Chapter 4
และแล้ววันงานวันเกิดของสุบรรณหรือพี่ชายของโอก็มาถึง ซึ่งแท้จริงแล้วนั้นโอกับสุบรรณเป็นเพียงแค่พี่น้องในละแวกบ้านเดียวกันเท่านั้นแต่ด้วยความสนิทสนมกันทำให้โอนับสุบรรณและเวนไตยเป็นพี่ของตนเองด้วย…วันนี้เป็นวันที่สุบรรณเองไม่อยากให้มาถึงเป็นที่สุดเพราะเค้าจะต้องมานั่งคอยรับแขกและส่งแขกที่บ้านของตัวเองเพราะเพื่อนทางแวดวงธุรกิจของเค้ามีเยอะแยะมากมายไหนจะเพื่อนๆของคุณพ่อกับคุณแม่อีก
“ไอ้วายุแกชวนเพื่อนแกมาหรือเปล่า” พายุถามน้องชายตัวเองทั้งๆที่จริงๆแล้วเค้าก็รู้คำตอบอยู่แล้วเพราะในทุกๆปีก็จะมีแก๊งของวายุแล้วก็พวกของโอที่เด็กสุดในงานพวกนี้ก็จะสนุกสนานมากเป็นพิเศษแตกต่างกับตัวเค้าที่อยากจะหนีกลับขึ้นไปนอนซะให้หมดเรื่องเพราะรำคาญนิสัยกระแนะกระแหนของผู้หญิงที่ชอบมาอ่อยมาให้ท่าเค้าถึงที่
“มาดิ…เออ พี่พายุเห็นว่าไอ้โอจะมาค่ำๆหน่อยนะมันต้องไปรับเพื่อนมันน่ะ” พายุพยักหน้ารับแล้วเดินกลับขึ้นไปบนห้องเพื่อจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้อยู่ในชุดสูทแบบเรียบร้อยอีกครั้ง
ในเวลาประมาณหกโมงเย็นแขกเหรื่อก็เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆไม่ขาดสายจนพายุเริ่มรู้สึกเซ็งหนักกว่าเก่าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยต้องปล่อยเลยตามเลย พายุส่งแขกคนนั้นทีคนนี้ทีจนถึงแขกกรุ๊ปหนึ่งที่เค้าคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“สุขสันต์วันเกิดนะพี่ชาย” โอเข้าสวมกอดพายุทันที พายุก็ตบไหล่โอแล้วก็ยิ้มให้น้อยๆ จากนั้นโอก็เริ่มแนะนำเพื่อนของตัวเองให้พายุรู้จักทีละคน ทุกคนก็ดูปกติดีแต่พายุกลับไปสะดุดตากับนารินทร์เด็กคนนี้มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนักจึงปล่อยให้โอเดินนำเพื่อนๆไปหาโต๊ะนั่งเอาเองเพราะคนกันเอง ต่างกับวายุที่เห็นโอในตอนแรกก็รู้สึกเฉยๆแต่เมื่อเห็นคนที่มาด้วยวายุก็ชักจะรักน้องขึ้นมาซะแล้วสิ
“เห้ย ไอ้โอทางนี้” วายุกวักมือเรียกโอ โอก็เดินนำเพื่อนๆไปนั่งที่โต๊ะที่วายุนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว บังเอิญจังเลยนะครับ น้องนารินทร์” นารินทร์เกิดอาการหัวเสียทันทีที่ได้เห็นหน้าของวายุแถมคำพูดแบบนั้นทำให้นารินทร์รู้สึกไม่ชอบเอามากๆแต่ก็เก็บอาการเอาไว้เพราะยังไงซะที่นี่ก็บ้านของนายวายุ หากเจ้าตัวรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นบ้านของใครก็คงไม่ยอมมาตามคำชวนของโอแน่นอน
“น้องนารินทร์จะเอาเป๊ปซี่ เบียร์ ไวน์หรือเหล้าดีครับที่นี่มีหมดทุกอย่างเลยครับ” วายุเริ่มรุกนารินทร์ทันทีที่มีโอกาสแถมยังดึงนารินทร์ให้มานั่งข้างตัวเองโดยมีโอนั่งข้างๆประกบไว้อีกคน ซึ่งการกระทำของวายุอยู่ในสายตาของทุกๆคนบนโต๊ะไม่เว้นแม้แต่พายุที่เดินมาส่งแขกแล้วเห็นเข้าพอดี
“ไม่กวนใจพี่หรอกนะครับ…โอเราเอาน้ำเปล่า” นารินทร์ปฏิเสธวายุอย่างไม่ไว้เชิงนั่นยิ่งเพิ่มอารมณ์คลุกกรุ่นให้กับรุ่นพี่ของเค้ามากขึ้นไปอีกเพราะคิดว่าคนตัวเล็กนั้นเล่นตัว แต่ก็เก็บอารมณ์นั้นไว้แล้วรอโอกาสต่อ
“น้องนากินนี่สิครับ อ่ะพี่ตักให้นะ” วายุตักปลาใส่จานของนารินทร์ นารินทร์หันไปมองหน้าวายุก็พบกับหน้าตาที่ยิ้มอย่างหล่อเหลาแต่มันเปล่าประโยชน์ทันทีที่อยู่ต่อหน้านารินทร์ นารินทร์และวารินทร์มีภูมิต้านทานในเรื่องแบบนี้สูงอย่างมาก
“ขอบคุณครับ…โอ พี่วายุเค้าตักนี่มาให้นายลองชิมดูสิ” นี่เป็นการโดนฉีกหน้าอย่างแรงในความคิดของวายุตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครกล้าทำกับเค้าอย่างนี้ ตอนนี้ทุกคนในโต๊ะสีหน้าอ้ำอึ้งเพราะดูจากสีหน้าของวายุแล้วแทบจะระเบิดเป็นภูเขาไฟต่างกับนารินทร์ที่นั่งไม่รู้ไม่ชี้ตักนั่นตักนี่กินไปเรื่อย
“ได้เวลาแล้วล่ะมั้ง” นารินทร์หันมากระซิบบอกโอแต่โอบอกว่ายังไม่ถึงเวลาต้องรอให้พี่พายุขึ้นเวทีพูดขอบคุณแขกในงานก่อน นารินทร์พยักหน้าและคิดอยู่ในใจว่าไอ้พวกคนรวยพวกนี้ทำไมจะต้องลีลาท่ามากก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้แสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมออกไป
“สวัสดีแขกท่านผู้มีเกียรติทุกท่านนะครับ…ผม สุบรรณ วายุเทพ เจ้าของงานวันเกิดวันนี้ก็ขอบคุณแขกท่านผู้มีเกียรติทุกท่านด้วยนะครับที่ได้ให้เกียรติมาในงานของผม และขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดทุกชิ้นด้วยครับ ขอบคุณครับ” พูดจบผู้คนในงานก็ปรบมือดังเสียงเกรียวกราวส่วนผู้หญิงบางคนก็ระริกระรี้เข้าไปออเซาะสุบรรณทันทีที่ลงจากเวที แต่แล้วก็เกิดเสียงหนึ่งดังขัดจังหวะของทุกคนขึ้น
“สวัสดีครับแขกทุกท่าน ผมชื่อโอนะครับเป็นน้องชายบ้านใกล้เรือนเคียงกัน วันนี้ผมมีของขวัญสุดพิเศษหนึ่งชิ้นที่จะมามอบให้พี่ชายคนนี้ได้ชม จะเป็นอะไรนั้นไปรับชมพร้อมๆกันเลยครับ” พูดจบโอก็กระโดดลงจากเวทีทันที แขกทุกคนรอลุ้นว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้งานในตอนนี้เงียบกริบไปชั่วครู่ แต่ไม่นานก็ถูกกรบด้วยเสียงดนตรีไทยขึ้นมาพร้อมกับนางรำหน้าสวยที่ค่อยๆเดินรำออกมาจากข้างหลังเวทีอย่างงดงามเรียกเสียงปรบมือจากแขกในงานได้ไม่น้อย แต่บุคคลที่เหมือนจะดีใจที่สุดก็คือ พายุ เพราะไม่คิดว่าจะบังเอิญได้เจอกันอีกครั้งเร็วขนาดนี้ เค้ารู้สึกขอบคุณโออย่างสุดซึ้งที่ทำให้เค้าได้เจอกับเป้าหมาย
“ไอ้โอมึงไปจ้างนางรำคนนี้มาได้ไงวะ” วายุถามโอแต่โอไม่ตอบเพราะก็กำลังอึ้งไม่แพ้วายุ เค้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าพี่วารินทร์ของนารินทร์จะรำได้ชดช้อยและงดงามขนาดนี้ ตอนนี้คนในงานเหมือนตกอยู่ในภวังค์และยากนักที่จะหลุดออกไปง่ายๆจนกระทั่งการร่ายรำของวารินทร์จบลงพร้อมกับการเดินหายเข้าไปข้างหลังเวที…การแสดงชุดนี้ได้รับคำชมอย่างหนาหูแม้แต่พ่อแม่ของเจ้าของวันเกิดก็รู้สึกชอบและหลงใหลในการร่ายรำของวารินทร์
“ไอ้โอมึงจะตอบกูได้หรือยัง” วายุพยายามเค้นเอาคำตอบจากโอที่ไม่ได้ฟังคำถามที่วายุถามแม้แต่น้อย
“พี่ถามว่าอะไรนะ…” วายุกำลังจะทวนคำถามซ้ำก็ต้องหยุดความคิดนั้นทันทีเพราะวารินทร์กำลังเดินตรงมาที่โต๊ะของเค้าพร้อมกับกระเป๋าอีกประมาณสองใบที่ใส่สัมภาระเกี่ยวกับการแสดงมาด้วย
“พี่รินทร์จ๋า สวยมากๆเลยนาประทับใจจัง…จริงด้วยค่ะสานะขนลุกเลยพี่รินทร์รำสวยมากอย่างกับนางฟ้าแหนะ” วารินทร์เพียงแค่ยกยิ้มเพื่อขอบคุณแทนคำชมที่ทุกคนบอกเค้า
“เดี๋ยวพี่นั่งอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิครับ มาครับเดี๋ยวผมพาพี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง” โอพูดพร้อมกับดึงกระเป๋าของวารินทร์ไปแย่งถือไว้แล้วเดินนำเข้าไปในบ้านทันที วารินทร์ที่ตอนแรกกะว่าจะชิ่งกลับเลยก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลยเดินตามโอเข้าไปในบ้านเพื่อเปลี่ยนชุด แต่นารินทร์ก็เดินตามพี่ชายของตัวเองเข้ามาด้วย…เมื่อมาถึงห้องแต่งตัวโอก็ขอออกไปรอข้างนอกให้สองพี่น้องช่วยกันถอดชุดองค์ทรงเครื่องกันเองและเมื่อโอกลับมานั่งที่โต๊ะก็ถูกจู่โจมด้วยคำถามทันที
“มันคืออะไร น้องนารินทร์เกี่ยวข้องอะไรกับนางรำคนนั้น!!!” วายุถามด้วยความร้อนใจเพราะท่าทางสนิทสนมกันแบบนั้นทำให้เค้ารู้สึกไม่ชอบใจนักที่เหยื่อจะถูกแย่งไปจากมือ
“อะไร…พี่หมายถึงพี่รินทร์อ่ะหรอ เค้าเป็นพี่น้องกัน…พี่ถามทำไมหรอ” ความร้อนใจของวายุหายเป็นปลิดทิ้งและแทนที่ด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย ถ้าไม่ได้พี่ก็ต้องได้น้อง นี่คือความคิดของวายุในช่วงเวลานั้น…หลังจากนั้นไม่นานวารินทร์กับนารินทร์ก็เดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งแม้ว่าวารินทร์กลับมาในชุดลำลองขายาวแขนยาวแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสวยของเค้าลดลงแต่อย่างใด
“ขอบคุณคุณจริงๆนะครับที่ให้เกียรติมาแสดงการรำอันงดงามให้ผมได้ดู” พายุเดินตรงมาพูดที่โต๊ะอย่างจงใจและเจาะจงพูดกับวารินทร์ทันที สร้างความตะลึงงันให้กับคนในโต๊ะมากยิ่งขึ้น เพราะโดยปกติแล้วทุกคนในโต๊ะยกเว้นโจ้ สา ไมย์ นารินทร์ วารินทร์ ทุกคนรู้จักลักษณะนิสัยของพายุเป็นอย่างดีไม่มีทางที่จะเริ่มพูดคุยกับคนแปลกหน้าก่อนแน่นอน
“…” วารินทร์มองกลับแค่หางตาและไม่โต้ตอบอะไรแค่นั่งนิ่งๆเฉยๆแทนทำให้พายุยิ่งรู้สึกสนใจในตัวของนารินทร์มายิ่งขึ้นแต่ในขณะนั้นก็มีเสียงกรีดร้องขึ้น
“กรี๊ดดดดดดด….กรี๊ดดดดดด” ทุกคนหันมองตามกันเป็นตาเดียว เป็นภาพที่ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวไฮโซเพชรพลอยเต็มตัวคงเป็นลูกไฮโซของใครสักคนกำลังวิ่งและตกใจอย่างหน้าตื่น
“เกิดอะไรขึ้นครับ” บริกรในงานถามเพราะดูจากท่าทางของเธอแล้วคงไปเจออะไรที่น่ากลัวมาสักอย่างหนึ่ง
“งะ…งู คะ เยอะมากๆฉันขนลุกไปหมดแล้วคุณดูสิคะ” เธอพูดพร้อมกับชี้ให้ดูขนที่ตั้งชูชันของเธอให้บริกรดู ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะเธอตกใจสุดขีดกับสิ่งที่เจอมา
“มันอยู่ตรงไหนครับ” ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปทางรั้วข้างบ้าน คนในงานจึงพากันไปดูสถานที่ที่เธอบอกว่าพบงู และเมื่อทุกคนเดินมาถึงก็พบกับงูจำนวนมากกำเลื้อยไปมาขวักไขว่จนดูน่าสยองในสายตาของใครหลายคนในงาน บริกรจึงช่วยกันหาไม้และกะจะฟาดงูให้ตายแต่ก็ต้องหยุดมือเมื่อมีเสียงดังขัดจังหวะขึ้น
“หยุดนะ!!!!! พวกคุณจะทำอะไร” บริกรยั้งมือไว้ทันจึงยังไม่มีงูตัวไหนได้รับบาดเจ็บบริกรเดินเข้ามาหาวารินทร์และอธิบายในสิ่งที่กำลังจะทำคือการ…ฆ่าให้หมด
“คุณทำแบบนั้นไม่ได้…เด็ดขาด!!!” วารินทร์พูดน้ำเสียงกดต่ำลงในช่วงท้ายและจ้องตาของบริกรที่กำลังยืนคุยกับเค้าอยู่ บริกรเห็นชัดเจนว่าแวบหนึ่งตาของวารินทร์กลายเป็นสีแดงแถมมองเค้าด้วยความอาฆาตทำให้บริกรคนดังกล่าวขาแข็งหน้าซีดหมดแรงไปเสียดื้อๆ
“นารินทร์ ช่วยพี่” เมื่อพูดจบสองพี่น้องก็เดินเข้าไปกลางดงงู ทำให้แขกในงานกรี๊ดกันสนั่นหวั่นไหวเพราะเกรงว่าคนทั้งสองจะโดนงูกัดแต่เปล่าเลยงูทั้งหมดกลับก้มหัวให้นารินทร์และวารินทร์ สองพี่น้องจึงพากันกลับบ้านทันทีโดยมีงูอีกเป็นขบวนเลื้อยตามมาด้วย สร้างความสงสัยให้กับคนในงานว่านั่นคืออะไร...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของพายุและวายุตลอดเวลาทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่าเป้าหมายของพวกเค้า…เป็นใครกันแน่!!!
ปล. วันนี้แถมให้อีกตอนนะ อิอิ