∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋
ความจริงที่ 15 :: อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น
“เอาสติจับที่สะดือ เวลาหายใจเข้าท้องพองกำหนดว่าพอง หนอ หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่ายุบ หนอ...”
ชาหนอ...หมดความรู้สึกหนอ...ค่อกแค่ก ใครบอกว่ากิจกรรมนี้ง่ายวะ แค่นั่งนิ่งๆหลับตาหนึ่งชั่วโมงก็ได้มาแล้วสามชั่วโมง บอกเลยว่ามันโกหก จากง่ามขาตอนนี้มาถึงหน้าแข้งแล้วกำลังจะลามไปยังง่ามตูดผมแล้ว แต่ด้วยความกลั้นใจมาตั้งเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม จากที่ตอนแรกมาแบบมุ่งมั่นทำสมาธิเน้นๆกลายเป็นกัดปากล่างข่มความทรมานแทบเป็นแทบตายเพื่อให้ผ่านพ้นนาทีชีวิตตอนนี้ไปได้
“เอาล่ะ ทุกคนค่อยๆลืมตา เป็นไงบ้างจิตใจรู้สึกสงบขึ้นทันตาเลยมั้ย”
สงบจนน้ำตาไหลเลยล่ะ มิน่าไอ้ต๊อบกับไอ้หงส์มันถึงบายไม่ยอมลงกิจกรรมนี้
“จบกิจกรรมแล้วอย่าลืมไปลงชื่ออีกรอบตรงโต๊ะที่มีพี่ๆสตาฟนั่งอยู่ตรงฝั่งนู้นนะ” เจ้าหน้าที่ในการจัดกิจกรรมยกมือชี้ไปประตูด้านหลังใกล้ทางออก “ลืมก็อดได้ชั่วโมงกิจกรรมแล้วอย่ามาหาว่าพี่ไม่เตือนนะ” น้องจะไม่ลืมเลยคร้าบบบบ ถ้าลืมนี่ขอไปผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอกให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยเถอะ อุตส่าห์เอาขามาบูชายัญขนาดนี้แล้ว
คนข้างๆเริ่มขยับตัวลุกขึ้นปัดแข้งปัดขาหันมาทางผม
“ไปกันมั้ย”
“อือ” ตอบอือไปแต่ยังนิ่ง เอาไงดีวะ กูจะต้องทำไง
“เม่น”
“อะไร”
“นี่มึงอินในรสพระธรรมขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“เปล่า กูแค่...”
“แค่?”
“เหน็บกินขา” ไอ้เรวะถึงกับหลุดขำพรืด มันอมยิ้มน้อยๆ ก่อนนั่งยองลงข้างๆ
“ให้กูช่วยนวดมั้ย”
“เชี่ยมึง!” ปากว่ามือแม่งถึงเลยครับ บีบลงมาทีกูแทบร้องจ๊าก สัญชาตญาณเอาตัวรอดของผมตึงสติให้คว้าข้อมือมันไว้แน่น “สัด! นวดเพื่อ”
“ผ่อนคลายไง”
“ตึงหนักกว่าเก่าอ่ะดิ”
“อะไรตึง”
“อารมณ์กูเนี่ยแหละ!” ขำกับมันดิสาด
“มา กูช่วยพยุง”
“ไม่ต้องนวดกูแล้วนะ” สะบัดมือมันทิ้งก่อนที่เราทั้งคู่จะสลับบทกันด้วยการที่เรวะพลิกมาจับข้อมือผมแทน
ฮึ่บ!! เกินคาดกับความไร้เรี่ยวแรงของขา รู้สึกเหมือนถูกตัดท่อนล่างออกไปทั้งสองข้าง ผมพยายามทรงตัวจากอาการเซอยู่นานจนต้านไม่ไหวเอนไปทับคนช่วยเหลือเข้าอย่างจัง จนไอ้เรวะหงายหลังร่วงลงพื้น
ตุบ!!
ปรึกษากูก่อนมั้ยว่าควรล้มท่าอะไร พื้นหอประชุมก็ใช่ว่าฝืดพอมาเจอถุงเท้าลื่นๆไอ้เรวะก็หงายหลังแล้วจุดจบของไอ้เม่นนั้นก็คือคร่อมอยู่หว่างขามันดิครับท่านผู้โช้มมมม
โมเมนต์จ้องตากับไอ้แพนด้าเริ่มขึ้นมาอีกคราว...
“เล่นท่ายากอีกแล้วนะมึง ไอ้เม่น” ไม่ใช่เสียงเรวะที่ตามประสานิสัยมันจะแซวผมขึ้นมาเหมือนอย่างเคย แต่เป็นเสียงใครอีกคนที่ยืนเยื้องออกไปทางขวาซึ่งผมจำได้ว่าเป็นที่ของไอ้เชี่ยคีย์กับแฟน ถึงแม้ไม่มีไอ้ต๊อบกับไอ้หงส์มันก็ยังคงส่งตัวแทนแห่งดวงจันทร์มาแซวกันได้อีก
“กูลื่นเหอะสัด”
“ถ้ามึงลื่น ไอ้เรก็คงเป็นลมแดดมั้งนั่น”หา?
หันไปดูอดีตคนช่วยชีวิต เชี่ย...แดงแป๊ดเลย หน้ามัน ร่างกายคนเบื้องล่างสั่นเทาขึ้นมาจนรู้สึก เรวะมันค่อยๆขยับปากเอ่ยเสียงพูดออกมา
“มึง...”
“ฮะ?”
“มึงจะกุมเป้ากูทำเพื่อ!!” โอ้โห ไอ้เหี้ย ไม่บอกกูไม่รู้เลย จับกระชับเต็มไม้เต็มมือยิ่งกว่าเมาส์คอมก็เป้าไอ้ตัวขาวข้างล่างเนี่ยแหละครับ ถึงกับชักมือกลับแทบไม่ทันก่อนมันจะผลักผมหงายหลัง แล้วลุกขึ้นจ้ำอ้าวออกไป
“เชี่ยเร...วะ....” ไปซะแล้ว แล้วใครจะช่วยกูพยุงขึ้นมาใหม่วะเนี่ย
ผมรีบกระเสือกกระสนยกร่างที่กระปลกกระเปลี้ยกึ่งเดินกึ่งคลานจนตามไอ้เรวะทัน ตะโกนเรียกมันแต่เสือกทำหูทวนลมเลยต้องเร่งสปีดวิตามินบีเข้าต้านความด้านชา เดินเข้าหาแบบประชิดตัวพร้อมคว้าหัวไหล่มันไว้
“เฮ้ย รอด้วยดิ” โอ้โห ใบหน้าแม่งราวกับเคียดแค้นเจ้ากรรมนายเวรมาสามชาติ หรือกูควรจะปล่อยมันไปดีวะ “เป็นไรของมึงวะกับแค่กู...”
“กุมไข่กู” ชัดเจนจ้า ความหน้าแดงเมื่อกี้ไปไหน...อ้าวยังอยู่นี่หว่า ไอ้เรวะมันกำลังฝืดตัวเองสุดฤทธิ์ให้เสียงไม่สั่นแต่ทางกายภาพนั้นปิดไม่อยู่
“เออนั่นแหละ มึงก็รู้กูตั้งใจที่ไหน ใครมันอยากจะขาชาจนล้มล่ะวะ” สายตาเหลือบมองลงมาบนท่อนขาผมก่อนเอ่ยถาม
“แล้วขามึงเป็นไงบ้าง วิ่งมาไม่ล้มหรือไง”
“คิดว่าต้องตามมึงมา เลยไม่ได้สนใจอะไรเลย” ก้มลงนวดน่องได้สักพัก ก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังระดมสมองขบคิดเรื่องบางอย่างแบบที่ทำให้หัวทุยๆของมันแทบแตก “ถามจริงเหอะความกล้าที่มึงหอมแก้มกูวันนั้นมันหายไปไหน แค่กูกุมไข่จะมาอายทำไมวะเนี่ย”
“เปล่าพักนี้กูแค่รู้สึก...”
“รู้สึก?” อันหยังวะเนี่ย
“หน้าบางลง”
“...”
“โดยเฉพาะเวลาอยู่กับมึง”
ถ้าไม่มีข่าวลือเรื่องมันเป็นไบมาตั้งแต่แรก ผมอาจจะชินกับการที่เรวะมันพูดอย่างนี้ก็ได้ ทำไมคนที่มึงไม่ได้นับว่าเป็นเพื่อน...อย่างไอ้บอม จะต้องปล่อยข่าวเรื่องมึงเป็นไบด้วยวะ ในความคิดของผมการจะกระจายข่าวลือเสียๆหายๆของใครสักคนเจ้าตัวต้องมีความคับแค้นใจอะไรบางอย่างกับอีกฝ่ายมากพอสมควร
“กูถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
“ไม่” สัด ตอบไวซะ แถมยังมีเสียงริงโทนของอีกฝ่ายมาขัดได้จังหวะโคตรเหมาะ ไอ้เรวะหยิบขึ้นมาขมวดคิ้วจ้องหน้าจอแบบมีภาวะลังเลอยู่สักพักจึงกดรับสาย
“ฮัลโหล” แค่คุยโทรศัพท์ทำไมต้องทำหน้าปวดตับขนาดนี้ด้วยวะ ผมตั้งใจฟังคำพูดต่อไป แต่ไอ้เรวะกลับนิ่งไม่ตอบโต้ปลายสายเหมือนนึกรู้ จนกระทั่งมันตอบกลับอีกฟากหนึ่งขึ้นมาผมถึงได้รู้ว่าเข้าใจผิด ความจริงแล้วมันแค่กำลังตั้งใจฟังใครบางคนอีกฝั่งนั้นมากกว่า
“ใคร? มีอะไร? กูไม่ได้ลืม? ตอนนี้มึงอยู่ไหน...เดี๋ยวกูไปหา” จากที่เครียดอยู่แล้วตอนนี้เพิ่มระดับขึ้นเป็นสิบเท่า ไอ้เรวะวางสายแล้วหันมาสบตา
“กูไปก่อนนะ” เหมือนเป็นประโยคบอกเล่ามากกว่าขออนุญาต ไอ้เรวะเทคตัวออกไปไวเท่าสายลม...หา? แต่เมื่อกี้มัน...
ยังไม่ลงทะเบียนกิจกรรมตอนจบเลยเว้ยยยยย!!!! ฟ้าคคคคคคคคค
ไอ้ที่ไวกว่าสายลมต้องมาเจอกูนี่ โฉบเฉียวยิ่งกว่ายุงตัวเมียหาเลือดแดก แหกทางโค้งยิ่งกว่าสายแปดแฮปปี้แลนด์ประตูน้ำ ว่องไวปานเสือชีตาร์ก็ต้องไอ้เม่นโพล่าแบร์คนนี้แหละครับ กูขอสาบานว่าจะไม่ยอมเสียขาให้กิจกรรมนี้ซ้ำสอง!!
จังหวะที่ใกล้ประชิดตัวผมก็คว้าคอเสื้อมันหมับ....? ไม่ ไม่ ไม่ มึงมีบทเรียนแล้วไม่ใช่เหรอไอ้เม่น มึงอย่า...
แคว่ก!!!
...กระชาก...
กระชากไปแล้วอ่ะ โว้ยยยยยยย
“สัดเม่น มึ้ง!!” ไอ้เรวะถึงกับหยุดตีนหันหลังมาตะโกนด่าแบบคิดคำผรุสวาทต่อไปไม่ถูก มันเอามือกุมหัวยืนปวดตับอยู่ตรงนั้น
“กู...กูขอโทษ”
“เรียกดีดีก็ได้หนิวะ”
“ก็อย่างกับมึงจะหยุดรอฟังกูน่ะ” ให้กูเป็นอิคคิวซังบอกมันว่า จะรีบไปไหนจะรีบไปไหนพักเดี๋ยวนึงสิครับ มันยังไม่ฟังเลยมั้ง
“ตะโกนเรียกกูก็หยุดแล้ว ทำไมชอบทำร้ายเสื้อผ้ากูอยู่เรื่อยเลยวะ” ผมขยับสายตาไปมองสภาพความเสียหาย
...ส่วนอกขาวๆของมึงก็กำลังทำร้ายสายตากูอยู่ว่ะ...
“มองเหี้ยอะไร”
“มองตัวเหี้ยอยู่”
“สัดเม่น”
“เออๆๆ อย่าบ่นน่ะ เอาเสื้อกูไปใส่ก่อน” ผมถอดเสื้อนักศึกษาที่ใส่อยู่ติดตัวผ่านทางหัวออกมายื่นให้มัน
“...!!”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” หา? เสียงอะไรวะ จังหวะที่คิดว่าโลกนี้มีเพียงเราสอง พอกวาดตามองไปรอบๆเท่านั้นแหละ โอ้โห้แม่งมากันเต็มอย่างกับดูหนังกลางแปลง ไหนจะไอ้แก๊งพี่ดิบที่พึ่งจากหายหวัดลุกขึ้นมาเป็นผีลืมหลุมมารัวรุมหาชายหนุ่มถ่ายรูปในวันกิจกรรม ไหนจะรุ่นพี่รุ่นน้องที่พึ่งทำสมาธิเสร็จหมาดๆเดินโต๋เต๋หารถกลับอยู่แถวนั้น แล้วไหนจะยังไอ้เพื่อนผมอีกสองตัวที่มันไม่ได้ลงกิจกรรมชัวร์ๆแต่เสือกมายืนรอใครอยู่แถวนี้
“ซิกแพคน้องเม่น โฮกกกกกก”
“กรี๊ดดดดด หุ่นพี่เม่น ตายอย่างสงบศพสีกับประตู”
...กูคิดบ้าอะไรที่ถอดเสื้อให้ไอ้เรวะใส่วะ มันก็ผู้ชายนี่หว่า!!...
“สะ...ใส่ไปก่อน” ความสามารถในการตัดสินใจกระซิบบอกในหัวว่าคะแนนกิจกรรมสำคัญกว่าหน้าตากู ผมเลยคว้าแขนไอ้เรวะแล้วลากมันกลับไปยังหอประชุม ตอนนี้ดีที่หอแม่งคนบางลงแล้วไม่งั้นมีหวังต้องฟังเสียงกรี๊ดกระหึ่มโจ๊ะพรึมๆไปตลอดทาง พอเขวี้ยงบัตรลงทะเบียนประทับตราได้เสร็จก็รีบเผ่นเข้าห้องน้ำ
แฮ่กๆ หอบเป็นหมาเลยกู...
“เอาเสื้อมึงมาเปลี่ยนกับกู” ไอ้เรวะทำตาสงสัยทุกอย่างในพฤติกรรมผมตั้งแต่ต้นจนจบ
“เพื่ออะไรวะ”
“เอาน่า”
“ไม่เอาเว้ย”
“สัด มึงจะไปหาไอ้บูมในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ!!”
ไอ้เรวะมองตาตื่น แล้วกูจะตะโกนเพื่อ!! เออใช่..กูก็แค่เป็นห่วงสวัสดิภาพมัน กลัวไอ้คนที่ชอบเฮียมันคิดไม่ซื่อพอเห็นของขาวแล้วอารมณ์ขึ้นเหมือนกูตอนนี้จะทำยังไง...
“ใครบอกมึงว่ากูจะไปหาไอ้บูม”
อ้าว...
“แล้วเมื่อกี้ที่มึงคุยด้วย”
“กูไม่ได้จะไปหาไอ้บูม”
“แล้วมึงจะไปหาใคร”
“ไม่ใช่ไอ้บูมละกัน”
“...”
“เม่น ทำไมมึงทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่วันที่ไปห้องกูแล้วนะ”
“จะให้กูไม่แปลกได้ไง”
“...” นี่ผมกำลังจะพูดอะไรออกไป...
“มึงรู้ตัวมั้ยว่าไอ้บูมมันชอบมึง”เบิกตาโตขนาดนี้ ดูก็บอกได้เลยว่าเจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อน นี่ผมทำบ้าอะไรวะ ถ้าเป็นอย่างที่คิด ถ้าผมเป็นหมาจริงๆ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเร่งให้มันสองคนสมหวังกันไวขึ้นนี่หว่า...กูไม่ใช่กามเทพนะ
“มึงพูดบ้าอะไร”
“กูพูดเรื่องจริง มันบอกกับกูเองว่ามันชอบเฮียมัน มันชอบคนที่อยู่ตรงหน้ากู”
“ไอ้เด็กบ้านั่น มันมั่วแล้ว อย่างกูเนี่ยนะจะไปทำให้มันชอบได้ เป็นผู้ชายด้วยกันแถมยัง...”
“ทำได้ดิ”“...” ขนาดกู...
เพียะ!! ผมยกมือขึ้นตบแก้มสองข้างของตัวเองไปมาอย่างกับคนบ้า ไอ้เม่นมึง สติ!! เอาสติมึงไปทิ้งกับสมาธิที่ห้องประชุมแล้วเหรอวะ นี่มึงกำลังจะพูดอะไร กำลังจะพูดอะไรวะเนี่ย
“ไอ้เม่นมึงเป็นบ้าไปแล้วเหรอวะ” ไอ้เรวะพยายามจับมือผมใหญ่ ดีที่เราอยู่ในห้องส้วมที่ลึกเข้าไปอีกไม่งั้น มีหวังได้เป็นข่าวว่าไอ้เม่นผีเข้ายกมือขึ้นตบหน้าตัวเองแน่
“กูอาจจะบ้าจริงๆก็ได้”
“ห่วงกูเหรอ”
“...” ผมพยักหน้า ทำไมวะ ไม่เข้าใจตัวเอง
“ไม่ต้องห่วงกูหรอก กูไม่ได้คิดอะไรกับไอ้บูมทั้งนั้นน่ะ เอาเสื้อมึงมา” มันถอดเสื้อต่อหน้าแล้วคว้าที่อยู่ในมือผมสลับกับของมันไปใส่
“บอกแล้วไงมันก็แค่น้อง”
“น้องที่คิดไม่ซื่อกับมึงเนี่ยนะ”
“เห็นอย่างนี้กูก็ชกต่อยเก่งไม่แพ้มันหรอกนะ กูระวังตัวเองได้น่ะ”
“ต่อยเก่งไม่รู้ แต่มึงเคยต่อยหน้ากูมาครั้งนึง ก็พอเจ็บอยู่” รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าของมัน เหมือนอารมณ์ดีขึ้นกะทันหัน แต่ใจกูทำไมยังขุ่นมัวอยู่เลยวะ
“นึกถึงวันที่เจอกันครั้งแรกเลยว่ะ”
“...”
“มึงก็กระชากเสื้อกูแบบนี้”
“แต่วันนี้มึงไม่ได้ต่อยกู”
“หรืออยากให้ต่อย” มันยกกำปั้นขึ้นชูจะจ้วงเข้าหน้าผม
“เฮ้ย เดี๋ยว!”
“ล้อเล่นน่ะ” อะไรทำให้เรวะยิ้มได้ไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องน้ำมันเอาแต่ยิ้มใส่จนระบบป้องกันตัวผมเริ่มรวน “ถึงบอกว่าไอ้บูมชอบกู แต่กูว่า...”
“...”
“กูชอบมึงมากกว่าว่ะ ไอ้เม่น”“...!!” พูดไม่ออก ตอบโต้ไม่ได้ ราวกับโดนตะกั่วถ่วงปาก ผมได้แต่ยืนนิ่งอึ้งกับคำสารภาพ นึกคำตอบจากความคิดที่ตีรวนในหัวจนแทบเป็นบ้า
“ตะ...แต่กูไม่ได้ชอบมึงอย่างนั้น”
“...” ไอ้เรวะนิ่งไป ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรผิด ผิดอย่างใหญ่หลวง ผิดแบบไม่น่าให้อภัย หรือตอนนี้ผมบริสุทธิ์ใจที่รับมันเข้ามาเป็นเพื่อนที่แท้จริงแล้ว แต่กลับเหมือนกำลังโดนหักหลังด้วยคำสารภาพสั้นๆของมัน
“กู...”
“บะ...บ้าเหรอมึง ทำไมคราวนี้แซวเล่นเหมือนทุกที มึงกลับจริงจังได้วะ สมองมึงเชื่อมต่อกับประสาทขาแล้วตายไปพร้อมกับตอนทำสมาธิแล้วหรือไง”
“เรวะกู...”
“แต่กูชอบมึงจริงๆนะเม่น...”
“...” ใจผม...กำลังสั่น...
“กูไปล่ะ” มันยกมือขึ้นตบบ่าผมแล้วรีบวิ่งพรวดพราดออกไป เสียงริงโทนที่ดังจากมือถือมันระหว่างพวกเราสนทนากันประโยคสุดท้ายแว่วห่างออกไปเรื่อยๆ...โดยที่สติผมยังคงจมอยู่ที่เดิมกับคำสารภาพของมัน
ผมทิ้งเวลาให้ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ใช้เวลาค้นหาความรู้สึก แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้กลับมาเพียงว่า ผมกับมันคงเป็นได้แค่เพื่อนกันจริงๆ อะไรเป็นตัวบ่งบอกว่าเรารู้สึกชอบอีกฝ่ายในสายตาที่เกินกว่าเพื่อน กับแค่ความรู้สึกดีดีที่เกิดขึ้นมาผมไม่อาจตีตราว่าพิเศษได้ คนที่อยู่รอบกายก็เคยทำให้ผมหัวเราะและมีความสุขตั้งหลายคน แล้วผมจะตอบได้ยังไงว่าไอ้เรวะมันพิเศษกว่าใครที่ผมเคยรู้จักมา
“ไอ้คีย์ อะไรที่ทำให้มึงรู้สึกตัวว่ารักแยมวะ”
เสียงคีย์บอร์ดหยุดลงกะทันหัน ไอ้เพื่อนมือเทพประจำวงมันหันศีรษะมามองผมด้วยสายตาพิศวง
“ทำไม จะเอาชีวิตรักกูไปแต่งเพลงเหรอ”
“เปล่า” ยกมือขึ้นเกากีตาร์เบาๆปล่อยใจปล่อยกายไปตามความรู้สึก “กูแค่สงสัยว่าแบบไหนที่เรียกได้ว่ารักในแบบแฟนวะ”
“แล้วกับพลอยมึงล่ะ ทำไมถึงคบเป็นแฟน”
“เพราะเขาเดินหน้ามาประกาศตัวว่าจะจีบกูตั้งแต่แรกแล้ว กูถึงเรียกได้ไงวะ”
“ไอ้สัดเม่น!”
“ไอ้หน้าหม้อ!”
ได้ทีไอ้ต๊อบ ไอ้หงส์ที่เงี่ยหูฟัง นั่งเสือกทางในอยู่นานก็ตะโกนขึ้นมา ใครเชิญไอ้สองตัวที่เหลือมาเข้าร่วมวงสนทนาด้วยวะ นั่งเงียบๆแกะคีย์ที่จะร้องคืนนี้ไปเรื่อยๆก็ดีแล้ว เสือกจริ๊งงง
“แล้วมึงก็ยอมคบด้วยเนี่ยนะ” ไอ้ศิราณีจำเป็นมันถามต่อโดยไม่สนใจเสียงแร้งเสียงกา
“คนสวยขนาดนั้นมาจีบ แถมเพื่อนแม่งยังยุ ไม่ให้กูยอมคบได้ไงวะ”
“แล้วถ้ากูยุให้มึงคบกับไอ้เร มึงก็จะคบว่างั้น?” ไอ้หงส์มันพูดแทรก แถมยังตีจังหวะกลองเป็นตะลึงตึงโป๊ะเหมือนอยู่ในรายการตลกตบมุก
“สัดใครมันจะบ้าจี้ ไปทำวะ”
“งั้นเพราะอะไรล่ะ” คู่หูของมันถามขึ้นมา สามสายตาจ้องมาทางผมเป็นจุดเดียว “ทำไมเหตุผลไม่เหมือนกับตอนแฟนเก่ามึง”
“เพราะไอ้เรมันเป็นผู้ชาย?” ผมส่ายหัว เปล่าเลย ไม่เคยมีความคิดแบ่งแยกแบบนี้มาในหัวเลยสักครั้ง ทั้งที่ความจริงคนชอบผู้หญิงมาแต่เกิดอย่างผมพึงกระทำ
“เพราะมันไม่ได้เข้ามาจีบมึงเหมือนอย่างที่แฟนเก่ามึงเคยทำตอนแรก” แต่ตอนนี้มันบอกชอบผม แถมก่อนหน้านั้นยังเคยหยอดผมสารพัดรูปแบบแล้วทำไม...
“หรือเพราะมันเป็นคนสำคัญสำหรับมึงไปแล้ว” สำคัญ?...ผมก็แค่ห่วงใยมันตามประสา...เพื่อน...
“มึงเลยไม่อยากจะเสียมันไป” ใช่ ตอนนี้ผมไม่อยากจะเสียมันไป ทั้งที่ตอนแรกคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าไม่อยากก้าวก่ายเกี่ยวข้องกับชีวิตมันด้วยซ้ำ
“การจะข้ามผ่านเฟรนด์โซนไปได้ ถ้าพลาดก็อาจจะหมายถึงการเสียเพื่อนคนนั้นไปเลยนะเว้ย มึงเลยคิดหนัก ใช่เปล่าวะ” ไอ้หงส์มันถาม ผมรู้สึกถึงสายตาไอ้ต๊อบที่ปรายมาทางคู่หูมันเบาๆ
“กูไม่รู้ว่ะ ตอนนี้กูแค่แยกไม่ได้ว่าเพื่อนกับแฟนมันต่างกันตรงไหน”
“ถ้ามึงห่วงใยเขา จนเหมือนเป็นคนในครอบครัวได้ มีความสุขกับไม่ใช่แค่ความสวยหรือรูปร่างภายนอกเพียงผิวเผิน ยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายมี อีกฝ่ายเป็นได้ ก็ถือว่ามึงชอบและรักเขาในฐานะแฟนคนนึงได้แล้วล่ะ กับแยมกูก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน” ในที่สุดไอ้คีย์มันเฉลยสิ่งที่ผมถามไปในตอนแรก เป็นโจทย์ต่อยอดให้ผมคิดทบทวนกับเรื่องราวที่ผ่านมา
ครั้งแรกที่เจอเรวะ ผมเป็นห่วงมันในฐานะพลเมืองดีคนนึงที่ไม่อยากให้เพื่อนคนนึงต้องทำเลว ถัดมาคือความรู้สึกผิดที่มองมันในแง่ร้าย เอาความคิดของคนรอบข้างมาตีตราว่ามันเป็นคนไม่ดี หลังจากนั้นก็เริ่มเกิดความสงสัยสนใจในตัวมันจนเริ่มกลั่นตัวเป็นความห่วงใย...
“คืนนี้เอาเพลง ‘เพิ่งรู้ว่ารัก’ ด้วยมั้ยมึง” ไอ้หงส์มันแล่นมาตบบ่าผม แต่เสียงหล่นของอะไรบางอย่างกลับปิดหนทางแซวมันสิ้นเชิง
“คีย์!!” ที่แท้ก็แยมแฟนสุดรักของไอ้คีย์ที่เดินถือถุงขนมมาดูพวกเราซ้อม แล้วเสือกทำมันกองลงพื้นตั้งแต่ยังไม่ทันถึงตัวพวกผมด้วยซ้ำ
“แยม เป็นอะไรน่ะ” ไอ้คีย์รีบลุกพรวดพราดจากเก้าอี้เดินไปถึงตัว
“แยม..”
“เป็นอะไรบอกคีย์มาสิ”
“แยมกำลังตกหลุมรักคีย์อีกรอบ”
“ฮ่วย!!” ให้มันได้อย่างนี้ดิ พวกกูประสานเสียงกันโดยไม่ต้องนัดหมายได้เลยสัด คู่รักบ้าบอ เธอหยิบถุงขนมที่ตกพื้นขึ้นมาพลางชูเหนือศีรษะ
“วันนี้แยมมีหม้อแกงมาฝากทุกคนด้วยนะ ญาติแยมไปเที่ยวเพชรบุรีมา” ป่านนี้ไอ้ที่อยู่คามือเธอคงเละไม่เหลือซากแล้วมั้ง ก็เล่นใหญ่เว่อร์เขวี้ยงลงพื้นซะ
จู่ๆผมก็นึกถึงใครอีกคนนึงที่มีนิสัยเล่นใหญ่เว่อร์พอพอกัน เมื่อวานนี้มันไม่มาเข้าเซกอาจารย์แม่เกือบทำให้ผมโดนหักชั่วโมงไปอีกหนึ่ง แต่จะเรียกว่าโชคเข้าข้างมั้ย ในเมื่ออาจารย์แม่ยกคลาสในวันที่ไอ้เรวะไม่มาพอดี
“แยม”
“เม่น มากินหม้อแกงด้วยกันสิ” ไอ้หงส์กับไอ้ต๊อบแม่งแร้งลงไปสอง ส่วนไอ้คีย์ก็แอบเดินมาจับไหล่เมียมันเหมือนรู้ทันว่าผมจะถามอะไร ก่อนย้ายตัวไปแดกขนมปล่อยให้ผมได้คุยกับแยม
“เม่นมีเรื่องจะถาม”
“ถาม? เรื่องอะไรเหรอ”
“ไอ้เรวะมันมาเรียนบ้างมั้ย”
“เรวะ? เรหรอ อืม...ปกติก็ไม่ค่อยมาเรียนอยู่แล้วนะ ยกเว้นจะมาตอนใกล้ๆช่วงสอบ แต่ช่วงนี้ก็แปลกดีเห็นมาเข้าคลาสบ่อยๆ แถมยังดูตั้งใจเรียนไม่สนใจใครด้วย”
“...” แสดงว่ามันไม่ได้ไม่สบายอะไร แต่ตั้งใจจะหลบหน้าผม...ใช่มั้ยวะ!!
“เม่นมีอะไรรึเปล่า”
“อ๋อ เปล่าคือ แค่สงสัยเรื่องเมื่อตอนกลางวัน...”
“ที่ไม่มาเข้าเรียนอย่างนั้นเหรอ”
“...” จริงด้วยแยมก็เรียนวิชาเดียวกันนี่หว่า เธอย่อมรู้เห็นทุกอย่าง ระหว่างที่ผมยังจัดการความรู้สึกไม่ได้ ผมไม่กล้าแม้แต่ส่งข้อความไปบีบคอมันให้มาเรียนด้วยกันหรอก
“อืม...ถ้าเป็นที่เอกยังพอเข้าใจ ว่าคงไม่อยากจะเจอสายตาทิ่มแทงของใครต่อใคร แต่เรื่องเซกอาจารย์แม่แยมไม่รู้จริงๆ”
หืม?
“แต่พอเห็นคนที่มาหาหลังคาบเช้าแวบๆเลยทำให้นึกถึงตอนนั้นเลย ตอนที่มีเรื่อง”
“เรื่อง?” แยมหันมามองหน้าผมก่อนสะดุดคำพูด
“อะ...เม่น...ไม่เคยได้ยินข่าว...เออ...เกี่ยวกับตัวเรในเอกแยมตอนปีหนึ่งเลยใช่มั้ย” ผมส่ายหัว ใครจะไปได้ยินได้ล่ะ ถึงจะคณะใกล้แต่ผมไม่มีปัญญาไปใส่ใจทุกเรื่องหรอก โดยเฉพาะเรื่องเรวะที่ผมพึ่งจะหันมาอยากรู้ในช่วงปีสามเอาป่านนี้ “ข่าวไม่ค่อยดีน่ะ เม่นอย่ารู้จะดีกว่า”
“ข่าวอะไร” เล่ามาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าบอกว่าผมไม่อยากรู้ก็โกหกแล้ว ทั้งที่ควรจะปล่อยผ่านแต่ทว่าผมกลับรู้สึกเหมือนอยากรู้จักเรวะให้มากขึ้น แยมหันไปมองหน้าแฟนเหมือนต้องการความคิดเห็น ไอ้คีย์มันหลับตาพร้อมพยักหน้าให้กำลังใจแฟนมันเบาๆ
“เออ...ว่ายังไงดีล่ะ คือเรื่องที่เรพาเพื่อนนอกมหา’ลัยมาหลอกผู้หญิงในเอกไปทำไม่ดีน่ะ”
“...!!”
“ตอนนั้นทุกคนอยู่ปีหนึ่ง แยมสนิทกับเพื่อนผู้หญิงอีกกลุ่มนึงเลยไม่ค่อยรู้อะไร แล้วอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายน่ะเขาก็ชอบคบแต่เพื่อนผู้ชายด้วย พอมาอีกทีก็มีข่าวว่าอีกฝ่ายทะเลาะกับเรเสียงดังโวยวาย ฝ่ายหญิงบอกว่าเรเป็นคนหลอกให้ไปเจอผู้ชายคนนั้น”
“...” ไอ้เรวะเนี่ยนะ? จะหลอกอะไรร้ายแรงขนาดนั้น คนที่พูดปดเรื่องเอาตังค์ผมไปซื้อโอวัลตินภูเขาไฟได้แค่สองวิฯ จะมาทำผิดด้วยการเป็นนกต่อหลอกผู้หญิงให้เพื่อนไปฟันเนี่ยนะ
“แยมก็ไม่ค่อยอยากเชื่อหรอก แต่หลังจากนั้นไม่นานผู้หญิงคนนั้นก็ลาออกไป ถ้าไม่จริงใครจะยอมเอาอนาคตตัวเองไปทิ้งอย่างนั้นล่ะจริงมั้ย”
“...”
“หลังจากนั้นเพื่อนๆก็ไม่กล้าเข้าใกล้น่ะ เพราะกลัวโดนหลอก โดนทำร้าย แล้วไหนยังมีข่าวที่ไปทำร้ายคนจนบาดเจ็บมาซ้ำเติมอีก ทุกคนเลยไม่สนใจเรอีกเลย แล้วเหมือนก็เป็นโชคดีด้วยที่หลังจากนั้นเรก็ไม่ค่อยได้มาเข้าเรียนอีกเลย”
“...” ทำไม...ทำไมเรื่องมันถึงได้เลวร้ายขนาดนี้วะ ที่มันบ่นอยู่เสมอว่าไม่เข้าเรียน ที่ใครต่างรังเกียจไม่ยอมจับคู่กับมันก็เพราะอย่างนี้เหรอวะ
“อ้าวทำไมไม่เข้าไปน่ะ” เสียงดังแทรกมาจากหน้าประตู พวกเราห้าคนถึงกับต้องหันไปดูผู้มาใหม่ คุ้นหน้าว่าเป็นรุ่นน้องเอกการแสดงมันแง้มประตูเข้ามา “พี่เม่น มีคนมาหาน่ะ”
“ใครน่ะ” ผมวางกีตาร์ขยับตัวลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้าตรงทางฝั่งที่น้องมันยืนอยู่ สังหรณ์ใจแปลกๆจนพาลกระวนกระวายหายใจติดขัด ขาแต่ละข้างเหมือนมีอะไรหนักๆมาถ่วงไว้ให้เดินได้ช้ากว่าปกติ...
“กูฝากให้มันหน่อย!!”
“อ้าวเฮ้ย”
เสียงนี้มัน!! ผลุนผลันวิ่งพรวดพราดไปทางประตูแบบไม่คิดชีวิต เสียงที่คิดว่าเป็นคนเดียวกับที่หายไปตลอดหนึ่งอาทิตย์กลับดังเข้าหูใกล้ตัวจนเกินจะเชื่อ พอตะปบวงกบประตูชะเง้อหน้าออกไปกลับไร้ร่องรอยของใครอีกคนที่ผมนึกถึง
“พี่เม่น” กระดาษแผ่นน้อยถูกส่งจากรุ่นน้องถึงมือ ทันทีที่เปิดดูข้อความในนั้น ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเคว้งคว้างเดียวดายที่ซ่อนมากับความหมายของประโยค...ได้มากขนาดนี้
แม้แต่คะแนนเข้าห้องมึงกูยังทำร้ายเลย ขอโทษนะ...TBC...
++++++++++++