2.“ภัทร ตื่นได้แล้ว”
สัมผัสอบอุ่นที่ไล้ไปมาอยู่บริเวณไรผมกับเปลือกตาสร้างความจั๊กกะจี้ให้จนคนที่กำลังหลับขมวดคิ้วมุ่น ความงัวเงียทำให้ร่างบางส่งเสียงครางอย่างขัดใจก่อนจะหันหนีสัมผัสที่ยังตามมาระรานบนเส้นผมและขมับ
“ไม่เอา...ง่วง...”
เสียงหัวเราะในคอเล็ดลอดเข้าสู่โสตประสาทที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น อ้อมแขนเรียวยิ่งกระชับกอดหมอนอิงใบเล็กแน่นเข้า ก่อนที่ลมหายใจอุ่นๆกับเสียงทุ้มที่ดังขึ้นริมหูจะปัดเป่าความง่วงให้หายเป็นปลิดทิ้ง
“ถ้ายังไม่ตื่น จะจูบแล้วนะ”
“เฮ้ย!!”
ภัทรดีดตัวลุกขึ้นจากจุดที่นอนขดอยู่บนโซฟาแล้วถอยกรูดรวดเดียวชิดกับพนักฝั่งที่ห่างคนพูดที่สุด ใบหน้าขาวเนียนร้อนฉ่าเมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านกำลังนั่งขำกับปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเอง
“คุณเชษฐ์! ปลุกดีๆก็ได้นี่ครับ ล้อเล่นแบบนี้ผมไม่ขำด้วยนะ”
คนเพิ่งตื่นเอ่ยท้วงตาดุโดยหารู้ไม่ว่ากลับยิ่งเข้าทางคนปลุกมากเข้าไปอีก คิ้วเข้มเหนือกรอบแว่นเลิกขึ้นข้างหนึ่งโดยที่มุมปากยังมีรอยยิ้มติดอยู่
“ใครบอกว่าล้อเล่น ถ้าเมื่อกี้เธอไม่ตื่นฉันกะจะลักหลับเธอจริงๆแล้ว มีใครเคยบอกหรือเปล่าว่าตัวเองขี้เซาน่ะ”
ภัทรทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กที่รู้ว่าไม่มีวันเถียงผู้ใหญ่ชนะ เชษฐ์เลยส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งตบแก้มขาวเบาๆ
“ไปล้างหน้าล้างตาไปจะได้ทานข้าวเย็นก่อนกลับคอนโด ยกเว้นว่าคืนนี้เธอจะอยากนอนที่นี่”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจัดค้อนคนพูดที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ก่อนจะลุกหายเข้าไปในครัว ภัทรนั่งกอดเข่าอยู่ที่เดิมอีกครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจแล้วลุกไปล้างหน้าในห้องน้ำ เมื่อเดินออกมาก็พบว่าเจ้าของบ้านยกอาหารออกมาจัดไว้บนโต๊ะกลมตัวเล็กริมระเบียงเรียบร้อยแล้ว
“ที่จริงคุณเชษฐ์ไม่เห็นต้องเตรียมเองคนเดียวเลยนี่ครับ ถ้าหิวก็น่าจะปลุกผมให้เร็วกว่านี้จะได้ตื่นมาช่วย”
ภัทรเอ่ยเสียงอ่อยพลางทรุดตัวลงนั่ง อีกฝ่ายจึงยิ้มบางก่อนจะตักไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ยื่นใส่จานให้
“ไม่เป็นไรหรอก กับข้าวพวกนี้ป้าแย้มเค้าทำเตรียมไว้ให้แล้ว ฉันก็แค่เอาออกมาอุ่นใส่จานเท่านั้นเอง เอาไว้วันไหนฉันอยากทำกับข้าวขึ้นมาเธอค่อยช่วยก็แล้วกัน”
ภัทรพยักหน้าขอบคุณแล้วก็รีบตักยำถั่วพูจากอีกจานส่งให้เจ้าของบ้านบ้าง
“คุณเชษฐ์ทำอาหารเองด้วยเหรอครับ”
“ก็เป็นบางครั้ง แต่ก็พวกอาหารง่ายๆเท่านั้นแหละ พอดีว่าเคยเป็นลูกมือในร้านอาหารตอนเรียนอยู่ต่างประเทศก็เลยพอทำได้”
ร่างสูงตอบแบบไม่ใส่ใจก่อนจะเริ่มตักข้าวเข้าปาก ภัทรพยักหน้าแล้วก็เริ่มจัดการอาหารของตัวเองบ้าง ความที่ได้คุ้นเคยกับเชษฐ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาจึงรู้ว่าคำจำกัดความของคำว่า “พอทำได้” ของอีกฝ่ายหมายถึง “ดีมาก” ในพจนานุกรมของคนทั่วไป เพราะชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่มีมาตรฐานในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพค่อนข้างสูง ซึ่งก็ไม่ต่างกับข้าวของเครื่องใช้ที่เจ้าตัวเลือก แม้น้อยครั้งจะไม่ใช่ของที่มียี่ห้อหรือราคาแพง แต่เรื่องคุณภาพและความใหม่ก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอไป
ความพิถีพิถันของอีกฝ่ายทำให้บางครั้งภัทรอดย้อนคิดถึงตัวเองไม่ได้ คนที่เคยคบผู้ชายอื่นมาก่อนอย่างเขาจะนับว่าเป็นของมือสองได้หรือเปล่านะ?
เสียงน้ำไหลในบ่อปลาคาร์ฟเล็กๆข้างบ้านที่ดังลอดระเบียงเข้ามาทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลงบ้าง ภัทรลอบมองคนที่กำลังนั่งทานข้าวด้วยกันแล้วก็ตักอาหารส่งให้เป็นระยะพลางเตือนตัวเองไม่ให้คิดมาก
จากวันที่ทั้งสองตกลงคบกันเวลาก็ผ่านไปกว่าสองเดือนแล้ว แต่นอกจากเวลาที่อยู่กันตามลำพังจริงๆทั้งคู่จะวางตัวเหมือนเจ้านายลูกน้องธรรมดา ทำให้คนในออฟฟิศยังไม่มีใครรู้เรื่องที่ตอนนี้ผู้จัดการโปรเจ็กต์คนเก่งกับพนักงานแผนกโอเปอเรชันกำลังอยู่ในสถานะ “คนพิเศษ” ของกันและกันอยู่
วันไหนที่ทั้งคู่เลิกงานเวลาไม่ห่างกันนักเชษฐ์จะไปส่งภัทรที่คอนโดซึ่งเป็นห้องเก่าของพี่สาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ส่วนในวันหยุดถ้าไม่ติดธุระอะไรก็จะออกไปข้างนอกด้วยกัน และบางครั้งคนตัวใหญ่ก็จะพาภัทรมาที่บ้านซึ่งตัวเองอาศัยอยู่คนเดียวโดยมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้วันละครั้ง ส่วนพ่อแม่ของเจ้าตัวนั้นย้ายไปต่างประเทศถาวรหลายปีแล้วเพราะมีธุรกิจอยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับพี่ชายแฝดคนละฝาซึ่งทำงานอยู่ต่างประเทศเช่นกัน
หลังทานอาหารเย็นเสร็จภัทรอาสาขอล้างจานเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบเจ้าของบ้าน แต่พออีกฝ่ายปฏิเสธชายหนุ่มก็ยืนยันเสียงแข็ง
“ผมไม่ใช่แขกนะครับคุณเชษฐ์ ถ้ามาแล้วคุณเชษฐ์ให้ผมนั่งเล่นนอนเล่นอย่างเดียวคราวหลังผมไม่มาแล้วนะ”
พอเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังร่างสูงก็ถอนหายใจก่อนจะดึงคนตัวเล็กกว่าเข้าไปหอมแก้มเบาๆ “เข้าใจละ ฉันก็แค่อยากให้เธอได้นั่งเล่นสบายๆเท่านั้นเอง แต่ถ้าอยากทำก็ตามใจ”
ภัทรหลบตาเปื้อนยิ้มของคนตัวใหญ่แล้วก็รีบยกจานชามส่วนหนึ่งเดินนำลิ่วเข้าครัว ความที่ห่างหายการใกล้ชิดกับใครมาสองปีกว่า บวกกับความยังไม่คุ้นเคยในสถานะที่เพิ่งเลื่อนขั้นของตัวเองกับเจ้านายแม้ไม่ใช่เจ้านายโดยตรงทำให้เขายังไม่อยากปล่อยใจไปกับบรรยากาศหวานๆมากนัก
จริงอยู่ที่เชษฐ์เคยบอกตอนที่ขอคบกันว่าเจ้าตัวเริ่มมองเขาตั้งแต่ยังเป็นพนักงานใหม่ แต่ภัทรก็รู้ตัวดีว่าตัวเองก็ยังมีช่องว่างระหว่าง “ภัทรกร” ที่เอาจริงเอาจังกับงาน กับ “ภัทรกร” ที่เป็นตัวของตัวเองยามไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่น และเขาก็ไม่แน่ใจว่าถ้าหากเชษฐ์ได้รู้จักเขาดีขึ้นแล้วอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า บางทีตอนนี้คนตัวใหญ่อาจแค่หลงเพราะ่เห็นว่าเขายัง “แปลกใหม่” อยู่ก็ได้
“คิดอะไรอยู่ คิ้วจะผูกกันแล้ว”
ร่างผอมบางสะดุ้งเมื่อโดนปลายนิ้วของคนที่มายืนข้างตัวตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้จิ้มเบาๆที่หน้าผาก มือเรียวรีบหมุนก๊อกน้ำเพื่อล้างฟองน้ำยาล้างจานจากถ้วยในมือแล้วคว่ำลงบนตะแกรง
“เปล่าครับ แค่กำลังคิดว่า ผมมาบ้านคุณเชษฐ์ก็หลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้เจอป้าแย้มเลยนะครับ”
ภัทรเอื้อมหยิบผ้าเช็ดมือที่แขวนอยู่เหนืออ่างมาซับมือที่เปียกชุ่ม แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อโดนอ้อมแขนอุ่นดึงตัวเองไปกอดจากข้างหลังโดยอีกฝ่ายเอาคางมาเกยศีรษะไว้
“ป้าแย้มแกก็มีลูกมีหลานต้องกลับไปดูแลที่บ้านเหมือนกันนี่ อีกอย่าง เวลาได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองก็ไม่ค่อยมี ทำไมจะต้องอยากให้มีก.ข.ค. มาป้วนเปี้ยนตอนเราอยู่กันสองคนด้วยล่ะ”
ภัทรคิดว่าตัวเองโชคดีที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นหน้าเขาตอนนี้ เพราะความรู้สึกร้อนวูบวาบบนผิวแก้มทำให้รู้ว่าตัวเองต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆ ทั้งที่เพิ่งคบกันได้แค่ไม่นาน แต่บทเชษฐ์จะพูดเอาใจอีกฝ่ายก็จะพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมจนทำเขาโต้ตอบไม่ถูก ไปต่อก็ไม่ได้อยู่หลายครา
อีกอย่าง...ต่อให้เวลาที่อยู่ด้วยกันเพียงสองต่อสอง ภัทรก็ไม่เคยยอมให้อีกฝ่ายล่วงเกินมากไปกว่าแตะเนื้อต้องตัวนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ประสบการณ์ฝังใจที่ผ่านมาทำให้เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ก้าวหน้ารวดเร็วเกินไป หากต้องเสียใจรอบสองกับคนในที่ทำงานเดียวกันภัทรไม่รู้ว่าคราวนี้ตัวเองจะรับไหวหรือเปล่า
“ฟ้ามืดแล้ว ถ้ายังไงคืนนี้นอนที่นี่เลยมั้ย? พรุ่งนี้ฉันแวะไปส่งเธอที่คอนโดตอนเช้าก่อนแล้วค่อยเข้าออฟฟิศด้วยกันก็ได้”
เสียงทุ้มต่ำที่กระซิบอยู่ข้างหูกับมือของคนกอดที่เริ่มอยู่ไม่สุขทำเอาคนถูกกอดขนลุกซู่ ภัทรรีบเบี่ยงตัวหนีก่อนจะตอบโดยไม่ยอมสบตาคนตัวใหญ่ที่กำลังขมวดคิ้ว
“ผมว่าผมกลับดีกว่าครับคุณเชษฐ์ ยังไม่ได้รีดเสื้อกางเกงสำหรับอาทิตย์นี้เลย อีกอย่างคุณเชษฐ์จะได้พักผ่อนด้วย”
ภัทรรักษาระยะห่างกับอีกฝ่ายก่อนจะช้อนตาขึ้น แวบหนึ่งนัยน์ตาหวานเหมือนจะเห็นประกายตาของอีกฝ่ายเข้มขึ้นจนเสียวสันหลังวาบ แต่แล้วเชษฐ์ก็เพียงยักไหล่แล้วเดินนำออกจากครัวก่อนจะพูดเสียงเนิบๆ
“เอางั้นก็ได้ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปส่ง”
...
...
...
...
...
...
ตั้งแต่ออกจากบ้านของเชษฐ์มาทั้งสองก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกัน ภัทรพยายามบังคับตัวเองให้เลิกบิดมือที่วางอยู่บนตักแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเผลอทำอะไรผิดไปหรือเปล่าถึงทำให้คนข้างตัวเงียบผิดปกติไป แต่ถ้าหากเชษฐ์จะโกรธเพราะเขาไม่ยอมตามใจ ฝ่ายนั้นก็ควรต้องเข้าใจเสียใหม่ว่าเขาไม่ใช่เด็กน้อยใสซื่อที่จะเคลิ้มตามใครง่ายๆ แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นถึงเจ้านายและอายุมากกว่าเขาหลายปีก็ตาม
โตจนเป็นระดับผู้บริหารขนาดนี้ ถ้าอยากงอนกับเรื่องแค่นี้ก็คงต้องปล่อยให้งอนไป นึกว่าเขาจะง้อหรือยังไงกัน ก็เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่ แล้วทำไมจะต้องมานั่งปวดหัวที่อีกฝ่ายไม่ยอมพูดด้วยแบบนี้ด้วยเล่า!?
คนถูกพามาส่งมัวแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดกับความคิดที่ตีกันยุ่งในหัว ยิ่งคิดมากเข้าก็ยิ่งพาลน้อยใจ จึงไม่ได้รู้สึกตัวว่าตอนนี้รถจอดสนิทอยู่ในลานจอดของคอนโดตัวเองเรียบร้อยแล้ว
“ภัทร”
“....”
“ภัทรกร”
“....”
“ภัทรกรครับ เรียกแล้วไม่ได้ยินหรือไง”
“จะเรียกทำไม! คนใช้ความคิดอยู่!”
ภัทรลืมตัวหันไปแหวใส่คนที่พาตัวเองมาส่ง แต่พอประสานสายตากับนัยน์ตาคมหลังแว่นที่เลิกคิ้วอย่างงงๆก็ให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่กับใคร หน้าขาวเนียนแดงขึ้นโดยอัตโนมัติก่อนจะรีบละล่ำละลักขอโทษ
“คุณเชษฐ์! ขอโทษครับ! ผมลืมตัวไป อย่าโกรธผมนะ ผมขอโทษจริงๆ คุณเชษฐ์...
อย่าหัวเราะกันสิ!!”หน้าหวานแดงขึ้นอีกรอบเมื่อคนข้างตัวระเบิดหัวเราะเสียงดังจนต้องฟุบหน้าลงกับแขนข้างหนึ่งที่เท้าพวงมาลัยอยู่ ทั้งที่ใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายปลดปล่อยอารมณ์ตัวเองเต็มที่แบบที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน แต่ความอายที่มีมากกว่าทำให้รีบหันไปปลดล็อคแล้วก็ทำท่าจะเปิดประตู แต่กระนั้นก็ยังช้ากว่าอีกฝ่ายที่คว้าตัวเขากลับไปกอดไว้จนคนถูกกอดแน่นหน้าอกเพราะหัวใจที่เต้นรัวแรงไปหมด
“อยู่กับเธอนี่ ไม่มีเบื่อจริงๆด้วยนะ ภัทร หึๆๆ”
อีกฝ่ายว่าแล้วก็หัวเราะในคอต่อจนคนถูกกอดเริ่มดิ้น ได้รับความเอ็นดูมันก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่คิดบ้างหรือไงนะว่าเดี๋ยวคนอื่นจะผ่านมาเห็น ตาลุงลามกนี่!
“คุณเชษฐ์! ผมหายใจจะไม่ออกแล้วนะ ปล่อยผมก่อน”
คนตัวใหญ่ก้มสูดกลิ่นหอมจากเรือนผมนิ่มก่อนจะคลายแขนเป็นกอดหลวมๆแต่ไม่ยอมปล่อยเสียทีเดียว ภัทรพยายามหันหนีนัยน์ตาคมที่พยายามจะสบตาเขาให้ได้ จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมาบ้าง
“คุณเชษฐ์ ตกลงไม่ได้โกรธผมแล้วนะ?”
คนตัวเล็กยอมพิงอกกว้างแต่โดยดีเมื่อรู้ตัวว่าคงไม่ถูกปล่อยง่ายๆ มือใหญ่จึงลูบหลังบางไปมาก่อนจะถามด้วยเสียงเจือรอยยิ้ม
“โกรธเรื่องอะไรล่ะ ฉันสินึกว่าเธอโกรธ เล่นนั่งเงียบแล้วก็ทำหน้าบึ้งมาตลอดทาง เลยไม่รู้จะชวนคุยยังไงดีเลยเนี่ย”
พอได้ยินดังนั้นภัทรก็เงยหน้ามองคนกอดด้วยความประหลาดใจ ตกลงเมื่อครู่นี่เขาคิดไปเองหรือ? แต่ว่า...ก็อีกฝ่ายดันนั่งทำหน้ายักษ์มาตลอดทางแบบนั้น ใครจะไปกล้าชวนคุยด้วยล่ะ...
“ก็ผมเห็นคุณเชษฐ์เงียบไป ผมก็นึกว่าคงโกรธ...เรื่องที่ผม...ไม่ยอมค้าง”
ภัทรก้มหน้าพูดตะกุกตะกัก เลยโดนมือใหญ่ลูบสางผมบริเวณต้นคอให้อย่างแผ่วเบา
“เด็กเอ๊ย ฉันไม่ได้โกรธเธอสักหน่อย ฉันกำลังโมโหตัวเองต่างหากที่เร่งเธอมากไป ถ้าหากว่าเธอไม่พร้อมฉันก็ไม่อยากบังคับหรอก ฉันอยากให้ระหว่างเรามีแต่ความทรงจำดีๆนะ ต่อให้มันคงยากที่จะมีอะไรเพอร์เฟ็คต์แบบนั้นก็ตาม”
คำพูดของอีกฝ่ายที่สะท้อนความไม่มั่นใจออกมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อยแต่ก็ทำให้ภัทรอดประหลาดใจไม่ได้เพราะเป็นคำจากปากของคนที่ใครๆก็พากันเรียกว่า “Mr. Perfectionist” แต่นั่นกลับทำให้ร่างบางใจชื้นขึ้นที่ไม่ใช่มีแต่ตัวเองคนเดียวที่กังวลกับความสัมพันธ์ครั้งนี้
น่าแปลก...ที่การแสดงความกังวลใจของอีกฝ่ายก็สามารถถมทับความไม่มั่นใจของเขาให้เติมเต็มขึ้นได้ เพราะสิ่งเล็กน้อยแค่นี้กลับแสดงให้เห็นว่าคนตัวโตเองก็มุ่งมั่นในความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัวของทั้งสองขนาดไหน
ภัทรถูแก้มเข้ากับอกกว้างแล้วก็กอดเอวอีกฝ่ายแน่น ถ้าแค่นี้...สำหรับตอนนี้ เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าเขาเองก็อยากจะเปิดหัวใจแล้วก้าวเดินไปด้วยกัน คงไม่เป็นไร
“ขอบคุณนะครับคุณเชษฐ์”
อ้อมกอดแข็งแรงกระชับวงแขนรอบร่างบางแน่นเข้า สองร่างถ่ายทอดความอบอุ่นและความในใจให้กันและกันผ่านการแสดงออกทางกายโดยไร้คำพูด ภัทรถอนหายใจแผ่วเบา ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผ่อนคลายที่สุดตั้งแต่ตกลงคบกับเชษฐ์เป็นต้นมา อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเขาพยายามระมัดระวังตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกออกมามากเกินไป จึงลืมไปว่าการจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ดีที่สุดคือการพูดอะไรตรงๆแบบนี้กระมัง
ริมฝีปากอุ่นแนบลงบนขมับก่อนจะค่อยดันตัวคนในอ้อมแขนออกอย่างเชื่องช้า ภัทรสบตากับนัยน์ตาคมที่ทอประกายอยู่หลังแว่นแล้วก็คลี่ยิ้มเขิน ก่อนจะหลับตารับจุมพิตที่แนบลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน
“กลับห้องเถอะ ถ้ายังอยู่อย่างนี้ต่อเดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจพาเธอกลับบ้านแน่”
ภัทรพยักหน้ารับแม้จะยังรู้สึกเสียดายบรรยากาศอ่อนหวานที่อ้อยอิ่งอยู่รอบตัว แต่แล้วก็ตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วเดินลงไปยืนโบกมือลาให้เจ้าของรถหรูที่เลี้ยวรถออกจากลานจอดไป มือที่โบกไกวเมื่อครู่ย้อนกลับมาแตะหน้าผากตัวเอง สัมผัสอบอุ่นตรงจุดที่โดนจูบยังประทับแน่นไม่จางหายจนใบหน้าหวานเผลอยิ้มกว้าง
แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอก้าวไปช้าๆทีละก้าวสำหรับความสัมพันธ์ครั้งนี้ก็แล้วกัน...
+---tbc---+
แว้บมาแปะก่อนกลับบ้าน วันนี้คิดงานไม่ออกทั้งวัน เลยอู้พิมพ์นิยายแทนซะงั้น (เด็กดีมิพึงเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง)ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทั้งแฟนประจำและที่เพิ่งมาอ่านเรื่องที่ป้าเขียนครั้งแรกค่ะ เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า