ทะลึ่ง : กามที่ 2
วันนี้ผมมีเดท เปล่าหรอกครับไม่ใช่ผู้หญิงที่ไหน แต่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่สาวกว่าครึ่งมหาวิทยาลัยตามกรี๊ด แต่ไม่ใช่ผมคนหนึ่งล่ะ
แม้ว่ากำหนดส่งรายงานมันจะใกล้ตัวเข้ามาทุกทีแต่ผมไม่มีความขยันขันแข็งขนาดนั้น ขอกล่าวโทษผู้ร่วมชะตากรรมที่มันหายป่วยเร็วเกินไป ผมก็เลยโดนไอ้แซนบังคับให้รีบทำงานส่งอาจารย์ก่อนเส้นยาแดงผ่าแปด อีกทั้งยังมีอ้นช่วยเป็นกระบอกเสียง คุยกันในรถไม่กี่คำก็นำความไปกราบทูลคุณชายโดยพลัน แล้วหลังจากนั้นมันก็โทรมาหาผมสิครับ บอกว่าวันนี้ให้ไปค้างที่คอนโดจะได้ช่วยกันทำรายงาน ใจง่ายไปไหม
พูดถึงตรัสมันก็อึดสุด ๆ ไปเลย นอนคืนเดียวลุกขึ้นมาฟาดงวงฟาดงากับซันได้เหมือนเดิม แล้วสภาพมันเป็นแบบไหน หน้าซีดไหม โทรมลงหรือเปล่า อย่าต้องให้บรรยายซ้ำซากดูเอาเองก็แล้วกัน หน้าขาวตาฉ่ำแก้มระเรื่อ ขืนปล่อยมันอยู่คนเดียวในดงนักศึกษาสาวคงโดนฉุดเข้าข้างทางแล้วกลายเป็นพ่อคนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“วันนี้มีเรียนถึงกี่โมงวะแซน”
ผมหันไปโพล่งถามคนข้าง ๆ ระหว่างที่กำลังจัดผมเผ้าตอนพักเบรกคาบสุดท้าย วันนี้โชคดีนิดหน่อยที่ได้เรียนคลาสเดียวกัน ปกติเด็กนิติศาสตร์จะมากันเต็มเซคชั่นแต่วันนี้ลากันเยอะ อาจารย์เลยอนุโลมให้ห้องผมเข้าเรียนพร้อมกันได้
“คาบสุดท้ายแล้ว มึงล่ะ”
“กูก็คาบสุดท้าย ดีเลย ไปคอนโดไอ้ตรัสเป็นเพื่อนกูหน่อย ห้องมันน่าเบื่อจะตายชัก ขืนไปขลุกอยู่กับมันสองคนกูต้องเฉาตายแน่”
“ไปทำรายงานไม่ใช่หรือ จะมีเวลามาเบื่อได้ไง”
“เถอะน่านะ อยู่กับมันแล้วกูรู้สึกมีปมด้อย ไปด้วยกันเหอะ”
“สงสัยจะไม่ได้เพราะพรุ่งนี้มีเทสต์ย่อย ต้องกลับไปปล้ำกับประมวลกฎหมาย วันนี้ที่ห้องมันลากันเยอะก็เพราะโดดไปโด๊ปมาตรากันอยู่นั่นแหละ”
“เฮ้ยได้ไง หลอกให้ความหวังกันนี่หว่า อุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะมีเพื่อนไป”
“เลิกพล่ามแล้วกลับเข้าห้องเรียนได้แล้ว หมดเวลาพักแล้วเท็ดดี้แบร์”
หลังหมดชั่วโมงเรียนผมก็หอบสังขารอันโหยรากลับหอเพราะถูกวิชากฎหมายธุรกิจดูดวิญญาณ ผมมันคิดสั้นเอง เห็นว่าไอ้แซนเรียนนิติศาสตร์มาได้ตั้งหลายปี เอฟสักตัวก็ไม่มี ดรอปสักคำก็ไม่เคยพูดถึง ซึ่งผมอาจจะลืมไปว่าไอคิวคนเรามันต่างกัน เพราะฉะนั้นวิชานี้ผมจะรอดไหมก็แล้วแต่พระพุทธองค์จะเห็นใจ บุญกุศลแต่ชาติปางไหนก็ตาม ขอให้ลูกช้างผ่านวิชานี้ด้วยเถ้อ สาธุ
“บ่นพึมพำอะไร” หือ!
“เข้ามาได้ไงวะตรัส ตกใจหมด” ขณะที่ผมกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวสู่คอนโดหรู จู่ ๆ พ่อเทพบุตรมันก็โผล่มาข้างหลังแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง แล้วยังยื่นหน้ามาใกล้เหมือนจะกวนอารมณ์ ก่อนผมจะนึกขึ้นได้ว่าแง้มประตูห้องทิ้งไว้นี่หว่า ถ้ามันเข้ามาไม่ได้สิแปลก
“ขวัญอ่อนเหลือเกิน”
“เรื่องของกู” ปากตอบแต่มือก็ยังหยิบนั่นคว้านี่สุ่ม ๆ ไป เพราะเวลานี้สังขารของผมไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินชีวิตในรูปแบบใดทั้งสิ้น ก่อนจะตั้งสติได้อีกทีตอนที่ถูกตรัสคว้าหมับที่ข้อมือจนสะดุ้งโหยง
“ไอ้นี่ไม่ต้องก็ได้” ผมถูกริบ ‘ไอ้นี่’ ออกจากมือแล้วก็ได้แต่ยืนเกาหัวแกรก ไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอหยิบไปได้ยังไง ไอ้ ‘ถุงยางอนามัย’ นั่นน่ะ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าแซนเป็นคนให้พร้อมกับกำชับว่าต้องพกไว้เป็นเครื่องราง เพราะเห็นว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปีแต่ก็ยังไม่เคยเห็นผมจีบสาวติดสักที ดวงอาภัพเนื้อคู่แน่ ๆ
ผมหยิบเสื้อผ้าและของใช้เพลินมือไปหน่อย หันมองอีกทีก็เกือบจะปิดกระเป๋าไม่รอด คิดเอาไว้ว่าจะอยู่คอนโดตรัสสักคืนสองคืนเพราะพรุ่งนี้ไม่มีเรียน แต่ดูไปแล้วของพวกนี้สามารถสิงสู่ห้องคุณชายได้แรมเดือน ไอ้คนที่ยืนมองเฉย ๆ แทนที่จะปรามตั้งแต่ต้นดันมาห้ามเอาตอนหยิบถุงยางฯ นี่นะ น่าอายว่ะ
“ไม่ต้องเอาออกหรอก เผื่อไว้ดีแล้ว” อ้าวคุณชาย ไม่เห็นหรือไงว่ากระเป๋ามันแน่นเกินไปจนปิดไม่ได้แล้ว ผมทำท่าจะหยิบเสื้อบางตัวออกมันก็มาขัด แถมยังถือวิสาสะเดินไปหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่ข้างตู้เสื้อผ้ามาใส่ของใช้ของผมลงไปแทน แล้วหลังจากนั้นกระเป๋ามันก็โล่งขึ้นทันตา
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” จ้า ๆ พ่อคนฉลาดหลักแหลม
ผมไม่รู้หรอกว่าใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมาถึงคอนโดตรัส ช่วงเย็นวันศุกร์ที่ทุกคนกำลังเฮโลกันออกมาจากบริษัท ห้างร้าน โรงเรียน หรือหน่วยงานราชการประมาณสี่ห้าโมงเย็นแบบนี้ จะเพราะอะไรเสียอีกนอกจากหลับเป็นตาย รถหรูแอร์มันเย็น เบาะก็นุ่ม พื้นที่กว้างขวางเหยียดแขนขานอนสบาย แล้วจะให้ผมนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ทำไม
“อาบน้ำก่อนไหมจะได้สบายตัว แล้วทำเริ่มทำรายงานกัน” ดูมัน เพิ่งมาถึงเหนื่อย ๆ ก็เริ่มวางตารางงานให้ผมทันที มึงช่วยดูบ้างว่ากูพร้อมไหม มีแก่ใจหรือยัง
“กูเหนื่อย กูเพลีย กูจะอ้วกแล้วครับตรัส วันนี้กูเรียกกฎหมายมาครับพวก เห็นใจกูบ้าง” ผมเหวี่ยงถุงกระดาษไว้บนโต๊ะข้างตู้หนังสือ ส่วนมันยกกระเป๋าผมไปไว้หน้าตู้เสื้อผ้าในห้องนอน ถือโอกาสเดินอาด ๆ ไปนอนแหมะบนโซฟาแล้วเอาหมอนปิดหน้าหวังตัดทางโลก แต่ดูเหมือนความประสงค์ของผมจะไม่บรรลุเมื่อเจ้าของโซฟาเดินมาคว้าหมอนออกแล้วฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นนั่ง
“เรียนมาทั้งวันไม่เหนียวตัวบ้างหรือ”
“ไม่เหนียว ห้องเรียนติดแอร์ หรือมึงลืม”
“ไม่ลืมแต่มันสกปรก”
“ไม่สกปรก ป้าแม่บ้านเขาก็ทำความสะอาดกันทุกเย็น ทั้งเช็ดโต๊ะเลคเชอร์ ทั้งกวาดพื้นห้อง พื้นทางเดิน พื้นระเบียง มึงก็เห็น”
“เท็ต”
“กูจำชื่อตัวเองได้น่า มึงอย่าพูดมาก กูอยากนอน” ตั้งท่าจะทิ้งตัวลงอีกรอบซึ่งคราวนี้ท่านไม่พูดอะไรครับ แต่มันอุ้ม! ไม่ใช่อุ้มพาดบ่า พาดไหล่ พาดเอว อย่างที่พวกแมน ๆ เขาทำกัน มันเล่นอุ้มผมแบบเจ้าชายฟิลลิปส์อุ้มเจ้าหญิงออโรร่า! โอ๊ยอยากจะบ้า! กูบอกมึงแล้วใช่ไหมแซน กูบอกมึงแล้วว่าไอ้บ้านี่ทำให้กูมีปมด้อย!
“เฮ้ยปล่อย! ตรัสปล่อยกูลง”
“จะอาบเองดี ๆ หรือจะให้อาบให้”
“กูอาบเองคร้าบ กูอาบเองก็ได้ กูยอมแล้ว ปล่อยกูเหอะ กูไหว้ล่ะ” ผมจะยกมือมาไหว้มันจริง ๆ ตามคำอ้อนวอน แต่ติดที่ว่ามันยื่นหน้ามาขวางไว้ก่อนที่มือสองข้างของผมจะประกบกัน ผลก็คือ...ปลายจมูกผมห่างจากหน้ามันแค่แมลงวันบินผ่าน
“เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้ง มึงค้างนานไปครับสหาย กรุณาหดคอกลับไปด้วยครับ สถานการณ์ตอนนี้มันค่อนข้างล่อแหลมเกินไป กูรับไม่ไหว ซึ่งหลังจากนั้นพอมันฟื้นคืนสติก็ได้ยินคุณชายพึมพำขอโทษก่อนจะวางผมลงกับพื้นแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาให้ผืนหนึ่ง แต่ผมยังไม่ทันได้ก้าวเข้าห้องน้ำก็นึกครึ้มใจเลยเดินไปชกไหล่ไอ้เจ้าของห้องเต็มแรง
“อย่าเล่นอีกนะมึง ขนลุกหมดแล้วเห็นไหม” ยกแขนประกอบคำคุยให้มันเห็นจะ ๆ คุณชายก็อมยิ้ม ค่อยยังชั่วหน่อยเพราะเมื่อกี้พี่แกเล่นเก๊กหน้าขรึมขึ้นมาเฉย ๆ เห็นแล้วไม่สบายใจ เรื่องแค่นี้จะจริงจังทำไมไม่รู้ ผมเองยังแกล้งจูบไอ้แซนบ่อย ๆ ไม่เห็นมันจะว่าอะไรเลย (แค่โดนไล่เตะไปสามวัน)
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตรัส รัตนภูมิเศรษฐไม่มีคำว่าธรรมดาอยู่แล้ว แม้แต่ห้องน้ำ อ่างจากุซซี่สีทองอะร้าอร่ามพร้อมสุขภัณฑ์สุดหรูที่ดูแล้วน่าจะแพงกว่าค่าเช่าหอของผมรวมกันทั้งสี่ปี แต่ผมเลือกที่จะเดินไปยังโซนฝักบัว มุมโปรดของผมเวลาที่ต้องมาค้างพร้อมกับซัน เหตุเพราะว่ามันใช้ง่ายไม่ยุ่งยาก และอีกอย่างกลัวทำอ่างมันพังแล้วไม่มีกะตังค์ชดใช้
ไม่นานนักผมก็เดินตัวลอยออกจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพันเอว ก่อนจะตะโกนเรียกไอ้หล่อถามหาผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดผม
“อยู่ในตู้เสื้อผ้า ลิ้นชักชั้นล่าง” มันตะโกนกลับมาแต่ผมรู้สึกว่าเสียงมันอยู่ไกลแปลก ๆ ก็เลยเดินออกไปดู แล้วก็จริงอย่างที่หูผมได้ยิน มองผ่านกระจกสีชาเห็นตรัสกำลังยืนอยู่ตรงระเบียง ก่อนจะสะดุดตากับสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในมือของมัน...บุหรี่มวนสีดำที่เหลือเพียงครึ่งเดียว
“มึงสูบบุหรี่ด้วยเหรอ” ผมเดินออกไปยืนข้าง ๆ พร้อมเช็ดผมไปพลาง ก่อนจะเห็นว่าที่มือมันคีบอยู่นั่นคือแนทเชอร์แมนแบล็คแอนด์โกลด์
“สูบ แต่ไม่ติด” แหงแซะ ถ้าติดกูคงเห็นมึงเดินเป็นสิงห์อมควันไปทั่วมหา’ลัยแล้ว
“ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ตรงนี้ลมแรงเดี๋ยวเป็นหวัด” ผมทำหูทวนลมยืนเช็ดผมเปลือยอกไปเรื่อย ๆ ก่อนที่คนยืนข้าง ๆ มันจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกัน ตรัสดับบุหรี่ที่ถังขยะมุมระเบียงก่อนจะผลักหลังผมจนถลาเข้าห้องอย่างไว
“ขอโชว์หน่อยก็ไม่ได้ เผื่อห้องข้าง ๆ มีผู้หญิง”
“ไม่มี”
“แต่กูอยากโชว์อะ”
“รีบไปแต่งตัว เดี๋ยวจะเอาหนังสือที่พอจะเป็นประโยชน์ในการทำรายงานให้ ฉันโทรสั่งอาหารแล้ว ถ้าเขาเอามาส่งก็แค่เปิดประตูรับแล้วพนักงานจะจัดการเรื่องโต๊ะอาหารเอง” สั่งเสร็จสรรพก็เดินฉับไปที่ชั้นหนังสือ ผมก็ต้องเดินไปค้นเสื้อผ้าจากกระเป๋าตามคำบัญชา
“เดี๋ยวค่อยทำไม่ได้เหรอวะรายงาน พรุ่งนี้ก็วันเสาร์ ขอพักหน่อยสิ”
“รีบทำตอนนี้แล้วพักทีเดียวเลยดีกว่าไหม ไม่ต้องพะวักพะวง สบายใจกว่ากัน” ได้ยินเสียงดับตุบ มันคงเอาหนังสือที่ว่าไปวางรอผมที่ข้างคอมพิวเตอร์ ก่อนผมจะจำใจตอบรับมันไป ก็คงจะดีกว่าจริง ๆ ถ้าวันอาทิตย์ได้เล่นเกมอย่างโล่งใจแทนที่จะต้องปั่นรายงานอย่างฉุกละหุก
“และอีกอย่างที่สำคัญ...” ตรัสมันก้าวเข้ามาประจันหน้าหลังจากผมแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเรียบตึง
“ดูอินเตอร์คอมที่ข้างประตูทุกครั้งก่อนเปิด ต้องแน่ใจว่าเป็นพนักงานร้านอาหารเท่านั้นถึงจะเปิดได้ เข้าใจไหม”
“ทำไมวะ ใครจะมาปล้นมึง”
“ฟังกันหน่อยเท็ต”
“คร้าบ ๆ รับทราบแล้วครับผม ถ้าเจอคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่พนักงานร้านอาหารจะไม่เปิดเด็ดขาดคร้าบ ว่าแต่ที่เอาแต่สั่งกูอยู่นี่ มึงจะไปไหน”
“อาบน้ำ” อ๋อยาว ๆ เลยครับท่าน
ผมนั่งหาวหวอด ๆ ขณะเปิดหนังสือสามสี่เล่มของไอ้ตรัสสลับกันไปมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะจับใจความตรงไหนมารวมตรงไหนเพราะเนื้อหามันแน่นมาก ขนาดเด็กที่ไม่โง่เท่าไหร่ (แต่ขี้เกียจไปหน่อย) อย่างผมยังถึงขั้นตาลายคล้ายจะวิงเวียน
ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงออดดังเบา ๆ อย่างรื่นหูอยู่ไม่กี่ครั้ง ลุกขึ้นไปส่องอินเตอร์คอมตามที่เจ้าของห้องเขาสั่ง ก่อนจะเห็นผู้ชายสองคนในชุดบริกรหน้าตาดูคุ้นนิดหน่อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาเป็นพนักงานคนเดียวกับที่มาเสิร์ฟอาหารมื้อใหญ่ของผมเมื่อวานนี้
“เชิญครับ” ผมยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรให้กับพนักงานหลังจากเปิดประตูให้ เขายิ้มตอบพร้อมกับก้มไหว้อย่างนอบน้อม แต่ไม่ต้องก็ได้กระมังครับพี่ อยากอายุยืนเป็นร้อยปีก็เลยรีบพนมมือรับไหว้อย่างไว
ลอบนั่งมองพนักงานจัดโต๊ะกันอย่างขะมักเขม้นแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน ไหน ๆ ก็ไม่มีแก่ใจจะทำรายงานผมก็เลยนั่งดูพวกเขาฆ่าเวลาซะเลย แค่ครู่เดียวโต๊ะอาหารก็สวยหรูดูน่านั่ง จากเซ้นส์อันแรงกล้าผมว่ามื้อนี้เป็นอาหารอิตาเลี่ยน ได้ยินพนักงานพูดทิ้งท้ายก่อนจะเลื่อนรถเข็นออกไปและตอนนั้นเองที่ผมนึกขึ้นได้ว่า ท่านตรัส...มึงอาบน้ำนานไปนะ เข้าใจว่าห่วงลุคคุณชายแต่ไม่ต้องขัดสีฉวีวรรณเป็นชั่วโมงจนผู้หญิงอายแบบนี้ก็ได้ อ่อนใจจนต้องทิ้งตัวนอนแผ่หลาบนโซฟาแล้วตะโกนสุดเสียง
“เฮ้ยตรัส มึงเข้าไปอาบน้ำหรือจำศีล”
“มีอะไร” มันขานตอบให้รู้ว่ายังไม่หลับหรือจับไข้จนสลบคาอ่างจากุซซี่ไปแล้ว แต่อย่างไรก็ดีช่วยเกรงใจกูบ้างเถอะ กูอยู่คนเดียว กูไม่อยากทำรายงาน กูมองอาหารแล้วหิวกระหาย เขมือบได้ทั้งโต๊ะแล้วเนี่ย!
“เร็วสิวะ ทำอะไรชักช้า” แล้วมันก็เงียบ ผมรู้ว่ามันได้ยินก็เลยไม่พูดอะไรต่อ แล้วพอดีว่าแอร์มันเย็น โซฟาก็นุ่มนิ่มสบายตัว ความหิวจึงแปรเปลี่ยนเป็นความง่วงขั้นพีคซึ่งสาเหตุหลักน่าจะเกิดจากยานอนหลับประเภทอักขระตัวอักษรที่ผ่านตามาเมื่อครู่ หนังท้องเหี่ยวหนังตาก็หย่อนได้ใครจะรู้
ผมหลับเป็นตายไร้สติประหนึ่งลืมความหิวทั้งหมดทั้งปวง ไม่แม้แต่จะพลิกตัวกลับขยับหยุกหยิก มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนที่มีผ้าห่มหอม ๆ อุ่น ๆ มาคลุมไว้ทั้งตัว มองไปรอบห้องก็เห็นคุณชายกำลังสาละวนกับคอมพิวเตอร์โดยมีแก้วชาวางอยู่ข้างกัน
“ทำไมไม่ปลุก” ผมหาวปากกว้างพร้อมสะบัดหัวไล่ความง่วงงุน ผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหามัน ก่อนจะเห็นว่าที่ตรัสกำลังรัวพิมพ์อยู่นั่นไม่ใช่หัวข้อรายงานของมัน แต่เป็นของผมเอง
“ทำให้กูทำไม ของตัวเองเสร็จแล้วหรือไง ไม่ต้อง ๆ” ผมปัดมือมันออก ใช่ว่าแสร้งทำเป็นเกรงใจอย่างที่ใช้กับไอ้แซนบ่อย ๆ เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอย่างนั้นจริงไม่อิงมารยา งานผมเยอะ งานของมันเองก็เยอะไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้นจะงอมืองอเท้าพึ่งใบบุญคุณชายตลอดไปมันก็ยังไงอยู่ ขอคำแนะนำนิดหน่อยแล้วค่อยจัดการเองน่าจะดีกว่า
“ของฉันใกล้เสร็จแล้ว เหลือสรุปจบอีกนิดหน่อย แต่ของนายยังไม่ได้เริ่มเลย”
“ใกล้เสร็จแล้วก็ไปทำให้เสร็จสิ ส่วนของกูเดี๋ยวกูทำเองได้ แล้วนี่กินข้าวแล้วเหรอ”
“ยัง” มันตอบโดยที่มือยังติดพันพิมพ์เนื้อหาบางส่วนลงในหน้าเวิร์ด ผมถอนหายใจรดหัวมันก่อนจะรวบรวมพละกำลังหิ้วปีกข้างหนึ่งให้ลุกขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“ไปกินข้าวก่อน หิว”
“อีกนิดเดียว จะจบบทนำแล้ว”
“ช่างมันเหอะตรัส กินก่อนได้ไหมหิวมาก นับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่ลุกกูจะแดกหัวมึงแทนแล้วนะ หนึ่ง...สอง...” ผมแกล้งงับหยอกเส้นผมที่ยังชื้นอยู่นิด ๆ อีกทั้งยังมีกลิ่นยาสระผมที่ต่างไปจากกลิ่นบ้าน ๆ ที่วางขายอยู่ดาษดื่น ถ้าพลาดไปอยู่ใกล้รัศมีกลิ่นหอมทีไรต้องอดใจไม่ไหวทุกที
ขอสารภาพอย่างหน้าไม่อายว่าผมแอบหลงใยไหมยี่ห้อตรัสมานานแล้ว ผู้ชายแท้ ๆ แต่เส้นผมกลับลื่นมือเงางามแล้วยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ กำจาย เผลอเป็นไม่ได้ต้องเดินไปปัดไปเฉียดให้ได้กลิ่นสักนิดก็ยังดี มีอะไรที่ฟังดูแอบจิตกว่านี้อีกไหมให้ทาย...
“กินก็กิน” จู่ ๆ มันก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา ผมหันไปมองหน้าจอดูยังไงมันก็ยังไม่ถึงย่อหน้าสุดท้ายของบทนำ ไหนมึงว่าจะทำให้เสร็จก่อนไง ขี้โม้ว่ะ
“มึงนี่เปลี่ยนใจง่ายเนาะ” ผมค่อนแคะ คนกำลังงับเพลิน ๆ ลูบเพลิน ๆ ตกใจหมด
ตรัสเดินไปเปิดฝาครอบอาหารสีเงินเงาวับออกจากจาน ก่อนจะเห็นว่าอาหารที่อยู่ภายในเป็นสปาเก็ตตี้สีสันน่าทานชวนให้น้ำลายสอ แล้วเจ้ามือก็ชี้ไปยังจานที่อยู่ตรงหน้า
“จานนี้ซีฟู้ด อีกจานเป็นมีทบอล เลือกสิ”
“ซีฟู้ด” ตอบแล้วก็ปรี่เข้าไปนั่งตรงจานสปาเก็ตตี้ซีฟู้ด ลืมตัวยิ้มแฉ่งจนคนมองต้องยิ้มตาม คนกำลังดีใจไม่ผิดใช่ไหม ยิ่งเห็นว่าเป็นของโปรดก็ยิ่งเปรม พ่อจะฟาดให้เรียบเลย
แล้วสุดท้ายเป็นยังไงน่ะหรือ ก็นั่งเขี่ยเส้นเล่นอยู่นี่ไง คงเพราะหิวมากไปอีกทั้งยังล่วงเลยเวลาอาหารเย็นมานานแล้ว แต่ก็ใช่ว่าไม่ถูกปาก ร้านอาหารระดับนี้มีหรือจะไม่อร่อย เห็นแล้วยังเสียดายแต่ละเลียดต่อไม่ไหวจริง ๆ
“มึงเลี้ยงข้าวกูหลายรอบแล้วเกรงใจว่ะ เอาไว้วันหน้าอยากกินอะไร เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงบ้าง”
“ไม่เป็นไร เก็บเงินไว้ซื้อเอวีเถอะ” โหไอ้นี่ ไม่เสียแรงที่คบกันมานานปี รู้ใจตลอด ก่อนได้ยินมันหัวเราะเบา ๆ ติดจะล้อเลียน มันน่าแปลกตรงไหน ของแบบนี้ผู้ชายคนไหนเขาก็ดูกัน มีมันนี่แหละวิปริตผิดธรรมชาติ
“ยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่ามึงไม่เคยดู เอาแบบนี้ดีกว่า ตามมานี่สิเดี๋ยวกูให้ดูอะไร” หันมองนาฬิกาเห็นว่าแค่สองทุ่มกว่าก็เลยกวักมือให้ตรัสที่กำลังรวบช้อนเดินตามผมมาที่คอมพิวเตอร์ คลิกค้นหาอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่งก็ชี้หน้าจอคอมให้ไอ้คนที่นั่งข้าง ๆ ดูเป็นขวัญตา
“สวยไหม คนนี้เป็นนางแบบเพลย์บอย”
“อือ” มันตอบสั้นแบบไม่ยี่หระ
“แล้วคนนี้อะ นี่เพนท์เฮ้าส์เลยนะเว้ย” มันพยักหน้ารับรู้
“นี่ ๆๆ คนนี้แม็กซิม หุ่นเป๊ะ” คราวนี้มันนั่งยิ้มเฉย ๆ เลยครับ
“ซูอะ ชอบไหมวะ โคตรอึ๋ม”
“ก็ดี”
“อะไรนะ”
“ก็ดี”
“มึงบ้าหรือเปล่าวะเนี่ย สวยขนาดนี้มึงบอกก็ดี นี่มึงเบี่ยงเบนใช่ไหม” ผมโวยวายแบบไม่มองหน้ามัน ตั้งหน้าตั้งตาหาภาพปลุกใจเสือป่า กะว่าจะล่อเสือออกจากถ้ำต่อไป
“นี่เลย คนนี้มึงต้องชอบแน่ น้องเขาขึ้นปกเอฟเอชเอ็มบ่อยมาก เป็นไง” ผมหันหน้าไปยักคิ้วใส่มัน เห็นว่ามันนั่งจ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้วก็เลยขมวดคิ้วฉับ
“มึงได้ดูหรือเปล่า ที่กูเปิดให้ดูเมื่อกี้”
“ดู” มุสาวาทา บาปหนานะมึง
“แล้วเป็นไง”
“ก็...น่ารัก”
“อกแบบนี้ เอวแบบนี้ บั้นท้ายแบบนี้ แถวบ้านมึงเรียกน่ารักเหรอวะ บ้านกูเรียกเซ็กซี่โคตรพ่อว่ะ” ผมกอดอกหันประจันหน้ามัน ชักจะมั่นใจนิด ๆ แล้วว่าตรัส รัตนภูมิเศรษฐ ถ้าไม่เบี่ยงเบนทางเพศก็ต้องกามตายด้าน
“มึงเสื่อมเหรอวะ ให้กูพาไปตรวจไหม”
“ไม่หรอก ก็ปกติดี”
“จริงดิ” ผมแกล้งก้มมอง ก่อนจะได้ยินมันหัวเราะเสียงต่ำ
“ตั้งใจทำงานได้แล้ว เดี๋ยวจะดึก” ไอ้เสื่อมมันพาผมเปลี่ยนเรื่องก็เลยต้องเบ้หน้าอย่างหมดอาลัย คนอุตส่าห์พามาพบทางสว่างแต่เสือกไม่รู้ร้อนรู้หนาวซะอย่างนั้น ผู้ชายอะไรวะ
คุณท่านกำชับผมว่าให้ดูเนื้อหาจากหนังสือตามที่มันไฮไลท์ไว้ให้ เพียงแค่ผมต้องเรียบเรียงใหม่เล็กน้อย แต่เนื่องด้วยเหตุที่ว่าเนื้อหามันเยอะมาก ผมก็เลยแอบพักแอบอู้โดยอ้างว่าให้มันสลับมาทำของตัวเองบ้าง ไอ้ส่วนที่เหลือนิดเดียวของมันจะได้เสร็จ ๆ ไป ไอ้หล่อมันก็หลงกล
ระหว่างที่ผมนอนบนโซฟาเล่นเกมในแท็บเล็ตของตรัสอยู่เกือบสองชั่วโมง หน้าหล่อ ๆ ของมันก็ยื่นพ้นพนักพิงมาถามเบา ๆ
“หิวอะไรไหม อยากได้ของว่างหรือเปล่า”
“ไม่ว่ะ ไม่ชอบกินมื้อดึก”
“นมหรือโกโก้ร้อนสักแก้วไหมจะได้หลับสบาย ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว ที่เหลือเอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้”
“ของมึงเสร็จแล้วเหรอ”
“เรียบร้อยแล้ว” มันตอบเสียงนุ่ม แค่บิดขี้เกียจซ้ายขวายังดูดีเอามาก ๆ แล้วนับประสาอะไรกับหน้าตามันเวลาง่วงจัด ดูเอาเถอะ ตาฉ่ำหน้าแดงระเรื่อแบบนั้น ถ้าไม่ติดที่มันสูงกว่าแถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมคงจับมันปล้ำไปแล้ว ผิวก็ขาวจัด ปากก็แดง ใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงนอนตัวบาง...
“มองอะไร” ชะอุ้ย พรายกระซิบเหรอมึง
“ใครมอง”
“เห็นอยู่แล้วยังจะเถียง”
“มึงนี่ง่วงแล้วเลอะเทอะ ไปเอามาดิ กินก็ได้ เอานมร้อน” มันยิ้มแล้วเดินหายไปในครัวครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมแก้วมัคสีขาวในมือ
“ระวังนะ มันร้อน” กูรู้แล้วน่า ก็กูสั่งนมร้อน
“โอ๊ย” ไม่ทันขาดคำนมมันก็กระฉอกโดนนิ้วผมไปนิดหนึ่งตอนที่ยื่นมือไปรับ ตรัสรีบยกกลับไปแล้วหยิบทิชชูมาพร้อมกับหลอดอะไรสักอย่างจากในตู้ยา มันเช็ดมือผมก่อนจะทายาให้แถมยังเป่ามือผมจริงจังอย่างกับจะหลอกเด็กว่าเพี้ยงหาย
“เจ็บไหม”
“เจ็บอะไร บ้าเปล่า โดนแค่นิดเดียวเอง”
“แค่นี้ก็เป็นแผลเป็นได้ ถ้ามันพอง”
“รู้น่า ไม่เจ็บหรอก ขอบใจ” ผมทำท่าจะชักมือกลับแต่ตรัสมันไม่ยอมปล่อย แลดูประหลาดจะตาย ผู้ชายสองคนมานั่งกุมมือกันในที่รโหฐาน แถมยังยื่นหน้ามาคุยกับใกล้ ๆ น่าขนลุกไปหน่อยไหม
“อยู่เฉย ๆ จะปิดแผลให้ เดี๋ยวปิดไว้หลวม ๆ แผลจะได้ไม่อับ” ผมพยักหน้า
“ว่าแต่นี่จะนอนกันยังไง ให้กูนอนตรงนี้ไหม ไม่อยากไปเบียดกับมึง”
“ไม่เบียด เตียงกว้าง” ปากตอบ แต่มือก็ยังง่วนกับผ้าพันแผล
“มึงจะไม่รำคาญกูเหรอ กูนอนดิ้นนะ” มันส่ายหน้าพร้อม ๆ กับตรวจดูผ้าพันแผลว่าปิดสนิทดีหรือยัง ก่อนจะชี้ไปที่แก้วนมที่วางอยู่ข้าง ๆ แล้วถามว่ายังจะดื่มอยู่ไหม ผมไม่ตอบแต่คว้าแก้วมาถือไว้
“ไปนอนก่อนเหอะ เดี๋ยวกูต้องแปรงฟันอีกรอบ”
ความจริงผมก็ไม่ได้ตะกละงกกินอะไรหรอก แต่มันอุตส่าห์ทำมาให้จะทิ้งไปก็เสียดาย ครั้นจะนั่งดื่มนมชมโคมไฟตรงโซฟาคนเดียวมันก็น่าเบื่อเกินไป ผมเลยลุกมาที่ระเบียงรับลมเย็น วิวจากห้องนี้เรียกได้เลยว่าสวรรค์ แสงสีเบื้องล่างทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด
ดื่มจนนมพร่องไปค่อนแก้วแล้วแต่ก็ยังไม่มีแก่ใจจะหันกลับ ยืนเพลินจนได้สติอีกทีก็ล่วงเวลาไปนานโข เดินกลับเข้าไปเก็บแก้วแล้วแปรงฟัน หลังจากนั้นก็เข้าห้องนอนแบบย่างสามขุมประหนึ่งตีนแมวขึ้นเตียงให้เบาที่สุด
“ทำไมนาน” ผมแอบสะดุ้งเพราะคำถามของไอ้คนที่คิดว่าหลับไปแล้ว หันมองก็เห็นว่ามันยังหลับตาอยู่ ก่อนจะกระซิบตอบแล้วตะแคงตัวนอนหันหลังให้ ไม่กล้าหันเข้าหาเพราะกลัวฟ้าผ่าตาย
“ออกไปที่ระเบียงมา”
“เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก ตัวเย็นหมดแล้ว” เหอะ เพราะอะไรมันถึงรู้ว่าผมตัวเย็นน่ะหรือครับ ก็พี่ท่านใจกล้าทำตัวเป็นสายล่อฟ้าเอื้อมกอดผมจากทางด้านหลังได้ล่อแหลมและบัดสีสุด ๆ
“ตรัส กูอึดอัด”
“เตียงมันแคบ” แคบพ่องเซ่! เตียงมึงใหญ่กว่าดาดฟ้าหอกูอีก ผมได้แต่กัดฟันกรอด ไม่รู้มันขาดความอบอุ่นมาจากไหน พอผมขยับมันก็กระชับกอด ผมขยับมากขึ้นมันก็กอดแน่นขึ้น โอ๊ย อัจฉริยะอย่างมึงถึงขั้นเพี้ยนไปแล้วใช่ไหม กูไม่มีหน้าอกหน้าใจให้มึงหลอกลูบคลำเหมือนน้องหนูที่ขึ้นปกหนังสือลามกหรอกนะโว้ย
“อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวตกเตียง” ก็เพราะมึงไม่ใช่หรือไงเล่า!
“ฝันดี” แล้วมันก็กระซิบข้างหู ดูดู๊ดู มึงทำร้ายกูทำไม กอดกูแน่นขนาดนี้ยังมีหน้ามาอวยพร ฝันดีของกูคือดูม ๆ เต็มไม้เต็มมือไม่ใช่แบนราบพร้อมกล้ามเนื้อแข็งปั๋งเหมือนอกสามศอกของมึงที่ชิดหลังกูอยู่นี่ เพราะฉะนั้นช่วยถอยกลับไปก่อนกูจะฝันร้ายดีกว่าไหม
“ตรัส...ตรัส” เปล่าครับ ผมไม่ได้จะขอให้มันปล่อย ไม่อยากใส่จริตหวงตัวเหมือนนางเอกร่างบางที่กำลังจะโดนตัวร้ายปลุกปล้ำอย่างในละคร แต่เผอิญว่า...
“มือมึงอะ อย่าล้วงเข้าไปในเสื้อกูสิ” มันรู้สึกหวิวแปลก ๆ เหอะ ถึงมือมันจะใหญ่อย่างผู้ชายทั่วไปแต่ก็นุ่มนิ่มดี น่าจั๊กจี้จะตายไป แต่ไม่ไหวว่ะ ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุ มันยังดึงดันที่จะลากมือร้อนไปทั่วอย่างกับจงใจแกล้ง ฮือ แล้วมันยังตีหน้ามึนถามกลับมาด้วยว่าล้วงที่ไหน แล้วแบบนี้แถวบ้านมึงเขาเรียกว่าอะไร เข้าใจบ้างไหมว่ากูกำลังผวาสุดชีวิตชายชาติทหารของกูเลย
ทางออกสุดท้ายเห็นจะเป็นการพลิกตัวหลบฝ่ามือดื้อแพ่ง แต่ด้วยความที่ผมหันเร็วไปหน่อยมือมันก็เลยเฉียดเอาตรงเอวจนเกือบหลุดขำ เมื่อนอนเผชิญหน้าผมก็เห็นว่าตรัสมันลืมตาแล้ว ลอบกระตุกยิ้มมุมปากหายใจรดปลายจมูกมันเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร เอาสิ ถ้ามึงหลับได้ก็หลับไปไอ้เทพบุตร
“ยิ้มอะไร”
“ไม่ได้ยิ้ม” ถามตอบกันก็เหมือนจะงับปากกันอยู่รอมร่อ ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้มันอีกนิด คิดว่าอีกเดี๋ยวมันคงรำคาญก็อาจจะขยับถอยกลับไปเอง แต่ที่ไหนได้...
หน้าหล่ออาหรับของมันโน้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นแชมพูที่ผมรักนักหนา ได้ยินมันสบถไม่ได้ใจความก่อนที่ความรู้สึกอุ่นร้อนจะทาบทับลงบนริมฝีปากอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา...แค่เสี้ยววินาที ก่อนที่มันจะลุกหนีออกจากห้องไป
ขอเวลาสมองผมประมวลผลสักครู่...เมื่อกี้ใช่จูบหรือเปล่า▩▩▩