คุณ MM.Dog บัณเฑาะก์ที่คุณพูดถึงไม่แน่ใจว่าจะเป็น อุภโตพยัญชนกปัณเฑาะก์ หรือเปล่าครับ?
เท่าที่ผมทราบมา ตามพระวินัยปิฏก มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ ๑๒๕ บอกว่า บัณเฑาะก์มี ๕ ชนิด อ่ะครับคือ
อาสิตตบัณเฑาะก์
อุสุยยบัณเฑาะก์
โอปักกมิยบัณเฑาะก์
ปักขบัณเฑาะก์
นปุงสกบัณเฑาะก์
ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น บัณเฑาะก์ใดเอาปากอมองคชาตของชายเหล่าอื่น ถูกน้ำอสุจิรดเอาแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ ชื่อ อาสิตตบัณเฑาะก์ (oral sex)
ฝ่ายบัณเฑาะก์ใดเห็นอัชฌาจารของชนเหล่าอื่น เมื่อความริษยาเกิดขึ้นแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ ชื่ออุสุยยบัณเฑาะก์ (ประมาณชอบดู แล้วช่วยตัวเองอ่ะครับ)
บัณเฑาะก์ใดมีอวัยวะดังพืชทั้งหลาย ถูกนำไปปราศแล้วคือ ถูกเขาตอนเสียแล้ว ด้วยความพยายาม บัณเฑาะก์นี้ ชื่อโอปักกมิยบัณเฑาะก์ (อันนี้ขันที)
ส่วนบางคนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์ ด้วยอานุภาพแห่งอกุศลวิบาก แต่ข้างขึ้น ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป นี้ชื่อว่า ปักขบัณเฑาะก์ (อันนี้ไม่แน่ใจว่าหมายความว่าไงแน่ แต่ถ้าให้ผมตีความให้เป็นอุปมาว่า วันนี้ชอบผู้ชาย วันนั้นชอบผู้หญิง แสดงว่าคงคล้ายๆ พวก ไบเซกชวล หรือเปล่าครับ)
ส่วนบัณเฑาะก์ใด เกิดไม่มีเพศ ไม่มีภาวรูป ในปฏิสนธิทีเดียว คือไม่ปรากฏว่าชายหรือหญิงมาแต่กำเนิด บัณเฑาะก์นี้ ชื่อนปุงสกบัณเฑาะก์
ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น อาสิตตบัณเฑาะก์ และอุสุยยบัณเฑาะก์ (พวกใช้ปาก+ถ้ำมอง) ไม่ห้ามบรรพชา, ๓ ชนิดนอกนี้ห้าม
ส่วนใน
สารัตถสังคหะ ตอนว่า “ปณฺฑกาน วิภาวนกถา” ไม่กล่าวถึง ปักขบัณเฑาะก์
แต่กล่าวถึง อุภโตพยัญชนกปัณเฑาะก์ ว่าเป็นคนที่มี 2 เพศ
อ้างอิง :
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16073http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3521.0;wap2ทีนี้กล่าวถึงที่มาว่าทำไมใช้คำ "บัณเฑาะก์" ในบทนี้
ผมค้นคว้ามาว่าเกย์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เรียกกันว่า "พวกเล่นสวาท" แต้ฟังดูน่ารักไป ไม่เสียหายเท่าไหร่ ถ้าจะเอามาด่าคงไม่เจ็บ
เหมือนถ้าจะด่าว่า "ไอ้ชาวรักร่วมเพศ" คงไม่เจ็บแต่ถ้าด่าว่า "อีตุ๊ด" คงเจ็บแน่ๆ
ผมเลยได้ปรึกษารุ่นพี่ที่ชำนาญด้านประวัติศาสตร์และอักษรศาสตร์แล้ว
รุ่นพี่แนะนำให้ใช้คำว่า "บัณเฑาะก์" เพราะใช้เป็นคล้ายๆคำด่า ฟังแล้วเจ็บๆแสบๆ ไม่ได้หมายถึง ชายรักชาย เหมือนอย่างที่คุณ MM.Dog แสดงความเห็นมาเลยครับ
ในเรื่องผมก็เลยไม่ได้บอกว่า ชายรักชาย คือบัณเฑาะก์ แต่บอกว่าเป็นคำที่ใช้เรียกกัน ความหมายเดิมอยู่ในพระวินัยปิฏกตามที่ยกมากล่าวไว้ด้านบนครับ แต่รุ่นพี่บอกว่า คนสมัยก่อนๆ นำคำนี้มาใช้เรียกด้วย ด่าให้เจ็บแสบ ประมาณจะด่าว่า"อีตุ๊ด"อย่างนี้ครับ
ถ้าผมอธิบายไว้ในเรื่องไม่ดีพอ ก็ต้องขออภัยมาด้วยครับ
จะนำเรื่องนี้มาปรับปรุงต้นฉบับอีกครั้งเมื่อพิมพ์เสร็จทั้งเรื่องแล้วนะครับ
ขอโทษผู้อ่านทุกท่านครับ หากทำให้เข้าใจผิด ผมไม่เชี่ยวชาญด้านนี้เท่าไหร่ ลองแต่งแนวนี้ดู คิดว่าข้อผิดพลาดคงเยอะกว่านี้ หากใครเป็นผู้รู้ และเห็นว่ามีข้อบกพร่องอย่างไร ถ้าจะช่วยกรุณาแจ้งละก็ผมเต็มใจน้อมรับ ครับผม
ขอบคุณ คุณ MM.Dog มากนะครับ : ]