มาต่อบทที่ 12 ให้แล้วนะครับ (ไม่ได้หายไปหลังทานข้าวซะหน่อย
“พักซักหน่อยไหมนายช่าง”
โชคดีหยุดเดิน หันไปถามชยุตม์ที่เดินตามมาห่างๆ แต่ก็แปลกใจที่เห็นชยุตม์ท่าทางไม่รีบร้อน เขานึกว่าชยุตม์จะเหนื่อยจนลิ้นห้อย ที่ไหนได้ ทำเหมือนเดินชมนกชมไม้ยังไงยังงั้น
“ถ้าคุณเหนื่อยก็หยุดพักบ้างก็ได้ครับ”
“ผมไม่เหนื่อยหรอก ห่วงแต่คุณนั่นล่ะ” โชคดีกระแทกเสียง รู้สึกฉุนกึกที่โดนชยุตม์กวนอารมณ์
“อ้าว ห่วงผมหรอกหรือ” ชยุตม์ยิ้ม เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโชคดี “พักก็ได้ นั่งชมวิวกันให้สบายใจแล้วค่อยไปต่อ แต่ว่าผมชักหิวข้าวแล้วนะ ทานข้าวกันเลยดีไหม”
“เพิ่งเที่ยงเอง” โชคดีทำปากยื่น ราวจะตำหนิชยุตม์ว่า...รีบหิวไปทำไม
“เที่ยงก็เวลาทานข้าวกันไม่ใช่หรือครับ”
...แปลกคนจริงๆ พอแดดออก โชคดีก็เริ่มจะกลายมาเป็นคนอารมณ์ร้อนอีกแล้ว ตอนที่ฝนปรอย ไม่เห็นจะร้ายแบบนี้ อยู่ที่กระท่อมปลายดอยก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง ตอนนี้พอลงที่ลุ่ม ชักจะกลับมาเป็นโชคดีคนเดิมซะแล้ว...
“ทำไมหรือครับ มีปัญหาอะไร” โชคดีถามเสียงแข็ง
...ทำหน้ายิ้มๆ อยู่ได้ เป็นอะไรก็ไม่รู้ สงสัยเมาแดด...
โชคดีขมวดคิ้วมองหน้าคนที่เอาแต่อมยิ้มทำเป็นอารมณ์ดี บางทีเขาก็ไม่เข้าใจชยุตม์เหมือนกัน โดนเขาว่า โดนเขาโขกสับ ชยุตม์ก็ยังทำหน้านิ่งๆ สลับกับหน้ายิ้มๆ อยู่ได้ ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย
...หรือว่าชอบโดนดุ...
“ผมน่ะไม่เคยมีปัญหาหรอก”
“อ้อ คุณว่าผมมีปัญหา” โชดดีขึ้นเสียง
“อ้าว พาล” ชยุตม์ส่ายหน้า “ผมไปว่าคุณตอนไหนล่ะ”
“คุณว่าทางอ้อม”
“ไม่ได้ว่า”
“เมื่อกี้ไง” โชคดีไม่ยอม จะเอาเรื่องให้ได้
“เมื่อกี้ไหน” ชยุตม์ทำหน้าเหรอหรา
“ก็เมื่อกี้คุณบอกว่าไม่เคยมีปัญหา”
“ก็จริงนี่ครับ” วิศวกรหนุ่มพยักหน้า
“การที่คุณบอกว่าตัวเองไม่เคยมีปัญหา มันเป็นการว่าผมทางอ้อมว่าผมชอบมีปัญหา”
“คุณกล่าวหาผมอีกแล้ว” ชยุตม์เริ่มเสียงดัง
“แล้วนี้ว่าผมชอบใส่ความคุณงั้นสิ”
ชยุตม์ส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ โชคดีก็เกิดอาการขึ้นมา “ผมไปว่าคุณที่ไหน”
“คุณพูดว่า กล่าวหาผมอีกแล้ว มันก็หมายความว่า คุณคิดว่าผมกล่าวหาคุณอยู่เป็นประจำ”
“ไม่เคยครับ” ชยุตม์โบกมือปฏิเสธ “คุณไม่เคยกล่าวหาผมเลย พอใจหรือยัง”
“ไม่ต้องมาประชด” โชคดีหรี่ตา ท่าทางเอาเรื่อง
“โมโหหิวนะเนี่ย บอกแล้วว่าถึงเวลาทานข้าวก็ไม่เชื่อ” ชยุตม์สรุป รู้สึกทั้งฉุนทั้งขัน ตอนนี้เขาเริ่มจะจับทางโชคดีได้แล้ว
...ชายหนุ่มมักจะหาเรื่องเขาเวลาเขิน...
...เพื่อปกปิดอะไรหรือ...
...ปกปิดความรู้สึกที่ว่าตัวเองก็เริ่มชอบเขาเหมือนกันแล้วสิท่า...
คิดได้ดังนี้ชยุตม์ก็อดอมยิ้มไม่ได้ แต่นัยน์ตาเขาคงวิบวับน่าหมั่นใส้ในสายตาของโชคดีกระมัง ชายหนุ่มเลยยื่นมือมาผลักเขาแรงๆ จนตกน้ำ
ตูม!!
“เฮ้ยย” ชยุตม์ร้องลั่นด้วยความตกใจ พร้อมกับเสียงร้องของโชคดีที่ร้องดังไม่แพ้กัน
...อย่าคิดว่าเขาจะลงคนเดียว บอกแล้วไง ถ้าจะทำร้ายเขาก็ต้องนัวเนียกันหน่อยแบบถึงเนื้อถึงตัว...
“โอ๊ย” ชยุตม์ร้องเบาๆ ด้วยไม่รู้ว่ามือหรือศอก หรือส่วนไหนของโชคดีที่กระแทกเข้าท้องของเขา แต่เขาไม่ยอมหรอก ลองทำกันแบบนี้ก็ต้องมีกอดรัดกันบ้างล่ะ
ชยุตม์ตะกุยตะกายประหนึ่งว่าหาที่จับเพื่อช่วยพยุงตัวเพราะกลัวจมน้ำ โชคดที่ช้างๆ มีต้นไม้เล็กๆ ที่ขึ้นริมตลิ่ง และสายน้ำไม่ไหล่เชี่ยวจนเกินไป น้ำไม่ลึกมาก เท้าของเขาเหยียบถึงพื้น แต่กระนั้นก็ปริ่มคอ
โชคดีผลักให้เขาออกห่าง แต่ชยุตม์พยายามกอดรัดชายหนุ่มเอาไว้ มือป่ายปะไปทั่ว ทำทีเป็นว่ากำลังจะจมน้ำ
“หมูปิ้ง ผมว่ายน้ำไม่เป็น” ชยุตม์ทำเสียงหอบ โชคดีชะงักชั่วครู่ แต่ครั้นหันมามองตาชยุตม์ ชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ทำท่าจะจมน้ำนั้นแกล้งทำ
“งั้นจมไปเลย” โชคดีออกแรงผลักอย่างแรง ชยุตม์เสียหลักเพราะเหยียบขอนไม้ลื่นๆ ใต้น้ำ มือวิศวกรหนุ่มจึงหลุดจากกิ่งไม้แล้วลอยออกห่างจากฝั่ง โชคดีหันขวับไปมอง แล้วรีบโผออกมาคว้ามือของชยุตม์เอาไว้ ทำให้ทั้งสองหนุ่มลอยออกไปไกลจากฝั่งมากกว่าเดิม
“โชคดี ระวังนะ” ชยุตม์ร้องเตือน มือพยายามไขว่คว้าหาหลักยืด ตามองไปยังพุ่มไม้ที่อยู่โค้งน้ำเบื้องหน้า มือแข็งแรงของเขายังจับแขนโชคดีเอาไว้มั่น
“ดูโน่น กอไม้ตรงโน้น คว้าให้ได้” โชคดีตะโกน พยักเพยิดให้ชยุตม์มองตาม กระแสน้ำเชี่ยวกรากมากขึ้นกว่าเดิม ชยุตม์พยายามตีเท้าให้แรงมากขึ้น ยื่นแขนออกไปจนสุด แล้วคว้ากิ่งไม้เอาไว้ได้ โชคดีถูกน้ำพัดออกห่าง แต่ชายหนุ่มก็กระเสือกตัวเข้าหาเขาและกอดเอวเขาไว้ได้
“เป็นไงล่ะ สนุกไหม” โชคดีหอบแฮกๆ ถลึงตามองชยุตม์ ดันตัวขึ้นมาคว้ากิ่งไม้
“สนุกครับ” ชยุตม์ยิ้ม “ตี่นเต้นและสนุกที่สุด”
ชายหนุ่มทั้งสองหายใจแรง มองหน้ากันนิ่งชั่วครู่ ลืมไปว่าลำตัวกำลังแนบชิด และขากำลังเกี่ยวกันอยู่
...น้ำเย็น แต่ทำไมอุ่นเหลือเกิน หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุดันออกมาจากอก...
ชยุตม์นิ่ง มองตาคมกริบของโชคดีด้วยความคิดคำนึง เขาดูไม่ผิด นัยน์ตาของโชคดีส่องประกายพึงพอใจ
...โชคดีก็ชอบเขาเหมือนกัน!...
...หมูปิ้งไม่ได้เกลียดเขาเลย ที่เคยพูดเคยสงสัยว่า ทำไมไม่ชอบหน้าเขาอะไรนักหนา ต่อจากนี้ไปไม่ต้องถามแล้ว...
ทว่า ช่วงเวลาเช่นนี้อยู่ได้ไม่นาน โชคดีรู้สึกตัวแล้ว และแกล้งเหยียบเท้าชยุตม์ และเตะหน้าแข้งเข้าไปหนึ่งที
“โอ๊ยเจ็บ” ชยุตม์ร้อง รู้สึกเจ็บจริงๆ
“เจ็บเป็นเหมือนกันหรือ แล้วขึ้นฝั่งได้หรือยัง” โชคดีกระชากเสียง
“เจ็บสิ ผมเป็นคนนะ มีความรู้สึก” ชยุตม์ตอบ
“อยากได้ความรู้สึกอีกซักหน่อยไหมคุณนายช่างชยุตม์ คราวนี้จะเอาให้รู้สึกจนลืมไม่ลง”
“อย่านะ” ชยุตม์รีบห้าม ด้วยรู้ว่าโชคดีคิดอะไรอยู่ “อย่าใจร้ายขนาดนั้น”
คนใจร้ายไม่ตอบ ขยับตัวออกห่างวิศวกรหนุ่มแล้วดึงตัวเองให้เข้าใกล้ฝั่ง ชยุตม์หันตัวตาม แล้วขยับตัวช้าๆ ยังไม่ยอมหยุดพูด
"โชคดี คุณจะจงเกลียดจงชังผมไปถึงไหน" ชยุตม์เค้นเสียงถามคนที่ทำหน้าบึ้งอยู่ใกล้ๆ
"ไม่ได้เกลียด ใครบอกว่าเกลียด" โชคดีตอบหน้านิ่งๆ มือคอยผลักเศษไม้ที่ลอยมากับน้ำเชี่ยวกราก
"ไม่ได้เกลียดแล้วรักหรือไง แกล้งผมอยู่ได้ไม่เบื่อ" ชยุตม์ตัดพ้อ
"ใครว่าแกล้ง" โชคดีปฏิเสธ
"แล้วที่ต้องลอยคลอเกาะกิ่งไม้อยู่อยู่กลางน้ำนี่เรียกว่าอะไร" ชยุตม์เสียงเข้ม จ้องตาโชคดีเขม็ง
"ใครว่าลอยคลอ แค่ยืนต่างหาก ทำเป็นบ่น" โชคดีเบ้ปาก แล้วหันหน้าไปมองทางอื่น
"อยากจะหักคอคุณนัก" ชยุตม์พึมพำ
"ก็เอาสิ" โชคดีพูดเสียงเบา ตามองไปยังพุ่มไม้ พลางขยับเท้าช้าๆ "แต่ระวังเท้าผมหน่อยก็แล้วกัน เคยโดนม้าถีบไหมนายช่าง"
"ผมไม่ใช่นายช่าง ผมเป็นวิศวกร คุณรู้ไหมว่าผมจบจากที่ไหนและทำงานโครงการอะไรมาบ้าง ได้รางวัลมากี่สถาบัน" ชยุตม์ชักจะเหลือทน
"มหาลัยเมืองนอกมั๊ง ท่าทางคุณบอก ส่วนสร้างอะไรมาบ้าง ถ้าให้ผมเดาน่าจะเป็นบ้านเอื้ออาทรแถวชานกรุง รางวัลก็คงได้จากสถาบันผลิตปูนซีเมนต์แห่งประเทศไทย" โชคดีประชด แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
"ร้ายจริงๆ ระวังตัวไว้เถอะ" ชยุตม์เสียงเข้ม กัดฟันกรอดๆ
โชคดีหันหน้ามามองคนที่กำลังตามมาข้างหลัง มือขวายึดกิ่งไม้ไว้แน่น มือซ้ายแหวกเศษวัชพืชที่ลอยมากับน้ำ
"คุณวิศวกรชยุตม์ครับ คนที่นี่เขาเรียกวิศวกรว่านายช่างกันทั้งนั้น ถ้าคุณไม่ชอบ ผมจะไม่เรียกอีกก็ได้ ไม่เรียกเลยก็ไม่เห็นจะลำบากผมที่ไหน"
"ผมอยากให้เรียกอย่างอื่น" ชยุตม์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ รู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นโชคดีทำหน้านิ่งเรียบ น้ำเสียงเย็นๆ ทำท่าเหมือนจะงอน
"เรียกอะไร" โชคดีถาม แต่เริ่มหลบตาทั้งที่ใบหน้ายังมองตรงมาที่ชยุตม์ หากตาดุคู่นั้นกรอกไปมาซ้ายขวาอย่างพยายายามจะหลีกเลี่ยงการสบตากับอีกฝ่าย แต่คนที่ร้ายเหลือทนพยายามบังคับไม่ให้หน้าหันไปทางอื่นเพราะกลัวถูกหาว่าไม่สู้หน้าคน
"คุณรู้ไหมว่าผมอยากให้คุณเรียกผมว่ายังไง" ชยุตม์ขยับเข้ามาใกล้ เสียงเบามากกว่าเดิม
"ไม่บอกจะไปรู้ได้ยังไง"
"เรียกว่า..." ชยุตม์อมยิ้ม ตากรุ้มกริ่ม
...โชดดีอายเป็นด้วยแฮะ...
ชยุตม์หายใจแรงเมื่อยื่นหน้าเข้ามาใกล้คนหน้าดุมากกว่าเดิม โชคดีจ้องตาเขานิ่งเช่นกันราวถูกสะกดจิต แต่ก็เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ คนที่ร้ายนักก็ขยับตัว แล้วชยุตม์ก็ต้องร้องลั่นป่า เสียงดังแข่งกับเสียงน้ำหลากที่ไหล่เชี่ยวในแม่น้ำน่าน
"ขอโทษ" โชคดีพูดเสียงเบา แล้วเร่งความเร็วดึงตัวเข้าหาฝั่ง
ชยุตม์ย่อตัวลงจนน้ำปริ่มคอ เพราะเจ็บที่โดนอีกฝ่ายทำร้ายแบบไม่ได้ตั้งตัว หากสายตาที่มองตามหลังของโชคดีนั้นพราวระยับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายหนุ่มพยายามปีนขึ้นไปบนฝั่ง
...ซ่อนรูปไม่เบาแฮะ เห็นตัวเพรียว ไม่น่าเชื่อว่า...
"อ้าวจะแช่น้ำอยู่อย่างนั้นหรือนายช่าง" โชคดีกระแทกเสียง "เร็วๆ เข้าสิ"
"ผมยังเจ็บอยู่" ชยุตม์ทำหน้ากึ่งบึ้งกึ่งขำ
"มาเจ็บต่อบนบก" โชคดีหันหลังให้ แล้วถอดเสื้อเชิ้ทออกมาบิด เผยให้เห็นกล้ามพองามภายใต้เสื้อยืดที่เปียกลู่ติดลำตัว
ชยุตม์มองอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้คิดอยากจะขึ้นไปบนฝั่งแม้แต่นิด ตอนนี้เขากำลังมองชายหนุ่มที่เขาพึงใจมาตลอด
...แค่พึงใจหรือ...
ชยุตม์ยามตัวเอง
...หรือชอบใจ ถูกใจ ชอบ หรือถึงขนาดรัก...
...รักโชคดีนี่นะ แล้วจักริณทร์ล่ะ เขาจะเอาจักริณทร์ไปไว้ไหน...
ชยุตม์ถอนหายใจ ตอนนี้ความรู้สึกของเขาเริ่มสับสัน ในหัวใจก็เริ่มสับสน ชีวิตที่เคยราบเรียบมาตลอดตั้งแต่ก่อนมาเจอโชคดีแล้วเจอแต่ความวุ่นวาย เขาเริ่มจะปรับตัวได้แล้ว
แต่ความรู้สึกใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในใจนี่สิ ทำไมเขารู้สึกแปลกๆ แบบนี้...
คุณเตือนใจนิ่งเงียบไปจนปฐพีรู้สึกแปลกๆ ขณะที่กำลังพักทานอาหารกลางวัน นายตำรวจหนุ่มจึงเดินเข้าไปหา
“เหนื่อยหรือครับ” ปฐพีถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
คุณเตือนใจพยักหน้า แต่ปฐพีไม่เชื่อ เขารู้ว่าคุณเตือนใจเป็นคนเข้มแข็งและแข็งแรง แค่นั่งเรือมาแค่นี้ไม่ทำให้เหนื่อยจนท่าทางเปลี่ยนไปขนาดนี้หรอก
“โชคดีต้องไม่เป็นอะไรครับ ผมมั่นใจว่าโชคดีต้องไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง” ปฐพีปลอบ
คุณเตือนใจนิ่งไปครู่ใหญ่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองนายตำรวหนุ่มที่เธอเอ็นดู “ผู้กองจำที่แม่เคยพูดได้ไหมว่า จะทำอะไรก็รีบทำเข้า”
“จำได้ครับ แต่หมายความว่า...”
“ถ้ารักหมูปิ้งก็รีบบอกรักมันซะ เอาให้แน่นอน จริงจังไปเลย อย่ารีรออะไรอีก” คุณเตือนใจพูดเสียงหนักแน่น
ปฐพีนิ่ง ไม่ตอบว่าอะไร ในใจพยายามคิดหาเหตุผลว่าเหตุใดคุณแม่ของโชคดีจึงมีท่าทีเช่นนี้ คุณเตือนใจดูครุ่นคิดคำนึงจนเอาอยากจะถามให้มากกว่านี้
“มีอะไรบอกผมได้ไหมครับ ทำไมจู่ๆ มาให้ผม...”
“ผู้กองก็ไปมาหาสู่ สนิทกับครอบครัวของเรามานาน แม่มองออกว่าผู้กองชอบโชคดี และโชคดีก็คงไม่ได้เกลียดผู้กอง หากจะตกลงปลงใจรักกันก็ไม่น่าจะมีปัญหา แม่รู้ ความรักแบบนี้มันแปลกกว่าความรักหญิงชายทั่วไป แม่ได้บอกว่าชีวิตรักจะต้องเป็นเหมือนคนทั่วๆ ไป แต่การมีคนที่เรารักและให้กำลังใจกันและกัน คอยดูแลกันแบบพิเศษก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ หากผู้กองกับโชคดีเปิดเผยต่อกันและตกลงใจรักกัน ชีวิตก็น่าจะมีความหมายมากกว่าที่เป็นอยู่”
...คุณเตือนใจกำลังบอกให้เขาไปสู่ขอโชคดีหรืออย่างไร...
...รัก...
...รักแล้วหรือ...
...ตอนนี้เลยหรือ...
โชคดีทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง หันไปมองชยุตม์ที่เดินโผเผตามมาทิ้งตัวลงนอนแผ่ข้างๆ เขาก็อดฉุนไม่ได้
“นี่ถ้าคุณไม่เล่นอะไรบ้าๆ เราก็คงได้กินข้าวไปแล้ว”
ชยุตม์นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่แล้วพูดขึ้นเสียงเบาๆ เพราะไม่มีแรง “คุณเป็นคนผลักผมตกน้ำนะ”
“แล้วคุณดึงผมลงไปด้วยทำไม กับข้าวเลยลอยหายไปกับน้ำหมด” โชคดีเสียงเข้มขึ้น แต่เป็นเสียงเข้มแบบอ่อนแรง
“อ๋อ คุณโทษผมอีกล่ะสิ คราวนี้ผมขอว่าคุณหน่อยว่ากำลังหาเรื่องผม” ชยุตม์ยังเสียงหอบไม่หาย
“พูดไม่เข้าหูทำไมล่ะ”
“แล้วจะให้พูดแบบไหนจะได้เข้าหู”
“อย่าพูดอะไรซะเลยจะดีกว่า” โชคดีเอ็ด หันไปมองคนที่นอนหายใจรวยรินปานกำลังจะสิ้นลม
“ถ้าอยู่ที่กระท่อมปลายดอยต่อ ป่านนี้เราคงอาบน้ำ ทำอาหารจะรับประทานกันอย่างอร่อย”
“ผมทำ คุณไม่ได้ทำ” โชคดีแย้ง “ล้างจานไม่สะอาดอีกต่างหาก”
“มันไม่มีฝอยขัดหม้อนะโชคดี”
“ไหนบอกว่าจะขัดให้จานสีถลอกยังไงล่ะ” โชคดีถอนหายใจ
“คุณก็รู้ว่าผมล้างจานไม่เป็น ยังจะให้ผมล้างอีก”
“อ๋อ ผมต้องทำกับข้าว ล้างจ้าน กวาดบ้านถูบ้าน ซักเสื้อผ้าให้ด้วยใช่ไหม” โชคดีขึ้นเสียง ตอนนี้ชักจะลืมความเหนื่อยล้า
“ผมก่อไฟนะ อย่างน้อยผมก็มีประโยชน์ ซ่อมแซมบ้านก็ได้ จะสร้างให้ทั้งหลังยังได้เลย”
“สร้างเรือซักลำก่อนเถอะ” โชคดีพูดเสร็จก็นอนแผ่หราลงข้างๆ ชยุตม์ มือลูบท้องด้วยความหิว ตาเหม่อขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เริ่มเป็นสีทอง บ่งบอกว่าอีกไม่นานก็จะมืด
“พระอาทิตย์ตกดินสวยจริงๆ” ชยุตม์พึมพำ
...บ้าจริงๆ จะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาชื่นชมอาทิตย์อัสดงอีก...
“ตกน้ำต่างหาก ยอมรับซะเถอะ ว่าเราติดเกาะ ไปไหนไม่ได้”
“คุณกำลังบอกว่าให้ยอมรับชะตากรรม นอนตายอยู่ตรงนี้งั้นหรือ” ชยุตม์เอียงหน้ามามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่มที่กำลังนอนใกล้ชิดกับเขา จนไหล่แทบจะชนกัน
...อยากพลิกตัวนอนกอดโชคดีจังเลย เหนื่อยล้าขนาดนี้จะมีแรงผลักเราหรือเปล่านะ...
ชยุตม์คิด แต่ก็ตัดสินใจว่าไม่ทำดีกว่า ขอนอนจับมือโชคดีก็พอแล้ว
“ถอยไป” โชคดีตวาด เมื่อรู้สึกตัวว่านิ้วของชยุตม์ขยับมาแตะมือเขา
“เงียบเถอะน่า กำลังฟังเสียงนกร้อง” ชยุตม์หัวเราะหึๆ
“คุณนี่จริงๆ เลย” โชคดีขยับตัว “อย่าตามมานะ”
“ยังมีแรงหนีอีก”
“คุณนายช่างชยุตม์ ขอทีเถอะ หยุดพูดได้ไหม ขออยู่เงียบซักพัก” โชคดีสั่งเสียงแผ่ว
ชยุตม์ยอมทำตามที่โชคดีสั่ง เพราะเขาเองก็หมดแรงเช่นกัน สองหนุ่มนอนพักจนเริ่มจะเคลิ้มหลับ แต่ไม่นาน หูก็ได้ยินเสียงแว่วๆ
...เหมือนเสียงเรือ และเสียงคนตะโกนเรียกชื่อ...
โชคดีดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ตาเพ่งมองออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า รู้สึกเหมือนจะมองเห็นอะไรบางอย่างใกลๆ ครั้นหันไปมองชยุตม์ก็เห็นฝ่ายนั้นหลับไปเสียแล้ว อกสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะ ท่านอนท่าเดิม เหยียดตรงนิ่งเป็นหุ่น
ใบหน้าที่คมเข้มอยู่แล้วของชยุตม์ยิ่งคมเข้มขึ้นเพราะไม่ได้โกนหนวดเครามากว่าสี่วัน แต่ยามหลับ ใบหน้านั้นดูอ่อนเยาว์ เหมือนหนุ่มน้อยที่เพิ่งเรียนจบ แทนที่จะเป็นวิศวกรฝีมือดีมีผลงานเห็นตึกสูงอยู่ทั่วทุกมุมโลกอย่างที่เจ้าตัวอวดนักอวดหนา
...ดูๆ ไป ชยุตม์ก็เป็นคนน่าคบ แม้จะทำอะไรขวางหูขวางตาบ้าง แต่ชยุตม์ก็ดูเป็นคนอดทน มองโลกในแง่ดี มีความมุ่งมั่น และหากชยุตม์รักษาสัญญาที่จะสร้างรีสอร์ทออกมาให้ดีที่สุด ไม่ทำลายธรรมชาติ บางทีเขาอาจจะ...
“โชคดี”
“คุณชยุตม์”
“หมูปิ้ง”
“ยุตม์”
เสียงหลายเสียงดังขึ้น โชคดีหันขวับ ลุกขึ้นทันใดเมื่อสังเกตเห็นว่ามีเรือกำลังลอยลำอยู่ห่างออกไป รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น ชายหนุ่มเดินไปริมน้ำ โบกไม้โบกมือ แล้วเคลื่อนไหวไปมา ให้คนที่อยู่ในเรือสังเกตเห็น
พระอาทิตย์ทอแสงสีทองกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ เสียงนกการ้องประสานกันเพราะกำลังพากันกลับรัง ลมพัดเอื่อยๆ กระทบใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื่น โชคดีหันไปมองชยุตม์ที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง ใจหนึ่งอยากวิ่งไปปลุก แต่ใจหนึ่งก็อยากปล่อยให้หลับต่อ จนกว่าเรือจะมาถึง แล้วเขาก็จะเดินไปหาวิศวกรหนุ่มแล้วดึงให้ลุกขึ้น เพื่อจะทำท่าข่มแล้วบอกว่า “เห็นไหมล่ะ เขาแข็งแรงกว่า เหนื่อยแสนเหนื่อยยังไม่หมดแรงพับไปเหมือนตัวเอง ลุกขึ้นมาได้แล้ว กลับบ้านกัน...”
เขาจะหัวเราะเยาะๆ แล้วบอกชยุตม์อีกว่า “ถ้ายังอยู่ที่กระท่อมปลายดอย ก็คงอดตายอยู่บนนั้น เชื่อโชคดี ยังไงก็ต้องรอด”
...ว่าแต่ว่าใครกันมาช่วยเขา เมื่อกี้ได้ยินเสียงเรียกหมูปิ้ง ถ้าไม่ใช่แม่ก็คงเป็นผู้กองปฐพี ไม่ก็ซ่ง ใครเล่าจะกล้าเรียกชื่อเล่นเขา...
...ชยุตม์นี่ไง กล้าขึ้นมากแล้วนี่ เรียกชื่อเล่นเขาได้หน้าตาเฉย ไม่มีท่าทีจะกลัวแม้แต่นิด...
...แล้วทำไมมากันเยอะนัก เรือก็หลายลำ...
“โชคดี”
“แม่ ผู้กอง” โชคดีตะโกนกลับ พลางหันไปมองชยุตม์ที่กำลังงัวเงีย ยันตัวขึ้นนั่ง
...แล้วใครกัน หน้าตาคล้ายๆ ชยุตม์ตั้งสองคน...
โชคดีขมวดคิ้ว พลางยกมือขึ้นโบกให้แม่ของเขากับผู้กองปฐพีและคนที่อยู่บนเรือซึ่งกำลังใกล้เข้ามามากจนเห็นหน้าทุกคนที่อยู่บนเรือได้ชัด
ซ่งทำหน้าลิงโลดดีใจอย่างสุดซึ้ง ราวกันตามหาเขาเป็นปีๆ ผู้กองปฐพีส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ แม่ของเขาทำเหมือนจะร้องให้ น้าพงษ์ยิ้มกว้างเหมือนโล่งใจ ชายหนุ่มหน้าตาดียิ้มบ้างๆ เหมือนชยุตม์มากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพี่กับน้องกัน แล้วผู้ชายวัยกลางคนร่างสูงที่ยืนเด่นอยู่หัวเรือลำที่อยู่ขวาสุดนั่นก็คุ้นตาเขามาก
...นั่นรัฐมตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนี่น่า...
โชคดีหันหน้าไปมองชยุตม์ที่นั่งอยู่ข้างหลังกำลังยกมือขึ้นลูบหน้าตา แล้วหันไปมองท่านรัฐมนตรีฯ และชายหนุ่มหน้าตาดีที่ยืนอยู่ข้างๆ ซ่ง สลับกันไปมา
เรือลำของผู้กองปฐพีถึงก่อน โชคดีหันไปมองชยุตม์ที่กำลังลุกขึ้นช้าๆ ใบหน้าคมเข้มเรียบนิ่ง แทนที่จะกระโดดโลดเต้นดีใจเหมือนเขาตอนแรกที่มองเห็นว่ามีคนมาช่วย
...เจ็บใจนัก ชยุตม์นะชยุตม์...
โชคดีหันหลัง เดินไปหาชยุตม์ช้าๆ หูแว่วเสียงของปฐพีเรียกชื่อเขาแล้วร้องห้าม ตามมาด้วยเสียงตูมเหมือนกระโดดลงน้ำ
...เจ็บใจจริง...
ชยุตม์กลืนน้ำลาย ตั้งท่ารอให้โชคดีเดินเข้ามาใกล้ แต่ครั้นโชคดีใกล้จะถึงตัวเขา มือแข็งแรงของผู้กองปฐพีก็คว้าตัวชายหนุ่มเอาไว้ได้
...ตอนนี้ไม่ได้ยินอะไรแล้ว รู้แต่ว่ารู้สึกหูอื้อ เสียงคนพูดดังระเบ็งเซ็งแซ่ไปหมด ระคนเสียงลมดังอื้ออึง เมื่อกี้ยังลมเอื่อยๆ แต่ตอนนี้ลมแรงจนหูอื้อไปหมด...
...ดีใจที่มีคนมาช่วยชีวิต แต่เจ็บใจที่เห็นหน้านิ่งๆ ของชยุตม์....
...หายไปไหนแล้ว...
...อย่าให้เจออีกนะ...
...หรือไม่ก็ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลย...
*******12*******
สุขสันต์วันหยุดสุดสัปดาห์ทุกๆ คนนะครับ