ใครบ่นไรค้างๆ ไม่มี๊ไม่มี 5555
___________________________________
ตอนที่ 4
“เอ่อ...น้องภามอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”พี่ป้องหันมายิ้มเจื่อนๆ บอกผม
“ขอโทษด้วยนะอ๋อง พอดีวันนี้เรามีงานน่ะคงไปด้วยไม่ได้แล้วหล่ะ”ผมบอกปฏิเสธคำชวนเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วของอ๋องไป
“ก็เมื่อกี้ภามยังบอกเราอยู่เลยว่างานส่งอีกสองสัปดาห์โน่น”คำพูดของอ๋องทำให้ผมอยากกัดลิ้นตัวเองซะเดี๋ยวนี้ อุตส่าห์หาทางหนีได้แล้วนะ
“เขาคงรังเกียจพี่เห็นพี่เป็นคนนอกมั้งอ๋อง ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเขารังเกียจพี่ขนาดนั้นไว้พี่พาไปเลี้ยงวันหลังก็ได้ วันนี้อ๋องไปกินข้าวกับเพื่อนเถอะ”นั่นไง เริ่มเรียกร้องความสนใจแล้ว
“โธ่...ไม่หรอกพี่ ภามคงเขินที่มีเขาเป็นถาปัดคนเดียวในกลุ่มน่ะ น่านะภาม ไปเป็นเพื่อนกัน งานกว่าจะส่งอีกตั้งนาน”อ๋องหันไปบอกเขาแล้วก็มาอ้อนผมต่อ
“ไปเถอะน้องภาม มืดขนาดนี้ไปกินข้าวคนเดียวไม่ดีหรอก เดี๋ยวพี่จะได้ไปส่งเรากลับหอด้วย”พี่ป้องออกปากชักชวนอีกแรง คนหนึ่งก็เพื่อนรัก อีกคนก็พี่ชายที่แสนดี จะปฏิเสธอีกก็ดูไร้เยื่อใยจนเกินไป แต่ติดอยู่ที่ไอ้คนที่ยืนกอดอกยักคิ้วที่แปลได้ประมาณว่า”ไม่กล้าไปอะดิ”มาให้อยู่อย่างเดียว เพราะมีนายนี่นี่แหละถึงไม่น่าไปด้วยที่สุด
“นะครับ น้องภาม”พี่ป้องบอกอีกหน
“ก็ได้ครับ”ผมต้องตอบรับอย่างจำยอม มองคนหน้ากวนก็เห็นกดยิ้มที่มุมปากอย่างผู้มีชัย
ไม่นานเราทั้งสี่คนก็มาถึงร้านหมูกระทะใกล้มหาวิทยาลัย อ๋องนั่งรถมากับนายยอร์ช ส่วนผมนั่งรถของพี่ป้องมา มาถึงที่โต๊ะก็เห็นเพื่อนของนายยอร์ชมารออยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว เป็นพี่สองคนที่ผมเคยเจอที่ร้านข้าววันที่เกิดเรื่องนั่นเอง เมื่อแยกย้ายกันไปตักอาหารมากันเรียบร้อยแล้วก็เริ่มลงมือย่างหมูกัน คุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่าเพื่อนอีกสองคนในกลุ่มพี่ป้องนั้นชื่อพี่พัทกับพี่โจ ทั้งสองคนเป็นคนที่อัธยาศัยดีมาก ชวนผมที่เหมือนเป็นคนนอกที่สุดบนโต๊ะคุยเหมือนคนสนิทสนม อีกทั้งยังไม่เคยหันมาแขวะผมเหมือนนายยอร์ชที่นั่งห่างผมที่สุดด้วย สองคนนี้เป็นคนที่ทำให้ผมมองเด็กวิดวะดีขึ้นอีกเยอะจนตอนนี้ผมคิดว่าที่ผมมองเด็กวิดวะป่าเถื่อนนั้นคงจะมีแค่นายยอร์ชเพียงคนเดียวในคณะกระมังที่เป็นแบบนี้
“ภามรู้จักพี่ยอร์ชมาก่อนหน้านี้หรือ?”อ๋องถามเมื่อเห็นนายยอร์ชกัดผมอยู่เป็นพักๆ ตลอดการทานอาหาร
“ก็ นิดหน่อยน่ะ”ผมบอกสั้นๆ ขี้เกียจเล่ารายละเอียดยาว
“ดีเลย จะได้คุยกันสนุกๆ”อ๋องบอกยิ้มๆ
“สนุกมากอะ”ผมประชด เห็นไอ้หล่อยิ้มมาเย้ยๆ ฮึ้ย! เห็นคนหล่อกว่าแล้วมันขัดใจ
“เฮ้ย..ยอร์ชแมร่งไม่กินผักเลยวะ”พี่พัทนักโภชนาการประจำกลุ่มบอก เห็นเฮ้วๆ อย่างนี้ที่จริงเป็นคนใส่ใจเรื่องการกินมาก(แต่ก็ยังก๊งเหล้าเป็นช่วงๆ)
“ไม่รู้ ไม่ชอบ ไม่กิน”ไอ้หล่อเถียงแบบเด็กๆ
“ไม่ได้นะโว้ย มึงไม่กินผักแล้วสมองมึงจะพัฒนาได้ยังไง”พี่พัทยังไม่เลิกตอแย
“ก็กูไม่กิน”มันเริ่มงอแง
“อ๋อ...เพราะไม่ยอมกินผักนี่เอง เลยขาดวิตามินและแร่ธาตุ ปากเลยเปราะแบบนี้”สิ้นเสียงคนทั้งโต๊ะก็หันมามองที่ผม ผมตกใจตาโตเพราะไม่นึกว่าจากที่จะคิดในใจกลับหลุดปากออกมาอย่างนี้ แล้วดันพูดดังพอให้ได้ยินกันทั้งโต๊ะซะด้วย นายยอร์ชวางตะเกียบลงดังเคร้งแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมยิ้มๆ แต่ตานี่สิไม่ยิ้มไปด้วยเลย
“น้องภามดูเหมือนจะอยากมีปัญหากับพี่นะครับ เอาไว้เดี๋ยวเลิกงานแล้วเราค่อยไปเคลียร์กันนะ”เสียงทุ้มนุ่มค่อยๆ เอ่ยช้าๆ ชัดๆ เขาพูดดีกับผมอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อน สงสัยเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าอ๋อง เกรงใจน้องรหัสไม่อยากให้รู้นิสัยแท้ๆ ของตัวเองเลยต้องแกล้งทำดี
บรรยากาศบนโต๊ะเงียบเชียบจนกระทั่งพี่โจหัวเราะทำลายความเงียบขึ้นมาเป็นคนแรก
“ฮ่าๆๆๆ แหมๆ ล้อเล่นกันซะแรงเชียวคู่นี้ เป็นพี่เป็นน้องก็รักกันให้มากๆ สิ”
“หึหึหึ รักมากเชียวหล่ะน้องคนนี้เนี่ย”นายยอร์ชละสายตาที่จ้องผมนิ่งมาตั้งแต่เมื่อครู่หันไปหัวเราะขี้เล่นรับมุขพี่โจ เห็นตัวปัญหาหัวเราะได้แล้วบรรกาศบนโต๊ะก็กลับมาดีดังเดิม ทุกคนเลิกให้ความสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปสนิท
“น้ำแข็งน้องภามหมดแล้ว ส่งแก้วมาสิเดี๋ยวพี่เติมให้”พี่ป้องที่นั่งอยู่ข้างขวาติดกับผมและอยู่ติดกับถังน้ำแข็งบอก เขาเป็นคนที่คอยเติมน้ำแข็งให้ทุกคนบนโต๊ะตั้งแต่เริ่มกิน ผมพยักหน้ายิ้มๆ แล้วส่งแก้วให้พี่ป้องรับไปเติม ระหว่างที่พี่ป้องตักน้ำแข็งให้ผมอยู่ผมก็สังเกตเห็นว่าหมูของพี่ป้องที่ย่างไว้บนเตาสุกแล้วเลยคีบออกมาให้ เห็นพี่เขามือไม่ว่างทั้งคู่เลยกะจะป้อน ผมเป่าเบาๆ ให้คลายร้อนแล้วเรียกให้พี่ป้องหันมา
“พี่ป้องครับ นี่หมูพี่อะ อ้าปากๆ”พี่ป้องที่กำลังสาละวนอยู่กับการเติมน้ำแข็งหันมาอ้าปากรับหมูที่ผมป้อนให้อย่างว่าง่ายแล้วยิ้มขอบคุณผม พลันก็ได้ยินเสียงตะเกียบกระแทกลงกับโต๊ะตามมาด้วยเสียงห้าวๆ ของคนเจ้าปัญหา
“ไอ้ป้องแลกที่กัน อยู่ตรงนี้มันดูบอลไม่ถนัด ทางฝั่งมึงมองชัดดี”นายยอร์ชเอ่ยปากขอแลกที่
“อ๋อ...อืม ได้ๆ มาดิ”เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวพี่ป้องก็ลุกให้อย่างว่าง่าย อะไรจะง่ายปานนั้นครับพี่!
ในที่สุดไอ้มารร้ายยอร์ชมันก็ได้มานั่งแป้นแล้นอยู่ข้างๆ ผมจนได้ ไม่รู้จะมาทำไม ใครจะเติมน้ำแข็งมันก็บอกให้ลุกมาเติมเอง ไม่สมกับที่มานั่งข้างถังน้ำแข็งเลย สู้พี่ป้องก็ไม่ได้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี
“เฮ้ย...จะกินหมูชิ้นนั้นอะ ป้อนหน่อยดิ๊”เสียงไอ้มารร้ายข้างๆ บอกพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
“มีมือคุณก็คีบเองสิ ผมก็ต้องกินของผมเหมือนกัน”ผมแย้ง
“ก็ส่งข้อความอยู่นี่ ไม่เห็นรึไงว่ามือไม่ว่าง”พอผมก้มลงไปมองก็เห็นมันกดมือถือยิกๆ ไม่รู้ว่าไปเอาออกมาตอนไหน
“ถ้าคุณจะกินคุณก็รีบส่งข้อความให้เสร็จสิ จะได้กินเองได้”
“ที่ทำปากดีเมื่อกี้ยังไม่ได้ชำระความเลยนะ นี่แสดงว่าอยากโดนมากนักใช่ไหม?”มันถามอย่างเอาเรื่อง เพื่อตัดความรำคาญผมจึงยอมคีบหมูขึ้นมาจ่อที่ปากเขา
“ควันลอยขนาดนั้นไม่เห็นหรือไงว่ามันร้อน คิดจะลวกปากกันหรือไง”เสียงประท้วงที่ทำผมรำคาญจนต้องค่อยๆ เป่าเบาๆ ให้หมูเย็นขึ้นแล้วเอาไปจ่อที่ปากเขาใหม่ คราวนี้นายยอร์ชอ้าปากรับไปอย่างว่าง่าย เคี้ยวตุ้ยๆ พร้อมกับยิ้มจนเห็นลักยิ้มน่ารัก เออ...ให้มันน่ารักจริงๆ เถอะ เห็นอย่างนี้น่ะร้ายยิ่งกว่าพญามารอีก
“เอ้าๆ สองคนนั้นน่ะดีกันแล้วนี่ เห็นรักกันดีอย่างนี้ค่อยโล่งใจหน่อย”พี่พัทเอ่ยแซว ผมยิ้มเจื่อนๆ ให้พี่พัทแทนคำตอบ แต่หลังจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะก็ดูดีกว่า
เดิมขึ้นมาทันตา และจะดีมากกว่านี้ถ้าหากไอ้มารร้ายข้างๆ ผมจะไม่ทำโน่นทำนี่จนมือไม่ว่างแล้วเรียกร้องให้ผมคอยป้อนหมูให้เป็นระยะๆ
หลังจากที่ทุกคนอิ่มกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาแยกย้ายกันกลับ พี่พัท พี่โจ และอ๋องบังเอิญอยู่ในเส้นทางที่พี่ป้องต้องขับรถผ่านกลับหอพอดี มีเพียงผมกับนายยอร์ชที่อยู่กันคนละทาง
“พี่ป้องไปส่งพี่พัท พี่โจกับอ๋องเถอะครับ เดี๋ยวภามกลับแท็กซี่ได้ ใกล้ๆ แค่นี้เอง”ผมบอก เพราะเกรงใจที่ต้องให้พี่ป้องย้อนไปย้อนมา
“ไม่เป็นไรป้อง เดี๋ยวกูไปส่งภามให้”คนที่ผมไม่อยากไปด้วยที่สุดกลับอาสาจะไปส่งผม
“เรื่องอะไร ใช่ว่าคอนโดคุณอยู่ทางเดียวกับหอผมที่ไหน”ผมบอกปัดๆ ไป นั่งแท็กซี่ยังจะสบายใจซะกว่าต้องไปนั่งอึดอัดบนรถหรูของนายนั่น
“พี่ว่าให้ยอร์ชมันไปส่งน่ะดีแล้วภาม นี่มันก็ดึกแล้ว ถึงจะเป็นผู้ชายแต่กลับคนเดียวดึกๆ มันก็อันตรายอยู่”พี่ป้องบอกเหตุผล จริงของเขา เอาเถอะ วันนี้นายยอร์ชนี่คงไม่บ้าทำอะไรผมหรอก
“ก็ได้ครับ ภามจะกลับกับเขา”ผมยอมรับข้อเสนอแล้วหันกลับไปหานายตัวดีที่ยักคิ้วกวนๆ ให้ผมก่อนจะหันหลังเดินนำออกไป
“ไปก่อนนะครับพี่ๆ สวัสดีครับ แล้วเจอกันอ๋อง โชคดี”ผมยกมือไหว้พี่ๆ แล้วร่ำลาอ๋องแล้วหันกลับวิ่งตามนายยอร์ชไป
“พรุ่งนี้มึงมีเรียนกี่โมงวะ”ไอ้มารร้ายถามผมขณะที่นั่งอยู่ด้วยกันในรถระหว่างที่รถติดไฟแดง
“พอลับหลังน้องรหัสนี่ต่อมเถื่อนทำงานทันทีเลยนะคุณ”ผมประชด
“แล้วไง”เขาลอยหน้า “แล้วที่ถามเมื่อกี้น่ะทำไมไม่ตอบวะ ถามว่าเรียนกี่โมง?”
“เก้าโมง แล้วคุณถามทำไม?”
“เปล่า เห็นว่านี่มันดึกแล้ว กลัวว่าพรุ่งนี้มึงจะตื่นไปเรียนไม่ทัน”
“รู้จักเป็นห่วงคนอื่นเขาด้วย?”ผมหันไปถามตาโตอย่างตกตะลึง
“มึงจะเป็นคนสุดท้ายที่กูคิดจะห่วงเลยหล่ะไอ้สาดดดดดดดดดดดดดดด”นายมารร้ายยอร์ชลากเสียงยาว หลังจากนั้นเราก็กัดกันมาตลอดทางจนถึงหอในของผม ผมไหว้เขาลวกๆ แล้วรีบลงรถปิดประตูตามทันทีเพื่อตัดความรำคาญ ขึ้นหอเร็วๆ จะได้อาบน้ำนอนซะที...
ในที่สุดวันนี้ผมเลยตื่นสายจนได้ ตื่นมาก็เกือบจะแปดโมงครึ่งแล้ว ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวเร็วอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน อันที่จริงวันนี้ไม่ใช่วันเรียนของผมหรอกครับ แต่วันพรุ่งนี้อาจารย์ท่านไม่ว่างเลยเลื่อนตารางเรียนมาเช้าวันนี้แทน
ผมเล็กเชอร์ไปก็นั่งหาวไปจนนันที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องสะกิดอยู่หลายครั้ง สงสัยจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย แต่อันที่จริงดึกไม่ดึกผมก็ง่วงได้ตลอดเวลาแหละครับ นี่แหละชีวิตเด็กถาปัด หลังจากที่อาจารย์สอนและสั่งงานเสร็จก็ให้นักศึกษาแยกย้ายกันกลับได้ แต่ผมเห็นยังว่างๆ อยู่เลยคิดว่าจะขึ้นไปทำงานบนสตูดิโอก่อนสักพัก รอกินข้าวกลางวันแล้วค่อยกลับหอ
“ภามจะกลับหอเลยหรือเปล่า?”นันที่เดินตามมาข้างหลังถาม
“ยังหรอก เดี๋ยวภามว่าจะขึ้นไปเขียนแบบพอให้ได้งานแล้วค่อยกลับอะ”
“อือ งั้นเดี๋ยวนันอยู่เป็นเพื่อนนะ”นันบอกแล้วเดินมาคว้ากระเป๋าแบบที่ผมถืออยู่ไปถือไว้ซะเอง นันใจดีกับผมเสมอ เวลาผมมีปัญหาอะไรนันจะเป็นคนคอยช่วยเหลือตลอด หรือแม้แต่เวลาที่ผมต้องอยู่ทำงานคนเดียวนันก็มักจะอยู่เป็นเพื่อนจนเย็น
ผมจัดการแปะกระดาษปรู๊ฟบนโต๊ะดราฟท์และเตรียมอุปกรณ์เขียนแบบจนพร้อมแล้วเริ่มลงมือทำงานโดยมีนันคอยเสก็ตช์แบบงานที่ต้องส่งครั้งต่อไปอยู่ข้างๆ เราทำงานกันเงียบๆ ได้สักพักจนนันเรียกให้ผมหันไปสนใจ
“ภาม...”
“หือ?”ผมตอบรับ แต่ตายังคงให้ความสนใจกับงานบนโต๊ะ มือก็ปรับองศาของแอดจัสท์ให้เข้าที่
“คือ...นันมีเรื่องจะบอกภามน่ะ...”เสียงของนันที่ตอบมาดูท่าทางอึกอัก
“ว่ายังไงหล่ะ?”ผมค่อยๆ ลากเส้นต่างๆ อย่างตั้งใจ หูก็คอยฟังสิ่งที่นันกำลังจะพูด
“...คือ...เราคิดเรื่องนี้มานานแล้ว คิดมาตลอดเลยตั้งแต่เจอภามตอนสอบสัมภาษณ์น่ะ...”
“นันจะบอกอะไรภามเนี่ย? เกริ่นยาวจังเลย”ผมวางดินสอดราฟท์กับแอดจัสท์ในมือแล้วหันมาถามนันยิ้มๆ นันนั่งหมุนดินสอดราฟท์ในมือไปมา ใบหน้าแดงจัดราวกับคนไม่สบาย
“นันไม่สบายหรือเปล่า? หน้าแดงเชียว”ผมเห็นท่าไม่ดีรีบเดินไปหานันแล้วเอาหลังฝ่ามือแตะหน้าผากตัวเองก่อนที่จะไปแตะที่หน้าผากของนัน
“เปล่าๆ นันสบายดี”นันรีบบอกดึงมือผมที่แตะหน้าผากอยู่ออกมา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย
“อือ ตัวก็ไม่ร้อน”ผมบอก
“แล้วตกลงนันมีอะไรจะบอกภาม อยู่ด้วยกันมาจะปีนึงแล้วยังต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าเวลาจะบอกอะไรกันอีก”ผมถามแล้วยิ้มๆ ในท่าทางที่ดูเขินๆ ของนัน น่ารักอย่างกับเด็กเล็กๆ ที่โดนจับผิดเลย
“เอ่อ...ช่างเถอะ”นันตัดบท
“เอ้า อุตส่าห์ละจากงานมารอฟัง”ผมยังคะยั้นคะยอ
“งั้นเปลี่ยนจากบอกมาเป็นถามได้ไหม?”นันเปลี่ยนเรื่อง
“ก็เอาสิ”
“คือ...อยู่ด้วยกันมาจะปีนึงแล้ว...คือ....ภามว่าสำหรับภาม....นันเป็นคนยังไงหรือ?”นันถาม ท่าทีไม่มั่นใจในตัวเอง
“ถามแบบนี้แสดงว่าจะไปจีบใครเขาหล่ะสิเนี่ย ถึงว่าหน้าแดงเชียว”ผมยิ้มล้อเลียน มือก็ดึงแก้มแดงๆ ของนันเล่น
“ภามตอบนันสิ”นันคิ้วขมวด หน้ายิ่งแดงไปกว่าเดิม แกล้งนันนี่สนุกดีจัง
“ก็...นันเป็นผู้ชายที่สุภาพ อบอุ่น แล้วก็น่ารัก แถมหล่ออีกต่างหาก ใครๆ เขาก็ต้องชอบนันกันทั้งนั้นแหละ จะจีบคนอื่นทั้งทีมั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”
“แล้วสำหรับภามหล่ะ...นันเป็นยังไง”นันยังถามต่อไม่เลิก
“เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราตั้งแต่อยู่คณะนี้มาเลย”ผมบอกอย่างไม่ต้องคิด ก็มันจริงนี่นา
“แค่นั้น?”
“เปล่า..ที่จริงมากกว่านั้น แต่มันอธิบายไม่หมด เหอะๆ”
“แล้วภามรักนันไหม?”นันถามสีหน้าจริงจังขึ้น
To be continue
ว้า โควต้าวันนี้หมดซะละ ไว้เจอกันตอนหน้านะจ้ะ
ปล. ดูเหมือนจะมีคนรู้สถานศึกษาของภามเพิ่มขึ้นมาอีกแล้วสินะ แต่คงไม่มีใครตามไปทวงหนี้ถูกหรอกมั้ง 55
ปลล. ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นอีกครั้งจ้า แหม ได้อ่านแล้วชื่นใจจัง อิอิ