"

คริสหันไปยิ้มกว้างให้เจนยุทธ

"ดีเลย พรุ่งนี้เช้าเราจะได้กินข้าวเช้าไปคุยกันไป อาปามาคราวนี้ก็มาทำงานด้วย วันพรุ่งนี้จะได้อยู่คุยกับลูกแค่ตอนเช้ากับตอนเย็นเท่านั้น อ๊ะ นี่ถุงอะไรน่ะ?"

อาปาของฆาเบียร์อุทานออกมาเบาๆ เมื่อเท้าของเขาไปเตะใส่ถุงกระดาษที่วางแอบอยู่ข้างคอนโซลกลางรถ

"อ๋อ น่าจะเป็นถุงกุนเชียงตับของร้าน Kam's Roast Goose ครับ พวกผมซื้อมาฝากอาปา"

เจพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูถุงที่คริสหยิบขึ้นมาวางไว้บนตักเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาดูสารพัด gadget บนแผงคอนโซลกลางของรถหรูสัญชาติอังกฤษคันนี้

"เหรอ? เป็นกุนเชียงทั้งสามถุงเลยเหรอ? ซื้อมาทำไมเยอะแยะ..."

คริสบ่นเบาๆ พร้อมกับเปิดปากถุงกระดาษใบหนึ่งออกดู

"สามถุง? เฮ้ย!"

"ตายห่าน!"

"เอ๊ะ!"

เสียงอุทานอย่างตกใจของทั้งสองหนุ่มดังขึ้นเมื่อนึกได้ว่าถุงที่คริสพูดถึงนั้นคือถุงอะไร ส่วนผู้อาวุโสกว่าก็อุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นของที่อยู่ในถุงกระดาษเรียบๆ ไร้ชื่อร้าน จากนั้นก็เหลือแต่ความเงียบที่เข้ามาปกคลุมภายในรถชั่วขณะหนึ่ง



"Gosh...You kids are so...so..."

เสียงพูดปนเสียงหัวเราะของคริสดังขึ้นทำลายความเงียบในรถ ฆาเบียร์และเจหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่กแต่สุดท้ายก็อดไม่ได้จนต้องหัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน

"ฮ่าๆ โอย ผมขอโทษจริงๆ ครับอาปา ผมลืมไปซะสนิทเลยว่าเอามันวางไว้ที่นั่น"

ฆาเบียร์พยายามปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบ แต่เขาก็อดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้เมื่อเห็นหน้าที่แดงก่ำเพราะพยายามกลั้นหัวเราะของคนรัก

"เอ้า เอาคืนไป นี่เซี้ยวกันจริงๆ นะ ไปหาของทะลึ่งๆ แบบนี้กันมาจากไหนเยอะแยะ หืมม์?"

คริสส่งถุงกระดาษทั้งสามใบคืนให้เจนยุทธซึ่งเขารีบเอาไปซุกเก็บไว้ให้ห่างตาผู้เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของคนรัก

"พี่บูมกับพี่อลันพาไปซื้อครับ"

เจนยุทธพูดอ้อมแอ้ม คริสทำท่าประหลาดใจเมื่อรู้ว่าทนายทั้งสองเป็นคนพาเจไปเปิดหูเปิดตา



"นี่เป็นเหตุให้ลูกไม่อยากขึ้นไปนอนที่บ้านบนพีคใช่ไหม?"

อาปาของฆาเบียร์หันไปถามลูกชายที่นั่งอยู่เบาะหน้าอย่างอารมณ์ดี ฆาเบียร์หน้าแดงซ่านและไม่มีคำตอบให้ คริสหัวเราะเบาๆ ด้วยรู้นิสัยของลูกชายบุญธรรมของเขาดี

"คราวนี้พวกลูกก็ทำตัวกันตามสบายได้เลยนะ เพราะว่าอาปาได้ให้คนเขาย้ายของๆ อาปาไปไว้ที่ห้องนอนใหญ่แล้ว..."

คริสพูดยิ้มๆ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานหลายสิบปี เขาก็ยังคงใช้ห้องนอนเล็กซึ่งเป็นห้องนอนเดิมของตนในอาคารฝั่งซ้ายของตัวบ้าน ส่วนห้องนอนที่ฆาเบียร์นอนอยู่ในปัจจุบันซึ่งอยู่ติดกันกับห้องนอนของเขานั้นเคยเป็นห้องนอนเดิมของแอนดี้ผู้เป็นน้องชาย หากหลังจากที่รู้ว่าเจจะมาที่ฮ่องกงบ่อยขึ้น คริสจึงตัดสินใจที่จะย้ายไปใช้ห้องนอนใหญ่ในอาคารฝั่งขวาซึ่งเป็นห้องนอนเดิมของพ่อเขาและแม่เลี้ยง ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพราะต้องการให้ความเป็นส่วนตัวกับชายหนุ่มทั้งสองมากขึ้น และจากของในถุงที่เขาเห็นในวันนี้ มันทำให้เขารู้ว่าตนเองนั้นคิดถูกแล้ว คริสหันไปส่งยิ้มให้เด็กๆ ของเขาทั้งสอง

"...ทีนี้ก็ทำเรื่องทะลึ่งๆ กันได้ตามสบายแล้วนะ ไม่ต้องมาคอยเกรงใจอาปาแล้วล่ะ"




-----------------------------------------

ตัดตอนตรงนี้ก่อนนะคะ ตอนนี้เครียดมากเรย ไปจั่วหัวไว้ว่าเป็นเรื่องทะลึ่งๆ ก็กลัวว่าจะเขียนได้ไม่ทะลึ่งสมใจคนอ่าน หรือจะกลายเป็นทะลึ่งมากไปจนเกินสนุกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เลยออกมาช้ากว่าที่กำหนดเล็กน้อยค่ะ ว่าแต่ นับคำว่าทะลึ่งในเรื่องได้กี่คำกันคะ?


ก่อนจะเข้าเรื่องทะลึ่ง เราก็ไปแวะกินห่านย่างเติมพลังก่อน ห่านย่างที่คนเขียนเอามารีวิวรอบนี้คือ Kam's Roast Goose ซึ่งเป็นห่านย่างรุ่นหลานที่แยกตัวออกมาจากร้าน Yung Kee อดีตตำนานร้านห่านย่างของฮ่องกงค่ะ บทสรุปก็ตามที่รีวิวไว้ค่ะ ถ้าเอาตามลิ้นคนเขียนว่าเน้นไปกินห่านย่างกับกุนเชียงตับก็พอค่ะ ส่วนหมูแดง หมูกรอบและหมูหันก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีค่ะ แต่ในทริปที่ผ่านมานี้ก็มีของร้านอื่นที่ชอบมากกว่า ส่วนอย่างอื่นก็มาตรฐานค่ะ แต่ถ้าได้ไปอีกรอบก็ว่าจะไปลองหมูแดงแบบมันพิเศษที่เขาว่าอร่อยนักหนาดูค่ะ

รีวิวร้าน Kam's Roast Goose ในพันทิป ละเอียดทีเดียวค่ะ http://bit.ly/2U5ipAs

รีวิวจากเดือนพ.ค. ปี 2018 ค่ะ รายละเอียดเยอะดี http://bit.ly/2UgtYE9


ในเรื่อง ได้มีพูดถึงดิสนีย์แลนด์และการ์ตูนดิสนีย์เรื่อง Fantasia เวอร์ชั่นปี 1940 จริงๆ อยากพูดถึงแฟนตาเซียมากกว่านี้ แต่ดูๆ แล้วมันไม่เข้ากับเรื่องเลยตัดจบไป เอามาดูเล่นตรงนี้แทนแล้วกันนะคะ

ส่วนที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมิคกี้เมาส์ มีชื่อตอนว่า Sorcerer's Apprentice http://bit.ly/2V0ZPpq

แฟนตาเซียฉบับเต็ม https://www.youtube.com/watch?v=r7gLlIv4ito


ส่วนเรื่องร้านขายของที่ว่านั้น...บอกให้แค่โลเคชั่นในเรื่องพอแล้วกันนะคะ หาไม่ยากเลย เผื่อใครอยากจะแวะไปเปิดหูเปิดตาดูของที่บ้านเรายังถือเป็นของผิดกฎหมายอยู่ ;-) แต่ถ้าจะไม่ไปดูของทะลึ่งๆ รู้สึกว่าที่ชั้นหนึ่งตรงสุดโถงทางเดินลึกลับของเจนั้นจะมีร้านกาแฟเล็กๆ น่ารักๆ ตั้งอยู่ ชื่อร้าน Cafe Corridor ค่ะ ถ้าช้อปปิ้งในไทม์ สแควร์จนเหนื่อยก็ลองแวะไปนั่งเล่นดูได้ค่ะ นี่จะเป็นอีกหนึ่ง wish list ในทริปฮ่องกงรอบหน้าของคนเขียนค่ะ

Café Corridor https://www.facebook.com/cafecorridor/



ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อาปาเขินแทนเลยมั้ง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Take It Off! ----





“เดี๋ยวอาปาจะขึ้นไปก่อนนะ ไว้พรุ่งนี้กินมื้อเช้าด้วยกัน อาปาจะให้เด็กขึ้นไปเรียกถ้าตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว”

คริสลุกขึ้นจากโซฟาไม้แกะสลักแบบจีนชุดเก่าแก่ของปู่ที่เขาปรับเอาเบาะนวมหนานุ่มมาวางไว้เพื่อให้นั่งสบาย หลังจากกลับมาถึงบ้านบน Victoria Peak พวกเขาทั้งสามก็มานั่งพูดคุยกันที่ห้องนั่งเล่นของบ้านครู่หนึ่งก่อนที่ผู้อาวุโสของบ้านจะขอตัวไปนอน

“พรุ่งนี้เช้าผมคงขอติดรถอาปาเข้าเมืองไปด้วยนะครับ แต่สำหรับรายนี้ ก็คงแล้วแต่เขา”

ฆาเบียร์หันไปยิ้มน้อยๆ ให้เจนยุทธ เจยิ้มแหยๆ แล้วบอกว่าเขาจะพยายามตื่นให้ทัน

“ไม่เป็นไรหรอก เจนอนพักไปเถอะ ถ้าอยากออกไปไหนก็บอก เดี๋ยวอาปาจะส่งริคกี้มาอยู่ด้วย เผื่อเราอยากจะไปไหน”

เจนยุทธรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เขาบอกว่าถ้าตื่นไม่ทันเขาก็คงจะอยู่รอที่บนบ้านนี้หรือไม่ก็จะเรียกแท็กซี่ลงไปในเมืองเอง

“งั้นตามใจเราแล้วกัน ไว้ลองดูอีกทีพรุ่งนี้ อาปาขึ้นไปนอนก่อนนะ”

“เดี๋ยวผมเดินไปส่งครับ”

เจลุกขึ้นและเดินตามคริสไปยังห้องโถงใหญ่กลางบ้าน แม้อาปาวัย 63 ของฆาเบียร์จะยังแข็งแรงและกระฉับกระเฉง แต่เจก็คอยดูให้แน่ใจว่าคริสจะขึ้นบันไดไปได้อย่างเรียบร้อย



“ราตรีสวัสดิ์ครับอาปา”

เจค้อมหัวให้เจ้าของบ้านเมื่อมาส่งถึงที่หน้าประตูห้องนอน คริสยิ้มละไมให้คนรักของลูกบุญธรรม

“เช่นกันนะ เราก็ไปได้แล้ว คืนนี้คงยังไม่ได้นอนกันง่ายใช่ไหม?…”

เจหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นสายตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของอาปาคริส

“เดี๋ยวก็นอนแล้วครับเพราะพรุ่งนี้ฆาบี้เขาต้องไปทำงานแต่เช้า”

เจนยุทธก้มหน้างุดเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อ คริสหัวเราะเบาๆ ในลำคอและโบกมือไล่ให้ชายหนุ่มที่เขารักเหมือนลูกอีกคนหนึ่งให้ไปนอน เจกล่าวราตรีสวัสดิ์อีกครั้งก่อนที่จะเดินกลับไปตามโถงทางเดิน

“ไงล่ะ โดนแซวเลยใช่ไหม?”

คนตัวโตซึ่งยืนรอคนรักอยู่ที่ชานพักขนาดใหญ่ถามกลั้วหัวเราะ ถึงเขาจะไม่ได้ยินว่าทั้งสองพูดคุยอะไรกัน แต่เขาก็เดาได้จากใบหน้าซึ่งยังแดงน้อยๆ ของคนรัก

“ฮึ ก็เพราะคุณนั่นแหละ ดันลืมถุงนั่นไว้ได้”

เจนยุทธบ่นอุบอิบพลางเดินลงบันไดที่พาเขาลงจากอาคารฝั่งขวาของตัวตึกมายังชานพักบันไดที่ทำจากหินอ่อนสีขาวจากอิตาลี เขาเดินมาหยุดตรงหน้าคนรักที่ยืนพิงโต๊ะไม้ยาวปลายงอนซึ่งวางแจกันดอกไม้และของประดับไว้

"ไงครับ จะขึ้นห้องแล้วหรือยัง?"

เจถามคนรัก คนตัวโตส่งมือให้เขาแทนคำตอบ คนตัวเล็กยื่นมือไปเกาะกุมมืออุ่นที่ดึงร่างเขาเข้ามาใกล้และพาเดินขึ้นบันไดซึ่งแยกไปฝั่งซ้ายของคฤหาสน์ เจไล้นิ้วไปตามราวบันไดไม้มะฮอกกานีสีเข้มบนแผงราวเหล็กดัดลวดลายอ่อนช้อย บันไดสีขาวขนาดใหญ่ที่แยกซ้ายขวาขึ้นสู่ปีกทั้งสองของบ้านเดิมทีทำจากหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ หากเมื่อคริสทำการปรับปรุงบ้านใหม่เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่ผ่านมา ฆาเบียร์ถือโอกาสเปลี่ยนแผ่นหินอ่อนที่ปูด้านหน้าออกและปูแผ่นไม้มะฮอกกานีสีเดียวกับราวบันไดเข้าไปแทน เหตุผลของเขาคือเพื่อกันลื่น เขายังได้ให้ช่างใส่ไฟส่องสว่างไว้เป็นระยะๆ อีกด้วย แม้มันจะทำให้บันไดขนาดใหญ่กลางบ้านนี้ดูงดงามน้อยลง แต่เขาก็ทำเพื่ออาปาผู้มีอายุมากขึ้นทุกวันของเขา



“นี่ คุณ แล้วนี่อาปาไปนอนที่ตึกปีกนู้นคนเดียว ถ้าเกิดล้มหรือเป็นอะไรมาทำไงอ่ะ”

เจนยุทธที่กำลังถอดเสื้อเตรียมอาบน้ำถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล หากเป็นที่บ้านของเขา เมื่อแม่ของเขาอายุมากขึ้น พวกเขาพี่น้องไม่เคยปล่อยให้แม่ได้อยู่คนเดียว ถ้าพี่จืดหรือพี่สะใภ้ไม่อยู่บ้าน ไม่เขาหรือพี่สาวก็จะต้องไปอยู่ที่บ้านแม่แตงกับแม่ และที่บ้านแม่ยังมีคนทำงานบ้านซึ่งอยู่ประจำที่บ้านแห่งนั้นอีกด้วย แต่เขาไม่รู้ว่าฆาเบียร์ซึ่งมีแนวคิดแบบตะวันตกนั้นจะทำแบบเดียวกันหรือเปล่า

“ไม่ต้องห่วงจ้ะ ห้องนอนทุกห้องของบ้านนี้มีกริ่งฉุกเฉินติดไว้หมด รวมถึงในห้องน้ำด้วย อีกอย่างห้องของคุณเควินก็อยู่ข้างห้องนอนใหญ่ที่ปีกนู้นด้วย ไม่มีอะไรต้องห่วงนะ”

ฆาเบียร์พูดถึงบัทเลอร์ประจำบ้านวัย 50 ปีผู้เคยผ่านการทำงานในโรงแรมห้าดาวอย่างเพนินซูล่า ฮ่องกงมาแล้ว เจพยักหน้ารับคำ เขาเดินมาที่เก้าอี้นวมและดึงร่างคนรักที่นั่งดูทีวีอยู่ให้ลุกขึ้น

"ไป คุณ อาบน้ำกันเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้คุณต้องตื่นเช้านี่ครับ"

 "เดี๋ยวสิ ยังไม่ต้องอาบก็ได้..."

ฆาเบียร์ขืนกายไว้และใช้แรงดึงคนตัวเล็กซึ่งใส่เพียงกางเกงในตัวเดียวให้ลงนั่งบนตักของเขา

"...เดี๋ยวก็ต้องอาบอีกรอบอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?"

คนตัวโตใช้แขนโอบรัดร่างเพรียวไว้และใช้ริมฝีปากซุกไซ้ไปตามไรผมที่หลังคอของเจนยุทธ เจสยิวกายขึ้นน้อยๆ และพยายามเบี่ยงตัวหนีการลวนลามของคนรัก

"ไม่เอา ฆาบี้ ผมตัวเหม็น ขออาบน้ำสักรอบก่อนเถอะ วันนี้เหงื่อออกเยอะ"

เจนยุทธอ้อนวอนคนรัก

"ไม่เห็นเหม็นตรงไหนเลย หอมจะตาย"

เจแทบดิ้นตายเมื่อคนรักทั้งจูบทั้งดอมดมไล่ลงมาตามแผ่นหลังของเขา ลมหายใจอุ่นๆ และตอหนวดของฆาเบียร์ทำให้เขาทั้งเสียวซ่านทั้งจั๊กจี้จนอดส่งเสียงเบาๆ ในลำคอออกมาไม่ได้ ลมหายใจที่กระชั้นขึ้นของเจนยุทธยิ่งทำให้ฆาเบียร์ได้ใจ มือไม้ของเขาเปะป่ายไปทั่วร่างของคนรัก เจกัดริมฝีปากเมื่อยอดอกที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเพราะความตื่นเต้นของเขาถูกนิ้วใหญ่บดคลึงเบาๆ เขาเอียงหน้าไปรับจูบของฆาเบียร์ คนตัวโตดูดดึงริมฝีปากของคนในอ้อมอกแผ่วๆ และส่งลิ้นเข้าไปเคล้าคลึงกับลิ้นนิ่มที่ตอบสนองเขาอย่างชำนาญ เสียงลมหายใจที่กระชั้นขึ้นของเจทำให้เขาแทบทนไม่ไหวแล้ว เขาพลิกกายคนรักให้มานั่งคร่อมตักและทำให้เจแทบขาดใจต่อเพราะสัมผัสร้อนๆ



"คุณ อาบน้ำก่อนเหอะ นะครับ ผมขอ"

เจส่งเสียงขอร้องเบาๆ อีกครั้งหลังจากถูกฆาเบียร์พรมจูบไปทั่วทั้งตัว มือของเขาจับแน่นอยู่ที่ขอบยางของกางเกงในสีขาวและยื้อมันไว้ไม่ยอมให้ฆาเบียร์ถอดมันออก คนตัวโตโคลงหัวมองคนรักที่นอนหุบขาแน่นอยู่บนโซฟานวมแบบสองที่นั่ง ดูท่าทางเจจะไม่ยอมให้เขาทำอะไรมากไปกว่านี้จริงๆ

"โอเคๆ ตามใจนายแล้วกัน"

ฆาเบียร์ถอนหายใจยาวและฉุดคนรักให้ลุกขึ้นจากโซฟา เขารีบรุนหลังเจให้เข้าห้องน้ำไป

"เอ้า รีบๆ อาบ รีบๆ ออกมานะ"

"เดี๋ยว ฆาบี้ อาบด้วยกันสิครับ"

คนตัวเล็กหันมารั้งร่างคนรักให้เข้าไปด้วยกัน เขาถอดเสื้อโปโลเนื้อบางสีดำที่เข้ารูปจนเห็นสัดส่วนและมัดกล้ามของคนรักอย่างชัดเจนออก ก่อนที่จะช่วยแกะกระดุมและรูดซิปเพื่อถอดกางเกงผ้าขาสั้นของฆาเบียร์ออก คนตัวโตสลัดข้อเท้าเหวี่ยงกางเกงและชั้นในที่หลุดออกไปพร้อมกันไปให้ห่างตัว

“เดี๋ยว ขอฉันล้างตัวก่อน”

ฆาเบียร์รั้งร่างคนรักที่ทำท่าจะลงนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าให้ยืนขึ้น เจหัวเราะเบาๆ ถึงปากจะบอกว่าทนไม่ไหว หากคนรักของเขาก็ดูจะไม่มั่นใจในความสะอาดของตัวเองเช่นกัน เจดันร่างใหญ่กำยำให้เข้าไปในส่วนอาบน้ำที่ปรับปรุงใหม่จากของเดิม แม้ฝักบัวแบบติดเพดานหรือเรนชาวเวอร์ของที่นี่จะไม่ใช่แบบเป็นแผงขนาดใหญ่เหมือนที่คอนโดของเจ แต่มันก็เพียงพอให้สายน้ำพร่างพรมรดตัวคนทั้งสองที่ยืนกอดจูบแนบชิดกันอยู่เบื้องใต้

“เราไปต่อกันข้างนอกดีกว่านะครับ"

เจพูดพลางหอบน้อยๆ เขาตัดใจดันร่างกำยำของคนรักที่ลวนลามเขาจนตัวอ่อนระทวยออก ฆาเบียร์พยักหน้าเบาๆ เขาล้างฟองสบู่บนตัวของพวกเขาทั้งคู่ออกจนหมดแล้วจึงพากันออกไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แห้ง



"หอมพอแล้วหรือยังจ๊ะ?"

ฆาเบียร์ส่งแขนของเขาให้เจนยุทธลองพิสูจน์กลิ่น เจโคลงหัวแล้วดึงมือคนรักมาเกาะกุม เขาใช้ปลายจมูกปัดเบาๆ ที่หลังมือของคนรัก ก่อนจะจูบอย่างอ่อนโยนย้ำๆ ลงบนหลังมือนั้น ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ เขาดึงมือออกจากริมฝีปากอุ่นแล้วใช้ฝ่ามือลากเบาๆ ผ่านใบหน้าของคนรัก เจยึดข้อมือของคนรักไว้ เขาเริ่มใช้ริมฝีปากไล้ผ่านใจกลางฝ่ามือคนรักเบาๆ จากนั้นใช้ลิ้นเขี่ยดุน คนตัวโตขบกรามเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสหยุ่นๆ ของลิ้นที่ลากไล้เป็นวงกลมและแรงจูบเบาๆ ที่เจประทับไว้

"ยั่วนักนะเรา"

คนตัวโตคำรามเบาๆ เมื่อเจค่อยๆ ลากลิ้นขึ้นไปตามนิ้วกลางของเขา เจนยุทธจับข้อมือใหญ่หนาไว้พลางขยับส่งนิ้วเข้าปากตนเป็นจังหวะ ดวงตากลมใสที่มองสบมาทำให้ฆาเบียร์อยากจะส่งอย่างอื่นเข้าปากของคนรักแทนจนเต็มแก่แล้ว เขาอยากให้สิ่งที่อัดแน่นในปากน้อยๆ ที่อ้ากว้างนั้นเป็นแก่นกายของเขาแทนที่จะเป็นนิ้วทั้งสามอย่างในขณะนี้

"Are you hungry for something else now?"

ฆาเบียร์ถามเสียงกระเส่า เจถอนปากออกจากนิ้วของคนรักพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ คนตัวโตรีบลุกพรวดจากโซฟาและหยิบถุงกระดาษทั้งสองใบกลับมาให้เจนยุทธ

"มะ ได้เวลาลองของเล่นใหม่"

คนตัวโตพูด เขาเปิดดูด้านในแล้วส่งถุงของเจนยุทธให้เจ้าตัว

"จะเปิดดูด้วยกันเลย หรือว่าจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์จ๊ะ?

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็ก เจทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยกถุงกระดาษของตนเทลงบนโต๊ะกาแฟหน้าโซฟา



"เจ...เอ่อ นายเอาของพวกนี้มาทำไมเยอะแยะ"

คนตัวโตอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ นอกจากกระป๋องเพื่อความสุขของท่านชายที่เขาเลือกให้เจแล้ว ของอื่นๆ ที่อยู่ในถุงเจล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับช่องทางด้านหลังทั้งสิ้น

“ผมไม่ได้เลือกเองซักหน่อย พี่บูมนั่นแหละหยิบๆ ใส่ตะกร้ามาให้”

เจนยุทธบ่นพึมพำด้วยหน้าแดงก่ำ ฆาเบียร์หยิบปลั๊กทรงดอกบัวขนาดไม่ใหญ่นักที่มีหางจิ้งจอกเป็นพวงติดอยู่ขึ้นมาดู

“ถ้าคุณสนใจผมยกให้ จะลองใช้คืนนี้เลยก็ได้นะครับ”

คนตัวโตรีบโยนของเล่นชิ้นนั้นกลับลงถุงทันทีที่เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของคนรัก ดูท่าเจคงจินตนาการถึงตัวเขาตอนใส่อุปกรณ์ขยายช่องทางติดหางจิ้งจอกอันนั้นไปเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าเจยอมใส่ ฉันก็ไม่มีปัญหานะ”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ แล้วก้มหน้าก้มตาเลือกๆ ของจากในถุงของเจ นอกจากอุปกรณ์ทำความสะอาด เจลหล่อลื่นและถุงยางแล้ว มันยังมีไวเบรเตอร์ขนาดเล็กรูปทรงต่างกันอีกสองอัน หากสิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นห่วงรัดอวัยวะเพศที่มีก้านเสียบใส่เพื่อกระตุ้นจุดเสียวติดมาด้วย



“นี่นายซื้อมาให้ฉันหรือซื้อมาใช้เอง หืมม์?”

คนตัวโตชูมันขึ้นพร้อมถามยิ้มๆ เจกัดริมฝีปากน้อยๆ

“ตอนแรกผมก็กะเอาให้คุณอ่ะ แต่เปลี่ยนใจแล้ว”

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ ตอนแรกเขากะให้ฆาเบียร์สวมใส่มันตอนเป็นฝ่ายถูกกอด แต่เมื่อเขามานึกดูอีกที เขาเข้าใจการทำงานของมันผิดไปถนัด ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ

“นี่ทุกวันนี้นายยังว่าฉันอึดไม่พออีกเหรอ?”

“พอแล้วครับ พอแล้ว ไอ้นี่อ่ะ คุณไม่ต้องใช้หรอก”

เจนยุทธบ่นอุบอิบว่าทีแรกเขาไปคิดว่ามันเป็นของสำหรับฝ่ายรับเนื่องจากเห็นว่ามันมีแท่งที่ใช้เสียบใส่ช่องทางด้านหลัง

“ไอ้ผมเคยเห็นเคยใช้แต่ไอ้ห่วงๆ นี่ แต่พอมีก้านนี่ติดมาด้วย ผมก็เลยสับสนอ่ะ รีบๆ หยิบด้วย เขินพี่บูมด้วย”

เจยกของที่เขารีบๆ หยิบด้วยความเขินพี่ชายขึ้นมาพิจารณา เขาโคลงหัวน้อยๆ พร้อมบ่นความเบ๊อะของตัวเองเบาๆ เป็นภาษาไทย เขาทำหน้ายุ่งและหันไปคุยกับคนรักอีก

“ไม่เข้าใจอ่ะ อยากให้มันแข็งมันอึดแต่ก็อยากกระตุ้นจุดข้างใน แบบนั้นมันก็ยิ่งเสร็จเร็วไม่ใช่เหรอครับ?”

คนตัวโตผงะเมื่อเจยกตัวช่วยชิ้นนั้นขึ้นชูจนเกือบชิดหน้าของเขา ฆาเบียร์ฉวยมันมาแล้วโยนกลับลงไปในถุงเหมือนเดิม

“บางคนเขาก็ชอบที่จะรู้สึกสองทางแบบนั้นมั้ง เจ เหมือน เอ่อ เหมือนตอนที่เจให้ฉันใส่ไวเบรเตอร์ไว้พร้อมกับทำกับนายน่ะ ตอนนั้นมันดีสุดๆ เลยนะ รู้ไหม?”

ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน ความเสียวจากทั้งสองทางทำให้เขาแทบคลั่ง

“อ๋อ ก็เลยต้องรัดห่วงไว้จะได้ไม่เสร็จเร็วงิ?”

เจยังคงสงสัยอยู่ไม่หาย



"อยากรู้นัก คืนนี้นายก็ลองใช้ดูสิ"

ฆาเบียร์ที่กำลังง่วนอยู่กับการคุ้ยหาของจากในถุงของตัวเองหลุดปากพูดออกมา

"ฮ้าาา! คุณจะให้ผมลอง 'คืนนี้' เลยเหรอครับ?"

คนตัวโตสะดุ้งเมื่อได้ยินเจนยุทธเน้นคำว่า "คืนนี้" เขาเงยหน้าขึ้นสบตาคนรักแล้วก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายที่จ้องมาอย่างมีความหวัง

"เฮ้อ จ้ะ ถ้านายอยากลองนะ"

"อยากครับ..."

เจพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ฆาเบียร์เคลิ้มไปกับรอยยิ้มกว้างและแววตาที่ฉายแววสนุกของคนรัก

"...แต่ผมไม่ได้แค่อยากลองไอ้เจ้าห่วงนี้หรอกนะ..."

ฆาเบียร์หน้าร้อนเมื่อเข้าใจความหมายของคนตัวเล็ก เจขยับกายอิงแอบร่างคนรักอย่างออดอ้อน เขากระซิบเบาๆ ที่หูของคนรักและมองหน้าอีกครั้งเพื่อขอคำอนุญาต ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ เจยิ้มกว้างและจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากของคนรัก

"งั้น ถุงของคุณเราค่อยลองกันวันหลังเนาะ"

เจดึงถุงกระดาษใบโตอีกใบออกจากมือของคนรัก อารมณ์ใคร่ของเขาที่สงบลงเพราะความอยากรู้อยากเห็นเมื่อสักครู่เริ่มกลับมาอีกครั้ง เขาเอียงหน้าไปจูบริมฝีปากบางของฆาเบียร์พร้อมกับดึงมือคนรักมาวางทาบบนกลางกาย คนตัวโตเริ่มคลึงเคล้นส่วนสงวนภายใต้ผ้าเช็ดตัวที่พันกายของคนรักเบาๆ เจเองก็สอดมือไปใต้ผ้าเช็ดตัวของคนรักและเริ่มนวดเฟ้นให้บ้าง เสียงครางอย่างเคลิบเคลิ้มเริ่มดังออกมาเบาๆ จากปากที่ประกบกันแน่นของทั้งสอง



"เจ เดี๋ยว นี่มันอะไรน่ะ?"

คนตัวโตที่เพิ่งเอนกายลงนอนบนโซฟาขยับลุกขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเขาทับใส่อะไรบางอย่าง เจอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเห็นห่อกระดาษขนาดเล็กนั้น เขาลืมมันเสียสนิททีเดียว

"เอ่อ ผม ซื้อนี่ให้คุณอ่ะ แต่ไว้ทีหลังก็ได้"

เจทำท่าจะโยนของที่เขาห่อมาอย่างดีจากเซ็กส์ช็อปแห่งนั้นไว้บนโต๊ะ หากฆาเบียร์ดึงมันออกมาจากมือของเจนยุทธ

"ไหน ขอฉันดูหน่อยซิว่าของที่นายตั้งใจให้ฉันใช้น่ะคืออะไร?"

คนตัวโตแกะห่อกระดาษนั้นออกดู เขาตั้งใจว่าคืนนี้เขาจะตามใจคนรักจนถึงที่สุด หากเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นของในห่อกระดาษนั้น

"เจ นี่มันอะไร? นาย...นายรู้เหรอ? ใครบอก? จอชเหรอ?"

ฆาเบียร์ถามเจนยุทธเร็วปรื๋อ คนตัวเล็กทำหน้างง เขามองหน้าฆาเบียร์สลับกับเซ็ตชุดชั้นในแสนทะลึ่งที่เขาซื้อมาให้คนรักใส่ มันเป็นชุดเลียนแบบหนุ่มๆ จากโชว์เต้นเปลื้องผ้าชื่อดังก้องโลกอย่าง Chippendale ชุดนั้นประกอบด้วยกางเกงในทีแบ็คผ้ามันสีดำ บนนั้นมีแผ่นผ้าสีขาวติดกระดุมและโบว์ไทอันน้อยแปะไว้ทำให้ดูเหมือนชุดทักซิโด นอกจากนั้นยังมีแถบผ้ารูปคอปกเสื้อเชิร์ตที่มีโบว์ไทสีดำติดอยู่ให้ใส่รอบคอ และมีผ้าที่ทำเป็นเหมือนชายแขนเสื้อเชิร์ตสองชิ้นให้ติดรอบข้อมือ

"รู้อะไร? ฆาบี้ คุณพูดถึงอะไร? หมายถึงไอ้ชุดเนี่ยอ่ะนะ? ผมแค่อยากเห็นคุณใส่มันอ่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ว่าแต่ปล่อยแขนผมก่อนเหอะ ฆาบี้ ผมเจ็บอ่ะ"

เจขมวดคิ้ว คนตัวโตบีบแขนเขาแน่นจนรู้สึกเจ็บ ฆาเบียร์รีบปล่อยมือทันทีที่รู้ตัว เจลูบแขนเบาๆ พร้อมทำหน้ามุ่ย

"นี่ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ครับ ฆาบี้? แล้วจอชมาเกี่ยวอะไรด้วย?"

เจนยุทธซักไซ้ด้วยความงุนงงที่จู่ๆ คนตัวโตก็พูดถึงอดีตรูมเมทที่เคยเป็นเซ็กส์เฟรนด์ช่วงเรียนที่วิทยาลัย ถึงเขาจะคุยกับจอชบ้างทางเฟซบุ๊คหลังจากที่ได้รู้จักกันที่สมุยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว หากจอชก็ไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับฆาเบียร์ในสมัยเรียนให้ฟังมากนัก ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อคนรักจ้องหน้าเขาอย่างต้องการคำตอบ ในเมื่อเขาหลุดปากพูดออกไปแล้วก็คงต้องเล่าให้เจฟังจนหมด



"เรื่องที่ฉันจะเล่าใหันายฟังนี่มีแค่จอชกับแม่ฉันเท่านั้นนะที่รู้ คนอื่น เอ่อ กระทั่งพ่อแล้วก็อาปาเองก็ยังไม่เคยรู้ เข้าใจที่ฉันพูดนะ?"

คนตัวโตอ้อมแอ้มพูด เจพยักหน้ารับปากพลางทำท่ารูดซิปปิดปากตัวเอง คนตัวโตลังเลนิดหนึ่งก่อนที่จะเล่าสิ่งที่เขาไม่เคยบอกใครให้คนรักฟัง

“ตอนที่เรียนอยู่ ฉันเคยทำงานใน strip club อยู่พักหนึ่ง”

“ห๊ะ?! Strip club แบบคลับเปลื้องผ้าอ่ะนะ? แบบในหนังที่มีผู้หญิงเต้นรูดเสาอ่ะเหรอ?”

เจอุทานเสียงดังอย่างลืมตัว เขารีบลดเสียงลงทันทีที่ฆาเบียร์จุ๊ปากเบาๆ คนตัวโตส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่ใช่จ้ะ มันเป็นคลับแบบ เอ่อ แบบที่นักเต้นเป็นผู้ชายล้วนแบบชิพเพนเดล หรือแบบในหนังเรื่อง Magic Mike แต่ไม่ได้ดูไฮคลาสอะไรแบบพวกนั้น”

คนตัวโตหน้าแดงก่ำเมื่อพูดถึงชีวิตในตอนนั้นที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้ เจทำตาโต หากเขารีบยกมือห้ามคนรักทันที

"เดี๋ยว คุณ ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่าอ่ะ ผมไม่ฟังก็ได้"

"เล่าสิ ฉันต้องเล่า ก็เราเคยคุยกันแล้วว่าจะไม่มีความลับต่อกัน อีกอย่าง มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่เล่าไม่ได้ขนาดนั้นหรอก"

คนตัวโตดึงมือคนรักมากุมไว้ เจบีบมือใหญ่เบาๆ ฆาเบียร์เริ่มเล่าความลับของเขาอีกเรื่องให้เจฟังเบาๆ



“เรื่องมันก็เริ่มที่จอชนี่แหละ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ

“เรื่องมันก็มีอยู่ว่าฉันกับจอชนี่เป็นรูมเมทกันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว แต่ช่วงปีแรกเราก็ยังไม่ได้มีอะไรกันแบบนั้น เพราะก็มัวแต่ปรับตัวกับชีวิตนักศึกษา แล้วฉันก็ยุ่งอยู่กับการเป็นนักซอคเกอร์ของวิทยาลัยด้วย วันๆ ก็มีแต่เรื่องเรียนกับซ้อมบอล…”

คนตัวโตนึกทบทวนถึงเวลาที่เขายังเป็นนักศึกษา เมื่อจบปีแรกในรั้ววิทยาลัย เขาตัดสินใจออกจากทีมฟุตบอลและมีเวลาว่างมากขึ้น เขาเริ่มไปไหนมาไหนและสนิทสนมกับรูมเมทอย่างจอช

"ช่วงปีแรกเราเหมือนต่างคนต่างอยู่ แต่พอขึ้นปีสองฉันสนิทกับจอชมากขึ้น แล้วก็ได้รู้เห็นวิถีชีวิตของกันและกัน"

ฆาเบียร์สังเกตว่าช่วงหยุดสุดสัปดาห์บางครั้งจอชมักกลับมาดึกพร้อมกับกลิ่นบุหรี่และกลิ่นเหล้า เขาคิดว่าจอชซึ่งอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ดื่มเช่นเดียวกับเขาคงหาทางหาแอลกอฮอล์มาจนได้ จนวันหนึ่งเขาได้ลองถามดู

"ปรากฎว่าในตอนนั้นจอชไปคบหากับหนุ่มใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนคลับเปลื้องผ้าที่เมืองใหญ่ใกล้ๆ เมืองที่วิทยาลัยฉันตั้งอยู่ ฉันก็ไม่ได้สนใจถามนะว่าไปรู้จักกันได้ยังไง วันนึงจอชก็ชวนฉันไปเที่ยวที่นั่นด้วย..."

แน่นอนว่าฆาเบียร์ตอบตกลงทันที แม้การหาเหล้ามานั่งดื่มเองที่หอนั้นจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักศึกษาที่อายุต่ำกว่า 21 ซึ่งเป็นอายุที่สามารถซื้อแอลกอฮอล์ได้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่การที่ได้นั่งดื่มอย่างเปิดเผยในสถานบันเทิงนั้นมันเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่ฆาเบียร์ห่างหายมานานนับตั้งแต่เขาออกจากแคลิฟอร์เนียมาอยู่ที่เมืองน้อยๆ ในรัฐมินเนโซตาแห่งนี้



"ช่วงเกือบปีที่ฉันทำตัวเหลวแหลกก่อนกลับมาเรียนอีกครั้งน่ะ ตอนนั้นฉันทั้งปลอมไอดี ทั้งหาคนที่จะพาไปกินเหล้าหรือซื้อเหล้าให้โดยแลกกับเซ็กส์ แต่พอมาอยู่ที่วิทยาลัย ฉันก็ได้แต่ฝากพวกเพื่อนรุ่นพี่ที่อายุถึงซื้อเบียร์มั่ง เหล้ามั่งให้โดยที่ก็นั่งดื่มเฮฮากันในหอนั่นแหละ ไม่ก็ไปปาร์ตี้ตามห้องเพื่อนหรือบ้านเพื่อน แต่มันก็ไม่เหมือนกับตอนที่เคยออกเที่ยวไง มันไม่มีแสงสีเสียงประกอบด้วย พอเห็นโอกาสฉันก็เลยขอติดไปเที่ยวกับจอชด้วย"

ในคืนนั้น ฆาเบียร์แต่งตัวแบบที่ดึงเสน่ห์หนุ่มละตินของเขาออกมามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิร์ตดำที่ปลดกระดุมลงมาจนเห็นแผงอกแน่น กางเกงผ้าที่เน้นให้เห็นบั้นท้ายแน่นๆ ส่วนขานั้นปล่อยบานเล็กน้อยเหมือนกางเกงของพวกนักเต้นรำ ส่วนที่ขาดไม่ได้นั้นคือรองเท้าหนังสีดำมันปลาบ เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องกันเสร็จแล้วพวกเขาทั้งคู่ก็พากันไปยังคลับของคู่ขาของจอช

"ตอนอยู่ที่พาโล อัลโต ฉันเคยเข้าแต่บาร์ทั่วๆ ไป หรือไม่ก็บาร์เกย์ แต่นี่มันเป็นอีกแบบเลยเจ..."

คนตัวโตบรรยายบรรยากาศภายในร้านให้คนรักฟัง ลูกค้าของร้านซึ่งมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายนั่งกระจายกันตามโต๊ะที่ล้อมรอบเวทีรูปตัว T โดยมีโซนนั่งวีไอพีซึ่งเป็นโซฟานั่งอยู่ชิดขอบเวที คนเฝ้าประตูพาจอชและฆาเบียร์เดินตรงเข้าไปหาชายกลางคนแต่งตัวดีที่นั่งอยู่ในโซนนั้น

"ฉันก็จำอะไรไม่ได้มาก จำได้แค่ว่าพวกฉันสนุกกันสุดเหวี่ยงเลยคืนนั้น ทั้งดื่มทั้งเต้น แฟน เอ เรียกว่าป๋าของไอ้จอชมันดีกว่า ป๋าเขาก็เลี้ยงพวกเราเต็มที่..."



"นี่ๆ มัวแต่เล่าเรื่องกินเหล้า แล้วเมื่อไหร่จะเล่าครับว่าไปเป็นนักเต้นได้ยังไง"

เจนยุุทธแซวคนรักที่ทำท่าจะเพลินไปกับการเล่าเรื่องความหลังครั้งวัยหนุ่มไปจนลืมเป้าหมายในการเล่าเรื่องครั้งนี้แล้ว

"ใจเย็นสิจ๊ะ กำลังจะเข้าเรื่องแล้ว..."

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และหอมแก้มคนใจร้อนฟอดใหญ่ เขาเล่าเรื่องของเขาต่อ

"ที่คลับนั่นมันก็ไม่เชิงเป็น strip club เต็มรูปแบบหรอก มันเหมือนกับเป็นคลับนั่งดื่มพร้อมกับมีการแสดงสลับเป็นรอบๆ เจเคยดูเรื่อง Magic Mike ใช่ไหม? มันก็ประมาณนั้นแหละ มีเต้นแบบเซ็กซี่บนเวที มีพาสาวขึ้นไปแล้วไปเต้นรูด มีโชว์กล้าม โชว์ความแข็งแรงของร่างกาย อะไรแบบนั้น สำหรับฉันในตอนนั้นก็เรียกได้ว่าสนุกมาก ยิ่งดื่มเข้าไปด้วยนะ นายก็รู้ว่าถ้าไปเที่ยวแล้วฉันสนุกมากๆ แล้วจะเป็นไง..."

"ครับ หื่นมาก!"

เจพูดกระแทกเสียง

"เฮ้ ไม่ใช่สิ! ถ้าสนุก ฉันก็ต้องเต้น นายก็รู้นี่นา"

คนตัวโตบ่นอุบอิบพลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนุ่มน้อยฆาเบียร์ในวัย 20 ปีเพลินไปกับแสงสีและบรรยากาศรอบตัว เสียงเพลงที่เร้าใจจากดีเจในช่วงพักระหว่างรอบการแสดงทำให้เขาลุกขึ้นเต้นอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาของหุ้นส่วนของร้านอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งดูเขาอยู่อย่างเงียบๆ


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - Take It Off! (7/4/62)
« ตอบ #469 เมื่อ: 07-04-2019 22:06:57 »





ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Take It Off! (ต่อ) ----




"เฮ้ย เพลงโปรดฉัน!"

ฆาเบียร์ซึ่งกรึ่มพอสมควรแล้วหันไปบอกรูมเมทซึ่งนั่งกอดจูบอยู่กับป๋าของเขาอย่างไม่สนสายตาใคร เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่สนใจ หนุ่มน้อยฆาบี้ก็ยักไหล่แล้วปล่อยเพื่อนให้มีเวลาส่วนตัว เขานั่งโยกกายตามเพลงฮิตของนักร้องหน้าใหม่ชาวปูเอร์โตริกันชื่อ ริคกี้ มาร์ติน ซึ่งเพิ่งเดบิวต์ในตลาดสากลเมื่อปีที่ผ่านมา


"...Un, dos, tres Un pasito pa'lante María

Un, dos, tres Un pasito pa' atrás..."


หนุ่มละตินลุกขึ้นทั้งร้องทั้งเต้นเมื่อท่อนฮุคของเพลง "Maria" ดังขึ้น เขาส่ายสะโพกเต้นเลียนแบบท่าทางของริคกี้ มาร์ตินใน MV เพลงนั้นมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ลีลาของเขาทำให้คนที่นั่งดื่มอยู่รอบข้างส่งเสียงเชียร์ โดยเฉพาะเหล่าสาวรุ่นใหญ่ที่กรี๊ดกร๊าดกับรูปร่างและหน้าตาคมเข้มแบบหนุ่มละตินของฆาเบียร์ เสียงเชียร์บวกกับความมึนเมาทำให้ฆาเบียร์เริ่มเลียนแบบท่าทางของนักเต้นที่เขาได้เห็นไปก่อนหน้านี้

"ถอดเลยๆ ๆ!"

เสียงเชียร์นั้นทำให้ฆาเบียร์หันไปโปรยยิ้มให้กับทั้งหนุ่มและสาวที่เริ่มหันมามองเขา เขาแอบขยิบตาให้กับจอชซึ่งมองเขาอย่างตะลึงแล้วค่อยๆ ดึงชายเสื้อเชิร์ตของเขาออกจากกางเกง จากนั้นก็ปลดกระดุมช้าๆ ไม่นานเสื้อเชิร์ตของเขาก็ปลิวหายไปตามแรงเหวี่ยงและเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่เขาเพียรบ่มเพาะมา


Maria – Ricky Martin

https://www.youtube.com/watch?v=vCEvCXuglqo#action=share


 

"ตอนนั้นคุณก็หุ่นแบบนี้แล้วเหรออ่ะ?"

เจถามอย่างสงสัย เขาจำได้ว่าเคยเห็นรูปฆาเบียร์ตอนมัธยมปลาย ในตอนนั้นคนตัวโตรูปร่างเพรียวกว่าในตอนนี้พอสมควร

"อืมม์ ก็เริ่มบึกแล้วนะ ตอนปีหนึ่งช่วงที่ยังเล่นซอคเกอร์อยู่ ฉันก็นับว่าตัวหนาในระดับหนึ่งเพราะว่าเป็นกองหลังที่ต้องปะทะ แต่ก็ไม่ได้บึกมากจนทำให้ไม่คล่องตัว แต่พอเลิกเล่นบอล ฉันก็เลยหันมาเล่นกล้ามตั้งแต่ช่วงปิดเทอม พอปีสองนี่ก็เรียกได้ว่าหุ่นกำลังเริ่มได้ที่เลย มีซิกซ์แพ็ค เห็นกล้ามอกชัด..."

คนตัวโตก้มลงมองตัวเองในปัจจุบันอย่างขัดใจ ด้วยภาระงานและหลายๆ อย่างทำให้เขาไม่มีเวลาดูแลตัวเองเท่าที่ควร แม้หน้าท้องเขาจะยังแบนราบ แต่แนวกล้ามเนื้อที่เคยคมชัดก็เริ่มหายไป เขาบ่นกับเจเบาๆ ว่าเขาคงต้องเจียดเวลาเข้ายิมมากกว่านี้

"เอาน่าๆ เรื่องนั้นค่อยคิด เล่าต่อให้ไวเลยคุย ไปเต้นแบบนั้นแล้วไงต่อ ตกลงถอดถึงไหนครับ"

ฆาเบียร์ยิ้มและลูบหัวคนรักที่นั่งพิงอกเขาอย่างสบายใจเฉิบเบาๆ และเล่าเรื่องราวของเขาต่อ



หลังจากถอดเสื้อไปแล้ว ฆาเบียร์ก็ออกสเต็ปเท้าแบบละตินของเขาต่ออย่างเมามัน หากเขายังใส่ความเซ็กซี่ทั้งควงสะโพก เด้งหน้าเด้งหลังและลูบไล้กายตัวเองไปด้วยจนเรียกเสียงกรี๊ดได้จากสาวๆ รอบข้าง เสียงเรียกร้องถัดไปคือให้เขาถอดกางเกง แต่ก่อนที่เขาซึ่งกำลังเพริดไปกับบรรยากาศรอบข้างจะทันได้ปลดกระดุม เสียงเพลงก็จบลงเสียก่อน

"ฆาบี้ พอได้แล้ว"

เสียงเรียกเบาๆ จากจอชดึงสติหนุ่มละตินให้กลับมา เขามองไปรอบตัวแล้วก็ต้องพบกับสายตาที่จับจ้องมาของเจ้าของร้านทั้งสองคน ฆาเบียร์ใจหายวาบ เขายิ้มแหยๆ ให้คู่ขาของคนรักพร้อมกับค้อมหัวขอโทษด้วยความอับอาย

"เฮ้ ไม่ต้องขอโทษไป นายไม่ได้ทำอะไรผิดน่า"

ป๋าของจอชส่งเสียงกลับมาอย่างอารมณ์ดี

"นายชื่ออะไร?"

หุ้นส่วนอีกคนหนึ่งของร้านซึ่งเป็นชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีครีมส่งเสียงถามมาเบาๆ

"ฆาเบียร์ มาร์ติเนซครับ"

หนุ่มละตินตอบอย่างเกร็งๆ สายตาคู่นั้นที่กวาดมองทั้งร่างเขาทำให้เขารู้สึกประหม่า

"เต้นเก่งนี่ หน้าตาก็ใช้ได้ เม็กซิกัน?"

"ลูกครึ่งปูเอร์โต ริกันกับอาร์เจนไตน์ครับ"

ฆาเบียร์ตอบเมื่อถูกถามถึงเชื้อชาติของเขา ชายร่างใหญ่ตบเบาะข้างๆ กายเป็นเชิงเรียกให้เขาเข้าไปหา ฆาเบียร์หันไปมองหน้าจอชแว่บหนึ่ง รูมเมทของเขาผงกหัวและทำท่าพยักเพยิดให้ทำตามคำเชิญชวนนั้น




"ฉันจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ นายอยากได้เงินใช้ไหม?"

ชายคนนั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง หนุ่มละตินทำหน้าเหรอหราทันทีและทำท่าจะลุกหนี ชายวัยประมาณสี่สิบคนนั้นหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางว่าหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้าจะเข้าใจอะไรผิดไปเสียแล้ว

"เฮ้ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ที่ฉันถามน่ะ ฉันอยากรู้ว่านายอยากจะมาเต้นที่ร้านไหม? เรากำลังอยากได้อะไรที่แปลกใหม่ ไม่จำเจ"

ฆาเบียร์ทรุดกายลงนั่งเหมือนเดิมและมองลึกเข้าไปในตาของคู่สนทนาเพื่อค้นหาความจริง

"เต้น แบบ เอ่อ ถอดหมดเหมือนที่โชว์เหรอครับ?"

หนุ่มละตินถามอย่างไม่แน่ใจ ในแต่ละโชว์ที่เขาเห็น สุดท้ายแล้วนักแสดงส่วนใหญ่จะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกหมดกระทั่งกางเกงใน หากจะหาอะไรอย่างอื่นมาบังส่วนสงวนไว้เช่นหมวกหรือใช้มือกุมไว้โดยเปิดโชว์แค่บั้นท้ายเปล่าเปลือย

"สำหรับนาย ถ้าไม่อยากถอดจนหมดก็ได้ เลือกมาเลยว่าได้แค่ไหน ที่ฉันสนใจคือความเป็นละตินของนาย นายก็เห็นว่าแถวนี้เราไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้..."

ฆาเบียร์ทำท่าสนใจ ในมลรัฐแถบกลางประเทศอย่างมินเนโซต้าซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นคนผิวขาวนั้น ประชากรชาว hispanic หรือคนที่มีเชื้อสายสเปนนั้นถือเป็นชนกลุ่มน้อย และส่วนใหญ่มักเป็นแรงงานในภาคเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรม ถ้าจะมีที่ดูดีทั้งรูปร่างหน้าตาและบุคลิกอย่างฆาเบียร์นั้น ก็คงมีแค่ตามในสถานศึกษาเท่านั้น



"แต่ผมไม่เคยเต้นแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง อีกอย่าง ผมเป็นนักศึกษา จะมาทำงานแบบนี้ก็..."

หนุ่มละตินมีทีท่าลังเล ใจหนึ่งเขาก็นึกติดใจบรรยากาศสนุกสนานของสถานที่แห่งนี้ หากตัวเขาก็ยังรู้สึกอายที่จะต้องมาเต้นเปลื้องผ้าให้คนอื่นดู ชายร่างใหญ่หัวเราะในลำคอเบาๆ

"ที่ร้านเราก็มีนักศึกษามาเต้นหาเงินเรียนหลายคนเหมือนกัน แค่ว่าเรียนคนละที่กับนายเท่านั้น มันไม่มีอะไรเสียหายหรอกเพราะว่าร้านเราไม่ได้มีเรื่องขายบริการหรืออะไรแบบนั้น..."

"เอ้า นี่ของนาย เผื่อมันจะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น"

ป๋าของจอชพูดแทรกมาพร้อมกับมีธนบัตรหนึ่งดอลลาร์ฟ่อนหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าของเขา ฆาเบียร์รับมาอย่างงงงวย

"...เงินที่สาวๆ เขาปามาให้นายตอนที่เต้นเมื่อกี้ นึกดูนะ นี่แค่เพลงเดียว ถ้านายได้ขึ้นโชว์บนเวทีจริงๆ จังๆ จะได้มากขนาดไหน"

ฆาเบียร์อุทานเบาๆ จอชรีบดึงปึกเงินในมือเพื่อนที่ยังตะลึงอยู่ไปนับ

"โหย ฆาบี้ ได้มาตั้งเกือบห้าสิบเหรียญเลยนะ เยี่ยมเลย"

จอชพูดอย่างตื่นเต้น หากฆาเบียร์ยังมีท่าครุ่นคิดหนัก

"ผมขอกลับไปคิดหน่อยได้ไหมครับ? ผมมีคนสำคัญที่อยากจะปรึกษาก่อน"

หนุ่มละตินพูดเสียงอ่อยๆ จำนวนเงินนั้นทำให้เขาคิดหนัก เจ้าของร้านทั้งสองมองหน้ากันแล้วหันมาพยักหน้ารับคำ ฆาเบียร์รับปากว่าจะรีบให้คำตอบโดยเร็วที่สุด




"คนสำคัญที่ว่าก็คือแม่ใช่มะ?"

เจนยุทธถาม ฆาเบียร์พยักหน้า

"ใช่จ้ะ พอเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันก็โทรหาแม่ทันทีเพื่อขออนุญาต แม่อึ้งไปเลยนะแล้วถามว่าทำไมไม่ทำอย่างอื่นที่ไม่ต้องเปลืองตัวขนาดนี้ แต่ฉันก็ให้เหตุผลไปว่ามันทำให้ฉันเหมือนได้ปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเอง..."

สำหรับหนุ่มน้อยฆาเบียร์ซึ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายในชีวิตมาได้ไม่ถึงสองปี ยามที่เขาได้ยินเสียงเชียร์และเสียงชื่นชมจากคนรอบข้างในคืนนั้น มันทำให้เขารู้สึกมั่นใจและเป็นที่ต้องการ อีกทั้งยังได้ทำในสิ่งที่ตนชอบคือการเต้น เขาจึงได้บอกแม่ไปว่าเขาอยากจะลองทำดู แม่ของเขาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่แล้วจึงได้ตอบตกลงโดยมีข้อแม้บางประการ

"แม่ให้ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้มันกระทบกับเรื่องเรียน และจะไม่มีการออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด คือ จะไม่ให้มีเรื่องขายเซ็กส์กับยามาปน และถ้าเริ่มมีปัญหาเมื่อไหร่ก็จะเลิกทันที"

ข้อแม้สามประการนี้คือสิ่งที่ฆาเบียร์นำไปใช้ในการพิจารณาทำข้อตกลงกับทางร้านด้วย หลังจากนั่งคุยกับเจ้าของร้านทั้งสอง พวกเขาก็ได้ข้อตกลงว่าฆาเบียร์จะทำงานแค่ช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้นโดยเว้นช่วงสอบ ในการทำงาน ฆาเบียร์จะทำหน้าที่เต้นเป็นหลัก แม้จะมีการใส่ท่าทางเซ็กซี่และมีการยั่วยวนคนดูด้วยร่างกายและอาจจะถูกคนดูสัมผัสลูบไล้บ้าง หากเขาจะไม่ยอมออกไปเต้นนอกสถานที่หรือถูกลูกค้าออฟไปนอนด้วยโดยเด็ดขาด อีกทั้งทางร้านก็จะไม่บังคับให้เขาต้องอวดความใหญ่โตของส่วนสงวนแม้จะอยู่ใต้ร่มผ้าเหมือนกับคนอื่นที่ต้องปลุกปั่นอวัยวะเพศให้ชูชันก่อนที่จะขึ้นโชว์ หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ทางร้านก็จะยอมให้เขาเลิกทำงานได้ทันทีอีกด้วย

"และข้อสุดท้ายที่ฉันขอทางร้านไว้คือขอปิดหน้าตาตัวเองไว้น่ะ หลังจากคุยกับทางร้านแล้วเราก็คิด theme สำหรับโชว์ของฉันออกมาได้ พอจะทายได้ไหมว่าอะไร?"

"แบทแมนเหรอ? เอ นึกไม่ออกอ่ะครับ เฉลยเหอะ"

"El Zorro"

คนตัวโตยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อพูดถึงบทบาทในอดีตของตน เจทำตาโต เขาคุ้นเคยกับตำนานฮีโร่ของชาวแคลิฟอร์เนียเรื่องนี้จากหนังเรื่อง The Mask of Zorro



"ปีหน้าหนังเรื่อง The Mask of Zorro กำลังจะมา คนก็น่าจะรู้จักกันแล้ว ผมเองก็มาจากแคลิฟอร์เนีย ก็เอามาเป็นจุดขายได้ เสื้อผ้าก็ไม่มีอะไรยากเสื้อเชิร์ตดำ กางเกงดำ รองเท้าใส่บู้ทได้เพราะกางเกงเป็นแบบแกะกระดุมข้างแล้วกระชากออกด้านหน้าได้ใช่ไหมครับ? ต้องหาผ้าคลุม ดาบแล้วก็แส้...อืมม์"

หนุ่มน้อยฆาเบียร์ขมวดคิ้วมองภาพ zorro ที่เขาหามาจากนิตยสารเก่าๆ หนุ่มใหญ่เจ้าของร้านทั้งสองที่นั่งอยู่ด้วยลอบสบตากันด้วยความพึงใจ

"เรื่องท่าเต้นนี่ไม่ต้องห่วง เราก็ใส่ความเป็นละตินลงไปเยอะๆ ส่วนไอ้เรื่องจะต้องทำยังไงให้ดูเซ็กซี่นี่เดี๋ยวฉันสอนให้เอง"

หนุ่มผมบลอนด์ร่างใหญ่กำยำผู้เป็นเจ้าของร้านพูดพร้อมกับตบไหล่ฆาเบียร์เบาๆ หลังจากพูดคุยพบปะกันสองสามครั้งพวกเขาก็สนิทสนมกันมากขึ้น ฆาเบียร์ได้รู้ว่าหนุ่มร่างใหญ่นั้นชื่ออดัม ในขณะที่ป๋าของจอชนั้นชื่อไรอัน อดัมซึ่งเป็นอดีตนักเต้นเปลื้องผ้าจากคลับดังในชิคาโกเป็นคนดูแลนักเต้น ส่วนไรอันนั้นจัดการเรื่องบัญชีและการบริหาร



"หลังจากเรียนรู้เรื่องท่าอะไรต่างๆ ได้ซักสองสัปดาห์ ฉันก็เริ่มขึ้นเวที ตอนแรกก็เริ่มจากไปเต้นรวมกับคนอื่นๆ ช่วงเต้นเปิดกับเต้นปิดที่ต้องออกมากันหลายๆ คน แต่คนดูก็จะเริ่มสนใจกัน เพราะฉันนั้นผมยาวแล้วก็ใส่หน้ากากปิดช่วงครึ่งบนของหน้าไว้ทำให้ดูต่างจากคนอื่น"

ฆาเบียร์ยิ้มให้คนที่ตอนนี้ทำตาแป๋วนอนหนุนตักเขาอยู่ เจฟังอย่างตั้งใจ ความต้องการสัมผัสกายเมียตัวโตของเขาในตอนนี้หมดไปเหลือแต่ความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องราวชีวิตของคนรัก

“ไม่ถึงเดือนหลังจากเริ่มเต้น ทางร้านก็เปิดตัวฉันโดยใช้ชื่อ El Zorro...”

โชว์เดี่ยวของฆาเบียร์ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ลีลาของขุนโจรหนุ่มผู้มีดาบและแส้เป็นเครื่องประกอบการแสดงคือความแปลกใหม่ที่ฉีกกรอบจากบทบาทเดิมๆ อย่างบทตำรวจหรือพนักงานดับเพลิง ท่วงท่าเต้นที่มีความพลิ้วไหวบวกกับดนตรีแบบละตินที่เร่าร้อนสนุกสนานทำให้โชว์หนุ่มน้อยซอร์โรเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว



“ฉันสนุกกับมันมากเลยนะ การมีคนมาให้ความสนใจทำให้ฉันรู้สึกดีสุดๆ ไปเลย แถมเงินก็ดีอีกด้วย”

แม้ฆาเบียร์จะขอรับค่าแรงต่ำกว่าคนอื่นเนื่องจากเขามีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่นเขาขอไม่ยอมจูบปากกับลูกค้าหรือไม่ยอมให้ใครสัมผัสส่วนสำคัญของเขา เขาก็ยังทำเงินจากการเต้นนี้ได้มากอักโข โดยเฉพาะจากส่วนแบ่งค่าทิปที่เหล่าลูกค้าโปรยหว่านบนเวทีขณะที่เขาแสดง อีกทั้งเจ้าของร้านทั้งสองคนดูเหมือนจะชอบเขามากและมักแอบให้เงินพิเศษเขาเป็นประจำ แม้ในตอนแรกนักเต้นรุ่นพี่หลายๆ คนจะเขม่นในความเป็นคนโปรดของเขาบ้าง แต่ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเป็นมิตรของเขาทำให้เขาเข้ากับคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว

“หมั่นไส้อ่ะ ไปไหนก็มีแต่คนรักคนเอ็นดูเนาะ แล้วนี่นอกจากได้ตังค์คงได้อย่างอื่นติดไม้ติดมือมาด้วยแหง”

เจนยุทธบ่นอุบอิบเบาๆ กับตัวเอง คนตัวโตหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“นายนี่รู้จักฉันดีจริงๆ นะ”

ฆาเบียร์ก้มลงจุ๊บหน้าผากคนที่นอนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนตัก

หึ แร่ดจริงนะเมียกู...โอ๊ยๆๆ ดึงแก้มผมอีกแล้วอ่ะ”

เจนยุทธพูดเบาๆ กับตัวเองเป็นภาษาไทยแต่ก็ถูกคนที่ฟังคำบ่นรู้เรื่องบางส่วนดึงแก้มเล่นอย่างมันเขี้ยว

“แหม มันก็มีบ้างนิดๆ หน่อยๆ ตามประสาน่า”

ฆาเบียร์ยิ้มเขินๆ แม้เขาจะรักษาสัจจะของตัวเองที่ว่าจะไม่มีการยุ่งกับลูกค้าซึ่งนอกจากจะมีสาวๆ แล้วยังมีเกย์หนุ่มอีกด้วย หากหลังเวทีนั้น หนุ่มละตินคนนี้ก็นับว่าเนื้อหอมอยู่ไม่เบา หลังแสดงเสร็จ ค่ำคืนของเขามักจบลงที่ห้องของนักเต้นหรือไม่ก็ทีมงานสักคน หากเขาก็ยังคงแนวคิดไม่คบหาใครเป็นแฟนจริงจังเหมือนเดิม



“ฉันทำงานไป เรียนไปแบบนี้อยู่เกือบปีเลยนะ เก็บเงินได้เยอะเลย เรียกได้ว่าพ่อแม่แทบไม่ต้องส่งเงินมาให้ฉันใช้เลย”

“ที่ว่าเยอะนี่ ได้เยอะขนาดไหนกันครับ?”

“อืมม์ คลับที่ฉันทำงานมันเป็นแบบเน้นโชว์ ไม่มีเต้น lap dance ส่วนตัวเหมือนพวกคลับที่ใช้ผู้หญิงเต้นหรือคลับเกย์ ฉะนั้นเงินที่ได้ก็จะไม่สูงเท่า แล้วอย่างฉันมาทำงานแค่สัปดาห์ละสามวัน ก็ได้สัปดาห์ละประมาณ 300 - 500 เหรียญ ถือว่าไม่เยอะมากถ้าเทียบกับคนอื่นที่เต้นเต็มเวลาหรือออกไปส่วนตัวกับแขก แต่ก็พอสำหรับใช้จ่ายส่วนตัวแล้วน่ะ แล้วถ้ามีอีเวนท์ก็จะได้เยอะกว่านั้น”

ฆาเบียร์อธิบายให้เจฟังว่าคลับของเขานั้นจะเน้นการโชว์เต้นเซ็กซี่เป็นรอบๆ บนเวทีเหมือนเรื่อง Magic Mike อาจจะมีลงมาเล่นกับคนดูบ้าง ส่วนเวลาที่เหลือจะเปิดเป็นเหมือนบาร์กินดื่มปกติ ค่าเหนื่อยของพวกเขานั้นจะได้เป็นเงินรายวันบวกค่าทิปโดยทางร้านจะหักเปอร์เซ็นต์และค่าใช้จ่ายส่วนของดีเจและบาร์เทนเดอร์ไปบ้าง แต่ก็ยังเหลือพอให้เขาใช้ได้สบายๆ

“ฉันไม่ต้องใช้เงินเยอะ ไม่ได้มาทำงานเพื่อหาค่าเรียน แค่ทำเพื่อหาค่าใช้จ่ายส่วนตัว แค่ที่ได้นี่ก็ถือว่าเยอะแล้ว แต่เท่าที่คุยกับคนอื่นที่เขาเต้นเป็นอาชีพ เขาบอกว่าร้านแบบที่ฉันทำอยู่นี้จะได้รายได้น้อยที่สุด แบบที่เงินดีขึ้นมาอีกหน่อยคือแบบนักเต้นที่ถูกจองตัวให้ไปเต้นตามบ้านหรือตามงานปาร์ตี้ เจน่าจะเคยเห็นตามในหนังนั่นแล้ว ส่วนแบบที่ได้รายได้มากที่สุดคือร้านเต้นแบบอะโกโก้ เจพอนึกภาพออกไหม?”

“ไม่แน่ใจครับ แบบเต้นรูดเสาที่เห็นในหนังอ่ะเหรอ?”

เจถามเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์พยักหน้า

“ประมาณนั้นจ้ะ สมัยนั้นฉันก็ไม่เห็นภาพเพราะไม่เคยเข้าร้านแบบนั้น แต่พออายุเยอะขึ้นก็เห็นมากขึ้น...”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นคนรักเริ่มทำหน้ามุ่ยอีกครั้ง



“ร้านแบบนั้นจะเน้นขายเซ็กส์มากกว่า คือไม่ได้หมายความว่าค้าบริการทางเพศนะ แต่เล่นกับความต้องการทางเพศของคนมากกว่า..."

ฆาเบียร์อธิบายให้คนรักของเขาฟัง

"...นักเต้นนอกจากจะเต้นรวมบนเวทีแล้ว ยังมีเวทีเล็กๆ ที่ไปยืนเต้นแยกให้คนดูได้เข้าถึงเนื้อตัวได้ง่ายกว่า นักเต้นในร้านแบบนี้ไม่ได้มีซ้อมเต้นเป็นชุดเป็นเพลงอะไร คนนึงก็ยืนเต้นไปเต้นมาบนเวทีครึ่งชั่วโมงมั่ง สี่สิบห้านาทีมั่งแล้วก็ลงมาพัก ปล่อยคนอื่นขึ้นบ้าง บางคนน่ะอย่าเรียกว่าเต้นเลย เรียกว่าขึ้นไปขยับตัวย็อกแย็กดีกว่า แต่ก็จะเน้นเซอร์วิสคนดู ให้แตะเนื้อต้องตัวได้ แล้วส่วนที่ทำเงินที่สุดคือการเต้นในห้องส่วนตัว ถ้าเปรียบเป็นคลับผู้หญิงเต้น เจก็น่าจะเคยเห็นฉากที่ลูกค้าเข้าไปนั่งในห้องเล็กๆ แล้วมีผู้หญิงมาเต้น lap dance ให้น่ะ...”

“อ๋อ ถ้าแบบนั้นผมเคยเห็น ถ้าเป็นซีรีส์พวกสืบสวนก็จะต้องมีคนตายในนั้น”

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

“ใช่จ้ะ แบบนั้นแหละ นักเต้นที่ไปเต้นไพรเวทแบบนั้นก็จะได้เงินค่า private session บวกค่าทิปและค่าดริงค์อะไรไป แต่แบบร้านที่ฉันทำงานอยู่น่ะไม่ค่อยได้ขายไพรเวทนักหรอก เพราะนิสัยนักเที่ยวผู้หญิงไม่เหมือนกับผู้ชาย สำหรับผู้ชายที่ไปดูเต้นเปลื้องผ้า หลักๆ เลยคือต้องการเซ็กส์ อยากสัมผัส อยากเสร็จว่างั้นเถอะ บางคนเข้าใจว่านักเต้นจะต้องขายตัวด้วยเลยไปทำตัวรุ่มร่ามกับนักเต้นผู้หญิงจนถูกโยนออกร้านมาบ่อยๆ แต่สำหรับผู้หญิงที่มาที่คลับแบบนี้ ส่วนมากมักมากันเป็นกลุ่ม มากับเพื่อนสาวๆ จุดประสงค์คืออยากสนุก อยากดูโชว์เซ็กซี่ แต่หลักๆ แล้วคืออยากมาเฮฮากับเพื่อน..."

คนตัวโตบอกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มาที่คลับแบบนี้มักมาฉลองอะไรบางอย่าง เช่นวันเกิด ปาร์ตี้สละโสดหรือปาร์ตี้หย่า ทุกคนพร้อมจ่ายค่าบัตรเข้าชม ค่าดริงค์ แต่จะไม่ทิปหนักเท่ากับผู้ชายที่ไปเที่ยวในคลับเปลื้องผ้าที่มีผู้หญิงเต้น



"รายได้ของนักเต้นชายถึงน้อยกว่าผู้หญิงเยอะจ้ะ แล้วยิ่งรายได้ของร้านแบบฉันที่เน้นขายบัตรเข้าดูกับดริงค์ยิ่งน้อยลงไปอีก อย่างที่บอกว่าเพราะเราไม่ได้เน้นทิปเท่าแบบอื่น แต่เขาก็ยังมีโอกาสให้คนที่ขยันหน่อยได้ทำเงินนะ ในช่วงว่างจากเต้นบนเวที นักเต้นบางคนก็จะเดินไปรอบๆ ร้าน ไปทักทายกับลูกค้าประจำบ้าง แล้วถ้าสาวๆ โต๊ะไหนอยากสนุกเป็นพิเศษ ก็จะเรียกให้ไปเต้นส่วนตัวที่โต๊ะได้ ไม่ใช่ในห้องนะ ที่โต๊ะ"

การเต้นสั้นๆ ไม่กี่นาทีนี้มักเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดและแสงแฟลชจากรอบข้างได้มากพอๆ กับจำนวนธนบัตรที่ถูกยัดไว้ตามขอบกางเกงของนักเต้น หากฆาเบียร์บอกว่าตัวเขานั้นไม่เคยได้ลงไปเต้นแบบนี้กับพวกสาวๆ เลย

"ฉันไม่ถนัดแบบนี้จริงๆ น่ะ แล้วแค่เงินที่ฉันทำได้จากบนเวทีก็มากพอให้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องขอพ่อแม่ได้แล้ว ฉันก็เลยไม่ทำ"

หากจะมีข้อยกเว้น ก็มีเพียงตอนที่ทางร้านจัดอีเวนท์พิเศษที่เรียกว่า "Glam Night"



"มันก็คือชื่อที่ทางร้านเรียกเกย์ไนท์นั่นแหละจ้ะ..."

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาบอกว่าเดิมทีเจ้าของร้านทั้งสองต้องการจะเปิดร้านเป็นคลับเกย์ แต่หลังจากดูสภาพแวดล้อมของเมืองแล้วก็เปลี่ยนใจ แม้เมืองนี้จะเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ แต่เนื่องด้วยสังคมที่ยังค่อนข้างเป็นแบบอนุรักษ์นิยมตามแบบเมืองทางแถบกลางประเทศแล้ว เขาจึงเปิดเป็นแค่คลับสำหรับผู้หญิง หากก็เปิดต้อนรับชาวเกย์ด้วย และนานๆ ทีพวกเขาก็จะจัดปาร์ตี้ที่เปิดต้อนรับเฉพาะเกย์หนุ่มและเพื่อนสาวๆ

"ในอีเวนท์แบบนี้มันจะเป็นคนละเรื่องกับปาร์ตี้ของสาวๆ เลยจ้ะ จะออกไปทางอะโกโก้มากกว่า แล้วหนุ่มๆ พวกนี้ยอมเปย์มากกว่าสาวๆ แต่ก็ถึงเนื้อถึงตัวมากกว่ามากเช่นกัน แต่ฉันก็รู้สึกสะดวกใจกว่านะ ฉันเคยลงไปเต้นส่วนตัวตามโต๊ะในงานแบบนี้ครั้งสองครั้ง แต่ก็ยังปิดหน้าเหมือนเดิม"

สำหรับงานปาร์ตี้เฉพาะกลุ่มแบบนี้ ฆาเบียร์บอกว่าเขาทำเงินในคืนหนึ่งได้มากพอๆ กันหรืออาจจะมากกว่าที่ทำสามวันช่วงสุดสัปดาห์สียอีก

"โหย สุดๆ แล้วเงินดีขนาดนี้ คุณเลิกทำไมอ่ะครับ ฆาบี้?"

เจพูดอย่างตื่นเต้น ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"มันก็เป็นเพราะไอ้จอชตัวยุ่งอีกนั่นแหละจ้ะ"



ช่วงหลังจากที่หนุ่มน้อยฆาเบียร์เริ่มทำงานเต้นได้ไม่นาน เขากับจอชก็เผลอไผลมีสัมพันธ์กันเพราะความเมา เดิมทีเขาเคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่มีอะไรเกินเลยกับรูมเมทเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น หากในคืนนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกินการควบคุม เขาซึ่งอารมณ์ค้างมาจากการถูกสัมผัสและกระตุ้นเร้าที่งาน "Glam Night" กลับมาห้องพร้อมกับจอชที่กลับเร็วเพราะมีเรื่องแง่งอนกับป๋าของเขา เมื่อมาถึงห้อง หลังจากนั่งดื่มเบียร์ที่หยิบติดไม้ติดมือกันต่อครู่หนึ่ง พวกเขาก็เข้านัวเนียกันและมีเซ็กส์กันในที่สุด เมื่อมีครั้งแรก ครั้งที่สองสามสี่ ก็ตามมาอย่างง่ายดาย สำหรับฆาเบียร์ซึ่งยังคงความคิดไม่อยากคบหาใครจริงจัง จอชเป็นเหมือนอาหารว่างยามที่เขาต้องการและไม่มีเวลาหาคู่ขาคนอื่น หากเขาไม่รู้เลยว่ารูมเมทของเขานั้นแอบมีใจให้เขาอย่างจริงจังมาพักใหญ่แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง จอชก็ได้สารภาพความในใจของเขาออกมา

"เฮ้ย ฉันไม่เคยคิดกับนายแบบนั้นเลยนะ"

ฆาเบียร์ปฏิเสธลั่น

"แล้วนายก็มีป๋าของนายแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าเขารู้ว่าฉันมายุ่งกับนายล่ะฉันซวยแน่"

จอชยิ้มหยัน

"นายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ฆาบี้ สำหรับป๋า ฉันเป็นแค่ไอ้หนูของเขาเท่านั้น เราก็แค่สนุกกัน ไม่ได้จริงจังอะไรอีกอย่าง ดูเหมือนป๋าเค้าจะมีตัวจริงอยู่แล้วด้วยมั้ง"

แม้จอชจะพูดแบบนั้น หากฆาเบียร์ก็ยังยืนยันคำเดิม หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่มีสัมพันธ์กับจอชอีกและขีดเส้นความเป็นเพื่อนไว้อย่างชัดเจน เขาเลี่ยงที่จะกลับห้องพร้อมกันกับจอชและใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ที่คลับมากขึ้น แต่นั่นนำเขาไปสู่ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนชีวิตของเขา




"ไง คืนนี้ก็กะกลับเช้าเหมือนเดิมเหรอ? คนอื่นเขากลับไปกันหมดแล้วนะ"

ฆาเบียร์ที่กำลังถอดเสื้อผ้าอยู่ที่หน้าตู้ล็อคเกอร์สะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่ของอดัมตบหนักๆ เข้าที่บั้นท้ายของเขาแบบทีเล่นทีจริง

"บอสครับ นี่มันเข้าข่ายคุกคามทางเพศนะครับ"

หนุ่มละตินหันไปยักคิ้วให้กับนายจ้างอย่างอารมณ์ดี พวกเขาหยอกกันไปมาแบบนี้มาสักพักแล้ว หากพวกเขาก็รู้ว่ามันเป็นการทำเพียงเพื่อบริหารเสน่ห์เล่น

"วันนี้นายก็ยังทำได้เยี่ยมเหมือนเดิมนะ ซอร์โร ตอนที่นายเอากวาดตาแล้วเอาดาบชี้ไปรอบๆ ห้องน่ะ ฉันแทบจะต้องให้เด็กไปตามเช็ดน้ำบนพื้นเลยนะ"

อดัมส่งเสียงแข่งกับเสียงน้ำจากฝักบัว เขาแอบเหล่มองร่างของหนุ่มน้อยที่ยืนอาบน้ำอยู่ข้างกายในห้องอาบน้ำรวมของคลับ ร่างบึกบึนของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบคนนี้ทำให้เขาอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ ถึงฆาเบียร์จะยังตัวบางกว่าเขา หากบั้นท้ายงามงอนแบบหนุ่มละตินและไรขนสีน้ำตาลบนท้องน้อยที่นำลงไปสู่แก่นกายขนาดมหึมาทำให้เขาอดเกิดความปรารถนาขึ้นมาไม่ได้ หากที่ผ่านมาเขาพยายามจะไม่ยุ่งกับเด็กในคลับเนื่องจากกลัวจะเสียการปกครอง เขาจึงได้แค่เล่นแบบหมาหยอกไก่กับน้องใหม่ของทางร้านไปวันๆ เท่านั้น

"โอ๊ย คุณก็ชมเกินไปครับ อดัม ผมมันก็แค่มือใหม่ ยังสู้พวกพี่ๆ เขาไม่ได้หรอก แล้วยิ่งเมื่อเทียบกับคุณนะ ผมยิ่งเหมือนเด็กหัดเต้น..."

ฆาเบียร์ปิดน้ำและเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันกาย อดัมเดินตามออกไปไม่ห่าง


"ผมนี่นับถือคุณจริงๆ นะครับ สำหรับผมแล้ว ยังไงๆ ผมก็ยังทำใจเต้นให้สาวๆ ไม่ได้ซักที แต่ที่คุณทำวันนี้มันสุดยอดมากๆ เลย ว่าที่เจ้าสาวคนที่คุณพาขึ้นไปแสดงด้วยนี่แทบจะเสร็จคาเวทีเลยมั้งน่ะ?"

หนุ่มละตินหัวเราะเบาๆ นานๆ ครั้งหนุ่มใหญ่ผมบลอนด์คนนี้ซึ่งเคยเป็นอดีตนักเต้นตัวท็อปของคลับดังอย่างชิคาโกจะขึ้นเวทีสักครั้ง และในคืนนี้เขาเลือกหญิงสาวที่มาฉลองสละโสดกับเพื่อนๆ ขึ้นมาบนเวที หลังจากการเต้นแบบยั่วยวนที่มีทั้งการแสดงความแข็งแรงของร่างกายเช่นจับหญิงสาวคนนั้นเข้าเอวและยกลอยขึ้น ไปจนถึงการแสดงท่วงท่าเลียนแบบการร่วมเพศ ความตื่นเต้นก็ทำให้ว่าที่เจ้าสาวคนนั้นถึงกับหมดสติไปแว่บหนึ่งเลยทีเดียว

"ประสบการณ์น่ะ ถ้านายทำไปเรื่อยๆ นายก็จะชินและรู้เองว่าต้องใช้ร่างกายแบบไหน เอ้า แต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก"

อดัมกลัดกระดุมเสื้อเชิร์ดของเขาและหันไปยิ้มให้หนุ่มน้อยที่ยืนส่งสายตาแพรวพรายให้

"สอนผมหน่อยสิครับ ผมอยากเต้นได้แบบคุณบ้าง"

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง อดัมครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตกลง เขาบอกให้ฆาเบียร์ไปเอาเก้าอี้ที่ใช้ในการแสดงมาตัวหนึ่ง จากนั้นก็จับหนุ่มน้อยที่ยังอยู่ในผ้าเช็ดตัวให้นั่งลง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Take It Off! (ต่อ) ----



"จำไว้ว่าเราต้องปฏิบัติกับพวกสาวๆ เหมือนเป็นคนรัก ต้องมีสัมผัสเบาๆ อย่างอ่อนโยน แบบนี้"

อดัมซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของฆาเบียร์ไล้นิ้วเบาๆ ไปตามต้นคอและลาดไหล่เปลือย เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มและใช้มือเสยผมยาวสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน

"จุดสำคัญคือต้องจ้องตาเธอไว้ ทำให้รู้สึกว่าเธอนั้นเป็นที่รัก จำไว้ว่าเราคือคนเติมเต็มแฟนตาซีให้พวกเธอ เราทำในสิ่งที่แฟนตัวจริงหรือสามีพวกเธอทำให้ไม่ได้"

หนุ่มละตินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใส ความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านขึ้นมาจากท้องน้อยของเขา อดัมไล้ฝ่ามือร้อนๆ ไปบนใบหน้าของผู้ชมของเขา ก่อนที่จะขยับถอยออกห่าง

"จำท่าทางของฉันไว้นะ"

เขาเริ่มขยับร่างกายช้าๆ ตามจังหวะเสียงเพลงในหัว เขาแอ่นกายและขยับสะโพกเป็นจังหวะพร้อมกับไล้ฝ่ามือลงผ่านแผงอกหนั่นแน่นที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิร์ตและลงไปสู่หน้าท้องแบนราบ ฆาเบียร์กลั้นหายใจเมื่อมือใหญ่นั้นหายลงไปในขอบกางเกงยีนส์



"จำไว้ จินตนาการคือสิ่งสำคัญที่สุด ทำให้คนดูได้เพริดไปกับความคิด"

อดัมพูดพลางทำเสียงครางเบาๆ ในลำคอ หนุ่มละตินเหม่อมองภาพตรงหน้า เขาไม่คิดว่าอดัมจะเกาะกุมหรือรูดไล้ส่วนสงวนอยู่จริงๆ หรอก หากรูปร่างและการขยับของข้อนิ้วที่มองเห็นได้เป็นรอยโป่งผ่านผ้ายีนส์นั้นทำให้เขาคิดเตลิดไปไกล อดัมดึงมือของเขาออกมาพร้อมกับชายเสื้อเชิร์ต เขาค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อออกอย่างมีชั้นเชิง พร้อมกับเยื้องย่างเข้ามาหาหนุ่มน้อยที่นั่งนิ่งเหมือนเป็นลูกแกะรอการบูชายัญ

"ให้เธอได้ลิ้มรสนาย แล้วค่อยผลักไสออก"

ร่างใหญ่ของหนุ่มผมบลอนด์ขยับเข้ามาแนบกับร่างของฆาเบียร์ เขาถอดเสื้อเชิร์ตออกและเผยให้เห็นแผงอกใหญ่และกล้ามท้องอันงดงาม อดัมรั้งกายของหนุ่มน้อยฆาบี้เข้ามาใกล้แล้วก็ดันออก หากฆาเบียร์ซึ่งเพริดไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้วกลับไม่ยอมปล่อย แขนของเขาโอบรัดสะโพกหนาไว้และฝังใบหน้าลงไปกับหน้าท้องที่มีซิกซ์แพ็คแข็งเป็นลอน

"อย่า ฆาเบียร์! ทำแบบนี้ไม่ได้นะ"

อดัมพยายามปฏิเสธด้วยเสียงอันสั่นเทา หากริมฝีปากอุ่นๆ ของหนุ่มน้อยที่กำลังขบเม้มและประทับรอยจูบลงบนผิวขาวกระจ่างแบบคนที่มีเชื้อสายยุโรปเหนือของเขาทำให้เขาแทบดิ้นตายลง

"ปล่อยเถอะ ฉันไม่ใช่พวกหนุ่มน้อยหน้าหวานแบบที่นายชอบนะ"

หนุ่มใหญ่เจ้าของคลับพยายามพูดเพื่อให้หนุ่มละตินปล่อย เขายังพยายามโน้มน้าวว่าตัวเขานั้นไม่นิยมเป็นฝ่ายถูกกอด หากฆาเบียร์ไม่สนใจแล้ว แม้ปกติแล้วเขาจะนิยมหนุ่มน้อยร่างเพรียวซึ่งมีใบหน้าน่ารัก หากรูปร่างใหญ่หนาแบบนักกีฬาก็กระตุ้นเร้าความรู้สึกของเขาได้มากเช่นกัน



"ผมต้องการคุณ"

เสียงแหบพร่าที่แฝงไปด้วยความปรารถนาทำให้หนุ่มผมบลอนด์ใจอ่อนยวบ เขาติดตาต้องใจเด็กหนุ่มคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบเจออยู่แล้ว หากไม่เคยคิดจะแตะต้องเนื่องด้วยไม่อยากให้เสียการปกครอง อีกทั้งยังรู้ดีว่าฆาเบียร์นั้นจะไม่ยอมเป็นฝ่ายรองรับแน่นอน หากเขาก็ไม่นึกว่าจะมีวันถูกหนุ่มน้อยคนนี้รุกเร้าเข้า

"นะครับ อดัม..."

สัมผัสร้อนๆ ของริมฝีปากและฝ่ามือที่โลมไล้กายเขาอย่างชำนาญ อีกทั้งน้ำเสียงเว้าวอนและสายตาออดอ้อนที่จับจ้องมาทำให้หนุ่มใหญ่เจ้าของคลับเคลิบเคลิ้ม เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังคุกเข่านั่งลงตรงหน้าฆาเบียร์และดึงผ้าเช็ดตัวที่โป่งนูนออก เขากลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่เมื่อเห็นส่วนแข็งเกร็งที่อยู่ตรงหน้า

"อา อดัมครับ คุณเก่งจริงๆ"

หนุ่มน้อยฆาเบียร์สูดปากลั่นเมื่อถูกหนุ่มใหญ่สอนเชิงรักให้ ถึงเขาจะเจนจัดเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน หากก็ยังถือว่าอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับคนที่อายุมากกว่าถึงยี่สิบปี อดัมไม่พูดไม่จาและตั้งหน้าตั้งตาบริการหนุ่มน้อยของเขาอย่างเต็มที่ หากฆาเบียร์ก็ฝืนดันร่างของคนที่กำลังใช้ปากให้ความสุขเขาออก

"ขอผมเถอะนะครับ..."

หนุ่มน้อยเชื้อสายละตินออดอ้อนนายจ้างของเขา อดัมไม่ตอบแต่กลับดึงฆาเบียร์ให้ลุกขึ้นและพาเข้าไปยังห้องพักผ่อนของเขา ไม่นานเสียงครางระงมอย่างสุขสมก็ดังก้องออกมาจากห้องน้อยนั้น



"คุณเคยแล้วเหรอ?"

ฆาเบียร์ถามคนที่นอนระทดระทวยอยู่ในอ้อมอกของเขาเบาๆ เขารู้ได้ทันทีที่ถูกผลักลงนอนโดยมีอดัมตามขึ้นมาควบขี่แก่นกายของเขาอย่างเมามันว่าคนที่เขาเคยเห็นเป็นฝ่ายกกกอดชายหนุ่มคนอื่นๆ นั้น ที่แท้ก็จัดเจนในการเป็นฝ่ายรองรับด้วยเช่นกัน

"ฉันได้ทั้งสองแบบน่ะ"

หนุ่มผมบลอนด์ตอบสั้นๆ พลางเอียงหน้าหลบจุมพิตที่อีกฝ่ายส่งมา

"ไม่ ห้ามจูบ"

ฆาเบียร์ยักไหล่น้อยๆ และไม่พยายามฝืนใจอีกฝ่ายอีก อดัมค่อยๆ ลุกขึ้นเพื่อแต่งตัว เขาซี้ดปากเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงความระบมของช่องทางด้านหลัง

"ให้ตายสิ ฆาบี้ คราวหน้าเบาๆ หน่อยนะ ฉันไม่ใช่หนุ่มๆ แล้ว"

อดัมหลุดปากบ่นออกมาเบาๆ ฆาเบียร์ยิ้มกว้างทันที

"คุณยังให้โอกาสผมอีกใช่ไหมครับ?"

หนุ่มใหญ่เจ้าของคลับนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาจ้องมองดวงตาของหนุ่มน้อยที่เป็นประกายด้วยความหวังแล้วก็ตัดสินใจพยักหน้าตอบรับ

"ใช่ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเก็บเป็นความลับกับทุกคนในคณะ โดยเฉพาะกับไรอัน ฉันขี้เกียจฟังตานั่นบ่นเรื่องไปยุ่งกับนักเต้น โอเคไหม?"

หนุ่มน้อยฆาบี้พยักหน้าตอบรับอย่างยินดี เขาติดใจลีลาของหนุ่มใหญ่คนนี้เข้าให้แล้ว




"สรุปว่าคุณดันไปนอนกับเจ้าของคลับเข้า แล้วไงต่ออ่ะ ตอนหลังมีปัญหากันเลยต้องเลิกเหรอ?"

เจนยุทธกัดฟันถาม เขาแอบรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ฆาเบียร์พูดถึงหนุ่มใหญ่คนนั้น

"จะบอกว่างั้นก็ได้นะ ความสัมพันธ์ของฉันกับอดัมคือสิ่งที่ทำให้ฉันเลิกทำงานนี้จริง แต่ไม่ใช่อย่างที่เจคิด"

ฆาเบียร์ลอบถอนหายใจเมื่อนึกถึงวันเวลาแห่งความสุขนั้น เขาตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้เจนยุทธฟังอย่างหมดเปลือก

"ตอนแรกฉันก็แค่ติดใจเซ็กส์ของเขา เราแอบมีอะไรกันทุกครั้งที่ทำได้ บางครั้งก็แอบมี quickie เร็วๆ ในห้องน้ำระหว่างโชว์ แต่โดยมากเราจะมีอะไรกันที่ห้องพักของอดัมหลังเลิกงาน"

เมื่อไปถึงห้องนั้น พวกเขาก็จะพุ่งเข้าหากันอย่างกระหาย ฆาเบียร์หลงไปกับเซ็กส์ร้อนๆ จนไม่ได้สังเกตว่าห้องพักของหนุ่มใหญ่คนนี้มีข้าวของส่วนตัวน้อยจนเหมือนกับว่าเป็นห้องพักชั่วคราวเสียมากกว่า แถมอดัมยังไม่เคยให้เขาค้างคืนด้วยโดยอ้างว่ากลัวจะมีคนมาเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันในตอนเช้า หนุ่มน้อยฆาเบียร์ได้แต่นึกน้อยใจอยู่บ้าง หากด้วยความที่อ่อนวัยทำให้เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกมากนัก

"แล้วคุณ เอ่อ คุณรู้สึกกับเขาเกินแค่เซ็กส์หรือเปล่า"

เจนยุทธถามโพล่งขึ้น ฆาเบียร์ลอบถอนหายใจ คนรักของเขาเซนส์ดีเสมอ



"ใช่ ฉันคิดกับเขามากกว่าเซ็กส์จริงๆ อย่างที่เจว่า แต่ก็ยังไม่ใช่รัก"

คนตัวโตไขข้อข้องใจให้คนรัก

"ฉันเริ่มรู้สึกดีๆ กับเขา คือนอกจากเรื่องบนเตียงแล้ว เขายังเป็นเหมือน mentor ที่คอยให้คำสั่งสอนหลายๆ อย่าง เรื่องการทำงาน เรื่องชีวิต เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น คุยกันมากขึ้น เขาทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่า เออ ฉันอาจจะสามารถกลับมามีความรักอีกครั้งได้แล้ว"

"ชิ แล้วไหนบอกเราว่าไม่เคยมีแฟน ไม่เคยคบใครจริงจัง..."

เจนยุทธบ่นพึมพำแล้วผลักหัวคนที่นอนหนุนตักออกด้วยอารมณ์พาล

"โอ๊ย อย่ารุนแรงสิ mi vida ฉันไม่ได้หลอกนายซักหน่อย..."

คนตัวโตขมวดคิ้ว เขายันกายลุกขึ้นนั่งและดึงคนรักเข้ามาโอบ

"ฉันแค่ 'รู้สึก' เอาเองว่าฉันกำลังคบกับเขา และคิดไปว่าเขาเองก็อาจจะรู้สึกดีๆ กับฉันเหมือนกัน แต่อาจจะแสดงออกไม่ได้เพราะเรื่องงานอย่างที่ว่า..."

ฆาเบียร์ยิ้มเยาะตัวเองในวัยหนุ่ม เขาหลงระเริงไปกับความรู้สึกดีๆ ที่ได้รับจนลืมมองหลายอย่างที่ดูไม่สมเหตุผล ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้สังเกตว่ามีคนคอยสังเกตท่าทางของเขากับอดัมอยู่

"ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าจอชคือต้นเหตุที่ทำให้ฉันเลิกทำงานนี้"

เจนยุทธพยักหน้า ฆาเบียร์โคลงหัวเมื่อนึกถึงอดีตคู่ขาจอมยุ่งของเขาคนนี้

"เรื่องมันเป็นแบบนี้..."



"นายมีอะไรกับอดัมใช่ไหม ฆาบี้?"

จอชกัดฟันถามรูมเมทที่เพิ่งกลับเข้าห้องมาเอาตอนตีสี่

"เฮ้ย นายพูดอะไรบ้าๆ ของนายน่ะ โจชัว"

ฆาเบียร์ปฏิเสธลั่น หากท่าทางลนลานของเขายิ่งทำให้จอชมั่นใจ

"ฉันเห็นพวกนายที่ลานจอดรถทีี่คลับเมื่อวาน พวกนายควรต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะ"

หนุ่มละตินใจหายวาบ พวกเขาที่แอบหยอกเอินกันจนเกิดอารมณ์เต็มที่ตั้งแต่ในร้านทนรอกลับถึงห้องของอดัมไม่ไหวจึงได้ใช้รถของฆาเบียร์เป็นที่เสพสุข หากเขาไม่นึกเลยว่าจอชจะทันเห็นตอนที่อดัมเดินสะโหลสะเหลออกมาจากรถของเขา

"ดีนะ ที่ไรอันไม่ทันเห็น เขาลืมของไว้ที่รถเลยเดินกลับไปเอา พอกลับมาอดัมก็ขับรถออกไปแล้ว"

จอชตัดสินใจซ่อนความรู้สึกไม่พอใจของตนเอาไว้ เขาเริ่มปลงกับการที่ฆาเบียร์เปลี่ยนคู่นอนไปทั่วและตัดสินใจที่จะยอมรับสถานภาพเซ็กส์เฟรนด์ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้ครอบครองร่างกายของชายหนุ่มที่เขาหลงรักคนนี้แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ก็ตาม ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาก็กลับมาคุยกับฆาเบียร์เหมือนช่วงก่อนที่เขาจะสารภาพรักไป และพยายามแสดงให้รูมเมทของเขาได้เห็นว่าเขาตัดใจแล้ว



"ไหนๆ นายก็เห็นแล้ว ฉันก็คงต้องยอมรับล่ะนะ ใช่ ฉันกำลังคั่วอยู่กับอดัม..."

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงชื่อคนที่เขาเริ่มมีใจให้ เขาเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องของเขากับอดัมตลอดจนเรื่องความรู้สึกที่เขาเริ่มมีให้กับหนุ่มใหญ่คนนั้น

"ก็ตามนั้นแหละ ฉันคิดว่าฉันคงพร้อมที่จะทิ้งเรื่องอเล็กซ์ไว้ข้างหลังแล้ว"

หนุ่มละตินยิ้มอย่างสุขใจโดยไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของรูมเมท ในใจของจอชเต็มไปด้วยความริษยา หากอดัมได้เพียงกายของฆาเบียร์ไปเหมือนกับคนอื่นๆ เขาก็คงไม่สนใจ แต่เขารับไม่ได้ถ้าหนุ่มใหญ่คนนั้นจะคว้าเอาดวงใจของคนที่เขาหลงรักคนนี้ไปด้วย

"เออ ว่าแต่นายอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อล่ะ โดยเฉพาะกับไรอัน อดัมเขาบอกว่าเขาไม่อยากให้คนอื่นในคณะรู้เพราะกลัวว่าพวกเขาจะมองว่าฉันเป็นเด็กเส้น"

จอชพยักหน้ารับคำอย่างเหม่อลอย ฆาเบียร์เอามือปิดปากและหาวน้อยๆ ก่อนจะขอตัวไปนอน




"เอ่อ ผมเดาว่าจอชต้องเอาไปเล่าต่อให้ไรอันฟังแหงๆ จากนั้นหุ้นส่วนก็จะทะเลาะกันเพราะกลัวเสียการปกครอง คุณก็เลยถูกให้ออก"

เจนยุทธสรุปตามความคิดของตัวเอง หากฆาเบียร์ส่ายหัวน้อยๆ

"ถ้ามันแค่นั้นก็ยังดีสิเจ..."

เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วเล่าต่อ



"เฮ้ โจชัว นายพอจะรู้ไหมว่าฆาบี้ไปไหน? พอดีว่ามีแขกวีไอพีเขาติดใจฆาบี้แล้วอยากเจอตัว" *

ไรอันเดินมาหาเด็กเลี้ยงของเขาที่ยืนสูบบุหรี่อยู่นอกคลับ จอชยิ้มหยันพร้อมยกบุหรี่ยัดไส้ในมือขึ้นอัดแรงๆ

"ฆาบี้เหรอ? เหอะๆ ออกไปกับอดัมพักใหญ่แล้วครับ ป่านนี้คงกำลังเสียบไอ้แก่นั่นเพลินอยู่มั้ง"

ความมึนเมาทำให้จอชขาดสติและพลั้งปากพูดออกไปแบบนั้น หากเขาก็แทบสร่างเมาเมื่อไรอันคว้าตัวเขาไปเขย่าและตะคอกใส่อย่างดุดัน

"มึงพูดบ้าๆ อะไรหา? มึงหมายความว่าไอ้ฆาบี้กับอดัมมันมีอะไรกันเหรอ?"

จอชหน้าซีดเมื่อนึกได้ว่าเขาไม่ควรหลุดปากพูดเรื่องนี้ให้ไรอันฟัง เขาปากคอสั่นพูดอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นใบหน้าที่ปกติมักฉายแววขี้เล่นหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านบิดเบี้ยวไปเพราะความโกรธ เขาเล่าทุกอย่างให้ไรอันฟังตามจริงหลังจากถูกคาดคั้นอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกลากตัวขึ้นรถและขับพาไปยังอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง เขาลากแขนจอชขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น 4 ของตึกจากนั้นพาไปยังหน้าห้องหนึ่งและใช้กุญแจที่มีอยู่ไขประตูห้องเปิดออก


"ระ...ไรอัน มา...มาได้ไง?"

อดัมรีบผลักร่างของฆาเบียร์ที่คร่อมกายเขาอยู่ออกทันทีที่เห็นร่างสูงของไรอันเปิดประตูเข้ามายืนจังก้า ไรอันตาลุกวาวเมื่อเห็นภาพบาดตา เขาก้าวพรวดเข้ามากระชากร่างใหญ่กำยำของอดัมให้ลุกขึ้นแล้วตบฉาดเข้าที่หน้าอย่างแรง

"กูจะคุยกับคนของกู มึงอย่ายุ่ง"

ป๋าของจอชหันไปชี้หน้าฆาเบียร์ที่ทำท่าจะลุกขึ้นมาช่วยคู่ขาของเขา ฆาเบียร์ชะงักกึกและทิ้งร่างลงนั่งบนเตียงอย่างหมดแรงเมื่อได้ยินประโยคนั้น เขานั่งตะลึงจนหูของเขาแทบไม่ได้ยินเสียงทะเลาะที่ดังขึ้นในห้อง เขามารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาถูกจอชลากออกมาจากห้องนั้น

ฆาเบียร์กลับมายังวิทยาลัยด้วยอาการของคนอกหัก เขากินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน เมื่อสุดสัปดาห์มาถึงอีกครั้ง เขาก็ตัดสินใจโทรไปที่คลับเพื่อขอลาออก หากไรอันที่เป็นคนรับโทรศัพท์กลับบอกว่าอยากให้เขาได้เข้ามาพูดคุยเพื่อเคลียร์กันให้เรียบร้อย หลังจากนั่งคิดนอนคิดอยู่พักใหญ่ เขาก็ตัดสินใจกลับไปที่คลับนั้นอีกครั้งโดยลากไอ้ตัวยุ่งอย่างจอชไปด้วย



"เฮ้ย ดราม่าโคตร นี่มันละครเกาหลีเหรอคุณ?"

เจร้องออกมาดังๆ

"ผมงงไปหมดแล้ววุ้ย ก็ไหนไรอันเขาก็คั่วจอชอยู่ ส่วนอดัมเขาก็มีกิ๊กไปทั่วอยู่แล้ว แล้วไหงจู่ๆ มาทำท่าเป็นผัวเป็นเมียกัน ไม่เข้าใจว่ะ"

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ ขนาดเจนยุทธที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรยังงง ตัวเขายิ่งต้องการคำอธิบายยิ่งกว่า

"สรุปว่าสองคนนั้นเขาเป็นแฟนกัน คบกันมาสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่อดัมยังเต้นอยู่ที่ชิคาโก ทั้งคู่ย้ายกลับมาที่นี่เพราะมาไรอันกลับมารับช่วงต่อกิจการของที่บ้าน แล้วก็เลยเปิดร้านให้แฟนด้วย..."

"อ้าว ก็ในเมื่อเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องออกไปหาเศษหาเลยกันนอกบ้านด้วยล่ะ?"

"นั่นแหละ ตอนแรกฉันก็อยากตะโกนถามทั้งสองคนแบบนี้เหมือนกัน พอตอนที่เข้าไปเคลียร์กัน ทั้งสองคนก็เลยเล่าทุกอย่างให้ฉันฟัง..."



หลังจากอยู่กินกันมานาน พวกเขาทั้งคู่เริ่มรู้สึกว่าไฟบนเตียงของพวกเขาทั้งคู่นั้นเริ่มมอดดับลงบ้างแล้ว หากความรักที่ทั้งสองมีให้กันนั้นยังคงอยู่ เมื่อรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางเพศของแต่ละฝ่ายได้อย่างเต็มที่เหมือนสมัยก่อนและเริ่มเกิดความเบื่อหน่ายในเซ็กส์ของอีกฝ่าย

"พวกเขาเลยตกลงกันว่าจะให้อิสระทางเพศกับอีกฝ่าย คือให้ไปมีกิ๊กได้ แต่ห้ามจริงจัง ห้ามให้เกิดปัญหา อย่างไรอันเขาก็ตัดสินใจหาเด็กที่ถูกสเป็คมาเลี้ยงไว้คนเดียวอย่างจอช โดยมุ่งหวังแค่เซ็กส์โดยไม่มีเรื่องทางใจมาเกี่ยวข้อง ส่วนทางอดัมนั้น เขาเลือกที่จะมีกิ๊กมาคอยตอบสนองความต้องการของตัวเองหลายคนโดยไม่ยึดติดกับใครคนใดคนหนึ่ง แต่เขาให้สัญญากับไรอันไว้ว่ายังไงรู้ไหม?"

เจส่ายหน้าระรัว ฆาเบียร์ยิ้มหยัน

"เขาให้สัญญาว่าเขาจะเป็นฝ่ายกอดเท่านั้น"

เจร้องอา เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

"ที่ไรอันโมโหก็เพราะว่าอดัมปล่อยให้คุณเสียบ?"

ฆาเบียร์พยักหน้า เมื่อมาพูดคุยกันแล้วเขาจึงได้รู้ว่าในความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนั้น อดัมซึ่งเดิมทีเป็นได้ทั้งฝ่ายรุกและรับ ยอมรับหน้าที่เป็นฝ่ายถูกกอดแต่เพียงฝ่ายเดียว ไรอันจึงรู้สึกเหมือนถูกนอกใจเมื่อรู้ว่าคนรักนั้นเผลอกายให้กับหนุ่มน้อยฆาเบียร์



"ไม่แฟร์อ่ะ ทีอิลุงไรอันยังไปเสียบจอชเลย แบบนั้นไม่เรียกว่านอกใจเหมือนกันเหรอ?"

เจเกาหัวแกรกๆ ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ

"ฉันคงไปตัดสินไม่ได้หรอกว่าอะไรแฟร์หรือไม่แฟร์ มันเป็นเรื่องของแต่ละคู่เขาจะตกลงกันเองแล้ว แต่สำหรับฉันเมื่อรู้ว่าตัวเองเข้าไปเป็นมือที่สาม ฉันก็เลือกที่จะถอยออกมา"

หนุ่มน้อยฆาเบียร์บอกเจ้าของร้านทั้งสองว่าเขาจะเลิกทำงานที่ร้านนี้ หากทั้งสองที่เคลียร์และคืนดีกันเรียบร้อยแล้วก็ได้ขอให้เขาอยู่ต่อ หากฆาเบียร์ก็ยืนยันเสียงแข็งว่าเขาไม่สะดวกใจที่จะทำงานต่อ

"ฉันทนดูสองคนนั้นเขาใกล้ชิดกันไม่ได้หรอก มานึกๆ ดู ถ้าฉันสังเกตสักหน่อย ก็คงเห็นท่าทีการเอาใจใส่กันและกันของทั้งสองคนได้ตั้งแต่แรก แต่ฉันไปคิดว่าเขาคงเป็นเพื่อนสนิทกันเพราะว่าดูเป็นฝ่าย top ทั้งคู่"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเล่าว่าหลังจากเคลียร์กันในวันนั้น อดัมก็มาขอโทษขอโพยเขายกใหญ่ ซึ่งเขาก็ได้อโหสิให้อีกฝ่ายไป



"ท้ายที่สุดพวกเราก็จากกันด้วยดี จอชเองก็เลิกกับป๋าของเขาด้วย ก็แหงล่ะ จะให้มานั่งจูบๆ หอมๆ กันต่อหน้าเมียเขามันก็คงจะกระไรอยู่ หลังจากนั้นพวกฉันก็ไม่ได้กลับไปที่ร้านนั้นอีกเลย"

คนตัวโตหัวเราะหึๆ สิ่งที่เหมือนจะเป็นรักครั้งใหม่ของเขาก็จบลงโดยที่เขายังไม่ทันจะบอกรักอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ส่วนเขากับจอช หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็มึนตึงกับจอชไปอีกพักใหญ่ และกลับมามีพฤติกรรมหาคู่ขานอนด้วยไม่เลือกหน้าเหมือนกับที่เคยเป็น จอชเองก็ทนกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ไหว ประกอบกับมีนันโด้เข้ามาติดพัน ในที่สุดเมื่อจบปีที่สองในรั้ววิทยาลัย จอชก็ย้ายออก

"จากนั้นฉันก็ได้นพเป็นรูมเมท เรื่องก็เป็นอย่างที่เจรู้ แล้วนายคิดดูนะ ฉันอกหักจากอดัมมาเมื่อปีก่อน แล้วก็ยังมาอกหักจากนพซ้ำอีก ฉันก็เลยเลิกความคิดที่จะหาแฟน"

เจยิ้มจืดๆ เขารู้ดีว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ฆาเบียร์ครองตัวเป็นหนุ่มโสดก็เพราะความรู้สึกผิดและยึดติดอยู่กับตัวของเพื่อนรุ่นพี่ของเขานั่นเอง



"ก็นั่นแหละ เรื่องราวทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้"

"เพราะจอชจอมยุ่งแท้ๆ"

เจหลุดปากพูดออกมาเบาๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และพยักหน้ารับคำ

"ใช่ เพราะไอ้ตัวยุ่งนั่นทีเดียว แล้วฉันก็ไม่นึกนะว่าเกือบยี่สิบปีผ่านไปมันก็ตามมาทำยุ่งอีกรอบจนได้"

เจนยุทธหน้าแดงซ่าน เขานึกถึงความอลหม่านที่เกิดขึ้นที่สมุยอันทำให้เขากับฆาเบียร์ได้ปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด

"จริงๆ ผมว่าเราก็ควรจะต้องขอบคุณจอชเขาต่างหาก..."

เจพูดและจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากของคนรัก คนตัวโตจูบตอบเบาๆ ทั้งคู่แลกจูบอันอ่อนโยนกันอีกพักหนึ่งก่อนที่เจจะหาวน้อยๆ แล้วลุกขึ้นจากโซฟา



"ป่ะ คุณ เข้านอนกันเถอะ เล่านั่นนี่เพลินๆ นี่จะตีสองแล้ว พรุ่งนี้ตื่นเช้าไม่ใช่เหรอครับ?"

เจส่งมือให้คนรักที่ยังทำท่างงๆ อยู่

"อ้าว เจจะนอนแล้วเหรอ?"

"อือ นอนแล้วสิ ผมง่วงแล้วอ่ะ"

เจหาวน้อยๆ และออกแรงฉุดคนรัก หากฆาเบียร์ยังขืนกายไม่ยอมลุก

"ฉันนึกว่านายจะอยากให้ฉันใส่ชุดนี้ให้ดูเสียอีก"

ฆาเบียร์ยิ้มยั่วพร้อมยกห่อชุดชั้นในแสนทะลึ่งในมือขึ้นชู เจกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

"ใส่ให้ดูอย่างเดียวเหรอครับ?"

เจถามเบาๆ จนแทบเป็นเสียงกระซิบ คนตัวโตส่ายหน้าแล้วถามคนรักของเขา


"Are you ready for el Zorro?"



-------------------------------------------

โอย ตอนนี้กว่าจะจบ วิบากกรรมเยอะจริงๆ ทั้งเซฟผิดไปเซฟเวอร์ชั่นเก่าทับของใหม่ที่เขียนไปเยอะแล้วบ้าง ทั้งคอมรวม แบตบวมนึกว่าจะได้เปลี่ยนใหม่บ้าง สุดท้ายก็เข็นออกมาจนได้ค่ะ ก็ฟังคนแก่ฆาบี้เล่าเรื่องบ่ะเก่าไปก่อนนะคะ


ในตอนนี้คนเขียนบันเทิงกับการอ่านและดูเรื่องราวเกี่ยวกับ male stripper มากกกก เอ็นจอยสุดๆ ได้รู้อะไรอีกเพียบ จากที่เคยเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของการขายบริการ ก็กลับกลายเป็นว่าอาชีพ stripper ทั้งชายและหญิงเนี่ย มักเน้นโชว์อย่างเดียว ไม่เหมือนกับสาวอะโกโก้บ้านเราที่มักมีการขายพ่วงอยู่ด้วย จึงเป็นอาชีพที่มีนักศึกษาไปทำเพื่อหาเงินเรียนกันมากค่ะ

มี article น่าอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายชิ้นค่ะ ลองอ่านกันดูนะคะ

นักศึกษาในวงการเต้นเปลื้องผ้า http://bit.ly/2I1Nhvb

เรื่องของนักเต้นชายแท้ในคลับเกย์ http://bit.ly/2uNSkqB

เรื่องรายได้จากการเต้น อ้างอิงมาจากบทความนี้และอีกหลายๆ เว็บที่ไม่เอามาลงค่ะ http://bit.ly/2G70b9b


ตบท้ายด้วยฉากเต้นสุดเซ็กซี่จากเรื่อง Magic Mike XXL ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=-hlIuHYhj1c




ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อินอดีต จนลืมอารมณ์เหรอ เจ

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
 o13 :L2:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ระบำโป๊ ----






"เสร็จรึยังครับ นานแล้วนะ"

เจนยุทธเดินไปเคาะประตูห้องน้ำพร้อมส่งเสียงเรียกเบาๆ เมียตัวโตของเขาบอกให้เขานั่งรอมาพักใหญ่แล้ว

"จวนแล้วๆ เจไปนั่งรอก่อนเถอะ หรี่ไฟห้องไว้ด้วยนะ"

ฆาเบียร์ส่งเสียงตอบมาเบาๆ เจหมุนสวิตช์ไฟห้องให้หรี่ลง เดินกลับไปรอที่โซฟาอย่างกระวนกระวายใจ เขาอดตื่นเต้นกับสิ่งที่ฆาเบียร์จะทำไม่ได้

แกร๊ก!

เสียงประตูห้องน้ำเลื่อนเปิดออก เจที่นั่งหลับตาพริ้มรออยู่บนโซฟารีบลืมตาขึ้น ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือร่างใหญ่กำยำของคนรักในชุดเสื้อเชิร์ตและกางเกงสีดำสนิท ฆาเบียร์คงหาหมวกปีกไม่ได้จึงเพียงแค่รวบผมตึงเท่านั้น แต่ที่ทำให้เจอดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้คือที่ตาของคนรักนั้นแทนที่จะเป็นหน้ากากผ้าสุดเท่ของซอร์โร ฆาเบียร์กลับใชผ้าปิดตาตอนนอนที่เขาได้มาจากสายการบินแทน โดยคนตัวโตใช้กรรไกรตัดช่องเล็กๆ เพื่อให้มองเห็นได้บนหน้ากากจำเป็นอันนั้น ที่คลุมไหล่เขาอยู่นั้นก็ไม่ใช่ผ้าคลุม หากเป็น trench coat หรือเสื้อโค้ตตัวยาวแบบบางสีดำ

"ชิ หัวเราะได้หัวเราะไปนะ เจนยุทธ"

คนตัวโตจิ๊ปากเบาๆ เมื่อเห็นคนที่นั่งกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงอยู่บนโซฟา

"ครับๆ ไม่หัวเราะแล้วก็ได้ เอ้า ไหน จะโชว์อะไรให้ป๋าดูจ๊ะ มะ เริ่มเลย"

เจกระดิกนิ้วเรียกคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มมุมปากแล้วคิดว่าเขาจะต้องจัดการกับเจ้าตัวดีที่ทำท่าน่าหมั่นไส้คนนี้ให้ได้



"งั้นฉันจะเริ่มแล้วนะ"

ฆาเบียร์พูดพลางกดเปิดเพลงจากโทรศัพท์ของเขาที่เชื่อมต่อกับลำโพงในห้อง เจร้องอ๋อเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นหู เพลงที่ฆาเบียร์เลือกมานั้นเป็นเพลงจากฉากเต้นรำในภาพยนตร์เรื่อง The Mask of Zorro

"นี่ๆ คุณ ตอนนั้นคุณก็ใช้เพลงนี้เลยเหรอ? หนังมันยังไม่ออกฉายเลยนี่"

คนดูหนังมามากอย่างเจนยุทธอดขัดขึ้นไม่ได้

"คุณผู้ชมครับ อย่าพึ่งขัดสิครับ นี่จะดูหรือว่าจะเล่นถามตอบกัน หือ?"

เอล ซอร์โร ฆาเบียร์ซึ่งกำลังพยายามตั้งสมาธิและทบทวนท่าทางที่ตนเคยเต้นบ่นกดหยุดเพลงแล้วบ่นขึ้นเบาๆ

"...ตอนนั้นเพลงที่ใช้เป็นเพลงที่ทางร้านเขามิกซ์ขึ้นมาใหม่ ตอนนี้ฉันเลยต้องหาเพลงใหม่เอง โอเคไหม? จะดูต่อหรือยัง?"

เจหัวเราะแหะๆ แล้วบอกว่าเขาพร้อมดูแล้ว ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ เขาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเริ่มกดเปิดเพลงอีกครั้ง



"หูย ตื่นเต้นๆ"

เจนยุทธพูดพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อคนรักเริ่มการแสดงโดยการสะบัดเข็มขัดที่เขาใช้แทนแส้หวดอากาศดังขวับเขวียว จากนั้นฆาเบียร์เริ่มการแสดงของเขาด้วยการขยับเท้าเต้นตามจังหวะ ในช่วงแรกของการแสดงนั้นเป็นการโชว์การเต้นสไตล์ละติน ในการเตรียมการแสดงกับอดัมและคณะ พวกเขาตีความการเต้นแบบซอร์โรว่าต้องเป็นการเต้นที่แสดงความอหังการแบบหนุ่มสเปนออกมา แล้วจะมีอะไรที่จะแสดงมันออกมาได้ดีเท่าการเต้นแบบฟลาเมงโก้และท่าทางแบบมาทาดอร์ แม้จังหวะเท้าของเขาจะไม่สามารถเลียนแบบท่าเท้าของนักเต้นฟลาเมงโก้แบบสเปนซึ่งใช้การย่ำเท้ารัวๆ คล้ายแท็ปแดนซ์ได้ แต่เขาก็พยายามแสดงท่วงท่าอันโอหังและทะนงตนของนักสู้วัวออกมา

"โอ๊ย เท่โคตร!"

เจปรบมือและชมคนรักเมื่อเขาดึงเสื้อโค้ตที่คลุมไหล่แทนผ้าคลุมออกแล้วโบกสะบัดมันไปมาเหมือนกำลังล่อวัว เขาหมุนกายพลิ้วพร้อมเหวี่ยงผ้าไปมาข้ามหัวและไหล่ก่อนที่จะปล่อยให้มันหลุดลอยออกจากมือไปข้างๆ จากนั้นฆาเบียร์ก็ปรบมือดังๆ จากนั้นยืดอกขึ้นและผายมือออกด้านข้าง เขาเชิดหน้าพลางดีดนิ้วตามจังหวะพร้อมกับย่ำเท้าและส่ายสะโพกด้วยสเต็ปของการเต้นซัลซ่า เมื่อโชว์สเต็ปเต้นได้สักพัก เขาก็เริ่มลูบไล้กายตัวเองและโยกกายแบบนักเต้นเปลื้องผ้า จากนั้นย่อเข่าลงตั้งฉากกับพื้นเหมือนกำลังควบขี่ม้าแล้วโยกกายไปมา เจสะดุ้งเฮือกเมื่อฆาเบียร์ตบก้นตนเองฉาดใหญ่ เขาอดซี้ดปากออกมาไม่ได้เมื่อคนรักใช้ฝ่ามือทั้งสองลูบจากแผ่นอกลงต่ำไปสู่ท้องน้อยและลงสู่ภายใต้กางเกง


"เฮ้ย เสียดายเสื้อ!"

ฆาเบียร์เกือบหลุดขำออกมาเมื่อเจร้องลั่นตอนที่เขายืดกายขึ้นแล้วจับสาบเสื้อกระชากออกอย่างแรงจนกระดุมหลุดกระจุย เจตะครุบปากตัวเองที่ร้องออกมาจนดังลั่นแล้วทำตาโตดูคนรักที่ตอนนี้เปลือยอกโล่ง ฆาเบียร์ยังไม่ยอมถอดเสื้อออกหากยังคงเต้นแบบเซ็กซี่ต่อ เขาทำท่ามาตรฐานของนักเต้นเปลื้องผ้าซึ่งก็คือการขยับร่างกายช่วงอก สะโพกและเอวให้พริ้วไหวเป็นตัว S เจเม้มปากมองหน้าท้องเป็นลอนตรงหน้า

"หมั่นไส้คนมีซิกซ์แพ็ค"

เจบ่นเบาๆ ออกมาพร้อมเลิกเสื้อตัวเองดูหน้าท้องที่มีกล้ามน้อยๆ แต่ไม่ได้ชัดมากของตนอย่างขัดใจ ถึงคนตัวโตจะบอกว่าตัวเองวินัยหย่อนยาน แต่ลายกล้ามท้องของเจ้าตัวก็ยังดูคมชัด ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ แล้วเริ่มขั้นถัดไป เขาค่อยๆ เยื้องย่างเข้าหาเจนยุทธพร้อมกับถอดเสื้อเชิร์ตของตนเองออกช้าๆ เขาขยำเสื้อสีดำตัวนั้นโยนให้คนรัก เจนยุทธหยิบมาสูดดมพร้อมกับส่งยิ้มให้คนรักที่ยังคงจ้องตาเขาเป๋ง



"เฮ้ย! นี่มันเสื้อ Balenciaga นี่คุณ?!"

เจนยุทธร้องลั่นพร้อมทำตาโตเท่าไข่ห่านอีกครั้งเมื่อเห็นป้ายยี่ห้อของเสื้อเชิร์ตผ้าซาตินที่กระดุมขาดหมดทั้งแผงตัวนั้น ฆาเบียร์รีบคว้าเสื้อเจ้ากรรมตัวนั้นออกจากมือคนรักก่อนที่เจ้าตัวจะทันบ่นเขาอีก เขาหันเหความสนใจของเจด้วยการใช้เข็มขัดที่พันไว้ที่แขนคล้องกายคนรักที่นั่งบนโซฟาแล้วดึงให้ลุกขึ้น เจนยุทธรีบลุกขึ้นตาม เขากวาดตามองแผงอกกำยำสีแทนและตุ่มไตสีน้ำตาลอ่อนของคนรัก เขาอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อเห็นว่าที่คอซึ่งเมื่อครู่ติดกระดุมทับมิดชิดของฆาเบียร์มีคอลลาร์รูปปกเสื้อสีขาวติดโบว์สีดำอยู่ เช่นเดียวกับแถบผ้ารูปปลายแขนเสื้อเชิร์ตที่ข้อมือทั้งสองข้าง มันคือส่วนหนึ่งของเซ็ตชุ​​ดชั้นในสุดทะลึ่งที่เขาซื้อมาจากเซ็กส์ช็อปนั่นเอง เขาตาลอยเมื่อจินตนาการถึงภาพคนรักในกางเกงชั้นในสุดสยิวนั้น

"อย่าพึ่งเคลิ้มครับคุณผู้ชม นี่เราเพิ่งเริ่มกันนะ"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะเมื่อคนรักทำท่าอยากพาเขาขึ้นเตียงเต็มทีแล้ว เจหน้าร้อนผ่าวเมื่อคนตัวโตพาเขามานั่งที่เก้าอี้ไม้ทรงจีนที่ยกมาจากโต๊ะทำงาน ​เจใจเต้นตึกตัก เขารู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ฆาเบียร์หยิบโทรศัพท์มากดเปลี่ยนเพลง เขาเปลี่ยนจากเพลงที่โชว์ความเป็นซอร์โรไปเป็นเพลงที่เร้าใจมากขึ้นอย่าง Torero ของ Chayanne แม้เพลงที่ชื่อแปลได้ว่า "นักสู้วัว" เพลงนี้จะไม่ได้เนิบนาบและเอื้อต่อการโชว์ความเซ็กซี่แบบนักเต้นเปลื้องผ้าได้เหมือนเพลงแนว R&B ที่นิยมใช้กันนัก แต่จังหวะที่กระตุ้นเร้าก็ทำให้เจรู้สึกคึกคักได้โดยเฉพาะเมื่อฆาเบียร์ซึ่งเปลือยท่อนบนเดินมายืนตรงหน้าและผลักไหล่เขาจนติดพนักเก้าอี้



"Do you surrender?"

ฆาเบียร์กระซิบเสียงแหบต่ำที่ข้างหูของคนรักด้วยประโยคที่ซอร์โรเคยพูดกับนางเอกของเรื่อง

“Never!”

เจส่ายหัวทันควัน ฆาเบียร์ซึ่งกำลังสวมบทเอล ซอร์โรก็พลันใช้มือดันคางคนดูของเขาให้หงายหน้าขึ้นแล้วบดจูบลงบนริมฝีปากแดงระเรื่ออย่างหนักหน่วง เจใจสะท้านไปกับสัมผัสที่รุนแรงนั้น เขาตั้งใจจะขัดขืนเหมือนกับนางเอกในหนัง หากสัมผัสอันร้อนแรงนั้นทำให้เขาอดเผยอปากรับเรียวลิ้นที่ส่งมาไม่ได้ หากฆาเบียร์ก็รีบฝืนใจถอนจูบของเขาออกและเล่นละครของเขาต่อ เขาดันกายออกห่างจากร่างเพรียวและเดินวนไปรอบๆ พร้อมฟาดเข็มขัดในมือ เสียงเส้นหนังแหวกอากาศทำให้เจสะดุ้งได้ไม่น้อย จังหวะเพลงที่เร้าใจพร้อมกับเสียงทรัมเป็ตที่ทำให้เหมือนอยู่ในสนามสู้วัวก็ทำให้ใจเขาเต้นรัว

"โอ๊ย!"

คนตัวโตใจหายวาบเมื่อปลายเข็มขัดในมือพลาดกระทบพื้นแล้วดีดไปฟาดใส่เรียวน่องของเจนยุทธจนเจ้าตัวร้องลั่นออกมา เจตวัดสายตาดุๆ ส่งไปให้คนรักที่รับบทขุนโจรเพลินจนลืมตัว คนตัวโตยิ้มแหยๆ แล้วรีบโยนแส้ปลอมๆ ของเขาทิ้งไป เขาเดินมาหยุดตรงหน้าคนรักแล้วเริ่มทำท่าทางยั่วยวนเท่าที่จำได้ เขายืนคร่อมตักคนตัวเล็กไว้แล้วเริ่มโยกย้ายร่างกาย เขาประสานมือไว้หลังหัวแล้วโยกคลึงสะโพก เจทนความเย้ายวนของร่างกายเบื้องหน้าไม่ไหวจนเขาต้องโอบเอวสอบไว้แล้วจูบแผ่วๆ ที่หน้าท้องเป็นลอนที่อยู่เบื้องหน้า



"ดูแต่ตามืออย่าต้องนะครับคุณผู้ชม"

ฆาเบียร์กระซิบเสียงแหบพร่าเมื่อเจนยุทธทำเหมือนกับที่เขาทำกับอดัมเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว หากเจ้าตัวดีของเขายังมือซนเขี่ยคลึงยอดอกของเขาเล่นอีกต่างหาก เจหัวเราะคิกคักพลางปล่อยมือออกจากตุ่มไตที่เริ่มชูชันน้อยๆ ฆาเบียร์ถลึงตาใส่คนดูแสนร้ายกาจที่ปล่อยมือแต่ใช้ปากไล่งับส่วนสงวนของเขาที่ทิ่มอยู่ระดับอกของตนแทน

"โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ เชิญต่อเลยครับคุณซอร์โร"

คนที่พยายามทำท่าเซ็กซี่แต่กำลังจะเริ่มไปไม่เป็นเพราะโดนแกล้งเล่นโคลงหัวน้อยๆ เขาขยับกายออกห่างจากคนขี้แกล้งแล้วเริ่มแสดงต่อ เขาเริ่มใช้ท่ายากซึ่งคล้ายท่าของพวกเต้นฮิปฮอป เขาย่อเข่า เอนกายไปด้านหลังแล้วใช้มือยันพื้นไว้ก่อนที่จะกระทุ้งสะโพกขึ้นถี่ๆ จากนั้นยันกายขึ้นยืดตรง ตามด้วยการลูบไล้ร่างกายโดยเน้นส่วนต่ำกว่าเอว เจกัดริมฝีปากเมื่อเห็นคนรักบีบคลึงส่วนสงวนจนเริ่มพองตัวดันกางเกงผ้ายืดจนโป่ง ฆาเบียร์ค่อยๆ คุกเข่าลง จากนั้นลงนอนคว่ำโดยใช้แขนยันกายส่วนบนให้ตั้งขึ้นน้อยๆ เขาเริ่มทำท่ากระเด้าตัวกับพื้นเหมือนท่วงท่ายามมีเซ็กส์ เขาบดสะโพกลงเป็นจังหวะช้าสลับเร็ว สายตาแพรวพรายของเขาจับจ้องไปที่ดวงตาของคนรักประหนึ่งจะสะกดไว้



"แม่ง โคตรเอ๊กซ์เลยวุ้ย"


​เจนยุทธอดครางเบาๆ เป็นภาษาไทยไม่ได้ เขารู้สึกได้ถึงแก่นกายตนที่พองขึ้นดันกางเกงจนรู้สึกเจ็บ สิ่งที่กระตุ้นเร้าเขามากที่สุดคือใบหน้าอันยั่วยวนของคนรัก ฆาเบียร์ทำท่าหอบหายใจอีกทั้งซี้ดปากเบาๆ ทุกครั้งที่ขยับสะโพกประหนึ่งกำลังร่วมรักอยู่จริงๆ ลิ้นสีชมพูที่เลียไล้ริมฝีปากบางคู่นั้นทำให้เขาแทบทนไม่ไหว ฆาเบียร์แอบยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยอารมณ์ใคร่ของคนรัก เขาค่อยๆ ยันกายขึ้นจากพื้นแล้วคืบคลานเข้าไปอยู่ตรงหน้าคนรัก เขาใช้มือดันขาทั้งสองของเจให้อ้าออกจากนั้นใช้มือดันขอบเก้าอี้เพื่อยันตัวขึ้น หากเขาไม่เพียงดันตัวขึ้นเปล่าๆ แต่ยังทำท่าประหนึ่งจะร่วมรักกับเจ เขาบดร่างกายส่วนหน้าเข้าหากายคนรักตามจังหวะเพลง ก่อนจะยันตัวขึ้นยืนตรงหน้า เขาไล้มือลูบกายอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ปลดกระดุมและรูดซิปกางเกงลงอย่างใจเย็น เจตาวาวเมื่อเห็นกางเกงในตัวจิ๋วซึ่งเขาซื้อมาเมื่อตอนหัวค่ำปรากฏอยู่ตรงหน้า มันปิดส่วนสงวนที่พองตัวน้อยๆ ของคนรักของเขาแทบไม่มิดเลยด้วยซ้ำ

"ชอบไหมจ๊ะ?"

คนตัวโตพูดด้วยใบหน้ายิ้มพราย เจพยักหน้าระรัว ฆาเบียร์ยักคิ้วให้คนรักแล้วก้าวไปยืนคร่อมตักของเจ้าตัวดีของเขา จากนั้นค่อยๆ ควงสะโพกเป็นวงอย่างยั่วยวนพร้อมกับกดกายลงต่ำจนนั่งลงบนตักของเจ

"ห้ามบ่นหนักนะ"

คนที่ค่อนข้างอ่อนไหวเรื่องรูปร่างของตนดักคอเจนยุทธที่ทำหน้านิ่วและกำลังจะอ้าปากบ่นออกมา เจกลืนคำพูดของตนลงท้องแล้วส่ายหน้าระรัว ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วเริ่มคลึงสะโพกบดกับส่วนแข็งขืนของคนรัก



"ไม่ถอดข้างล่างให้ผมเห็นหน่อยเหรอครับ ที่รัก?"

เจกระซิบเสียงกระเส่า ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ แล้วโหย่งตัวขึ้น เขาไล้มือไปตามแนวตัววีของตนแล้วดันขอบกางเกงผ้าลงไปจนกึ่งสะโพก จากนั้นหันกายกลับหลังโดยหันบั้นท้ายงามงอนให้แล้วดึงมือคนรักขึ้นมาไว้ที่ขอบกางเกง

"ถอดให้หน่อยสิ"

ฆาเบียร์หันหน้ามายิ้มให้คนดูของเขา กางเกงของเขาเป็นกางเกงธรรมดาไม่ใช่กางเกงที่มีซิปหรือแถบตีนตุ๊กแกด้านข้างซึ่งทำให้กระชากถอดออกทางด้านหน้าได้เหมือนของนักเต้นเปลื้องผ้าจริงๆ เขาจึงต้องใช้คนช่วยเพื่อให้การแสดงเล็กๆ ของเขาต่อเนื่อง เจกลืนน้ำลายลงคอแล้วค่อยๆ ดึงกางเกงผ้าที่ยืดได้น้อยๆ ของฆาเบียร์ลง เขาซี้ดปากเมื่อสะโพกหนั่นแน่นอันเปลือยเปล่าของคนรักปรากฏตรงหน้า กางเกงในแบบทีแบ็คที่เขาซื้อมาให้ฆาเบียร์นั้นไม่ได้ช่วยปกปิดและห่อหุ้มก้อนเนื้อสีแทนทั้งสองนั้นเลย

"คุณผู้ชมครับ มือซนอีกแล้วนะครับ"

คนตัวโตหันมาดุคนดูใจร้อนของเขาอีกครั้ง เจยิ้มแหยๆ แล้วปล่อยมือที่คลึงเคล้นบั้นท้ายแน่นๆ ที่เบื้องหน้าอย่างลืมตัวออก ฆาเบียร์ส่ายหัวเบาๆ เขาใช้เท้าสลัดกางเกงที่หลุดลงมาอยู่ที่ปลายเท้าแล้วทิ้งไป จากนั้นย่อเข่าลงนั่งบนตักของเจอีกครั้ง เขาหันมาทำตาโตใส่คนรักเมื่อพบว่าสิ่งที่รอสัมผัสบั้นท้ายเขาอยู่นั้นไม่ใช่เนื้อผ้าแบบเมื่อสักครู่แล้ว เจนยุทธยักคิ้วและส่งจูบให้นักเต้นส่วนตัวของเขาพร้อมกับรูดไล้แก่นกายที่เขาปล่อยออกมาชมโลกเบาๆ

"ลามกที่สุดเลยครับ คุณผู้ชม ห้ามลวนลามนักแสดงครับ"

ฆาเบียร์บ่นเบาๆ ถ้าเป็นที่คลับของเขา คนดูลามกที่ทำรุ่มร่ามแบบนี้คงถูกการ์ดจับโยนออกร้านไปแล้วเป็นแน่แท้ หาก "คนลามก" ตัวเล็กก็ดูจะไม่สนใจอะไรแล้ว เขาดึงร่างกำยำลงให้นั่งบนตักแล้วแนบหน้าลงกับแผ่นหลังของฆาเบียร์



"ไม่เต้นแล้วได้ไหมอ่า? ขึ้นเตียงกันเถอะ"

เจบ่นเบาๆ เขาโอบแขนรอบกายคนตัวโตอย่างรักใคร่พร้อมกับพรมจูบไปบนแผ่นหลังชุ่มเหงื่ออย่างไม่รังเกียจ

"เจ อีกนิดเดียวเอง ปล่อยฉันก่อนเถอะ"

ฆาเบียร์หักใจแกะแขนที่โอบรอบตัวออก เจถอนหายใจเบาๆ ในเมื่อเจ้าตัวยังอยากแสดงต่อ เขาก็จะปล่อยให้คนตัวโตที่อยากย้อนอดีตฝันวันวานทำตามใจ ฆาเบียร์หันมาจุ๊บปากเจเร็วๆ พร้อมกับเริ่มขยับกายอีกครั้ง เจข่มกรามเมื่อสะโพกหนั่นแน่นถูคลึงกับแก่นกายของเขา ฆาเบียร์ช่างยั่วเขาเหลือเกิน หลังจากคลึงเคล้าจนพอใจ ฆาเบียร์ก็ขยับกายลุกขึ้น เขาเต้นท่ามาตรฐานของนักเต้นเปลื้องผัาอีกสองสามท่าก่อนจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการแสดง

"เฮ้ยๆๆ ฆาบี้ทำอะไร?!"

เจนยุทธร้องลั่นเมื่อคนตัวโตใช้มือประคองด้านหลังของเขาแล้วดันเก้าอี้ลงจนพนักติดพื้น เจซึ่งอยู่ในท่านอนยกขาขึ้นใจเต้นระรัว เขาเคยเห็นท่วงท่าแบบนี้จากในหนังเท่านั้น ฆาเบียร์เดินไปยืนอยู่ที่ด้านศีรษะของเจแล้วคุกเข่าลงนั่ง เขาจูบคนรักอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง จากนั้นจับขอบที่นั่งของเก้าอี้ไว้เพื่อใช้ค้ำยัน จากนั้นก็โยกสะโพกเข้าหาใบหน้าของคนรักที่นอนโดยมีลำตัวครึ่งบนราบไปกับพื้น เจกัดริมฝีปากแน่นด้วยความตื่นเต้น เขาพยายามงับส่วนแข็งขืนของคนรักที่ตอนนี้แทบพุ่งทะลุกางเกงตัวจิ๋วนั้นออกมา ฆาเบียร์ซี้ดปากเบาๆ เมื่อเรียวลิ้นของเจสัมผัสเนื้ออ่อนที่ไวความรู้สึกของเขา

"จะยั่วผมอีกนานไหมครับ เมีย? ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ"

เจครางเสียงกระเส่า แล้วก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมน้อยหน้า เรียวลิ้นของคนที่กำลังบดคลึงกายกับใบหน้าของเขาก็เข้าหยอกเย้ากับแก่นกายแข็งที่เขากำลังรูดไล้อยู่เช่นกัน หากฆาเบียร์ก็ยั่วเย้าคนรักเพียงชั่วขณะก่อนที่เขาจะตัดสินใจจบเกม เขาซึ่งอยู่ในท่าเหมือนจะวิดพื้นใช้มือยันที่ขอบเก้าอี้ที่ชี้ไปบนฟ้าเพื่อดีดขาขึ้นเหมือนเล่นกายกรรม หากเมื่อกำลังยกตัวขึ้น เขาก็ต้องทรุดกายฮวบลงกับพื้น



"คุณ เป็นอะไร?!"

เจซึ่งกำลังเพลินกับท่าทางของคนรักร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นฆาเบียร์ล้มกายนอนลงข้างๆ เขารีบขยับกายออกจากท่าประหลาดบนเก้าอี้แล้วลุกขึ้นนั่งทันที

"อูย ฉันปวดเอวน่ะ แต่ไม่เป็นอะไรมาก ขอนอนพักแป๊บนึงนะ บ้าชะมัดเลย"

คนตัวโตกุมบั้นเอวตัวเองแล้วบ่นสังขารตัวเองเบาๆ เขาบอกว่าเขาขยับผิดท่าไปหน่อยจึงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เจรีบเข้าไปดูอาการของคนรักทันที

"ไม่เจ็บก็แปลกล่ะ ทั้งโยกทั้งส่ายขนาดนั้น นึกว่าตัวเองอายุยี่สิบเหรอครับคุณมาร์ติเนซ"

เจบ่นพร้อมใช้ฝ่ามือแตะๆ ส่วนที่เจ็บของคนรักเบาๆ เมื่อดูท่าทางว่าน่าจะไม่ได้มีอะไรหนักหนาแล้ว เขาก็อดหัวเราะหึๆ ใส่คนที่อยากโชว์จนลืมแก่ไม่ได้ คนตัวโตค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่งขัดสมาธิเคียงข้างคนรัก

"ไม่เท่เลยฉัน อุตส่าห์จะโชว์เซ็กซี่ให้นายดูซะหน่อย กลายเป็นว่าต้องมาทำให้นายเห็นสภาพไม่น่าดูของฉันอีกแล้ว"

คนตัวโตบ่นกะปอดกะแปดพร้อมทำท่าไม่สบอารมณ์ หากเจนยุทธส่ายหัวและเอนกายซบร่างใหญ่กำยำอย่างเอาใจ

"ไม่เห็นไม่น่าดูเลยครับ ฆาบี้ คืนนี้คุณเท่จะตาย ผมงี้ใจเต้นตึกตักมาตั้งแต่ต้นโชว์แล้ว คุณน่ากอดชะมัดเลยรู้ไหม?"

เจหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่พลางใช้มือกอดเอวคนรักไว้

"เมียผมน่ารักที่สุดเลย รู้ตัวไหม?"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ แล้วป้อนจูบแผ่วๆ ส่งถึงริมฝีปากของคนที่พยายามเต็มที่เพื่อทำให้เขาประทับใจ ฆาเบียร์จูบตอบแผ่วๆ แล้วดันร่างคนรักออกจากอ้อมอก



"ฉันแสดงให้นายดูแล้ว ไหนล่ะ ค่าดูโชว์?"

คนตัวโตทวงเอารางวัลของเขาหน้าตาเฉย เจตีมือคนรับที่แอบมาป้วนเปี้ยนแถวๆ บั้นท้ายของเขาทันที

"ก็ที่เสียบอยู่ที่เอวนั่นยังไม่พออีกเหรอครับ"

เจชี้ไปที่ธนบัตรที่เขาเอาไปเสียบๆ ไว้ที่ขอบกางเกงในตัวจิ๋วของคนรักตอนที่คนตัวโตขึ้นมาเต้นบนตักให้เมื่อครู่ ฆาเบียร์ดึงออกมาดูแล้วก็ได้แต่โคลงหัว

"นายนี่ cheap มากเลยนะเจนยุทธ มีแต่แบงค์สิบถ้าเจอแต่คนขี้เหนียวแบบนาย พวกนักเต้นคงอดตายแน่"

ฆาเบียร์ดึงธนบัตร 10 ดอลลาร์ฮ่องกง 3 ใบที่ขอบกางเกงขึ้นมาดูแล้วหัวเราะหึๆ

"มูลค่ามันใบละตั้ง 40 บาทเลยนะคุณ ผมไม่เอาใบ 20 บาทไทยเสียบไว้ให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว"

เจนยุทธบ่นเบาๆ ตอนแรกเขาจะเอาธนบัตรใบละ 20 บาทไทยมาทิปคนรักของเขา แต่ก็ต้องชะงักเพราะรู้สึกเกรงใจคนบนแบงค์จึงได้เปลี่ยนเอาธนบัตรฮ่องกงมาเสียบแทน



"ที่สหรัฐฯ สาวๆ เขาใช้แบงค์หนึ่งดอลเองไม่ใช่เหรอ? ถูกกว่าสิบดอลฮ่องกงอีกนิ"

เจถามในสิ่งที่เขาเห็นในหนังเรื่อง Magic Mike

"ใช่จ้ะ สาวๆ เขาจะแลกแบงค์หนึ่งดอลลาร์ไว้เยอะๆ แต่เขาก็เสียบกันทีละเป็นฟ่อนนะ บางคนก็ make it rain เลย"

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เมื่อนึกย้อนไปถึงวันเวลาเก่าๆ ของเขาที่มีสาวๆ มือเติบหลายคนโปรยเงินเป็นฟ่อนเหมือนสายฝนลงบนเวทีตอนเขาเต้น

"ชิ คราวหน้าเต้นให้ผมดูอีกสิ แล้วผมจะเอาแบงค์เศรษฐีมาโปรยให้คุณมั่ง"

เจนยุทธหน้าคว่ำ ฆาเบียร์หัวเราะแล้วใช้ไหล่กระแทกคนรักเบาๆ

"ฉันล้อเล่นน่า สำหรับนายน่ะดูโชว์ฟรีตลอดชีวิต ถ้าอยากดูอีกเมื่อไหร่ก็บอกมา โอเคไหม?"

เจนยุทธยิ้มกว้างแล้วหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่

"คุณนี่น่ารักจริงๆ เลย ไว้ผมจะขอดูอีกนะครับ แต่คราวนี้ไม่ต้องเอาท่ายากมากแล้วนะ สงสารคนแก่"

"เฮ้ นายว่าใครแก่กันหา?"

เจหัวเราะคิกเมื่อคนรักทำท่าจะวิดพื้นโชว์

"พอๆๆ ไม่ต้องอวดแล้วครับ เดี๋ยวก็เจ็บตัวอีกรอบหรอก ไปอาบน้ำล้างเหงื่อออกได้แล้วจะได้เข้านอนกัน"

เจนยุทธลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ ประคองเมียตัวโตของเขาให้ลุกขึ้นตาม



"ไหวไหมครับ ที่รัก? ต้องหาหมอหรือเปล่า?"

เจนยุทธถามถึงอาการปวดเอวของคนรักอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นคนรักทำท่าเดินตัวเอียงๆ ฆาเบียร์ส่ายหัวแล้วบอกว่ามันเป็นเพียงการปวดแปลบขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น

"ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วจ้ะ ไม่ต้องถึงมือหมอหรอก"

คนตัวโตอดหน้าร้อนน้อยๆ ไม่ได้ ถ้าอาการมันถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลจริงๆ แล้วเขาคงไม่กล้าจะบอกหมอแน่ๆ ว่าสาเหตุของอาการปวดคืออะไร

"แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไรแน่?"

เจนยุทธขมวดคิ้วแล้วถามสำทับมาอีกครั้ง ฆาเบียร์ยืนยันคำเดิมแล้วยังทำท่าจะเต้นโชว์อีกจนเจต้องหวดเบาๆ เข้าที่ก้นเปล่าเปลือยของรัก จากนั้นดันหลังพ่อเจ้าประคุณเขาให้เข้าห้องน้ำไป



"เป็นอะไรไปจ๊ะ คนดีของฉัน?"

ฆาเบียร์ซึ่งเพิ่งออกจากห้องน้ำมาถามคนรักนั่งถอนหายใจเฮือกๆ อยู่บนเตียง

"ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่คิดอะไรฟุ้งซ่านไปแค่นั้น"

เจตอบเบาๆ พร้อมกับใช้มือลูบหน้าแรงๆ ฆาเบียร์ทรุดกายลงนั่งบนเตียงแบบจีนโบราณซึ่งเคยเป็นเตียงแต่งงานของพ่อแม่อาปาของเขา

"เล่าให้ฉันฟังได้ไหม ว่านายคิดมากเรื่องอะไร?"

เจนยุทธอ้ำอึ้ง เขานั่งคิดนั่นนี่เพลินไปตอนที่คนรักเข้าไปอาบน้ำ หากบางสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ

"ผมแค่สงสัยอะไรไปเรื่อยอ่ะ แต่ถ้าผมถาม คุณอย่าโกรธผมนะ..."

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วบอกให้เจถามเขามา



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ระบำโป๊ (ต่อ) ----




"คือ ตอนที่คุณแสดงเมื่อกี้อ่ะ ตอนที่มาเต้นนัวเนียกับผม มันคือการเต้นแบบ lap dance แบบส่วนตัวที่คุณเคยบอกว่าเคยเต้นสองสามครั้งตอนปาร์ตี้เกย์ใช่ไหม?..."

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ เขาพอจะเดาออกว่าเจไม่สบายใจเรื่องอะไร เจนยุทธอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วก็ถามต่อ

"แล้วตอนที่คุณไปเต้นส่วนตัวแบบนั้น คุณเต้นแบบ เอ่อ ถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้เลยเหรออ่ะ?"

เจถามอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก แม้ฆาเบียร์จะเป็นเพลย์บอย แล้วการทำเรื่องแบบนี้กับคนที่เขาหิ้วมานอนด้วยนั้นคงเป็นเรื่องธรรมดา แต่เขานึกไม่ออกเลยว่าคนตัวโตจะรู้สึกอย่างไรที่ต้องมาทำทีท่าโลมเล้าถึงเนื้อถึงตัวกับคนดูที่เป็นคนแปลกหน้าแบบนี้ หากฆาเบียร์ก็ส่ายหัวทันควัน

"ฉันไม่เคยเต้นถึงขนาดนี้กับใครหรอกเจ ตอนเต้น ฉันถอดมากสุดก็ถึงแค่กางเกงในที่เป็นแบบ trunk น่ะ ไม่ใช่ thongs แบบนี้  ส่วนท่าเต้นก็ไม่ได้เปลืองตัวอะไรขนาดนี้"

ฆาเบียร์อธิบายว่าเขาเคยทำท่าทางคล้ายๆ กับที่ทำกับเจก็จริง แต่จะไม่มีการสัมผัสส่วนสงวนของอีกฝ่ายและจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสตัวเช่นกัน เจนยุทธผงกหัวรับคำและมีสีหน้าที่ดีขึ้น คนตัวโตยิ้มน้อยๆ พลางสัพยอกคนรัก

"นายหึงฉันย้อนหลังรึไง หืมม์? ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันทำแบบนี้แค่กับนายคนเดียวนะ"

ฆาเบียร์ดันกายคนดูคนพิเศษของเขาลงกับเตียงแล้วป้อนจูบอันอ่อนโยนให้ เจจูบตอบแผ่วๆ เขาใช้นิ้วสางผมยาวสลวยสีน้ำตาลของคนรักเบาๆ คนตัวโตดูดดึงริมฝีปากของคนรักแรงขึ้นพร้อมกับส่งลิ้นเข้าไปพันพัวกับลิ้นนิ่มของเจนยุทธ เจครางเบาๆ ในลำคออย่างเคลิบเคลิ้ม เขาใช้มือแหวกชายเสื้อคลุมอาบน้ำของคนรักเข้าไปเกาะกุมส่วนสงวนของคนรักแล้วเริ่มนวดคลึงเบาๆ จนมันขยายตัวขึ้นจนเต็มที่

"อืมม์ มือเจอุ่นดีจริงๆ"

คนตัวโตครางเบาๆ อย่างเคลิบเคลิ้มเมื่อคนรักเริ่มใช้มือปรนนิบัติเขา เขาถอดเสื้อคลุมของตนออกแล้วจึงขยับมือไปกอบกุมส่วนแข็งขืนของคนรักไว้บ้าง เจซี้ดปากเบาๆ เมื่อมือใหญ่ขยับป้อนความเสียวซ่านให้กับเขา



"อ๊ะ เจ...ตรงนั้นแหละ"

ฆาเบียร์ผวากายเฮือกเมื่อนิ้วเรียวของคนรักกระทบเข้ากับจุดเสียวในช่องทางด้านหลัง เจนยุทธซึ่งนอนอิงหมอนอยู่ที่หัวเตียงยิ้มน้อยๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาส่งนิ้วเข้าไปให้ความเสียวกับเมียตัวโตของเขาซึ่งคร่อมร่างของเขาอยู่ในท่า 69 เขาซี้ดปากออกมาเบาๆ เมื่อคนรักใช้ลิ้นตวัดไล้แท่งลำของเขาเหมือนกำลังกินไอติมแสนอร่อย

"คุณครับ ช้าๆ ครับ จะแกล้งผมรึไง"

เจตบก้นแน่นๆ ของคนที่เร่งจังหวะเตรียมเผด็จศึกเขา หากคนตัวโตก็ไม่ยอมหยุดปาก เจขบกรามแน่นแล้วตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบของจากในถุงข้างเตียงมา

"เจ อ๊ะ อย่า..."

ฆาเบียร์ครางเสียงกระเส่าเมื่อรู้สึกถึงความเสียวซ่านอย่างสุดแสนจากช่องทางด้านหลัง เขาฟุบหน้าไปกับหน้าท้องของเจนยุทธ เจยิ้มกริ่มพร้อมกับส่งของเล่นสั่นได้ตัวน้อยที่มีรูปทรงขรุขระเข้าช่องทางของคนรักอย่างใจเย็น

"เจ ทำอะไร? อ๊ะ ดี ดีจ้ะ"

คนตัวโตร้องลั่นเมื่อเจดันกายเขาให้นอนหงายแล้วเข้ามานั่งอยู่กลางหว่างขา หากแทนที่เจจะส่งแก่นกายตนเข้าช่องทางของเขา เจกลับใช้ของเล่นตัวน้อยให้ความสุขเขาต่อ แต่ที่ทำให้ฆาเบียร์ร้องลั่นแล้วดิ้นพราดนั้นคืออุปกรณ์ช่วยตัวเองรูปทรงเหมือนแก้วทัมเบลอร์ที่เจให้เขาเลือกให้ คนตัวเล็กนำมันครอบลงที่แก่นกายของฆาเบียร์แล้วค่อยๆ ขยับช้าๆ



"ขยับเองไหมครับ ที่รัก?"

เจพูดยิ้มๆ พลางดึงมือฆาเบียร์มากุมที่ถ้วยนั้น ส่วนตัวเองกลับมาง่วนอยู่กับช่องทางของคนรัก

"เยี่ยมไปเลย เจ..."

ฆาเบียร์ซี้ดปากเพราะความเสียวซ่านที่ได้จากพื้นผิวขรุขระที่ด้านในของถ้วยหรรษานั้น เจหันไปดูคนรักที่เพลินกับของเล่นใหม่ เขาจิ๊ปากด้วยความเจ็บใจเมื่อเห็นว่าเจ้าถ้วยน้อยของเขานั้นไม่สามารถรองรับคนรักของตนได้อย่างเต็มที่

"คุณ เบาๆ หน่อยครับ เดี๋ยวทะลุ ชิ ไม่น่าให้ยืมเลย ยานหมด"

เจบ่นตัวเองเบาๆ ในตอนท้าย ฆาเบียร์อดหัวเราะคนรักของเขาไม่ได้ แต่ก็ต้องร้องลั่นออกมาอีกครั้งเมื่อคนรักก้มหน้าลงใช้ใช้ลิ้นหยอกเย้ากับปากช่องทางของเขา อีกทั้งยังตวัดไล้ไปจนถึงถุงเนื้อที่ห้อยย้อย

"เจ ฉันไม่ไหวแล้ว จะเสร็จ"

คนตัวโตครางกระเส่าอย่างน่าสงสาร เขาจิกมือลงกับผ้าปูที่นอนเมื่อความเสียวซ่านที่ได้จากทั้งสองทางมันมากเกินกว่าจะทนไหว ฆาเบียร์คำรามหนักๆ พร้อมกับเสยสะโพกส่งแก่นกายเข้าถ้วยให้ความสุขหนักๆ ก่อนที่จะปลดปล่อยออกมา



"ดีไหมครับ?"

เจกระซิบข้างหูคนรักที่นอนระทดระทวยหายใจหอบกระเส่าอยู่ ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ เขารู้สึกดีจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เจจูบริมฝีปากบางที่แดงก่ำเพราะเลือดฝาดหนักๆ เขาขึ้นคร่อมกายใหญ่กำยำของคนรัก ฆาเบียร์ชันเข่าขึ้นและอ้าขาออกเพื่อรอรับการรุกล้ำจากคนรักหากเจส่ายหน้าปฏิเสธ

"คืนนี้ผมขอแค่ข้างนอกพอครับ เดี๋ยวคุณทำให้ผมบ้างก็พอแล้ว"

"เอ๊ะ แต่ฉันนึกว่าเจอยากทำ..."

คนตัวโตใช้ศอกยันกายขึ้นเพื่อมองหน้าคนรัก เจจุ๊บแผ่วๆ ที่หน้าผากของคนรัก

"มันเลทไปแล้วครับ พรุ่งนี้คุณต้องตื่นเช้า แค่นี้ผมก็โอเคแล้ว..."

เจนยุทธยิ้มพราย

"อีกอย่าง เวลาแค่นี้ทำให้ผมหนำใจไม่ได้หรอกครับ ไว้รอคืนพรุ่งนี้ก่อนเถอะฆาบี้ รับรองผมจัดหนักจัดเต็มไม่ให้คุณได้นอนแน่ๆ"

ฆาเบียร์หน้าแดงซ่านเมื่อคนรักตบแรงๆ เข้าที่สะโพกของเขา เจจูบเมียตัวโตของเขาหนักๆ อีกครั้งก่อนที่จะเริ่มโลมเล้าเพื่อให้ความสุขกับฆาเบียร์อีกครั้ง



"คุณชายคะ คุณท่านให้มาเชิญลงไปรับประทานอาหารเช้าค่ะ"

ฆาเบียร์สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องพร้อมกับเสียงเรียกจากแม่บ้าน เขารีบลุกขึ้นแล้วบอกกลับไปเป็นภาษากวางตุ้งว่าเขาขอเวลาสักครู่แล้วจะลงไป เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อยกนาฬิกามาดูแล้วพบว่ามันล่วงเลยเข้าไปเป็นเวลาเกือบแปดโมงแล้ว เขาใช้มือลูบหน้าแรงๆ เพื่อกระตุ้นตัวเองให้ตื่น ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน

"อูย เมื่อยเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ"

คนตัวโตบ่นกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับค่อยเดินกระย่องกระแย่งเข้าห้องน้ำ แม้เมื่อคืนเจจะไม่ได้ร่วมรักกับเขาจนถึงที่สุด หากการที่เขาลืมวัยและพยายามเต้นเลียนแบบเมื่อสมัยตนยังเป็นหนุ่มรุ่นนั้นส่งผลต่อร่างกายเขาไม่ใช่น้อย

'ดีนะไอ้ตัวดีมันไม่อยู่ ไม่งั้นโดนแซวอีกแน่'

ฆาเบียร์คิดในใจ เจนยุทธตื่นก่อนเขาครู่ใหญ่แล้ว คนตัวเล็กปลุกเขาซึ่งนอนหมดสภาพมาบอกว่าเขาจะลงไปดูว่าเช้านี้มีอะไรกินและบอกให้เขาค่อยตามลงไปทีหลัง ฆาเบียร์ก็ได้แต่อือออรับคำไปด้วยความง่วงงุน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความบอกคนรักว่าเขาขอเวลาอาบน้ำเร็วๆ แล้วจะลงไป จากนั้นจึงเข้าห้องน้ำไปชำระล้างร่างกาย



"ไง ตื่นแล้วเหรอ? เห็นเจบอกว่าเมื่อคืนพวกเราอยู่คุยกันจนดึกดื่นเลยตื่นสาย..."

คริสซึ่งนั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหารเช้าซึ่งอยู่ติดกับห้องนั่งเล่นเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์และส่งยิ้มให้ลูกบุญธรรมของเขา ฆาเบียร์หน้าแดงระเรื่อเมื่อเห็นสายตายิ้มๆ ที่ส่งผ่านลอดแว่นสายตามา เขารู้ดีว่าอาปาคงไม่ได้คิดว่าพวกเขาทั้งคู่นั้น "นอนคุย" กันจนดึกดื่นเหมือนที่เจบอกจริงๆ

"ขอโทษครับที่ผมตื่นสาย เดี๋ยวอาปาลงไปที่ออฟฟิศนู้นก่อนได้เลยนะครับ ไม่ต้องรอผม"

ฆาเบียร์พูดอย่างเกรงใจ เขาบอกคริสว่าเดี๋ยวเขากับเจจะเรียกแท็กซี่ไปที่ตึกไอซีซีบนฝั่งเกาลูนเองโดยคริสไม่จำเป็นต้องรอเพื่อให้รถไปส่งพวกเขาต่อหลังจากส่งตนที่สำนักงานบนฝั่งฮ่องกงแล้ว

"ไม่เป็นไรๆ วันนี้อาปาก็ไม่ได้มีธุระอะไรช่วงเช้า เข้าไปสายๆ อีกหน่อยก็ได้ อีกอย่าง อาปาก็กำลังรอกินมื้อเช้ากับพวกเรานี่แหละ"

คริสพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ฆาเบียร์ขมวดคิ้วและมองดูบนโต๊ะ โดยปกติแล้วถ้าอาปาตามเขาลงมากินมื้อเช้า บนโต๊ะอาหารก็มักจะมีอาหารจัดเตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว ถ้าไม่มีขนมปังปิ้งหรือพวกคอร์นเฟลค มูสลี่และโยเกิร์ตพร้อมกับมีสาวใช้มารอรับออเดอร์อาหารจำพวกไข่แบบตะวันตก ก็อาจจะมีโจ๊กและปาท่องโก๋พร้อมเสิร์ฟอยู่แล้ว หากวันนี้บนโต๊ะมีเพียงผลไม้สดและน้ำผลไม้ที่สาวใช้รินใส่แก้วไว้ให้เขาแล้วเท่านั้น

"วันนี้มื้อเช้าเรามีเชฟคนพิเศษมาทำให้กิน แต่ต้องรอนิดหน่อย ถ้าหิวลูกก็กินผลไม้ไปก่อนนะ"

คริสยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นทีท่าสงสัยของลูกชาย ฆาเบียร์ยิ่งทำหน้าผากย่นด้วยความสงสัย

"แล้วเจหายไปไหนครับ อาปา? เอ๊ะ...หรือว่า?"

"มาแล้วครับ อาปา ขอโทษที่ให้รอนาน อ้าว คุณตื่นแล้วเหรอ?"

เสียงใสๆ ของเจนยุทธดังขึ้นขัดประโยคของฆาเบียร์ คนตัวโตหันหลังไปแล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนรักเดินนำขบวนเด็กในบ้านออกมาจากประตูที่นำไปสู่ครัวใหญ่ซึ่งอยู่แยกจากตัวบ้าน



"ไงจ๊ะ นี่ไปแย่งงานคนครัวเขารึไง?"

ฆาเบียร์เอนกายไปจุ๊บหน้าผากคนที่ลงนั่งข้างๆ เขาเบาๆ เจอุทานลั่นด้วยความเขินอาย เขาใช้นิตยสารบางๆ เล่มที่เขาหยิบติดมือมาจากแถวๆ โต๊ะกาแฟเพื่อมาพัดวีให้หายร้อนตีเบาๆ เข้าที่หน้าขาของคนที่ทำรุ่มร่ามโดยไม่สนใจว่าจะมีคนอื่นมองอยู่

"คุณนี่ อายเด็กๆ เขามั่ง"

คนตัวเล็กกระซิบเบาๆ พร้อมกับก้มหน้างุดไม่กล้าสบตากับบรรดาเด็กๆ ในบ้านที่ก็ต่างรักษามารยาทด้วยการเบือนหน้าหลบและไม่มองเวลาที่ลูกบุญธรรมของนายแสดงความรักกับเจ ฆาเบียร์หัวเราะน้อยๆ แล้วหยิบทิชชู่บนโต๊ะขึ้นซับเหงื่อที่เกาะพราวบนหน้าผากคนรัก

"เหงื่อโชกเชียว แล้วนี่นึกยังไงลงครัวเอง?"

"อาปาขอเจเขาเองน่ะว่าอยากจะลองชิมข้าวต้มแบบไทยที่เจเคยทำให้ลูกกินตอนที่ไปเชียงใหม่ครั้งแรก"

เจหันไปยิ้มหวานให้คริสซึ่งตอบแทนเขาเสียเสร็จสรรพ

"จริงๆ ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ทำเพราะผมว่าคนจีนเขาก็น่าจะกินข้าวต้มเหมือนกับคนไทย แต่อาปาบอกว่าข้าวต้มแบบบ้านผมนี้น่าจะได้อิทธิพลมาจากอาหารจีนแบบแต้จิ๋ว ถ้าเป็นคนฮ่องกงก็จะกินโจ๊กไปเลยมากกว่า อาปาเลยไม่ค่อยได้กินข้าวต้มแบบนี้เท่าไหร่"

เจนยุทธอธิบายให้คนรักของเขาฟัง ฆาเบียร์อุทานเบาๆ แล้วหันไปดูสำรับอาหารที่เจให้เด็กจัดวางไว้บนโต๊ะ มันประกอบด้วยข้าวต้มหม้อใหญ่และถ้วยมีฝาปิดหลายใบซึ่งน่าจะบรรจุเครื่องเคราของข้าวต้มพร้อมทั้งเครื่องปรุง



"ผมลองค้นๆ ดูว่าในครัวมีอะไรบ้างครับ ก็ได้หมูสับกับหมึกรวนกระเทียมพริกไทยมา แล้วก็ยังมีปลาเก๋าลวก ส่วนในถ้วยนี้คือกังป๋วยฝอยครับ แล้วผมก็ยังขอให้ในครัวเขาผัดผักกับเจียวไข่มาให้ด้วย เผื่อจะอยากกินแบบข้าวต้มกับกัน"

เจบอกคนรักแล้วจึงหันไปอธิบายให้คริสฟังถึงวิธีกินข้าวต้มเครื่องแบบบ้านของเขา

"ตักข้าวต้มใส่ถ้วยแล้วกินกับเครื่องแต่ละอย่างไปตามใจชอบ ปรุงกระเทียมเจียว พริกไทย ตังฉ่าย ถ้ารสอ่อนไปก็เติมน้ำปลา น้ำส้มสายชู แต่ผมว่าวันนี้น่าจะอร่อยแบบไม่ต้องปรุงแล้ว"

เจอธิบายพลางตักข้าวต้มใส่ถ้วยแบ่งให้ฆาเบียร์กับคริส

"ทีละหน่อยก่อนแล้วกันนะครับ จะได้กินหลายๆ แบบได้"

ฆาเบียร์รับถ้วยมาแล้วตักของโปรดของเขาอย่างหมูสับรวนกระเทียมพริกไทยใส่ลงในถ้วยอย่างคุ้นชิน เขาหันไปดูและช่วยจัดการปรุงรสข้าวต้มในถ้วยของอาปาของเขาจนเสร็จสรรพ



"อืมม์ อร่อยนี่ น้ำซุปกระดูกนี่หอมดี"

คริสชมเปาะ เจนยุทธยิ้มอายๆ

"ซุปนี่ต้องยกความดีความชอบให้ครัวของอาปาครับ ผมต้มเองไม่ทันหรอกเลยไปขอซุปที่เขามีอยู่แล้ว เชฟเขายังใส่กังป๋วยลงไปให้อีก ที่ผมช้อนขึ้นมาแล้วเอามายีเป็นฝอยนี่แหละครับ ถ้าผมทำกินเองที่คอนโด ถ้าไม่ใช้ซุปก้อนก็ใช้พวกซุปจากร้านอาหารที่เก็บๆ ไว้น่ะครับ"

เจบอกว่าถ้าเขาจะรู้สึกว่ามันขาดอะไรไป ก็คงเป็นรากผักชีที่ถือเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงรสหลักของอาหารไทย

"จริงๆ ผมไม่ชอบผักชีนะครับ แต่รากผักชีนี่ยกให้อย่างนึง อาหารหลายๆ อย่างของไทยมีเครื่องปรุงหลักเป็นรากผักชีโขลกกับกระเทียมแล้วก็พริกไทยครับ จริงๆ ไอ้เจ้าหมูรวนกับหมึกรวนกระเทียมพริกไทยนี่ ถ้าได้รากผักชีอีกสักนิดนี่แจ๋วเลย"

เจเล่าให้ชาวต่างชาติทั้งสองฟังว่าเครื่องปรุงที่ทำจากสมุนไพรสามชนิดโขลกรวมกันที่เรียกว่า "สามเกลอ" นี้เป็นส่วนผสมสำคัญที่ขาดไม่ได้ในอาหารไทยหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะอาหารประเภทต้มและผัดหรือยังใช้เป็นเครื่องหมักเนื้อสัตว์ก็ยังได้



"บ้านผมเวลาทำไก่ย่างหรือไก่ทอดก็หมักไก่กับไอ้เจ้าสามเกลอนี่ล่ะครับ มันเป็นเครื่องที่ให้กลิ่นหอมของอาหารไทย"

คนตัวโตร้องอ๋อ

"อาปาครับ จำตอนงานปีใหม่ที่บ้านเจได้ไหม ที่อาปาติดใจว่าไก่ย่างที่แม่เจทำนั้นหอมอร่อยและรสชาติแปลกกว่าที่เคยกิน ผมว่าก็คงใส่เจ้ารากผักชีนี่ด้วยแน่ๆ"

คริสตอบว่าเขาจำได้

"อ๋อ ถ้าไก่ย่างสูตรแม่ผมนี่ใส่สามเกลอแน่นอนครับ แล้วก็ปรุงด้วยกะทิ น้ำตาลปี๊บ พวกซอสปรุงรสแล้วก็ที่ขาดไม่ได้คือน้ำผึ้งครับ"

เจรีบเผยสูตรลับของแม่เขา เขาบอกว่าสิ่งสำคัญคือการทำรสชาติให้สมดุลและไม่ติดหวานจนเกินไป ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขายังเลียนแบบรสมือแม่ไม่ได้เสียที



"บางทีเวลาผมทำอะไรกินที่บ้าน ผมก็ใช้สามเกลอด้วยเหมือนกันนะฆาบี้ ไม่รู้คุณได้สังเกตหรือเปล่า..."

ฆาเบียร์ทำท่าครุ่นคิดแล้วส่ายหัวว่าเขาไม่ทันได้สังเกต

"ฉันไม่เคยเห็นนายโขลกอะไรก่อนทำอาหารเลยนะ..."

คนตัวโตแย้ง

"ไม่ต้องโขลกหรอกคุณ ผมมีเครื่องปรุงนี้เก็บไว้ในตู้เย็นอยู่แล้ว..."

เจบอกว่าเมื่อใดที่เขาไปบ้านแม่ เขาจะขอแม่โขลกเจ้าสามเกลอนี้ให้ จากนั้นเอาใส่ถุงซิปปิดให้สนิท เมื่อกลับถึงบ้านเขาก็จะนำมาแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนใหญ่จะเอาใส่กล่องพลาสติกอีกชั้นและเก็บไว้ในช่องฟรีซ ที่เหลืออีกส่วนน้อยจะเอาใส่ตู้เย็นช่องธรรมดาไว้ เขายังเล่าอีกว่าเขาเคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตว่าบางคนก็หมักสามเกลอนี้กับเนื้อหมูหรือหมูสับปรุงรสแล้วแช่ฟรีซไว้เพื่อใช้ในเวลาอยากทำอาหารเร็วๆ

"ผมว่ามันก็เวิร์คดี ว่าจะลองทำสักวัน จะว่าไปสามเกลอที่ห้องผมก็หมดไปสักพักแล้ว กลับบ้านไปคราวนี้ผมคงต้องขอแม่ทำมาเพิ่มให้อีก"

เจพูดแล้วตักข้าวต้มใส่เนื้อปลาเก๋าฝีมือตัวเองกิน เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อพบว่ามันรสชาติมันดีพอที่จะไม่ทำให้เขาเสียหน้าต่อหน้าอาปาของคนรัก เขายิ่งหน้าบานเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นทั้งฆาเบียร์และอาปาคริสกินข้าวต้มของเขาอย่างเอร็ดอร่อย



"พูดถึงเครื่องปรุงกลิ่นรสแบบพื้นฐานนี่ ผมเคยเห็นจากในช่อง food network ว่าอาหารฝรั่งเศสนั้นใช้ celery หอมใหญ่และแครอทหั่นเต๋าเป็นเครื่องปรุงกลิ่นแบบพื้นฐาน..."

เจนยุทธพูดถึง mirepoix ซึ่งก็คือผักให้กลิ่นรสสามอย่างดังกล่าวผัดกับน้ำมันหรือเนยด้วยไฟต่ำจนปล่อยกลิ่นรสอันเป็นพื้นฐานของอาหารฝรั่งเศสออกมา

"ถ้าในอาหารสเปนหรือละตินอเมริกาก็จะมีของที่เรียกว่า Sofrito จ้ะ เป็นเครื่องปรุงพื้นฐานแบบนี้เหมือนกัน โดยทั่วไปก็จะใช้กระเทียม หัวหอม พริกหวานและมะเขือเทศ เอาพวกนี้ไปสับละเอียดหรือปั่นใน food processor เวลาจะใช้ก็เอาไปผัดในน้ำมัน ใช้เป็นซอสพื้นฐานในการปรุงอาหารหลายๆ อย่าง พ่อฉันก็ทำเก็บไว้ทีละเยอะๆ เหมือนกัน"

ฆาเบียร์ยิ้มเมื่อนึกถึงซอสสูตรเด็ดที่พ่อของเขาทำใส่ขวดโหลแก้วแช่ตู้เย็นไว้

"สูตรของพ่อฉันจะเป็นแบบปูเอร์โตริโก มันจะใส่เครื่องปรุงเยอะกว่าแบบสเปน ก็ใส่พริก cubanelle ที่หน้าตาคล้ายๆ พริกหยวกไทยนั่นแหละ แล้วก็มีพริก aji dulce ไอ้เจ้านี่หายากหน่อย..."

ฆาเบียร์หยิบโทรศัพท์ของเขามาเปิดภาพพริกขนาดเล็กหน้าตาเหมือนหมวกหรือโคมจีนที่ถูกทุบจนแบนให้เจดู

"คล้ายพริกฮาบาเนโรเหมือนกันเนาะ"

ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับเมื่อเจพูดถึงพริกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารเม็กซิกันและเคยถูกเรียกว่าเป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก

"ใช่จ้ะ แต่ว่าไม่เผ็ดเท่านะ นอกจากนั้นอีกอย่างที่ใช้ก็คือ recao หรือ culantro ฉันว่าเจน่าจะเคยเห็นนะ"

คนตัวโตเปิดรูปสมุนไพรใบเขียวชนิดหนึ่งให้เจนยุทธดู เขาคิดว่าเจต้องรู้จักมันอย่างแน่นอน



"เฮ้ย นี่มันผักชีฝรั่งนี่คุณ"

เจอุทานออกมาเมื่อเห็นสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารไทยชนิดนี้

"ผมนึกว่ามันเป็นพืชของทางบ้านผมซะอีก"

เจนยุทธพูดด้วยความประหลาดใจ ส่วนคริสก็ชะโงกหน้ามาดูภาพสมุนไพรใบยาวเรียวจากหน้าจอมือถือของลูกชายอย่างสนใจ

"ตอนฉันเห็นมันครั้งแรกในร้านลาบที่เชียงใหม่ฉันก็งงเหมือนกันจ้ะ ฉันคิดว่ามีเฉพาะในทวีปอเมริกาเสียอีก"

เจส่ายหัว

"แถวบ้านผมใช้เยอะเลยครับ เป็นผักกับลาบด้วย แล้วก็ใช้เยอะในอาหารอีสาน หั่นเป็นฝอยเล็กๆ ใส่ในลาบงิ หรือสับหยาบๆ ใส่ในต้มแซ่บ บางทีก็หั่นฝอยใส่ในก๋วยเตี๋ยว พวกก๋วยเตี๋ยวยำน่ะครับ"

คนตัวเล็กอธิบาย เขาคิดว่านี่คงเป็นพืชอีกหนึ่งชนิดที่ติดเรือมาพร้อมกับการเดินทางล่าอาณานิคมของชาวตะวันตก



"สรุปว่าอาหารแต่ละชาติก็ต่างมีเครื่องแต่งกลิ่นของตัวเองเนาะ ถ้าถ้าเทียบกับอาหารจีนน่าจะเป็นขิง กระเทียมแล้วก็ต้นหอมใช่ไหมครับ?

เจหันไปถามคริส หากผู้เฒ่าทำหน้าจนปัญญา

"เจจ๊ะ อาปาไม่ถนัดทำอาหารจีน บอกเจไม่ได้หรอก"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ ฝีมือทำอาหารของคุณชายชาวฮ่องกงอย่างคริสดีกว่าคุณหนูชาวอาร์เจนไตน์อย่างแม่ของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เท่าที่เขาจำความได้ นอกจากสตูว์สไตล์ปูเอร์โตริกันที่คริสช่วยกันทำกับแม่ของเขาแล้ว อาปาของเขาทำได้แค่อาหารตะวันตกแบบง่ายๆ ที่ใช้เครื่องปรุงสำเร็จรูปอย่างพวกพาสต้า อาหารประเภทเนื้อสัตว์ย่างอย่างสเต๊กหรืออาหารที่ใช้เตาอบอย่างง่ายๆ เท่านั้น

"ก็พ่อเราทำอาหารเก่ง อาปาก็เลยไม่ต้องลงครัวเอง อาศัยฝากท้องกับที่บ้านเรานั่นแหละ"

คริสยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงวันเวลาอันแสนสุขที่พวกเขาทั้งสี่คนนั่งล้อมวงกินอาหารที่อันเดรสทำด้วยกัน หากฆาเบียร์นั้นกลับยิ้มเศร้าๆ เขาจำเวลานั้นได้ดี แต่วันเวลาแห่งความสุขนั้นไม่ยาวนานนัก เมื่อเขาเป็นวัยรุ่นและต้องทำกิจกรรมที่โรงเรียนจนค่ำ อีกทั้งหน้าที่การงานและกิจการที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นของพ่อและอาปาของเขา ทำให้อันเดรสลงครัวเองน้อยลงและพากันออกไปกินอาหารนอกบ้านหรือสั่งอาหารกลับมากินที่บ้านกันบ่อยขึ้น แม้จะยังได้นั่งกินข้าวร่วมกันเหมือนเดิม แต่มันก็ไม่เหมือนกับการได้กินอาหารฝีมือพ่อของเขา



"คุณครับ..."

เจนยุทธเรียกคนรักของเขาเบาๆ เมื่อสังเกตเห็นอาการเศร้าซึมนั้น

"ไม่มีอะไรจ้ะ ไหน ตักข้าวต้มให้ฉันอีกถ้วยซิ"

ฆาเบียร์หันไปยิ้มให้คนรักพร้อมลูบเข่าเจนยุทธเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้คิดมากอะไร เจลอบถอนหายใจ เขาหยิบถ้วยที่ว่างเปล่าของคนรักไปตักข้าวต้มที่ยังร้อนอยู่ใส่ให้ เขารับถ้วยของคริสที่ส่งมาให้และตักข้าวต้มเปล่าใส่ให้อีกช้อนหนึ่ง ผู้อาวุโสรับถ้วยกลับไป คราวนี้เขาตักปลาเก๋าและกังป๋วยใส่ในชามข้าวต้มและลองปรุงรสเองดู คริสตักชิมและชมเปาะอีกครั้ง

"ใส่ปลาแบบนี้ก็อร่อยดีนะ กินง่ายดี เออ ไว้เจสอนพ่อครัวที่นี่ทำอาหารไทยด้วยสิ เขาจะได้ทำให้อาปากับฆาเบียร์กินบ้าง จะได้หายคิดถึงลูกไง"

"โอ๊ย ผมไม่กล้าสอนหรอกครับ ฝีมือทำอาหารผมมันแค่ระดับกินเองเท่านั้น"

เจปฏิเสธลั่น หากทั้งคริสและฆาเบียร์ก็ยังคะยั้นคะยอให้หนุ่มไทยคนนี้ลองดูจนเจต้องตอบรับคำ

"ผมคงแค่จดสูตรของแม่เท่าที่จำได้ให้นะครับ แต่ถ้าอยากรู้อะไรลงลึกมากนี่ผมก็คงต้องขอกลับไปถามแม่ก่อน"

เจหันไปใช้หลังมือตีอกคนรักที่นั่งซดข้าวต้มอยู่เบาๆ



"ว่าแต่คุณเหอะ ไหนคราวที่แล้วไปเรียนทำอาหารจากแม่มาซะดิบดี เคยลองทำให้อาปาชิมแล้วหรือยัง"

คนตัวโตยิ้มเขินๆ แล้วบอกว่าเขายังไม่ได้มีโอกาสทำให้คริสชิม

"ทำกินเองฉันก็ยังไม่ทำเลย ฉันถึงอยากได้ห้องที่มีครัวด้วยไงจ๊ะ..."

ฆาเบียร์หลุดปากพูดเรื่องหาห้องพักใหม่ออกมาจนได้

"ลูกกำลังหาห้องพักใหม่อยู่เหรอ? ให้อาปาช่วยหาไหม?"

คริสถามทันที บริษัทที่ฮ่องกงของเขานั้นทำธุรกิจหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือด้านอสังหาริมทรัพย์ หากฆาเบียร์ลอบถอนหายใจเบาๆ เขารู้ดีว่าหากคริสยื่นมือเข้ามาช่วยแล้ว สุดท้ายเขาคงไม่ได้จ่ายเงินเองอยู่ดี

"ยังไม่เชิงหาใหม่ครับอาปา ผมแค่คิดๆ ว่าจะซื้อห้องเป็นของตัวเองแล้วก็เพื่อลงทุนด้วย แต่ก็ยังสองจิตสองใจอยู่เพราะว่าผมจะอยู่ที่นี่อีกแค่ไม่เกินสี่ห้าปี..."

เขาบอกคริสว่าราคาห้องที่สูงมากอย่างไม่สมเหตุผลของฮ่องกงทำให้เขาคิดหนัก



"ผมไม่อยากซื้อในนามบริษัทเพราะอยากได้เป็นของส่วนตัว แต่ก็ต้องเจอภาษีแพงอีก ผมก็เลยคิดว่าอาจจะไม่เอาแล้วครับ"

"ก็ใช้ชื่ออาปาซื้อก็ได้นี่ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ต่อให้โดนภาษี 15% เพราะไม่ใช่บ้านหลังแรกที่อาปาถือครอง แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่าย buyer's stamp duty อีกตั้ง 15%"

คริสพูดด้วยท่าทีสบายๆ หากฆาเบียร์ก็ยังขมวดคิ้วแน่น โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ยินข้อเสนอที่ออกมาจากปากพ่อบุญธรรม

"...หรือถ้าห้องที่อยากได้เกินงบ ก็ยืมเงินอาปาซื้อไปก่อนสิ"

"อาปาครับ เรื่องนี้ เอ่อ ผมขอจัดการด้วยตัวเองดีกว่า"

ฆาเบียร์พูดแทรกขึ้นมา หากเขาก็ต้องตกใจเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดที่หลุดออกจากปากตัวเองออกมา เขารีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้นทันที

"...ไม่ใช่อะไรครับ ผมเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ เหตุผลที่ผมอยากได้ห้องมันงี่เง่าครับ สุดท้ายแล้วผมก็อาจจะไปลงทุนซื้ออพาร์ทเมนท์ที่นิวยอร์คหรือลอนดอนแทนก็ได้ หรือซื้อที่กรุงเทพฯ ดีไหมจ๊ะ? เจคิดว่าไง?"

ฆาเบียร์หันไปยิ้มฝืดๆ ให้เจ เจนยุทธรีบตอบรับมาทันที

"ผมก็ว่าแบบนั้นอาจจะดีกว่าครับคุณ ห้องที่ฮ่องกงมันแพงไปจริงๆ ว่าแต่เราคุยเรื่องนี้กันทีหลังดีกว่านะครับ เพราะดูท่าว่าต้องคุยกันอีกยาว..."

เจรีบตัดบทเพราะสังเกตแววตาของคนรักที่ส่งมาขอความช่วยเหลือจากเขาออก เขาตักข้าวต้มที่เหลือไม่มากแบ่งใส่ถ้วยทั้งสามใบและส่งให้ทั้งสองคน

"ตอนนี้เรารีบกินข้าวต้มนี่ให้หมดก่อนที่มันจะเย็นชืดดีกว่านะครับ"

เจนยุทธหันไปยิ้มหวานให้พ่อบุญธรรมของคนรัก

"ได้ๆ ของอร่อยแบบนี้ก็ต้องรีบกิน"

คริสยิ้มน้อยๆ แล้วรับข้าวต้มที่ยังอุ่นอยู่ถ้วยนั้นมา เขาพอจะเขาใจความอึดอัดของฆาเบียร์ดีว่าเจ้าตัวอาจจะไม่อยากพึ่งพาเขาโดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนรัก คริสจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเว้นแต่เจ้าตัวจะขอให้เขาช่วยจริงๆ เขาแอบชำเลืองมองเด็กๆ ของเขาทั้งสองแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ จากบทสนทนาเมื่อครู่ทำให้เขาเห็นได้ว่าคนทั้งสองนั้นรู้ใจกันแค่ไหน

                                                                                                 

"นี่อาปาไม่ได้กินข้าวกับเจมานานเท่าไหร่แล้วนะ?"

คริสถามคนรักของลูกชาย

"เอ น่าจะตั้งแต่ปลายเดือนมกรา ช่วงที่ผมมางานแต่งของทิฟฟานี่หรือเปล่าครับ?"

เจนยุทธพูดถึงงานแต่งของหนึ่งสาวในทีมเลขาและประชาสัมพันธ์ของฆาเบียร์กับลูกชายของวิคเตอร์ ลี ผู้เป็นทั้งเพื่อนและ CEO ของบริษัทของคริส

"ก็หลายเดือนแล้วสินะ นี่สงสัยอาปาคงต้องมาแถวเอเชียบ่อยขึ้นกว่านี้แล้ว จะได้แวะมาเจอเราบ่อยๆ ดีไหม?"

คริสพูดยิ้มๆ พลางยกกาแฟที่เควิน บัทเลอร์ประจำตัวของเขายกมาเสิร์ฟ

"เดินทางบ่อยๆ อาปาเหนื่อยแย่ ไม่เป็นไรก็ได้ครับ ทุกวันนี้ผมได้คุยกับอาปาทางวีดีโอคอลก็เหมือนได้เจอตัวจริงอยู่แล้ว"

เจนยุทธพูดอย่างเกรงใจ แม้เขาจะอยากเจอผู้อาวุโสร่างเล็กที่ทำให้เขาอดคิดถึงพ่อของตนคนนี้ไม่ได้แค่ไหน แต่เขาก็เข้าใจถึงข้อจำกัดดี

"ได้เจอพวกลูกอาปาก็หายเหนื่อยแล้ว อยู่ที่บ้านนู้นกินข้าวคนเดียวมันก็เหงาอยู่เหมือนกันนะ เมื่อก่อนตอนฆาบี้เขาอยู่ด้วย ถึงจะมีช่วงที่งานยุ่ง ไม่ได้เจอกันทุกวันบ้าง แต่อย่างน้อยสัปดาห์นึงเราก็ต้องกินข้าวด้วยกันสองสามครั้ง..."

คริสถอนหายใจเบาๆ ถึงแม้เขาจะมีเพื่อนฝูงที่ไปสังสรรค์กันอยู่บ้าง หรือออกไปตามงานสังคมบ้าง แต่มันก็ยังไม่เหมือนกับการที่ได้นั่งกินข้าวกับคนในครอบครัว ฆาเบียร์เองก็สะท้อนใจวูบเมื่อได้ยินคำพูดของอาปาของเขา แม้เขาจะอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งเด็กส่วนใหญ่มักออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 18 ปี และใช้ชีวิตเป็นเอกเทศจากพ่อแม่ หากการที่เติบโตมาในครอบครัวละตินอเมริกาที่มีความใกล้ชิดกันกว่า อีกทั้งยังมีพ่อบุญธรรมชาวเอเชียแบบคริสทำให้เขารู้สึกผูกพันลึกซึ้งกับครอบครัวมาก ยิ่งหลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน คริสจึงเป็นสมาชิกในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา หากช่วงหลังด้วยหน้าที่การงานที่หนักขึ้นทำให้เขาต้องหาทางระบายความเครียดด้วยการออกเที่ยวเสเพล มันทำให้เขาอาจจะลืมและละเลยอาปาคนนี้ของเขาไป



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ระบำโป๊ (ต่อ) ----




"ผมขอโทษจริงๆ ครับอาปา..."

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือน้อยๆ

"เฮ้ๆ ไม่เป็นไรๆ อาปาไม่ได้จะว่าอะไรเรา อาปาเข้าใจดีว่าเรางานยุ่ง..."

คริสรีบยกมือแตะหลังมือของลูกชายบุญธรรม เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดอะไรให้กระทบใจฆาเบียร์

"อาปาแค่อยากจะบอกเจเขาว่าการที่ได้กินข้าวกับลูกทั้งสองคนมันทำให้อาปามีความสุขมาก ช่วงที่แล้วว่ากินข้าวกับเราคนเดียวมีความสุขแล้ว นี่นานๆ ทีมีเจมาร่วมวงด้วยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ลูกคิดเหมือนกันกับอาปาไหม?"

คริสยิ้มกว้างให้ลูกชายของเพื่อนรักซึ่งเปรียบเหมือนลูกของเขาเอง ฆาเบียร์ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ารับคำ เจหันไปมองคนนั้นทีคนนี้ทีแล้วก็ต้องยิ้มออกมาด้วย

"แล้วนี่ต่อไปในอนาคตถ้าอาปาได้ร่วมโต๊ะกับเราสองคนทุกวันก็คงจะยิ่งดีกว่านี้อีกนะ อาปาคงจะมีความสุขมากๆ เลยนะ เราว่าไงล่ะ เจ มันมีทางจะเป็นไปได้ไหม?"

คริสพูดกับเจนยุทธแล้วแอบหันไปขยิบตาให้กับลูกชาย เจหน้าแดงก่ำ เขาเข้าใจความหมายของคริสดี

"ผม เอ่อ ผมก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันครับ แต่ก็ เอ่อ..."

เจนยุทธอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบ

"โธ่ อาปา อย่าแกล้งเจสิครับ หน้าแดงหมดแล้ว"

ฆาเบียร์รีบตัดบท เขายกมือขึ้นดึงแก้มแดงๆ ของคนที่นั่งบิดไปบิดมาอยู่ข้างๆ เจหันมาแว๊ดเบาๆ ใส่คนรัก คริสหัวเราะเบาๆ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุย คนตัวโตลอบถอนหายใจเบาๆ เขาเข้าใจและขอบคุณในเจตนาดีของคริส หากเขารู้ดีว่าเจนยุทธยังคงไม่พร้อมที่จะให้คำตอบเรื่องความสัมพันธ์ในอนาคตได้ในตอนนี้ ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะได้ยินคำตอบที่อาจจะออกไปในเชิงปฏิเสธจากปากของคนรักจึงต้องชิงเปลี่ยนเรื่องเสีย



"นี่เรายังไม่ได้คุยกับเจเรื่องนั้นอีกเหรอ?"

คริสใช้โอกาสที่เจขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวถามลูกชายในสิ่งที่เขาสงสัย

"เรื่องนั้นนี่เรื่องไหนครับอาปา?"

ฆาเบียร์เงยหน้าจากแท็บเล็ตที่เขากำลังอ่านเมล์อยู่แล้วถามอาปาของเขากลับ คริสโคลงหัวน้อยๆ

"เรื่องนั้นไง ฆาบี้ เรื่องที่เราอยากจะขอเจ..."

อาปาของฆาเบียร์หยุดคำพูดของเขาไว้แค่นั้นเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของลูกชาย ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ พลางส่ายหน้า

"ยังครับ ผม เฮ้อ..."

คนตัวโตถอนหายใจอีกครั้ง

"อาปานึกว่าพวกเราใจตรงกันและพร้อมที่จะใช้ชีวิตด้วยกันแล้วเสียอีก"

คริสหน้าเสียเมื่อเห็นท่าทางไม่มั่นใจของลูกชายบุญธรรม



"ผมรักเจครับและผมก็รู้ว่าเจเขาก็รักผมมาก ตัวผมน่ะพร้อมยิ่งกว่าพร้อมที่จะใช้ชีวิตกับเขาไปตลอดชีวิต แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าตัวเจเขาจะพร้อมที่จะมาใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายด้วยกันในเร็ววันนี้..."

ผู้อาวุโสกว่าถอนหายใจเบาๆ เขาเข้าใจในความรู้สึกหนักใจของลูกชายแล้ว สำหรับฆาเบียร์ซึ่งเปิดตัวเป็นเกย์มากว่ายี่สิบปีแล้วนั้น การคบหากับผู้ชายด้วยกันก็เหมือนกับการที่หญิงชายคบหากัน เมื่อเจอคนที่ถูกใจเขาก็พร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างเปิดเผยฉันท์ครอบครัว หากเจนยุทธซึ่งไม่เคยคบหาผู้ชายด้วยกันมาก่อน การที่จู่ๆ จะให้มาคิดใช้ชีวิตกับผู้ชายสักคนไปตลอดชีวิตนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาทบทวน

"ผมเองก็อาจจะยังแสดงให้เขาเห็นได้ไม่ชัดเจนพอว่าพร้อมที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอด อีกอย่าง ถ้านับเวลาจริงๆ เราเพิ่งคบหากันได้ไม่กี่เดือน แถมยังเป็นการคบกันทางไกลเสียส่วนใหญ่ด้วย..."

ฆาเบียร์คิดทบทวน แม้จะรู้จักกันครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมของปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็นเวลาประมาณหนึ่งปีแล้วและพวกเขาก็ได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันมาโดยตลอด แต่พวกเขามาบอกรักกันจริงจังและคบกันเป็นแฟนในเดือนพฤศจิกายน สำหรับเจแล้วมันคงยังเป็นเวลาที่สั้นเกินไปที่จะยกระดับความสัมพันธ์ของพวกเขาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

"ตัวผมน่ะมั่นใจแล้วครับว่าผมจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปรักใครอีกแล้วในชีวิตนี้ แต่ถ้าเจยังไม่พร้อม ผมก็จะรอไปเรื่อยๆ จนกว่าวันที่เขาจะมั่นใจในตัวผมครับ"

 คนตัวโตพูดอย่างหนักแน่น คริสพยักหน้าน้อยๆ

"อืมม์ อาปาเข้าใจลูกทั้งสองคนนะ เอาเป็นว่าไม่ว่าลูกจะทำอะไร อาปาก็พร้อมที่จะสนับสนุนทุกอย่าง แต่อาปาก็แก่ตัวขึ้นทุกวันๆ ความฝันเดียวของอาปาที่มีในตอนนี้ก็คืออยากเห็นเราเป็นฝั่งเป็นฝาและมีคนมาคอยช่วยดูแลแทนอาปา..."

คริสยกมือขึ้นกุมมือคนที่เขารักเหมือนลูกในไส้ ฆาเบียร์อดน้ำตาคลอไม่ได้ เขาบีบมือของพ่อบุญธรรมแน่น เขากลืนคำมั่นที่กำลังจะพูดออกไปเมื่อได้ยินเสียงเจนยุทธลงบันไดมา คริสปล่อยมือลูกชายแล้วผงกหัวให้น้อยๆ เขาเองก็เข้าใจในสิ่งที่ฆาเบียร์ต้องการจะพูดออกมา



"ไงจ๊ะ หอมฟุ้งไปทั้งตัวเลย แล้วทำไมวันนี้แต่งตัวซะเรียบร้อยเลยล่ะ?"

คนตัวโตหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่ วันนี้เจหยิบน้ำหอมทอม ฟอร์ด กลิ่น Tobacco Vanille ของเขามาใส่เสียเอง แถมเจ้าตัวดีของเขายังแต่งตัวเสียเรียบร้อย หากยังเป็นแบบ business casual คือไม่ได้เป็นทางการจ๋าแต่ก็ไม่ได้ลำลองเหมือนวันปกติ

"ก็เดี๋ยวผมจะเข้าไปนั่งคุยงานกับพวกที่ออฟฟิศคุณด้วย ก็ต้องแต่งตัวหน่อย มันเวอร์เกินไป หรือว่าน้อยเกินไปเหรอครับ?"

เจก้มลงมองตัวเอง เขาใส่กางเกงชิโน่สีกากีทรงเข้ารูปกับเสื้อเชิร์ตสีฟ้าเบบี้บลู จากนั้นสวมเบลเซอร์สีกรมท่าที่ฆาเบียร์ซื้อไว้ให้ทับเสื้อเชิร์ตโดยที่ไม่ใส่เน็คไท ส่วนรองเท้าเขาเลือกรองเท้าโลฟเฟอร์หนังสีน้ำตาลเรียบๆ มาใส่ โดยส่วนตัวเขาแล้วมันออกจะเป็นเสื้อผ้าที่เยอะเกินไปนิดสำหรับคนที่ปกติทำงานอยู่บ้านสบายๆ อย่างเขา หากถ้าเขาต้องการจะขึ้นมายืนเคียงคู่กับคนรักได้อย่างสมภาคภูมิ เขาก็ต้องเรียนรู้เรื่องราวพวกนี้ไว้



"อาปาว่าดูโอเคแล้วนะ ไม่ขาดไปเกินไปหรอก จริงๆ ออฟฟิศของฆาบี้เขาก็ทำด้านเว็บไซต์อะไรพวกนี้ ถ้าลูกไม่ต้องออกไปพบปะลูกค้าหรือเจรจาธุรกิจกับบริษัทอื่นก็ไม่ต้องแต่งตัวแบบมีพิธีรีตรองอะไรมากหรอก จริงๆ แค่ยีนส์กับเชิร์ตก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ส่วนรายนั้นจริงๆ ก็ไม่ต้องแต่งตัวขนาดนั้นก็ได้ แต่เขาติดนิสัยอาปามาน่ะ"

คริสพูดยิ้มๆ พร้อมโบ้ยปากไปที่คนที่เดินไปหยิบเสื้อนอกและเสื้อกั๊กที่เข้าชุดกับกางเกงมาใส่หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ตัวคริสเองนั้นก็ติดการแต่งตัวเนี้ยบเป็นทางการมาจากพ่อของเขาเช่นกัน

"ให้ผมใส่อย่างฆาบี้ก็คงไม่ไหวครับ ร้อนตายเลย"

เจแอบบ่นเบาๆ ชุดกึ่งลำลองแบบของเขา ถ้ารู้สึกร้อนยังสามารถถอดเสื้อตัวนอกออกเหลือแต่เชิร์ตกับกางเกงชิโน่ได้ หากใส่สูทหรูเต็มยศแล้ว พอถอดออกเหลือแค่เชิร์ต เน็คไทและกางเกงแล้วมันออกจะดูไม่สุภาพหรือแปลกๆ ไปบ้าง

"ฉันใส่จนชินแล้ว ไม่ร้อนเท่าไหร่หรอก ว่าแต่เจพร้อมหรือยัง เมลิน่าส่งข้อความมาเร่งให้ฉันเข้าออฟฟิศแล้ว"

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ เมื่อพูดถึงแม่เลขาฯ ตัวยุ่งของเขา เจพยักหน้าบอกว่าเขาพร้อมแล้ว คริสเองก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พวกเขาทั้งสามพากันเดินออกจากห้องพักผ่อนไปยังรถที่จอดรออยู่



----------------------------------------

เหนื่อยกับการพยายามถ่ายทอดภาพในหัวออกมาเป็นคำพูดของตอนนี้มากเลยค่ะ ไม่รู้จะเขียนฉากเต้นออกมายังไงให้ดูเซะซี่ แต่ดูๆ แล้วน่าจะมาโชว์ตลกคาเฟ่มากกว่าเนาะ

เพลงที่ใช้ในตอนแรกจะเป็นเพลงนี้ค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=PZOzPQn7H6U


ส่วนเพลงนี้คือ Torero ของ Chayanne

https://www.youtube.com/watch?v=GuZzuQvv7uc


พอพูดถึงการแสดงที่ดูสมกับเป็นมาทาดอร์หรือดูอหังการแบบสเปน ก็นึกถึงการเต้นของคณะนี้ แต่ Los Vivancos นี้ไม่ใช่นักเต้นเปลื้องผ้านะคะ เป็นคณะเต้นฟลาเมงโก้ที่ดูฮ้อตมาก ภาพในหัวของฆาเบียร์ตอนเต้นก็ประมาณนี้ แต่ไม่ได้ออกท่าเท้าแบบฟลาเมงโก้หรือเต้นพลิ้วได้ขนาดนี้

https://www.youtube.com/watch?v=wUSekf4NgTg



มาถึงเรื่องสามเกลอกันต่อ ก็มาแจกสูตรสามเกลอง่ายๆ จากบังก้อง SchwedaKong นะคะ

http://bit.ly/2UI5V1M


ไก่อบน้ำผึ้งจากเพจครัวบ้านพิม http://bit.ly/2GqJe9B




ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
จะลำบากก็คงเป็นที่เจติดบ้าน ติดแม่ ติดครอบครัวแหละ

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- One Fine Day ----




"นี่ยังไม่เสร็จอีกเหรอจ๊ะ? บ่ายโมงกว่าแล้วนะ"

เจนยุทธซึ่งง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบกระซิบข้างหูพร้อมกับมีริมฝีปากอุ่นๆ จูบเข้าที่ข้างแก้ม เขาหันไปหัวเราะแหะๆ ให้กับคนตัวโตซึ่งมายืนแอบมองเขาทำงานอยู่ครู่ใหญ่แล้ว

“ยังอ่ะครับ ผมทำนั่นนี่เพลินไปหน่อย..."

เจเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้คนที่ย่องมาขโมยจูบเขาเงียบๆ

"เพลินขนาดลืมกินข้าวกินปลาเลยเนี่ยนะ? "

คนตัวโตโบกมือบอกพนักงานสาวของเขาสองคนที่นั่งอยู่ในห้องด้วยให้ออกไปก่อน จากนั้นทรุดกายลงนั่งข้างคนรักในห้องประชุมเล็กของแผนกเลขาฯ และงานประชาสัมพันธ์ เจดันคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คของเขาส่งให้ฆาเบียร์ดู

"ผมให้พวกสาวๆ เขาสอนและลงโปรแกรมที่ต้องใช้ในการจัดการข้อมูลให้ครับ อย่างพวกรูป พวกคลิป โปรแกรมตัดต่ออะไรพวกนี้"

"ที่จริงนายไม่เห็นต้องเหนื่อยทำเองเลย แค่ส่งพวกคลิปที่ถ่ายๆ ไว้กับรูปมาให้คนที่นี่ทำให้ก็ได้ เรามีคนที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว"

ฆาเบียร์พูดพลางกดเปิดดูคลิปที่เจลองตัดต่อเองโดยใช้โปรแกรมใหม่ซึ่งคนที่ทำงานด้านการจัดการบล็อกและเพจเฟซบุ๊คของเขาจัดการลงให้

"ไม่ได้เหนื่อยอะไรหรอกครับ ผมรู้ว่าที่นี่งานยุ่ง อะไรที่ทำได้ผมก็จะทำเอง อีกอย่าง ที่ผมทำนี่แค่เป็นดราฟท์แรกครับ คือจะส่งให้ทางนี้ดูว่าผมอยากให้คลิปมันออกมาเป็นประมาณนี้ ถ้าทางนี้อยากปรับปรุงอะไรก็ปรับได้เลย"

"อ๋อ จ้ะ ฉันเข้าใจละ"

ฆาเบียร์รับคำแล้วหันกลับไปดูคลิปในคอมต่อ เขาอดยิ้มไม่ได้ที่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างของเจที่ยืนอยู่หน้าป้ายร้านห่านย่างคิวยาวเมื่อค่ำวาน คนตัวเล็กถ่ายคลิปสั้นๆ ทั้งตอนที่ยืนรอคิวและตอนที่เริ่มลงอาหารไว้ เขานำมันมาตัดต่อเข้าด้วยกันพร้อมกับภาพนิ่งของอาหารและผู้ร่วมโต๊ะ เขาใส่ลูกเล่นอย่างเอฟเฟคท์ต่างๆ เสียงประกอบกับตัวหนังสือบรรยาย และที่ขาดไม่ได้คือเสียงใสๆ ของเจ้าตัวที่บรรยายถึงรสชาติอาหารและความรู้สึกของเขาต่อร้านนี้



"...และที่อาหารมื้อนี้อร่อยได้มากขึ้นก็เพราะผมมีผู้ร่วมโต๊ะสุดพิเศษคนนี้ครับ"



เจนยุทธจบคลิปของเขาด้วยการแพนกล้องไปจับที่ใบหน้าของฆาเบียร์ซึ่งหันกลับมายิ้มละไมให้คนรักของเขา คนตัวโตซึ่งนั่งดูคลิปนั้นอยู่ยิ้มกว้าง ประโยคติดปากของแม่เขาซึ่งเขาเคยใช้พูดกับเจในครั้งแรกที่คนตัวเล็กทำอาหารให้เขากินนั้นถูกเจ้าตัวดัดแปลงมาใช้เป็นประโยคปิดคลิปของเขาได้อย่างกลมกลืน เจนยุทธพูดมันทุกครั้งที่มีผู้ร่วมโต๊ะอาหารปรากฏอยู่ในคลิปด้วยจนเหมือนจะกลายเป็นซิกเนเจอร์ของเขาไปแล้ว

"เป็นไงครับ ใช้ได้ไหม? "

เจถามอย่างกระตือรือร้น คนตัวโตพยักหน้า

"ดีมากแล้วจ้ะ ฉันว่านายเอาลงได้เลย ไม่ต้องรอทีมตอบรับหรอก"

"โอ๊ย ยังไม่ได้หรอกครับ ยังขาดนั่นนี่อีกหน่อย ไว้ผมส่งให้เมลิน่าไว้ก่อนแล้วกัน"

เจนยุทธพูดพลางดึงคอมของตัวกลับมา เขาเซฟงานของเขาไว้ในแฟลชไดรฟ์และพร้อมกับส่งเมล์แนบก๊อปปี้ไปให้ให้เมลิน่าไว้อีกชุด

"ปลอดภัยไว้ก่อนครับ"

ในฐานะอดีตเด็กคอม เขารู้ดีว่าควรทำสำเนางานไว้มากชุดเพื่อความอุ่นใจ

"ส่งให้ฉันด้วยสิ"

คนตัวโตถามขอหน้าตาเฉย เจโคลงหัวน้อยๆ แล้วจัดการส่งต่อเมล์นั้นให้คนรัก ฆาเบียร์หยิบมือถือของเขาขึ้นมาเปิดเมล์แล้วนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูคนในจอที่ส่งยิ้มหวานคืนมาให้เขา เจนยุทธหน้าแดงซ่านเมื่อเห็นท่าทางของคนรัก



"พอครับ พอ เอาไปดูไกลๆ ผมเลย"

เจผลักไหล่คนรักเบาๆ ด้วยความเขินอาย ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วกดปิดหน้าจอมือถือ

"นั่นสินะ ฉันมีตัวจริงอยู่ตรงนี้แล้วนี่นา"

คนตัวโตโอบไหล่เจนยุทธแล้วรั้งเข้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่ เจอุทานลั่นแล้วพยายามดิ้นให้พ้นจากอ้อมกอดของพ่อคนที่ชอบแสดงความรักไม่ดูที่ทาง

"คุณอ่ะ ทำอะไรประเจิดประเจ้อ"

เจบ่นเบาๆ พร้อมหันไปดูรอบข้างของห้องประชุมเล็กที่มีกระจกใสแจ๋วห้องนี้ เขาอดหน้าร้อนผ่าวไม่ได้เมื่อเห็นเหล่าพนักงานที่นั่งอยู่ด้านนอกห้อง แม้ทุกรายจะมีมารยาทพอที่จะเบือนหน้าหนีจากเลิฟซีนของเขาทั้งสอง แต่เขาก็ยังทันเห็นรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าเหล่านั้น

"จ้ะๆ ฉันไม่แกล้งนายแล้วก็ได้ เอ้อ แล้วว่าไง จะกินมื้อเที่ยงไหม? แล้วอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า? "

เจครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า

"ผมยังไม่ค่อยหิวครับ เมื่อเช้าผมกินข้าวต้มไปซะเยอะเลย..."

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ ข้าวต้มหม้อใหญ่ในตอนเช้าถูกเขาจัดการเองไปเกือบครึ่งหนึ่ง

"...อีกอย่าง เย็นวันนี้อาปาจะให้เชฟเฉินทำอาหารให้กินด้วยใช่ไหมครับ? ผมว่าจะล้างท้องรอซักหน่อย"

เจพูดยิ้มๆ ในหัวเขานึกถึงอาหารแสนอร่อยของเชฟชาวฮ่องกงที่เขาเคยได้ลิ้มรส

"อ๋อ มิน่าล่ะ งั้นเดี๋ยวฉันให้เมลิน่าสั่งพวกแซนวิชเบาๆ มาให้แล้วกัน หรือว่านายจะขึ้นไปกินบนคลับเลาจ์ของโรงแรม? "

"อืมม์ ผมขี้เกียจขึ้นๆ ลงๆ เอาแซนวิชก็ได้ครับ..."

เจนยุทธหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มเขินๆ

"...แต่ขอผมซักสองที่นะ ผมกลัวไม่อยู่ท้อง"

"ฮ่าๆ นายนี่มันอดไม่ได้จริงๆ นะ โอเคจ้ะ สองก็สอง"

สิ่งที่เจพูดต่อทำให้ฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ถึงเจ้าตัวดีของเขาจะบอกว่าไม่หิวแต่เจนยุทธก็อดกินจุไม่ได้อยู่ดี



"งั้นเดี๋ยวเจทำงานต่อไปเถอะ ถ้าแซนวิชมาแล้วฉันจะให้เด็กมาตาม ถ้าทำงานเสร็จแล้วจะไปนั่งๆ นอนๆ ในห้องฉันก็ได้ หรือถ้าจะขึ้นไปนอนเล่นที่ห้องก็ไลน์บอกฉันหน่อย"

"อ้าว แล้วคุณจะไม่อยู่กินกับผมเหรอครับ? "

เจถามอย่างสงสัย ฆาเบียร์ส่ายหน้า

"บ่ายนี้ฉันมีงานนิดหน่อยน่ะ ต้องออกไปประชุมนอกสถานที่ คงกลับมาก่อนห้าหกโมง"

"อ๋อ ครับ ไม่เป็นไร ผมอยู่ที่นี่เองได้ ไม่ต้องห่วง คุณไปทำงานเถอะ..."

เจยิ้มกว้างให้คนรักงานยุ่งของเขา

"...เดี๋ยวผมกินอะไรเสร็จก็จะมานั่งให้คนแถวนี้สอนนั่นนี่อีก"

"มาให้สอนจริงๆ นะ อย่ามัวแต่เม้าฉันกัน"

ฆาเบียร์พูดดักคอ

"เฮ้ย ม้งเม้าอะไร ไม่มี๊ ทำงานจริงๆ คุณ"

คนตัวโตอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินเจนยุทธปฏิเสธเสียงสูงปรี๊ด เขารู้ดีว่าพวกเด็กๆ ในทีมประชาสัมพันธ์ของเขาคงไม่พลาดโอกาสในการ "แลกเปลี่ยนข้อมูล" เรื่องเขากับเจ้าตัวแสบแน่ๆ

"จ้ะๆ ฉันเชื่อ อ๊ะ ฉันต้องไปแล้ว ไว้เย็นๆ มารับนะ"

ฆาเบียร์หันไปพยักหน้าให้กับเมลิน่าที่มาเคาะกระจกเรียกเขาแล้วรีบโบกมือลาคนรัก เขาเดินออกนอกประตูห้องประชุมเล็กไปได้สองสามก้าวแล้วก็ต้องชะงัก แล้วเดินกลับเข้ามาในห้อง

"ลืมไปซะสนิทเลย"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ แล้วจุ๊บริมฝีปากรูปกระจับของคนรักเบาๆ

"เจอกันตอนเย็นจ้ะ"

เจนยุทธหน้าแดงแปร๊ดเมื่อถูกจูบลาท่ามกลางสายตาที่แอบมองมาของเหล่าพนักงาน เขารีบโบกมือไล่คนที่ยืนยิ้มพรายอยู่เบื้องหน้า ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มพร้อมกับส่งจูบให้คนรักอีกครั้งก่อนจะเดินออกห้องไป เจโคลงหัวน้อยๆ แล้วก้มหน้าก้มตาเล่นโปรแกรมใหม่ของเขาต่อไป



"อยู่กับคุณเจแล้วบอสดูสดใสขึ้นมากเลยนะคะ"

"เธอคิดว่างั้นเหรอ? "

เจเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอแล้วถามทิฟฟานี สาวแผนกประชาสัมพันธ์พยักหน้ารับทันที

"ใช่ค่ะ บอสดูอารมณ์ดีขึ้น ดูมีความสุขขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนค่ะ ใช่ไหมๆ? "

ทิฟฟานีหันไปพยักเพยิดกับอีกหนึ่งสาวซึ่งรีบพยักหน้าระรัวรับคำ

"เหรอ? เมื่อก่อนฆาบี้เขาดูเคร่งเครียดหรือดูขี้หงุดหงิดอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ? "

เจนยุทธทำท่าสงสัย เขารู้ว่าในเรื่องการทำงานนั้นฆาเบียร์มักจะจริงจังเสมอ หากเขาไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเป็นคนที่หงุดหงิดง่ายหรือว่าทำตัวไม่น่าเข้าหาแต่อย่างใด

"เอ่อ ไม่ใช่ว่าบอสขี้หงุดหงิดหรือว่าดุอะไรแบบนั้นหรอกค่ะคุณเจ คือถ้าเป็นในเวลางานบอสเขาก็จะจริงจังแล้วไม่พูดเล่นอะไรแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนกับพนักงาน เวลาพูดคุยกับพวกเราบอสก็จะเป็นกันเองด้วยและไม่เคยมีทีท่าข่มหรือยกตนขึ้นเหนือกว่าอะไร แต่เรารู้สึกได้ค่ะว่าหลายครั้งที่พวกเราคุยเล่นเฮฮากัน ในใจบอสเขาไม่ได้เฮฮาไปกับเราด้วย อย่างเวลายิ้ม บอสก็จะ แบบ เอ ภาษาอังกฤษว่ายังไงนะ? ..."



"ยิ้มธุรกิจใช่ไหมครับ แก้ม? "

เจตอบเบาๆ เป็นภาษาไทย แก้ม สาวไทยหนึ่งเดียวในแผนก IT Support ซึ่งโดนลากมาสอนเจใช้โปรแกรมรีบพยักหน้ารับคำทันที เธอไม่อยากใช้คำว่า fake smile หรือยิ้มเสแสร้งในการบรรยายรอยยิ้มของบอสของเธอ

"ใช่เลยค่ะคุณเจ ยิ้มแบบที่ยิ้มให้ลูกค้า ให้กับคนที่ไม่สนิทด้วยแบบนั้นค่ะ หนูเองก็เพิ่งมาทำงานกับคุณเขาได้แค่ปีกว่าก็เลยไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเป็นยังไง แต่เห็นพี่ทิฟเขาก็บอกว่าตอนอยู่สหรัฐฯ บอสก็เป็นแบบนั้น ใช่ไหมคะพี่? "

แก้ม โปรแกรมเมอร์สาวซึ่งอายุน้อยกว่าเจประมาณสามปีหันไปถามทิฟฟานี สาวแผนกประชาสัมพันธ์ซึ่งทำงานกับฆาเบียร์มาตั้งแต่ออฟฟิศที่สหรัฐฯ พยักหน้า

"ใช่ค่ะ คือไม่ใช่ว่าบอสเขาจะเสแสร้งหรือว่าอะไรนะคะคุณเจ แต่เหมือนกับว่าบอสไม่มีความสุข ไม่สามารถที่จะรู้สึกสนุกไปกับพวกเราได้จริงๆ เหมือนคนที่มีอะไรติดอยู่ในใจค่ะ อุ๊ย นี่ฉันเม้าแรงไปหรือเปล่าเนี่ย? ขอโทษจริงๆ ค่ะคุณเจ"

ประชาสัมพันธ์สาวซึ่งเป็นสะใภ้ของวิคเตอร์ ลีรีบยกมือขึ้นปิดปากแล้วก้มหัวขอโทษ เจหัวเราะเบาๆ

"เม้ามาเลยครับ ดีซะอีก ผมจะได้รู้ว่าเมื่อก่อนฆาบี้เขาเป็นคนแบบไหน เหมือนมีอะไรในใจแล้วไงต่อครับ? "

เจค่อยๆ ตะล่อมถาม แม่สาวขาเม้าทำท่าอิดออดเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ



"นอกจากท่านประธานกับเมลิน่าที่บอสรู้จักมาตั้งแต่ก่อนเข้ามาทำงานแล้ว บอสดูจะไม่ค่อยเปิดใจให้กับคนอื่นเท่าไหร่ค่ะ ตอนอยู่ที่ออฟฟิศ ถึงจะดูยิ้มแย้มแจ่มใส แต่พวกเราก็รู้สึกได้ว่าในใจบอสไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย..."

ทิฟฟานี่ถอนหายใจเมื่อนึกถึงวันเวลาแบบนั้น นอกจากเวลาพูดคุยกันที่ฆาเบียร์จะปั้นหน้ายิ้มละไมแบบนักประชาสัมพันธ์มือทองให้แล้ว ในยามอื่นนั้น บอสของพวกเธอก็มักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา

"ใช่ๆ ช่วงแรกๆ ที่หนูเริ่มมาทำงานช่วงที่เตรียมเปิดออฟฟิศฮ่องกงหนูยังไม่ค่อยกล้าเข้าไปคุยกับบอสนอกเหนือจากเรื่องงานเลยค่ะ"

แก้มเสริมมา เธอเริ่มเข้ามาเตรียมงานเพื่อเปิดสำนักงานของเว็บไซต์จองโรงแรมและให้ข้อมูลท่องเที่ยวชื่อดังแห่งนี้ตั้งแต่กลางปีกลาย ตั้งแต่แรกพบหน้า แม้ฆาเบียร์จะพูดคุยกับเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอก็รู้สึกได้ว่ารอยยิ้มนั้นถูกปั้นขึ้นตามมารยาทเท่านั้น

"คุณเค้าดู อืมม์ ว่าไงดี? ดูไม่มีความสุขกับชีวิตอ่ะค่ะ เหมือนใช้ชีวิตไปวันๆ โดยทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับทำงาน..."

แก้ม สาวไอทีซึ่งค่อนข้างสนิทสนมกับกลุ่มสาวๆ ในแผนกประชาสัมพันธ์พูดขึ้นหลังจากพยายามคิดหาคำที่ฟังดูไม่แรงมากนัก เธอเล่าว่าแม้จะต้องคุมทั้งสำนักงาน แต่ฆาเบียร์จะค่อนข้างสนิทสนมกับพนักงานในแผนกเลขาและการประชาสัมพันธ์ซึ่งเขาเคยเป็นคนดูแลเมื่อครั้งยังอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ยามที่พวกแผนกประชาสัมพันธ์ไปสังสรรค์เฮฮากันนอกสถานที่ หลายๆ ครั้งเขาก็ตามไปด้วย

"เวลาไปเที่ยวไปกินเหล้ากัน บอสก็ดูปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที่ค่ะ แต่ก็แค่นั้นไง สนุกแค่ช่วงเวลาแป๊บๆ พอกลับไปออฟฟิศอีกวันก็เหมือนเดิม ทำงานๆ ๆ เหมือนเป้าหมายชีวิตมีแค่นั้นอ่ะค่ะ"

เจลอบสะท้อนใจ นี่คงเป็นชีวิตแบบที่คริสเคยเล่าให้เขาฟังเมื่อครั้งที่เขากับอาปาพบกันครั้งแรก


'...ฉันพูดแกมบังคับว่าเขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสานต่องานที่พ่อของเขาวางรากฐานไว้ให้ประสบความสำเร็จ ใจจริงฉันไม่ได้ต้องการให้ฆาบี้เขาต้องทุ่มเทกายใจให้กับงานขนาดนี้เลย แต่ถ้าไม่พูดแบบนั้น เขาก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแน่ๆ ...'


นี่คือคำพูดที่คริสพูดกับเขาหลังจากที่เล่าเรื่องชีวิตของฆาเบียร์ช่วงที่เสียพ่อแม่ไปให้เจฟังระหว่างที่นั่งรถพาเจไปพบกับฆาเบียร์ที่นอนซมอยู่ที่โรงแรม แต่เขาก็จำได้ว่าคริสก็ได้เคยพูดไว้ในต่างวาระกันว่าแม้เขาจะไม่อยากบีบให้ฆาเบียร์ต้องทำแบบนั้น แต่เขาก็ไม่เสียใจที่ทำลงไป


'...เพราะอาปารู้ว่ามันต้องมีสักวันที่ฆาเบียร์จะหายจากอาการนี้ ต้องมีสักวันที่เขาจะต้องเจออะไรหรือใครที่ทำให้เขากลับมามีชีวิตชีวา กลับมาเป็นลูกชายคนเดิมของอาปาจนได้...'




"...ใช่ไหมคะ คุณเจ? "

"ครับ เมื่อกี้ว่าไงนะครับ? ผมไม่ทันได้ฟัง"

เจหลุดจากห้วงคำนึงของตนแล้วหันไปยิ้มให้ทิฟฟานี ประชาสัมพันธ์สาวยิ้มบางๆ แล้วพูดทวนประโยคของตน

"แก้มเขาสงสัยค่ะว่าพวกคุณสองคนรู้จักกันได้ไง ฉันเลยบอกว่าที่ได้ยินมาคือเพื่อนของพวกคุณแนะนำให้คุณรู้จักกัน ใช่ไหมคะ? "

เจชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับคำ

"ใช่ครับ เพื่อนสนิทของผมเคยเป็นรูมเมทของฆาบี้สมัยเรียนป.ตรี ผมเจอฆาเบียร์ครั้งแรกตอนที่เขามาหาเพื่อนผมที่ไทยช่วงก่อนเปิดสำนักงานที่ฮ่องกงครับ"

"เอ๊ะ งั้นก็ก่อนตอนคุณฆาเบียร์ป่วยไม่นานนี่คะ? หรือว่า..."

"แหมๆ งั้นพวกเราก็ต้องขอบคุณเพื่อนคุณเจมากๆ เลยค่ะ ที่แนะนำพวกคุณให้รู้จักกัน"

ทิฟฟานีรีบพูดแทรกเมื่อแก้มซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนักโพล่งถามขึ้นมา แก้มเองก็ต้องรีบหยุดปากเมื่อโดนเพื่อนสาวรุ่นพี่หยิกขาแรงๆ ใต้โต๊ะ

"เอ่อ ใช่ครับ ต้องขอบคุณพี่เขาจริงๆ "

เจยิ้มบางๆ แล้วนึกในใจว่าหลังจากจบคืนนั้นแล้วตัวฆาเบียร์เองคงไม่ได้รู้สึกยินดีนักที่นพได้แนะนำให้พวกเขารู้จักกัน



"จริงค่ะ ต้องขอบคุณคุณคนนั้นจริงๆ ไม่งั้นป่านนี้เราก็คงได้เห็นยิ้มกว้างๆ ของบอสแค่ตอนที่รายงานผลประกอบการแค่นั้นอ่ะ"

สาวฝ่ายไอทีหัวเราะคิกคัก ทิฟฟานีทำตาโต

"เม้านะยะหล่อน! นี่จะหาว่าบอสสุดเลิฟของฉันบ้าเงินเหรอ? "

ประชาสัมพันธ์สาวเอ็ดเพื่อนรุ่นน้องเบาๆ แต่เธอก็อดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้ เจหันไปมองหน้าคนนี้ทีคนนู้นทีด้วยความสงสัย

"คือเมื่อก่อนนี้พวกเราสังเกตกันตั้งแต่อยู่ที่สำนักงานใหญ่แล้วค่ะว่าปกติบอสเขาจะยิ้มแบบ เอ่อ เมื่อกี้คุณเจบอกเธอมาเป็นภาษาไทยว่ายิ้มแบบไหนนะ? "

ทิฟฟานีหันไปถามเพื่อนสาวชาวไทย

"...ค่ะ แบบนั้นแหละ แต่จะมีแค่ตอนที่คุยกับคุณคริสหรือกับพนักงานที่สนิทกันมากๆ ที่คุณเขาจะยิ้มกว้างๆ แบบยิ้มจริงๆ แล้วจะมีอีกครั้งที่พวกเราจะได้เห็นยิ้มสวยๆ ของบอสก็คือตอนประชุมสรุปผลประกอบการของบริษัทแต่ละไตรมาส ถ้าผลออกมาดี ตัวเลขทะลุเป้านี่ ยิ้มจะยิ่งซ้วยสวยเลยค่ะ..."

เจนยุทธหลุดหัวเราะก๊ากออกมาเมื่อนึกภาพตามคำเล่าของประชาสัมพันธ์สาว

"ฮ่าๆ ๆ ขนาดนั้นเลยเหรอครับ? โอ๊ย ทำตัวเป็นตาแก่หิวเงินไปได้"

เจหัวเราะคิกคัก



"จริงๆ ค่ะ คุณเจ แล้วช่วงนั้นบอสจะอารมณ์ดีไปสองสามวันเลยนะคะ หัวเราะคุยเล่น ยิ้มแย้มไปทั่วจนกระทั่งเจอเรื่องน่าหงุดหงิดใหม่ จากนั้นก็เหมือนจะนึกได้ว่า เออ ตัวเองยิ้มมากไปละ เปิดเผยตัวตนมากไปละ แล้วก็กลับไปทำหน้าเคร่งดูอมทุกข์เหมือนเดิมอีก ฉะนั้นในออฟฟิศเขาเลยพูดกันว่าถ้าอยากเห็นยิ้มสวยๆ ของคุณฆาเบียร์ ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้ผลประกอบการออกมาดี..."

"โหย พี่ทิฟ บอกไม่ให้หนูเม้า พี่แหละเม้ายาวสุด"

ทิฟฟานีหันไปย่นจมูกให้เพื่อนรุ่นน้องที่พูดแซวมา แล้วหันไปยิ้มแหยๆ กับเจนยุทธที่พยายามนั่งกลั้นหัวเราะอยู่

"คุณเจคะ อย่าเอาเรื่องนี้ไปแซวบอสต่อนะคะ ไม่งั้นฉันซวยแน่..."

"ครับๆ ผมจะไม่พูดแล้วกันว่ารู้เรื่องนี้มาจากทิฟ"

"อ้าว คุณเจ! "

ประชาสัมพันธ์สาวร้องลั่น เจยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เรื่องแบบนี้เขาคงอดแซวเจ้าตัวไม่ได้แน่ๆ



"ว่าแต่ที่พวกคุณบอกว่าช่วงหลังนี้ฆาบี้ดูสดใสขึ้นนี่ ขนาดไหนครับ? พอๆ กับตอนที่เห็นผลประกอบการหรือเปล่า? "

เจถามขึ้นอย่างสงสัย

"โหย ยิ่งกว่านั้นเยอะเลยค่ะคุณเจ ใครจะไปนึกว่าจะได้เห็นบอสยืนฮัมเพลงตอนลงลิฟท์..."

สาวช่างเม้าอย่างทิฟฟานีรีบตอบทันที เธอเล่าว่ามีครั้งหนึ่งที่พวกเขาต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ด้วยกัน เธอถึงกับต้องหันไปดูเมื่อได้ยินเสียงฆาเบียร์ฮัมเพลงเบาๆ ตามเพลงที่เปิดคลอในลิฟท์ เมื่อเจ้าตัวรู้ตัวว่าถูกมองก็รีบหยุดฮัมเพลงแล้วกลับไปปั้นหน้าขรึมเหมือนเดิม

"นั่นก็น่าจะเป็นช่วงหลังกลับจากเชียงใหม่ในเดือนพฤศจิกาค่ะ ฉันจำได้แม่นว่าเป็นช่วงหลัง Thanksgiving"

เจหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น มันคือหลังจากที่พวกเขาตกลงคบหากันอย่างเป็นทางการ และหลังจากที่ฆาเบียร์ได้ "ครั้งแรก" จากเขาไป เขายกมือขึ้นลูบต่างหูของคาตาลิน่าที่ได้รับมาในวันนั้นเบาๆ โดยไม่รู้ตัว เหตุการณ์ในตอนนั้นยังคงเด่นชัดในความทรงจำของเขา ความรู้สึกที่เป็นฝ่ายถูกคนที่รักกอดเป็นครั้งแรกนั้น แม้มันจะเจ็บปวดบ้างแต่ก็แฝงไปด้วยความสุขล้ำ และที่สุขสุดยอดกว่าคือเมื่อเขาบอกรักอีกฝ่ายไปอย่างสิ้นหวัง แต่ก็กลับได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจตรงกับเขาเช่นกัน

"หลังจากนั้นบอสก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากค่ะ ตอนแรกๆ ก็พยายามจะรักษามาดเคร่งขรึมเหมือนเดิม แต่ก็ปิดประกายวิ๊งๆ แบบคนอินเลิฟไม่มิดแล้วค่ะ ยิ่งหลังจากคุณเจโทรมาหานะ โอ๊ย ยิ่งอารมณ์ดี..."

เจนยุทธทำตาโต สำหรับเขาที่ปกติเป็นคนร่าเริงอยู่แล้ว เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำตัวแปลกไปมากมายอะไรขนาดนั้นหลังจากเริ่มคบกับฆาเบียร์ หากเขาไม่นึกเลยว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะส่งผลกับเมียตัวโตของเขาขนาดนี้



"หนูว่าถ้าคุณเจย้ายมาอยู่กับบอสที่ฮ่องกงเมื่อไหร่นะ บอสคงหน้าบานเป็นกระด้งแน่ๆ เลยค่ะ นี่ขนาดมาแป๊บๆ สามสี่วันยังเดินยิ้มทั้งวันเลย ใช่ไหม พี่ทิฟ? "

สาวแก้มพูดพร้อมหันไปพยักเพยิดกับเพื่อนรุ่นพี่ ทิฟฟานีรีบพยักหน้าทันควัน เธอทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่เจรีบยกมือเบรคไว้

"พอแล้วๆ ผมเขินแล้วเนี่ย เราไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่านะ..."

เจนยุทธรีบตัดบทด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขายกนาฬิกาขึ้นดู

"...นี่จะสามโมงแล้ว เอางี้ ผมว่าเราจัดการเรื่องงานให้เสร็จก่อนดีกว่า ผมไม่อยากกวนเวลาทำงานของพวกเธอมากนัก ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนเจ้านายสุดโหดของพวกเธอบ่นเอา"

"โหย รายนั้นไม่กล้าบ่นคุณเจหรอกค่ะ"

สาวไทยหัวเราะคิกคัก

"จ้ะ บอสไม่บ่นคุณเจ แต่จะมาบ่นพวกเรานี่แหละย่ะหล่อน เอ้า เร็ว จะลงอะไรให้หรือจะสอนอะไรก็รีบๆ ทำซะ ฉันบอกที่แผนกหล่อนว่าขอยืมตัวมาแค่สองชั่วโมง นี่ล่อเข้าไปจะสี่ชั่วโมงแล้ว เดี๋ยวจะโดนตาลุงหัวหน้าแผนกนั้นกินหัวเอา"

ทิฟฟานีหันไปแยกเขี้ยวให้กับเพื่อนรุ่นน้องที่ชอบเม้ามอยพอๆ กันกับเธอ แก้มรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วก้มหน้าก้มตาจัดการอัพเดทโปรแกรมในคอมของเจนยุทธให้ต่อ



"ขอบคุณทั้งทิฟฟานีและแก้มมากนะครับที่มาช่วยสอนผม วันนี้ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นเยอะเลย"

เจกล่าวขอบคุณทั้งสองสาว ในวันนี้นอกจากเขาจะได้เรียนรู้การใช้โปรแกรมและแอพในการจัดการข้อมูลรูปภาพและคลิปวีดีโอแล้ว ทิฟฟานีซึ่งนอกจากจะจบด้านบริหารธุรกิจมาแล้วก็ยังเชี่ยวชาญด้านการจัดการสื่อโฆษณาก็ยังได้ช่วยแนะนำเขาเรื่องการสร้างสรรค์คอนเทนต์ออนไลน์ที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพ

"ค่ะ แล้วอย่าลืมนะคะ ที่สำคัญที่สุดคือต้องมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณเจด้วย ที่เป็นเหมือนลายเซ็นของคุณค่ะ"

เจนยุทธพยักหน้ารับคำ เขาขอบคุณทั้งสองอีกครั้งก่อนที่จะขอตัวไป เจกลับเข้ามาที่ห้องทำงานของฆาเบียร์และทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา

"สี่โมงแล้ว..."

เขาพูดออกมาเบาๆ หลังยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา เขายกมือถือขึ้นเช็คข้อความในไลน์แต่ก็ไม่พบข้อความใดจากคนตัวโต ฆาเบียร์คงยังไม่แล้วเสร็จจากธุระที่ต้องไปทำ

"งั้นนอนดีกว่า"

เจตัดสินใจเอนกายลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ เมื่อเช้าเขาตื่นเร็วกว่าปกติจึงทำให้รู้สึกง่วงเป็นพิเศษ เขาหยิบมือถือขึ้นมาไถดูนั่นนี่พักหนึ่งก่อนที่จะผลอยหลับไป



"กลับมาแล้วเหรอ ฆาบี้? "

เจถามอย่างง่วงงุนเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูห้องและเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้

"ฮ่ะๆ ไม่ใช่ฆาบี้หรอก"

เจตาสว่างเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของอาปาคริส เขารีบลุกพรวดขึ้นนั่งพร้อมกับยกมือไหว้พ่อบุญธรรมของคนรักด้วยความเคยชิน

"แหะๆ ขอโทษครับอาปา ผมนึกว่าฆาบี้กลับมาแล้ว"

เจหัวเราะแหะๆ พร้อมกับขอโทษขอโพยผู้อาวุโสที่ต้องมาเห็นสภาพที่ไม่ค่อยงามนักของเขา เขายังรีบหยิบทิชชู่มาแอบซับคราบน้ำลายที่ยังติดแก้มอยู่

"ตอนนี้ฆาบี้เขาออกไปทำงานนอกสถานที่ครับ เดี๋ยวสักพักน่าจะกลับแล้ว"

เจรีบบอกคริสหลังจากแอบเหลือบดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงและเขาคิดว่าฆาเบียร์คงจะกลับมาในอีกไม่ช้า

"อาปาไม่ได้มาหาฆาบี้ แต่อาปาจะมาขโมยตัวลูกกลับไปบ้านด้วยกัน"

คริสยิ้มอย่างอารมณ์ดี เจนยุทธทำหน้างงๆ

"ฆาบี้เขาส่งข้อความมาบอกอาปาน่ะว่างานเขาน่าจะยืดเยื้อเลยจะขึ้นไปกินข้าวด้วยช้า อาจจะเกือบๆ ทุ่ม อาปาก็เลยว่าจะมาพาเจกลับขึ้นไปด้วยกันก่อน จะได้ไม่ต้องอยู่แกร่วรอที่นี่นาน"

เจรีบยกโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นดู ฆาเบียร์ได้ส่งข้อความมาบอกเขาด้วยเช่นกันว่าเขาจะกลับเข้ามาที่ออฟฟิศช้า

"เอ่อ ที่จริงผมอยู่รอฆาบี้ที่นี่ก่อนก็ได้ครับ"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามท่านผู้เฒ่าและจัดการเก็บข้าวเก็บของตามคริสกลับไปที่บ้าน



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- One Fine Day (ต่อ) ----




"บ้าจริง! "

ฆาเบียร์บ่นออกมาเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์เมื่อยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านข้อความหลังจากเสร็จงานอันแสนยืดเยื้อแล้ว เขาเกาหัวแกรกๆ เมื่ออาปาส่งข้อความมาบอกเขาว่าได้ขโมยตัวเจกลับขึ้นไปที่บ้านเรียบร้อย คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความตั้งใจเดิมของเขาคือกลับไปที่ออฟฟิศแล้วจัดการออดอ้อนและพลอดรักกับคนรักให้ฉ่ำปอดเพื่อให้คลายความตึงเครียดจากการประชุมเมื่อครู่ หากตอนนี้คนรักของเขาก็มาถูกคริสฉกตัวไปเสียแล้ว

'ผมเสร็จงานแล้ว กำลังจะกลับขึ้นไปที่บ้านครับ'

คนตัวโตพิมพ์ข้อความตอบอาปาของเขา

"เมลิน่า งั้นเดี๋ยวฉันคงไม่กลับไปเอารถที่สำนักงานแล้วนะ เดี๋ยวบอกคนรถให้ส่งฉันไปที่บ้านคุณคริสแล้วค่อยกลับลงมาส่งเธอที่ ICC จะได้ไม่ต้องวนไปวนมา"

ฆาเบียร์บอกเลขาของเขา พวกเขามาทำธุระกันที่ฝั่งฮ่องกงซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับวิคตอเรีย พีคอันเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ของคริส หากตึก ICC ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานของพวกเขานั้นอยู่บนฝั่งเกาลูน

"แล้วพรุ่งนี้เฆเฟ่จะให้รถขึ้นไปรับกี่โมงคะ? "

เมลิน่าถามหากฆาเบียร์ส่ายหัว

"ไม่ต้องรับหรอก พรุ่งนี้ฉันก็คงติดรถอาปาลงมาเหมือนเมื่อเช้านั่นแหละ"

เลขาสาวรับคำแล้วถ่ายทอดคำสั่งของนายรักให้คนรถรับทราบ ก่อนที่จะพากันเดินออกจากสำนักงานที่พวกเขามาติดต่องานไปยังรถที่ขับมารออยู่แล้ว



"อาปาล่ะ? "

ฆาเบียร์เดินลงจากรถขึ้นบันไดหินอ่อนเตี้ยๆ ที่หน้าคฤหาสน์ด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์นัก เขาค้อมหัวรับการทักทายจากพ่อบ้านในบ้านของคริสที่กุลีกุจอมาเปิดประตูต้อนรับเขาพร้อมกับถามหาอาปาของเขา

"อยู่ที่ห้องฝรั่งครับ"

พ่อบ้านวัยกลางคนตอบอย่างนอบน้อม ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ ที่บ้านของอาปาเขานั้นแบ่งออกเป็นสองฟาก ฟากที่มีห้องนอนของเขาและเจอยู่บนชั้นสองนั้น ด้านล่างมีห้องรับแขกและนั่งเล่นที่ตกแต่งด้วยสไตล์จีน หากฝั่งที่คริสเพิ่งย้ายไปนอนนั้นมีห้องอาหารและห้องนั่งเล่น/รับแขกที่ตกแต่งแบบตะวันตก โดยคนในบ้านมักเรียกห้องนั้นว่าเป็นห้องฝรั่ง

"แล้วคุณเจล่ะ? "

"อยู่กับคุณคริสครับ"

ฆาเบียร์พยักหน้าพร้อมกับส่งกระเป๋าเอกสารของเขาให้พ่อบ้านนำไปเก็บ ส่วนตัวเขานั้นเดินผ่านโถงบันไดซึ่งมีเพดานสูงที่เชื่อมระหว่างทั้งสองปีกของอาคารไว้

"เอ๊ะ? "

เขาอุทานเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงเปียโนดังออกมาจากห้องนั่งเล่นนั้น หากท่วงทำนองคุ้นหูของเพลงคลาสสิคเพลงนั้นฟังดูกะพร่องกะแพร่งอยู่บ้างและไม่คล้ายกับเป็นฝีมือบรรเลงของอาปาของเขา ฆาเบียร์สาวเท้าเดินเข้าไปแล้วก็ต้องอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นเจนั่งเคียงข้างกับคริสอยู่ที่แกรนด์เปียโนหลังงามของอดีตนายหญิงของบ้านนี้ คนตัวเล็กที่เคยประกาศก้องว่าจะไม่แตะเปียโนอายุเกือบร้อยปีนี้อีกแล้วกำลังใช้นิ้วพร่างพรมไปบนแป้นงาช้างและไม้มะเกลืออย่างเพลิดเพลินโดยมีคริสคอยนั่งกำกับอยู่ข้างๆ อารมณ์อันขุ่นมัวเมื่อครู่ของฆาเบียร์มลายไปเมื่อได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคนที่เขารักทั้งคู่



“อ้าว ฆาบี้ มาตั้งแต่เมื่อไหร่? มาๆ เล่นเปียโนด้วยกันหน่อยไหม?”

คริสหันไปกวักมือเรียกลูกบุญธรรมของเขาทันทีที่หันไปเจอ ฆาเบียร์ส่งยิ้มละไมให้ชายต่างวัยทั้งสองคนผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา

“ได้ครับ ผมยืนฟังอยู่ก็ชักเริ่มคันไม้คันมือขึ้นมาเหมือนกัน”

ฆาเบียร์พูดพลางถอดเสื้อนอกและเนคไทของเขาส่งให้พ่อบ้านที่เดินตามเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ คริสลุกขึ้นให้ฆาเบียร์ลงนั่งแทนที่เขา เจนยุทธขยับจะลุกขึ้นตามแต่คนตัวโตแตะไหล่เขาให้นั่งอยู่เหมือนเดิม

“เดี๋ยวเจพลิกโน้ตให้ฉันหน่อยแล้วกันนะ”

“โหย คุณครับ ไอ้พวกเพลงคลาสสิคนี่ผมไม่ค่อยถนัดอ่ะ กลัวอ่านโน้ตตามไม่ทัน”

เจนยุทธบ่นเบาๆ เขาดูโน้ตเพลงในแฟ้มของคริสแล้วก็ต้องทำหน้าเบ้เพราะล้วนเป็นเพลงคลาสสิคยากๆ ของเหล่าบรมครูทางดนตรีชื่อก้องโลก

“อ่านทันน่า ฉันจะเล่นเพลงที่เจเล่นกับอาปาเมื่อกี้นั่นแหละ โอเคไหม?”

“อ๋อ ได้ๆ เพลงนี้ผมเคยเล่นมาบ้างแล้ว แต่ก็ลืมๆ ไปแล้วครับ มะ พร้อม จัดมาเลย!”

เจนยุทธถลกแขนเสื้อพร้อมทำท่าทางเตรียมพร้อมอย่างทะมัดทะแมง

“นี่ๆ ไม่ได้จะไปตีกับใคร น้อยๆ หน่อยน่ะเรา”

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือขยี้ผมคนรักเบาๆ ด้วยความเอ็นดู เจทำหน้ามุ่ยพร้อมกับยกมือขึ้นจัดๆ ทรงผมที่เพิ่งยาวขึ้นจากทรงสกินเฮ้ดเพียงเล็กน้อยของเขา คริสนั่งยิ้มมองลูกชายที่ดูท่าทางมีความสุขเหมือนสมัยที่เขายังเป็นหนุ่มน้อย หากเขาก็พลันรู้สึกเศร้าขึ้นมาเมื่อนึกเสียดายที่เพื่อนรักของเขาทั้งสองไม่ได้มีโอกาสเห็นคนรักของลูกชายและไม่ได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มอย่างคนที่มีความรักของฆาเบียร์ในตอนนี้



“เอ้า พร้อมหรือยัง ฉันจะเริ่มแล้วนะ”

คนตัวโตหันไปถามเจ้าตัวยุ่งของเขาที่ยังทำท่ายุกๆ ยิกๆ อยู่ไม่สุข เจพยักหน้าน้อยๆ ฆาเบียร์หันไปให้ความสนใจกับโน้ตตรงหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วเริ่มพรมนิ้วลงบนคีย์เปียโน


“Twinkle, twinkle little star, how I wonder what you are! Up above the world so high. Like a diamond in the sky...”


เจนยุทธอดร้องตามทำนองคุ้นหูของเพลงคลาสสิคเพลงนี้ไม่ได้ ฆาเบียร์หันไปยิ้มให้คนรักและบรรเลงเพลงต่อ เจนยุทธมองตามนิ้วที่พร่างพรมบนคีย์อย่างแคล่วคล่องของคนรัก เพลงที่ฆาเบียร์บรรเลงอยู่นี้คือเพลง "Ah, Vous Dijai-je, Maman" ซึ่งเดิมทีเป็นเพลงกล่อมเด็กของฝรั่งเศส หากเวอร์ชั่นที่ทำให้คนตัวโตพรมนิ้วรัวๆ ลงบนคีย์จนกลายเป็นเสียงดนตรีอันแสนสดใสร่าเริงนี้เป็นเวอร์ชั่นของคีตกวีอัจฉริยะอย่างวูล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท โดยโมสาร์ทได้เรียบเรียงและแต่งเติมเอาเพลงกล่อมเด็กสั้นๆ นี้มาเล่นในแบบที่ต่างกันไปถึง 12 แบบเรียงร้อยต่อกันไปโดยยังยึดทำนองหลักเดิม ส่วนเนื้อร้องที่เจร้องไปนั้นคือเพลง "Twinkle Little Star" ซึ่งเป็นเพลงกล่อมเด็กที่โด่งดังที่สุดในโลกเพลงหนึ่ง มันเกิดจากการนำเอาบทกวีอังกฤษในชื่อเดียวกันนั้นมาใส่ทำนองเพลง "Ah, Vous Dijai-je, Maman" เข้าไปนั่นเอง



"ผมมารู้เอาว่าเพลงนี้มีเวอร์ชั่นของโมสาร์ทด้วยก็ตอนดูซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง Nodame Cantabile นั่นแหละครับ"

เจพูดพลางเปลี่ยนเอาโน้ตเพลงแผ่นสุดท้ายของเพลงนี้วางไว้ให้คนรัก เขาซึ่งยังเป็นนักเรียนม.ปลายในสมัยนั้นเคยติดละครญี่ปุ่นที่ดังไปทั่วโลกเรื่องนี้มากจนไปหาโน้ตเพลงคลาสสิคหลายๆ เพลงที่ปรากฎในเรื่องนั้นมาลองหัดเล่นดู หากเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็ได้ลืมๆ มันไปและหมดความสนใจไปในที่สุด

"...ผมเห็นจากในเรื่องนั้นเลยไปหาอ่านดู เขาบอกว่าเพลงฝรั่งเศสเพลงนี้ถูกดัดแปลงเอาไปใส่เนื้ออื่นเยอะมาก เพลงหนึ่งที่ว่ากันว่าดัดแปลงมาจากเพลงนี้ก็คือเพลงชาติไทยครับ"

เจยิ้มเมื่อเห็นฆาเบียร์หันมาทำตาโตด้วยความประหลาดใจให้เขา

"ผมไม่คอนเฟิร์มนะ แต่มีคนพูดว่าพระเจนดุริยางค์คนแต่งเพลงชาติไทยน่ะได้ดัดแปลงเอาเพลงนี้มา ผมลองฮัมๆ ดูมันก็คล้ายอยู่นะ แต่ก็ไม่ได้เหมือนเป๊ะ อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ เอ้า เล่นต่อๆ อย่าหยุดครับ"

เจใช้ศอกสะกิดคนรักที่ทำท่าจะหยุดเล่นแล้วหันมาคุยกับเขา ฆาเบียร์โคลงหัวแล้วจัดการดีดต่อไปตามโน้ตจนจบ




เพลง Ah, Vous Dijai-Je, Maman – Mozart

https://www.youtube.com/watch?v=fGGWtz_v6xM



“Bravo, bravo! ยังเล่นได้ดีเหมือนเดิมนะ อาปานึกว่าเราไม่ได้เล่นนานๆ แล้วจะลืมเสียอีก”

คริสลุกขึ้นตบมือให้ลูกชายของเขาพร้อมกับกระเซ้าเล็กๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วหันไปค้อมหัวรับคำชมจากอาปาของเขา

“ก็ผมได้คนสอนดีนี่ครับ เพลงนี้เป็นเพลงคลาสสิคเพลงแรกที่แม่กับอาปาสอนผม ผมก็ต้องเล่นสุดฝีมืออยู่แล้ว อีกอย่าง ตอนอาปาไม่อยู่ผมก็แอบขึ้นมาเล่นเปียโนที่นี่อยู่บ้างครับ ไม่ได้ทิ้งไปเลยเสียทีเดียว”

ฆาเบียร์ยิ้มละไมให้อาปาของเขาพร้อมลุกจากเก้าอี้เปียโน คริสยิ้มกว้าง เขายังจำครั้งที่เขาและคาตาลิน่าช่วยกันสอนฆาบี้น้อยวัย 7 ขวบดีดเพลงคลาสสิคเพลงนี้ได้ มันเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสุขสันต์ของครอบครัวเล็กๆ ของเขา โดยเฉพาะในยามบ่ายวันอาทิตย์ พวกเขาทั้งสี่คนมักจะรวมตัวกันในห้องนั่งเล่นเพื่อเล่นดนตรี โดยปกติแล้วอันเดรสมักจะเป็นฝ่ายนั่งฟังการบรรเลงจากลูกเมียและเพื่อนรัก หากบางครั้งที่เขารู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ เขาก็จะขอให้ทั้งสามคนเล่นเพลงสมัยใหม่โดยตัวเขาจะหยิบกีตาร์ตัวโปรดออกมาเล่นตามด้วย

"เห็นลูกดีดเปียโนแบบนี้แล้ว อดคิดถึงปาปี๊กับแม่ของลูกขึ้นมาไม่ได้เลยนะ"

คริสพูดออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว เขาสะดุ้งและพยายามเสเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นเมื่อรู้ตัวว่าอาจจะพูดอะไรที่กระทบใจฆาเบียร์ออกไป หากฆาเบียร์กลับส่งยิ้มอันอ่อนโยนให้เขาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ

"ผมก็คิดถึงพวกท่านครับ จะว่าไปผมก็ไม่ได้ไปเยี่ยมพ่อแม่นานแล้ว ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสผมว่าจะพาเจไปหาพ่อกับแม่ด้วย ดีไหมจ๊ะ Mi amor? "

คริสอดยิ้มอย่างยินดีออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินลูกชายหันไปเอ่ยปากถามคนรัก นับตั้งแต่วันที่ฆาเบียร์เสียพ่อกับแม่ไปอย่างกระทันหันเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ลูกชายของเขานั้นไม่เคยทำใจได้เลย ฆาเบียร์มักหลีกเลี่ยงการไปเยี่ยมที่ฝังศพของพ่อแม่ เว้นแต่จะเป็นวันสำคัญ เช่น วันครบรอบวันเสียชีวิตของทั้งสอง ต่างจากคริสที่มักหาโอกาสแวะเวียนไปหาเพื่อนรักที่จากไปของเขาทั้งสองอยู่เสมอ อีกสิ่งหนึ่งที่ฆาเบียร์ทำต่างออกไปจากอาปาของเขาก็คือคริสมักจะใช้เวลาอยู่ที่สุสานเป็นเวลานานเพื่อพูดคุยเล่าเรื่องนั่นนี่ให้เพื่อนที่หาชีวิตไม่แล้วของเขาทั้งสองฟัง ส่วนฆาเบียร์นั้นมักใช้เวลาที่นั่นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น เขาจะแค่มาวางดอกไม้ที่หน้าหลุมศพจากนั้นก็รีบเผ่นออกจากที่นั่น ฉะนั้นการที่เขามีทีท่าอยากจะชวนเจนยุทธให้ไปหาพ่อแม่นั้นจึงเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับคริส



"ก็ดีนะฆาบี้ อาปาก็อยากให้เจไปหาพ่อแม่เราเหมือนกัน แล้วเจว่าไง? อยากไปไหม? "

คริสหันไปถามคนรักของลูกชาย เจรีบพยักหน้าทันที

"อยากไปครับอาปา แต่ เอ่อ..."

เจทำเสียงอ่อยๆ

"...ผมไม่รู้ว่าจะไปได้เมื่อไหร่ ช่วงนี้งานของฆาบี้ที่ฮ่องกงดูจะยังยุ่งๆ อยู่ ผมไม่ค่อยอยากกวนเวลาครับ อีกอย่างคนไทยต้องขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ช่วงนี้พวกเอกสารกับอีกหลายๆ อย่างของผมยังไม่พร้อม รอผมพร้อมกว่านี้ซักหน่อยแล้วผมจะไปแน่นอนครับ"

คนตัวเล็กหัวเราะแหะๆ ให้กับพ่อบุญธรรมของคนรัก เขายังบอกอีกว่าเขากำลังเก็บเงินสำหรับทริปที่จะไปยุโรปกับฆาเบียร์ช่วงปลายปีและนั่นทำให้เขายังไม่สามารถเดินทางไปไหนไกลๆ ได้อีกสักพัก

"โธ่ เจ..."

คริสแอบเหลือบมองไปทางฆาเบียร์เมื่อได้ยินน้ำเสียงตัดพ้อเบาๆ จากลูกชาย หากฆาเบียร์ก็เหมือนจะรู้ตัวและหยุดคำพูดที่จะตามมาเอาไว้เสีย เจหันไปยิ้มให้คนรักพร้อมกับกุมมือใหญ่ขึ้นมาจุมพิตเบาๆ เพื่อเอาใจ

"น่า ไม่ต้องบ่นครับ ผมไปแน่ แต่ขอเวลาหน่อย ผมอยากจะไปหาพ่อแม่คุณด้วยกำลังของผมเอง โอเคไหม?”

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ ส่วนคริสร้องอ๋อออกมาเบาๆ เขาเข้าใจสิ่งที่เจละไว้ ลูกชายคนโปรดคนใหม่ของเขาคงไม่ต้องการใช้เงินของคนรักในการเดินทางไปสหรัฐฯ เป็นแน่แท้



"เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ แล้วจะรีบลงมา เจจะไปด้วยกันเลยไหม? "

คนตัวโตบอกคริสพร้อมพยักเพยิดชวนเจนยุทธให้ขึ้นไปด้วยกัน หากเจส่ายหัว

"ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมอยู่แอร์ทั้งวัน ไม่ได้รู้สึกเหนียวตัว คุณไปอาบเองก่อนเถอะ ผมจะนั่งคุยกับอาปาต่อ"

เจนยุทธหันไปยิ้มหวานให้พ่อบุญธรรมของคนรัก คริสแอบขำเมื่อเห็นท่าทีไม่ค่อยสบอารมณ์ของลูกชาย

"เจไปกับฆาบี้ก็ได้นะ ไม่ต้องห่วงอาปาหรอก"

"ไม่ไปดีกว่าครับ ไม่งั้นพ่อเจ้าประคุณก็จะอ้อยสร้อยอาบไม่เสร็จซักที ผมหิวแล้วอ่ะ ตอนเที่ยงกินแซนวิชไปแค่สองคู่เอง"

เจพูดเสียงอ่อยๆ พลางลูบท้องเบาๆ ด้วยท่าทีน่าสงสารจนฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้

"โอเคๆ งั้นเดี๋ยวฉันจะรีบมาแล้วกัน นายรอกับอาปาที่นี่เถอะ"

ฆาเบียร์จูบเบาๆ ที่เรือนผมดำขลับของคนรักก่อนจะรีบสาวเท้าออกจากห้องนั่งเล่นไป



"โอย ตื่นเต้นๆ วันนี้เชฟเฉินจะทำอะไรให้ผมชิมกันน้า? "

เจพูดเบาๆ กับคนรักที่ไปอาบน้ำอาบท่ามาเรียบร้อยแล้ว ฆาเบียร์อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางของคนรักที่คอยชะเง้อชะแง้ดูที่ประตูซึ่งเชื่อมต่อกับครัว เขารู้ดีว่าเจ้าตัวดีนั้นตั้งหน้าตั้งตารอกินอาหารของอดีตเชฟของห้องอาหารมีดาวคนนี้มาทั้งวันแล้ว

"ช้าจังน้อ..."

เจนยุทธบ่นเบาๆ คนตัวโตยกมือขึ้นโอบไหล่คนรักแล้วตบเบาๆ

"น่าๆ อยากกินของอร่อยก็ต้องรอหน่อย ใช่ไหมครับ อาปา? "

ฆาเบียร์หันไปพยักเพยิดกับคริสซึ่งพูดเสริมมา

"ใช่จ้ะ เห็นเชฟเฉินว่าวันนี้จะเสิร์ฟอาหารเป็นคอร์สคล้ายๆ กับที่ทำที่ร้านของเชฟนะ ไม่ใช่เป็นอาหารจีนแบบดั้งเดิมแบบคราวที่แล้ว อะไรๆ ก็อาจจะช้าบ้างเพราะคนครัวของบ้านเราที่ปกติเป็นลูกมือของเชฟคงช่วยทำอะไรไม่ได้มาก"

"ว้าว ฟังดูน่าสนใจมากเลยครับ ผมว่าผมยังไม่เคยลองอาหารจีนแบบร่วมสมัยเลย"

เจนยุทธพูดอย่างตื่นเต้น เขาเคยได้ยินจากฆาเบียร์ว่าอาหารในร้านของเชฟที่เปิดรับแขกแค่วันละ 10 คนนั้นเป็นแนวจีนล้ำสมัยที่มีการผสมผสานอาหารจีนดั้งเดิมเข้ากับวัตถุดิบและวิธีการปรุงแบบตะวันตก

"อืมม์ แต่อาปาก็ไม่แน่ใจว่าวันนี้เชฟจะทำออกมาเต็มรูปแบบเหมือนที่ร้านหรือเปล่า เพราะอุปกรณ์ที่บ้านเราไม่ได้ครบเหมือนกับที่ครัวของเชฟ"

"ไม่เป็นไรครับ ขอแค่ให้แปลกกว่าที่เคยกินผมก็โอเคแล้ว ที่เชียงใหม่เราไม่มีอะไรแบบนี้ให้กินมากนักครับ มีแต่ร้านแบบ traditional ที่แปลกหน่อยก็เห็นจะเป็นที่ร้าน Yangzi Jiang ที่ใกล้ๆ คอนโดของผม หลังๆ มานี่ชักมีแบบขนมจีบหอยเชลล์เห็ดทรัฟเฟิล หรือข้าวต้มล็อบสเตอร์ อะไรแบบนี้ครับ"

เจอธิบาย ในเชียงใหม่เมื่อพูดถึงอาหารจีน ก็มักจะหมายถึงอาหารจีนแบบดั้งเดิมมากกว่าที่จะใส่ลูกเล่นอะไรเข้าไป

"ผมเคยเล่าให้ฆาบี้ฟังเมื่อคราวที่แล้วที่ไปเชียงใหม่ว่าคนแถวนี้โดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่จะไม่ค่อยเปิดรับอาหารที่แปลกไปจากที่เคยกินครับ หรือต่อให้มีคนกิน ก็ไม่ได้มีปริมาณมากพอที่จะทำให้กิจการที่ขายอาหารแปลกๆ พวกนี้อยู่รอดได้นาน..."

เจนยุทธยกตัวอย่างร้านอาหารจีน China Kitchen ที่โรงแรมแชงกรีลาซึ่งเป็นอาหารเสฉวน แม้จะเป็นอาหารจีนแบบ traditional แบบเดียวกับร้านอาหารสไตล์กวางตุ้งหรือแต้จิ๋วที่มีอยู่ดาษดื่น หากรสชาติอันเผ็ดร้อนทำให้มันไม่ค่อยจะเป็นที่ถูกปากเหล่าผู้อาวุโสซึ่งคุ้นชินกับอาหารสไตล์ฮ่องกงและแต้จิ๋วนัก



"...แต่ถ้าอย่างที่กรุงเทพฯ ผมก็เคยเห็นร้านอาหารจีนที่ขายอาหารแปลกๆ ออกจะฟิวชั่นหน่อยหรือมีการปรุงที่แปลกออกไปอยู่หลายร้านครับ แต่ก็ต้องขายปนๆ ไปกับอาหารจีนแบบ traditional อยู่ดี แต่ถ้าเป็นร้านฟิวชั่นจ๋าหรือล้ำสมัยไปเลยอย่าง Bo Innovation ที่ฮ่องกงเลยคงไม่มีครับ"

"เอ๊ะ นายรู้จักร้านนี้ด้วยเหรอ? "

ฆาเบียร์ถามขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อเจพูดชื่อร้านอาหารซึ่งกำลังอยู่ในกระแสของฮ่องกงร้านนี้

"รู้จักสิคุณ มีดาวติดหราอยู่สามดวงขนาดนั้น ผมต้องรู้จักอยู่แล้ว"

เจพูดยิ้มๆ ในบรรดา

"ผมบอกแล้วไงว่าผมกับพี่นพกำลังล่าดาวกันอยู่ จะมาฮ่องกงทั้งทีผมก็ต้องศึกษาว่ามีร้านไหนมีดาวน่าเก็บมั่ง แต่ร้านนี้มันแพงเกินงบ ผมก็เลยไม่ได้คิดลอง"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ เซ็ตเมนูของร้านนี้เริ่มต้นที่ 750+ เหรียญฮ่องกง ส่วนที่แพงที่สุดอยู่ที่เกือบ 2,500+ เหรียญ เขาเลยตัดสินใจว่าจะเก็บเงินไปแตกเป็นหลายๆ มื้อดีกว่า

"แล้วคุณเคยลองกินอาหารร้านนี้หรือยังครับ? มันเด็ดจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า? "

เจถามคนรักของเขา หากฆาเบียร์ส่ายหน้า และบอกว่าเขาเคยเห็นอาหารของร้านนี้แค่จากในรีวิวเท่านั้น

"ยังจ้ะ ยังหาโอกาสไปไม่ได้สักที แต่ก็ได้ยินหลายเสียงบอกมาเหมือนกันว่ามันดีมาก เจอยากลองไหม? "

ฆาเบียร์ถาม เจครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขานึกถึงอาหารหน้าตาล้ำสมัยที่เขาเคยเห็นจากในอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเมนูทีเรียกว่า "Xiao Long Bao" ซึ่งแท้จริงแล้วคือน้ำซุปหมูที่ให้รสชาติแบบเสี่ยวหลงเปา หากมันถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแผ่นเจลาตินกลมใสเหมือนหยดน้ำแทนที่จะใช้แผ่นแป้ง หรือไข่นกกระทาที่เชฟนำไปรมควันจนได้ออกมาเป็นไข่ยางมะตูมและห่อหุ้มด้วยเผือกทอดหน้าตาเหมือนรังนก จากนั้นโปะทับด้วย Ossetra Caviar และแผ่นทองในราคาชิ้นละ 280 เหรียญฮ่องกง สำหรับเจแล้ว อาหารของร้านนี้ทุกอย่างช่างดูแปลกใหม่น่ากินไปเสียหมด หากเขาก็ตัดใจปฏิเสธ



"ยังดีกว่าครับ ผมว่ามันแพงไป มื้อเป็นหมื่นนี่ ผมว่าไปลอง Gaggan ที่กรุงเทพฯ ก่อนดีกว่า"

"อาปาก็เคยได้ยินชื่อร้าน Gaggan เป็นร้านอาหารอินเดียใช่ไหม? "

คริสซึ่งนั่งฟังอยู่อย่างสนใจถามขึ้น เจพยักหน้า

"ครับ เขาเรียกตัวเองว่าเป็น Progressive Indian cuisine ก็คงเหมือนร้าน Bo เรียกตัวเองเป็น X-treme Chinese cuisine นั่นแหละครับ เชฟออกแนวร็อคๆ เหมือนกันด้วย"

เจหัวเราะเบาๆ เขาบอกผู้ร่วมโต๊ะทั้งสองว่าเขาซึ่งชอบอาหารแบบ traditional มากกว่าไม่แน่ใจว่าจะชอบอาหารของทั้งสองร้าน แต่เขาก็พร้อมที่จะลอง

"แต่วันนี้ผมขอลองอาหารของเชฟเฉินก่อนแล้วกันครับ ว่าแต่จะเริ่มเสิร์ฟหรือยังเนี่ย ผมหิวจะตายแล้ว"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ พลางลูบท้องตัวเอง คริสหัวเราะแล้วเรียกบัทเลอร์ส่วนตัวที่ยืนรอบริการอยู่ด้านข้างมาถามเป็นภาษากวางตุ้งก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบเดินออกไปยังครัว

"ฉันให้เควินไปดูให้ละ คงอีกไม่นานนะ อ๊ะ นั่นไง มากันแล้ว"

คริสหันไปยิ้มและทักทายเชฟเฉินอี้เหลียงซึ่งเดินออกมาแนะนำอาหารด้วยตัวเอง

"วันนี้ผมจะเสิร์ฟอาหารเป็นคอร์สแบบตะวันตกนะครับ ผมขอเริ่มต้นด้วย amuse-bouche นะครับ..."



“เป็นไงมั่งเจ นี่ถึงขั้นพูดไม่ออกเลยเหรอ?”

ฆาเบียร์ยิ้มร่า พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ผมของคนรักที่นั่งเอนกายอยู่ข้างๆ ตัว

“โอย คุณ อย่าเขย่าหัวผมสิ จะอ้วกแล้ว”

เจพึมพำประโยคท้ายเบาๆ ด้วยความเกรงใจคริส คนตัวโตหัวเราะก๊ากออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีของคนรักที่ร้องโอดโอยด้วยความแน่นท้อง

“ก็นายกินเข้าไปเยอะขนาดนั้น ไม่อิ่มอืดแบบนี้ก็คงแปลกล่ะ"

"เอ๊ะ! คุณ! อย่าจิ้มดิ! "

คริสยิ้มออกมาเมื่อเจว๊ากลั่นและตีมือของฆาเบียร์ที่พยายามจะใช้นิ้วจิ้มๆ พุงที่ป่องน้อยๆ ของเขา พ่อบุญธรรมชาวฮ่องกงของฆาเบียร์ผู้นี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นลูกชายกลับไปมีอารมณ์ขันและมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างที่เคยเป็นในอดีต

"โอย ผมจะตายจริงๆ นะ อาหารคำเล็กคำน้อย แต่ทำไมมันอิ่มงี้เนี่ย? "

เจนยุทธบ่นพึมพำพลางกระมิดกระเมี้ยนปลดกระดุมกางเกงของเขาออก ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ แล้วช่วยดึงชายเสื้อของเจ้าตัวดีลงมาปิดให้ เจหัวเราะแหะๆ พร้อมกับขอโทษขอโพยคริสที่ต้องมาเห็นสภาพไม่งามนักของเขา



"ก็อาเหลียงเขาเตรียมอาหารให้เจเท่ากับสองคนนี่ จะไม่อิ่มก็แปลกแล้วล่ะ"

คริสหัวเราะเบาๆ เชฟคนเก่งของเขาที่ดูจะเอ็นดูเจเป็นพิเศษจัดการเพิ่มปริมาณอาหารที่เสิร์ฟให้เจด้วยรู้ว่าหนุ่มไทยคนนี้กินจุแค่ไหน

"นั่นสิครับ ทุกอย่างมาเบิ้ลหมด แต่จะไม่กินก็เสียดาย"

"ฮ่าๆ จริงๆ คุณเจจะกินเหลือผมก็ไม่ว่านะครับ"

เจนยุทธหันไปยิ้มหวานให้เจ้าของเสียงภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่พวกเขากำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ เชฟเฉินที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ววางถาดที่มีจอกคริสตัลใบน้อยสามใบและขวดเหล้าขวดหนึ่งลงบนโต๊ะกาแฟ

"ตัวช่วยย่อยครับ"

อาเหลียงหรือเชฟเฉินรินเหล้าสีน้ำตาลเข้มลงในจอกน้อยทั้งสามและวางลงตรงหน้าทุกคน

"Fernet-Branca เหรอครับ? ผมยังไม่เคยลองเลยแฮะ"

เจยกขวดเหล้าในถาดขึ้นดูอย่างสนใจ จากนั้นยกจอกน้อยขึ้นดื่มอึกเดียวหมดแล้วทำหน้าเบ้

"อื้อหือ รสชาติเอาเรื่องครับ ออกสมุนไพรชัดเลย ช่วยย่อยดีแน่ๆ แต่ผมว่ารสมันคุ้นๆ แฮะ ผมว่าผมเคยดื่มอะไรแบบนี้มาก่อนนะ..."

เจนยุทธทำท่าครุ่นคิด เขาคุ้นกับรสของสมุนไพรและเครื่องเทศอย่างกานพลูและชะเอมในเครื่องดื่มช่วยย่อยนี้

"เจเคยกิน Jagermeister หรือเปล่าล่ะ? ถ้าเคย รสมันก็คล้ายๆ กันนี่แหละ ใช้แทนกันได้"

ฆาเบียร์ซึ่งรอบรู้เรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถามมา

"อ๋อ ใช่ๆ ผมเคยกินไอ้เจ้าเยเกอร์ครับ มีติดตู้เย็นไว้ด้วยเผื่อเวลาอิ่มจัดๆ เออ แต่ถ้าเทียบกัน ผมว่า Fernet-branca นี่อร่อยกว่านะ"

เจยกขวดเหล้าสัญชาติอิตาเลียนขึ้นดูอีกครั้งอย่างติดอกติดใจ เขาถ่ายรูปไว้ด้วยเผื่อจะกลับไปหาซื้อเองภายหลัง



"มานั่งคุยกันก่อนสิ อาเหลียง"

คริสเรียกเชฟที่ทำท่าจะเดินกลับครัวให้หยุด เขาผายมือให้เชฟเฉินซึ่งเป็นอดีตเด็กในบ้านนั่งลงบนเก้าอี้นวมฝั่งตรงข้าม

"อาหารอร่อยมากเลยครับเชฟ ผมชอบทุกจานที่เสิร์ฟเลยครับ..."

เจนยุทธยิ้มกว้างพร้อมกับชวนเชฟซึ่งสืบทอดหน้าที่หัวหน้าพ่อครัวประจำบ้านตระกูลหว่องต่อจากผู้เป็นพ่อคุยเรื่องอาหารรสเลิศที่เขาเพิ่งได้กินไป

"แล้วคุณเจถูกใจจานไหนที่สุดครับ? "

เชฟเฉินถามคนรักของนายฝรั่งของเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

"โอย ผมเลือกไม่ถูกเลยครับ อย่างไอ้เจ้าติ่มซำรวมที่คุณเสิร์ฟมาให้ก็เยี่ยมไปหมดทุกชิ้นเลย..."

เจนยุทธทำหน้าชวนฝันเมื่อนึกถึงอาหารจานที่สามที่เชฟปรุงมาให้เขา ติ่มซำรวมในลังถึงขนาดใหญ่ที่วางไว้ต่อหน้าพวกเขาแต่ละคนประกอบด้วยติ่มซำแบบนึ่งหกชนิด สามชนิดเป็นติ่มซำมาตรฐาน ได้แก่ ฮะเก๋ากุ้ง ขนมจีบปู และเกี๊ยวซีฟู้ดไข่เค็มซึ่งทำออกมาเป็นรูปปลาทอง หากอีกสามชิ้นเป็นของใหม่ที่เชฟเฉินคิดค้นขึ้นเอง

"ชิ้นที่คุณใช้เนื้อกุ้งมังกรสไลซ์บางแทนแป้งแล้วห่อไข่นกกระทากับชีสผสมทรัฟเฟิลไว้ข้างในนั่นก็เซอไพรส์ผมมาก ลูกชิ้นเนื้อที่ข้างในมีขิงกับไข่เยี่ยวม้าก็ดี แต่ที่ผมชอบที่สุดก็น่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวหลอดที่ข้างในเป็นมูสฟัวกราส์กับเนื้อห่านย่าง มันอร่อยไปหมดเลยอ่ะครับ"

"ขอบคุณครับ ผมดีใจจริงๆ ที่คุณเจชอบครับ"

เชฟเฉินยิ้มกว้าง เขาถูกชะตากับหนุ่มไทยผู้รักการกินคนนี้มากทีเดียวและชอบที่จะได้เห็นใบหน้าอันเปี่ยมสุขยามที่เจนยุทธกินอาหารที่ตนทำ



"อาปาว่าของทอดที่เสิร์ฟมาด้วยกันก็อร่อยนะ..."

คริสเสริมมาแล้วหันไปชมเชฟของเขา

"...ทั้งลูกชิ้นกุ้งทอดและเผือกทอดนายก็สืบทอดรสชาติของพ่อนายมาได้หมด เยี่ยมมาก ส่วนพายเป๋าฮื้อนั้น โอ้โห ฉันไม่รู้จะชมนายยังไงแล้ว"

"ใช่ครับๆ พายเป๋าฮื้อนั้นมันสุดยอดจริงๆ ผมกัดปุ๊บนี่เซอไพรส์จนแทบตกเก้าอี้เลย"

เจพูดอย่างตื่นเต้น

"ผมเพิ่งลองทำรสชาติแบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้คุณเจจะคิดว่ามันแปลกไปไหมครับ รสชาติมันถูกต้องตามที่ควรจะเป็นหรือเปล่าครับ? "

"โอ๊ย มันดีงามมากครับ ผมต้องขอบคุณเชฟจริงๆ ที่คิดทำให้ผมขนาดนี้..."

เจยกมือไหว้เชฟของอาปาของเขา สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจอย่างสุดแสนนั้นคือรสชาติที่แฝงอยู่ในพายชิ้นนั้น หน้าตาของมันดูเป็นเหมือนพายเป๋าฮื้อทั่วไปที่นำเอาแป้งพายมาห่อหุ้มหอยเป๋าฮื้อชิ้นงามที่ถูกนำไปตุ๋นจนนิ่ม หากแทนที่มันจะมีรสแบบจีนตามที่ควรจะเป็น ในเนื้อไก่สับผัดที่รองอยู่ด้านล่างของหอยเป๋าฮื้อกลับมีรสเผ็ดของน้ำพริกเผาเจือด้วยรสเปรี้ยวน้อยๆ ของมะนาว เมื่อประกอบกับกลิ่นของข่าตะไคร้และใบมะกรูดที่อวลออกมาจากเนื้อหอยแล้ว ทำให้พายชิ้นนี้กลายเป็นพายต้มยำไปอย่างสมบูรณ์แบบ

"ผมตุ๋นเนื้อหอยในน้ำซุปที่ปรุงรสแบบต้มยำครับ แค่ไม่ได้ใส่พริกเผาลงไป เพราะกลัวจะรสจัดไป..."

เชพเฉินอธิบายวิธีทำอาหารของเขาให้ทุกคนฟัง ส่วนเจและฆาเบียร์ก็ผลัดกันพูดชมอาหารจานอื่นที่เชฟชื่อดังผู้นี้รังสรรค์มาเพื่อพวกเขา


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด